วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ทำการบ้านแรกแล้วครับพี่คณานันท์

    เช้านี้ ทำมโนฯขึ้นไปกราบสมเด็จฯองค์ปฐมท่านบนพระนิพพานแล้วขอเรียนอรูปฌานกับท่านครับ ท่านใจดีมาก ดักคอก่อนเลยว่าท่านรู้ว่าเด็กอนุบาลจะขึ้นมาขอเรียนอรูปฌาน ท่าเน้นประมาณว่าอรูปฌานไม่ใช่ที่สุด ที่สุดคือพระนิพพานครับ
    ท่านบอกว่าระหว่างวัน เด็กอนุบาลก็ทรงอารมณ์อรูปฌานอยู่แล้ว เพราะเกิดจากที่ช่วงนี้ ระหว่างวัน เด็กอนุบาลจะพยายามจับภาพพระตลอดเวลา ควบกับคำภาวนา พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ไปด้วยตลอด
    ส่วนการฝึกอรูปฌานบนพระนิพพานนั้น ช่วงท้ายๆ ไปถึงจุดที่ เหลือแต่จิตเด็กอนุบาลกับพระท่านอยู่เท่านั้นให้ ไม่มีอารมณ์อื่น ไม่มีสัญญา เหมือนๆท่านจะเน้นให้วางจิตแบบนี้
    ส่วนเช้าวันนี้ การปฏิบัติธรรมจนขึ้นไปพระนิพพาน รู้สึกว่าจะมีความคล่องตัวกว่าปกติ เกิดจากพุทธคุณของพระองค์ที่ 11 (สมเด็จองค์ปฐม ปางกายมนุษย์) ที่เด็กอนุบาลได้มาจากวันไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน วันนี้อาราธนาท่านกำไว้ในมือตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ รู้ซึ้งได้เลยว่า "พุทโธ อ้ปปมาโณ" จริงๆ

    เด็กอนุบาลมั่นใจ สมเด็จองค์ปฐมท่านคอยสงเคราะห์พวกเราอยู่เสมอครับ เนื่องจากเชื่อว่าพวกเราหลายคนใน web นี้ก็ล้วนเป็นลูก เป็นหลานท่านมาทั้งนั้น

    เมื่อวานเด็กอนุบาล ได้ดูเทปรายการ ตีสิบ ที่นำคุณผู้หญิงคนนึง ที่เคยเกิดอุบัติเหตุจิตออกจากร่าง ไปเจอท่านพยายม ได้เห็นขนาดกล่องบุญกตัญญูตัวเอง ขนาดกล่องอายุขัยตัวเอง แล้วยมทูตพามาส่งกลับเข้าร่างภายหลัง คิดว่าผู้ที่ได้ดูจำนวนมาก รวมถึงคุณพ่อคุณแม่เด็กอนุบาลด้วย คงเกิดสัมมาทิฐิ เชื่อว่าทำดีย่อมได้ดี มีนรก สรรค์จริงๆ ดีใจจัง :)

    ท้ายที่สุด ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โปรดบันดาลกุศลและภูมิธรรมทุกอย่างที่เด็กอนุบาลมาตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน และที่จะได้ทำต่อไปในอนาคต ตราบเข้าสู่พระนิพพาน ถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถวายแด่ชาติไทย และ สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีพระคุณ และอุทิศให้แด่ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทวดาทุกองค์ พรหมทุกองค์ และอุทิศให้แก่ดวงจิตของท่านพ่อ ท่านแม่ ครูบาอาจารย์ผู้มีคุณทั้งหลาย และอุทิศไปให้ทุกดวงจิตทั่วแสนโกฏอนันตริยจักรวาล สามโลกธาตุ ให้ท่านมีนิพพานเป็นที่ไปโดยเร็วเทอญ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ได้อ่านความก้าวหน้าในการปฏิบัติของพวกเราก็นับว่าน่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

    ที่พวกเราต่างทรงอารมณ์ใจตั้งใจในการปฏิบัติธรรมกันจนถึงระดับอรูปฌานจนถึงอารมณ์พระนิพพานกันได้หลายๆท่าน ขอกราบโมทนาบุญด้วยอย่างที่สุดครับ

    สมด็จองค์ปฐม สมเด็จองค์ปัจจุบัน และหลวงพ่อครูบาอาจารย์ทุกท่าน ต้องยินดีและโมทนา ที่พวกเรารักษาการปฏิบัติทรงกำลังใจในกุศล มหากุศล เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไปให้ครบ ห้าพันปี

    เมื่อกำลังใจคนที่ได้สมาบัติแปดกันมาก เมื่อบรรลุธรรมก็ย่อมถึงซึ่งปฏิสัมภิทาญาณกันมากตามไปด้วย เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาก็ย่อมมีความมั่นคงด้วยเหตุดังนี้

    -พระธรรมที่สั่งสอนถูกต้องไม่ฟั่นเฟือนเนื่องด้วยการทรงพระไตรปิฏกครบถ้วนถูกต้อง ด้วยคุณธรรมวิเศษของปฏิสัมภิทาญาณ

    -มีการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งใหญ่โดยพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณอีกครั้ง

    -ท่านผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ ใช้อภิญญาเพื่อสงเคราะห์และปราบมิจฉาทิษฐิของอลัชชี ชำระล้าง ทำความบริสุทธิ์ให้พระพุทธศาสนา

    -องค์คุณวิเศษในการรู้ทุกภาษา(แม้ภาษาของดาวดวงอื่น) ทำให้การเผยแพร่พระพุทธศาสนาขยายออกไปยังทั่วโลก

    -การปฏิบัติธรรมรวมกันเป็นหนึ่ง ไม่แบ่งแยกแนว แยกสาย แยกนิกาย ต่างเข้าใจในจุดหมายเดียวกันคือพระนิพพาน

    ด้วยเหตุดังนี้จึงเป็นปัจจัยแห่งการเกิด"อภิญญาสาธารณะ" ตามที่หลวงพ่อท่านได้พยากรณ์เอาไว้ตามที่พระบอกกับท่านมา


    ก็ขอกราบโมทนาและตั้งใจปฏิบัติกันให้ดี เจริญ เดินฌานให้ละเอียดปราณีตด้วย อีกทั้งฝึกเดินฌานให้เร็วคล่องตัว เข้าออกได้ดังใจด้วย

    ขอให้ความเจริญในธรรมกันให้ยิ่งๆขึ้นไปไม่ถอยลง ตราบจนถึงฝั่งพระนิพพานด้วยเทอญ.
     
  3. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอธรรมทานท่านผู้รู้เรื่องการตัดสังโยชน์

    :) ขอโมทนาในความดีของเพื่อนๆทุกคนใน webนี้ที่เป็นกำลังใจให้เด็กอนุบาลหันมาทำความดีครับ ยอมรับตรงๆว่าส่วนนึงของความตั้งใจทำมาจากการไม่อยากให้สิ่งที่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ แนะนำมาสูญเปล่าด้วย นอกเหนือจากความอยากหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้อย่างจับใจของตัวเด็กอนุบาลเอง

    เห็นพี่คณานันท์เคยปรารภว่าทำนองว่า อาจจะมีการนัดมาเจอกันบ้างเพื่อเสริมความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของทุกคน ถ้าพี่คณานันท์และเพื่อนๆมีกำหนดนัดหมายกันคราวต่อไปเมื่อไร ช่วยแจ้งให้เด็กอนุบาลทราบด้วยจะเป็นพระคุณมากครับ แจ้งที่ sawetchai@gmail.com ได้เสมอครับ

    ตอนนี้ เด็กอนุบาลพอจะสามารถตั้งไข่เองได้บ้างแล้วครับ โดยอาศัยแนวทางที่ท่านผู้รู้ได้แนะนำมา แต่โดยรวมแล้วยังเลวอยู่มาก เรียกว่าถ้าเอาสังโยชน์สิบมาวัดกันเป็นข้อๆ ก็แค่สามข้อแรกเองครับที่เริ่มพอทำได้ ส่วนอีก 7 ข้อ กำลังเร่งรัดตัวเองอยู่ เพราะถือว่ายังสอบตก ตอนนี้เรื่องที่มาแรง(ในความเลว)คือมานะ กับ กามฉันทะครับ มัน(มาร)มาแล้ว Y_Y

    อยากซักถามพี่คณานันท์หรือท่านผู้รู้ท่านอื่นว่า ตอนเราทำสมาบัติ 8 แล้วเอากำลังมาตัดสังโยชน์สิบนั้น เราควรจะไล่ตัดทั้งหมดทีละข้อไปจนครบสิบข้อในแต่ละครั้งที่เราเข้าสมาบัติ หรือว่าเราควรเน้นเอากำลังสมาบัติไปตัดเรื่องหลักๆที่เป็นคุณธรรมของความเป็นพระในขั้นที่เรากำลังก้าวไปอยู่ เช่น
    - ถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบัน ก็เอากำลังสมาบัติ 8 ไปตัด 3 ข้อแรกให้ขาดหมดก่อน โดยยังไม่ต้องสนใจไปตัดข้อ 4 ถึง 10
    - ถ้ายังไม่เป็นพระอนาคามีเพียงใด แต่เป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ให้ทุ่มเทกำลังสมาบัติแปดไปตัด ข้อ 4 ข้อ 5 จนเป็นพระอานาคามีให้ได้ก่อน โดยยังไม่ต้องไปสนข้อ 6-10
    -ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด แต่เป็นพระอานาคามีแล้ว ก็ทุ่มเทกำลังสมาบัติแปดไปตัด ข้อ 6-10 เพื่อบรรลุอรหัตผล

    แนวทางแบบนี้เด็กอนุบาลว่าอาจจะดีในแง่ว่าใช้กำลังสมาบัติ 8 ไปโฟกัสตัดน้อยข้อแต่ตัดให้ได้ชัวร์ๆ ?

    แต่ถ้าคิดอีกทางหนึ่ง ถ้าระหว่างก้าวไปเป็นพระโสดาบัน ไม่เอากำลังสมาบัติไปตัดข้อ กามฉันทะ กับ ปฏิคะ ที่เป็นตัวทำให้เป็นพระอานาคามีซะบ้าง มัวแต่โฟกัสแค่ 3 ข้อแรก ก็เกรงว่าจะไม่ส่งเสริมความก้าวหน้าในการตัดสักกายะทิษฐิให้พอเพียงที่จะเป็นพระโสดาบันได้

    แนวทางการปฏิบัติแบบไหนที่พระท่านแนะนำว่าดีกว่าครับ ขอธรรมทานจากพี่คณานันท์ หรือท่านผู้รู้ ในการไล่ตัดสังโยชน์หลังจากช่วงเข้าสมาบัติ 8_/|\_
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    [​IMG] อนุโมทนาบุญกับคุณเด็กอนุบาลด้วยอย่างยิ่งครับผม [​IMG]
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    เมื่อ หมดกิเลสจริง...ท่านก็เลิกโชว์ เลิกแสดงกันแล้ว
    หาก...ไม่จำเป็นจนถึงที่สุด

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    วิญญาณออกจากร่าง ยมทูตพาทัวร์นรก (เทปย้อนหลังตีสิบ)
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=89210

    พระโมคคัลลานะทัวร์นรกสวรรค์ ถาม "ทำบุญ-กรรมอย่างไรจึงได้ผลอย่างนี้?"
    (ข้อมูลจากพระสุตตันตปิฎก)http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=89514

    รายการตีสิบทางรายการเห็นว่ามีผู้ชมสนใจมากและอยากดูอีกครั้ง ได้ตัดสินใจว่าจะเปิดโอกาสให้ผู้ชมทางบ้านผู้ใดที่มีประสบการณ์เรื่องนรก-สวรรค์เช่น เห็นเทวทูต, เห็นยมทูต (เห็นผีไม่เอา) ให้ส่งมาให้ทางรายการเพื่อออกเทปรณรงค์ให้คนหันมาทำความดีละเว้นความชั่ว

    รายการตีสิบ
    02-2856099
    atten2020@yahoo.com
     
  7. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    จริงๆแล้วเนี่ยผมเคยลองพยายามสอนคุณเเม่เเละคุณพ่อ นะครับเท่าที่เป็นไปได้เเต่พอได้อ่านข้อความ พี่เด็กอนุบาลเขียนพยายามหาอุบายให้ปฎิบัติมากขึ้น โมทนาพี่ๆด้วยผมมีความนับถือจริง ผมเองเคยอ่านหนังสือกรรมฐาน40ของหลวงพ่อ จนำมาทำให้ครบอย่างพี่ๆว่า
    อาจไม่ถึงณาน4 เพราะกรรมฐานกองปัจจุบันยังไม่ถึงที่สุด แต่จะทำให้ครบทุกกองครับ คงหาทางไปชาตินี้ที่ทำมาแล้วเพื่อพระศาสนา คนโดยมากไม่เสียดาย อดีตมันมีอยู่ แต่อนาคตอยู่ที่ปัจจุบัน โมทนาทุกๆท่านที่นิพพานกันชาตินี้ ท่านที่จะเป็นครูให้คน สัตว์ในกาลอนาคตด้วยครับ:d
     
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ piakgear24 [​IMG]
    อิทธิฤทธิ์นั้นจะมีได้ก็ต้องตัดกิเลสให้หมดไปก่อน เมื่อนั้น เมื่อกิเลสหมดแล้วท่านจะมีอิทธิฤทธิ์ สาธุ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เมื่อ หมดกิเลสจริง...ท่านก็เลิกโชว์ เลิกแสดงกันแล้ว
    หาก...ไม่จำเป็นจนถึงที่สุด

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "



    ท่านที่ได้อภิญญาทางสายสัมมาทิษฐินั้น ใช้อภิญญา แสดงอภิญญาก็เป็นไปเพื่อการสงเคราะห์ เพื่อความช่วยเหลือ ด้วยจิตที่เต็มไปด้วยเมตตาพรหมวิหารสี่

    ไม่ว่าจะเพื่อ

    เพิ่มศรัทธาที่มีอยู่ให้ยิ่งขึ้นไป เพื่อให้เกิดธรรมปิติ อันเป็นกำลังใจในการปฏิบัติ

    สร้างศรัทธา ที่ยังไม่มี(ในผู้นอกศาสนา หรืออลัชชี หรือผู้เป็นมิจฉาทิษฐิ) ให้เกิดศรัทธาและสัมมาทิษฐิ

    การสงเคราะห์เพื่อความสุขในเบื้องต้น อันเป็นการคลายจากทุกข์ทางโลก มีการป่วย การขัดสนเป็นต้น

    จนถึงที่สุดคือการสงเคราะห์ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    อภิญญาสูงสุดในพระพุทธศาสนา นั้นได้แก่ การถอดถอนกิเลสจนหมดสิ้นจากอนุสัย ตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหาร"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2007
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณเด็กอนุบาลครับ

    มีติวเข้มสมาธิพรุ่งนี้(วันเสาร์ที่ 1 กย.) ที่สวนลุมในเวลาประมาณ บ่ายโมงครึ่งครับ ท่านที่สนใจใฝ่หาความรู้ ขอเชิญได้ครับ

    ขอตอบในประเด็นข้อสงสัยของคุณเด็กอนุบาลต่อไปครับ

    ---------------------------------------------------------------
    อยากซักถามพี่คณานันท์หรือท่านผู้รู้ท่านอื่นว่า ตอนเราทำสมาบัติ 8 แล้วเอากำลังมาตัดสังโยชน์สิบนั้น เราควรจะไล่ตัดทั้งหมดทีละข้อไปจนครบสิบข้อในแต่ละครั้งที่เราเข้าสมาบัติ หรือว่าเราควรเน้นเอากำลังสมาบัติไปตัดเรื่องหลักๆที่เป็นคุณธรรมของความเป็นพระในขั้นที่เรากำลังก้าวไปอยู่ เช่น
    - ถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบัน ก็เอากำลังสมาบัติ 8 ไปตัด 3 ข้อแรกให้ขาดหมดก่อน โดยยังไม่ต้องสนใจไปตัดข้อ 4 ถึง 10
    - ถ้ายังไม่เป็นพระอนาคามีเพียงใด แต่เป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ให้ทุ่มเทกำลังสมาบัติแปดไปตัด ข้อ 4 ข้อ 5 จนเป็นพระอานาคามีให้ได้ก่อน โดยยังไม่ต้องไปสนข้อ 6-10
    -ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด แต่เป็นพระอานาคามีแล้ว ก็ทุ่มเทกำลังสมาบัติแปดไปตัด ข้อ 6-10 เพื่อบรรลุอรหัตผล

    แนวทางแบบนี้เด็กอนุบาลว่าอาจจะดีในแง่ว่าใช้กำลังสมาบัติ 8 ไปโฟกัสตัดน้อยข้อแต่ตัดให้ได้ชัวร์ๆ ?

    แต่ถ้าคิดอีกทางหนึ่ง ถ้าระหว่างก้าวไปเป็นพระโสดาบัน ไม่เอากำลังสมาบัติไปตัดข้อ กามฉันทะ กับ ปฏิคะ ที่เป็นตัวทำให้เป็นพระอานาคามีซะบ้าง มัวแต่โฟกัสแค่ 3 ข้อแรก ก็เกรงว่าจะไม่ส่งเสริมความก้าวหน้าในการตัดสักกายะทิษฐิให้พอเพียงที่จะเป็นพระโสดาบันได้

    แนวทางการปฏิบัติแบบไหนที่พระท่านแนะนำว่าดีกว่าครับ ขอธรรมทานจากพี่คณานันท์ หรือท่านผู้รู้ ในการไล่ตัดสังโยชน์หลังจากช่วงเข้าสมาบัติ 8_/|\_

    ------------------------------------------------------------------------

    ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าผมเองนั้นเป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ที่ยังต้องศึกษาอยู่ภายใต้ความเมตตาของพระท่าน ยังไม่ได้คุณธรรมวิเศษใดๆ ที่ถามมานี้เป็นอารมณ์การปฏิบัติของพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ผมก็ต้องไปถามครูบาอาจารย์ของผมมาเล่าให้ฟังอีกที

    ท่านว่า

    "การใช้กำลังของสมาบัติแปดมาใช้ในการตัดกิเลสนั้น หากเข้าสู่อริยะผลนั้น ย่อมเข้าถึงขั้นต่ำคืออนาคามีผลผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ ไปจนถึงอรหันตผล

    ไม่เคยปรากฏพระโสดาบันปฏิสัมภิทาญาณ หรือพระสกิทาคามีปฏิสัมภิทาญาณ

    เนื่องจากในอารมณ์การพิจารณาของอรูปฌานนั้นกิเลสเบาบางลงไปมากแล้ว (เห็นโทษในรูปคือร่างกาย วัตถุ ปรารถนาในสุขที่ไม่เนื่องด้วยกาย ด้วยวัตถุ แต่ยังมีอวิชชาบางประการอยู่) ประกอบกับกำลังฌานของอรูปฌานนั้นมีความตั้งมั่นสูงกว่าฌานสี่เป็นอย่างมาก ดังนั้นยกจิตพิจารณาอีกไม่นานนักก็เข้าถึงโลกุตระภูมิได้ไม่ยาก

    มีหลายท่านหลายวาระที่มีการปฏิบัติแบบไม่รู้ ไล่ฌานขึ้นไปถึง อรูปฌาน เห็นความว่าง ความสุขในอรูปก็ไปติด ว่าเป็นนิพพานทำให้ไม่บรรลุถึงอริยะผล ครั้นพอเปลื้องสังโยชน์ข้อที่เป็นอรูปราคะไปได้ และเจริญวิปัสนาญาณ มุ่งจิตที่พระนิพพานเพียงจุดเดียวแล้ว ก็ทำให้เข้าโลกุตระภูมิได้ในที่สุด

    และก็มีหลายท่านที่โชคดี ได้มโมยิทธิก่อน ได้ไปรู้จักสภาวะพรหม อรูปพรหม นิพพานก่อนล่วงหน้า รู้คุณรู้โทษแห่งการติดในอรูปพรหมเอาไว้ก่อนแล้ว ครั้นเจริญสมาบัติแปดให้เป็นกำลังได้ พอเจริญวิปัสนาญานต่อด้วย จิตก็สามารถตัดข้ามเข้าสู่โลกุตระภูมิได้โดยง่ายเนื่องจากสิ้นสงสัย สิ้นความอยากเกิดเป็นพรหม อรูปพรหม และการเกิดทั้งปวงเสียแล้ว เพราะเข้าใจด้วยปัญญาเอาไว้ก่อนแล้ว

    ดังนั้น การตัดสังโยชน์สิบในกำลังของสมาบัติแปดนั้น ข้อสำคัญ รวมมีประการเดียว คือ "อารมณ์ใจที่ เบื่อเกิด เห็นทุกข์ ไม่อยากเกิดอีกแล้ว จิตต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน" อารมณ์นี้ครอบคลุมการตัดสังโยชน์ทั้งสิบประการ ขอให้ไปลองตริตรองพิจารณากันดูว่าจริงหรือไม่ประการ.ใด

    ลองนำอารมณ์ใจดังกล่าวนี้ ไปเทียบเคียงหาเหตุหาผลกับสังโยชน์แต่ละข้อดูอย่างละเอียด

    จิตจะเห็นปัญญาในวิปัสนาญานเอง หากกุศลกรรมให้ผล การบรรลุธรรมก็จะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเอง รู้เองว่าพึงพิจารณาในวิปัสนาญาณข้อใด เมื่อใด อันเป็นอารมณ์ของการทรงตัวในมหาสติปัฐฐานสี่

    อย่างตอนกินข้าว เราก็จะมีตัวรู้มาสอนข้อธรรมในวิปัสนาญาณเองว่าให้พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาบ้าง พิจารณาธาตุสี่บ้างเอง

    พอกิเลสข้อใดเข้ามากระทบจิต ก็จะเกิดตัวรู้มาแก้ในกิเลสในสังโยชน์ข้อนั้น

    แต่ในช่วงแรกก็มีชนะบ้าง แพ้บ้าง ตามทันอารมณ์ใจบ้าง ไม่ทันบ้างเป็นธรรมดา

    แต่ตัวใหญ่คือกาย คือขันธุ์ห้า คืออยากดี อยากเกิด อยากเป็นไม่สิ้นสุด ยังสนุกยังชอบยังเพลิดเพลินในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ ยังอยากไปเกิดเป็นเทวดา อยากไปเกิดเป็นมหาเศรษฐี อยากไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ยังนับว่า "ประมาท" เพราะมักลืมไปว่ายังมีโอกาสพลาดพลั้งร่วงลงสู่ทุคติภูมิเป็นธรรมดา ลืมคิดไป ไม่ใช่เฉพาะแต่เราผู้เป็นมนุษย์ที่เป็นกัน แม้แต่เทวดา พรหมท่านก็ยังมีหลายท่านที่ยังเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ใช้ กุศลจนหมด และต้องจุติลงมาเสวยผลของอกุศลกรรมอย่างยาวนาน

    สรุปว่า ตัดหัวหน้าใหญ่ คือตัว "อยากเกิด" และเกลา เล็ม แต่ง ฝน กลึง สังโยชน์อื่นทิ้งไป จากใจเรา

    เอาสมาบัติแปดเป็นประหนึ่ง กำลังกล้า

    เอาวิปัสนาญานที่ประกอบด้วยปัญญาอันคมกริบ เป็นประหนึ่งดาบ ที่อาจหาญตัดกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือซาก (ความอยากเกิดอีก)

    มีกำลังแต่ไม่มีดาบที่คม (วิปัสนาญาน) ก็ตัดกิเลสไม่ได้
    มีดาบดี แต่ไร้กำลัง ก็ตัดกิเลสไม่ได้เช่นกัน

    ท่านทั้งหลายมีโอกาสดี ได้วิชชามโนมยิทธิกัน วิปัสนาญาณคล่องตัว สิ้นสงสัยในภพภูมิต่างๆ เห็นการเสวยผลของกรรมในทุคติภูมิกันแล้ว เห็นโทษของการติดในอรูปพรหมกันแล้ว เห็นการหมดบุญจุติของเทวดา พรหมกันแล้ว

    ครั้นพากเพียรเจริญอรูปฌานให้คล่องตัวเต็มกำลัง พิจารณาให้สิ้น ความ"อยากเกิด" ได้ และมีความตั้งมั่นใน"พระนิพพานเพียงจุดเดียว"

    ผลแห่งความดับไม่เหลือเชื้อ ก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกินวิสัยในชาตินี้

    ขอความเจริญในธรรมอันสมเด็จพระสุคตทรงตรัสเพื่อนำหมู่สัตว์ออกจากวัฏฏสงสาร จงเจริญในดวงจิตของทุกๆท่านทั้งที่เป็นมนุษย์ก็ดี ที่เป็นเทวดา พรหมทั้งหลายก็ดี ขอจงถึงฝั่งพระนิพพานตามที่จิตได้ตั้งความปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ.

    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2007
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    เศรษฐกิจพอเพียงคือทางรอดของมนุษยชาติ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์

    ทำไมเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นทางรอดของมนุษยชาติ เหตุผลก็คือ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ทฤษฎีการพัฒนาประเทศของชาวยุโรปกำลังนำภัยอันใหญ่หลวงสู่โลกมนุษย์ ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ ปัญหาโลกร้อน ปัญหามลภาวะ(อากาศเสีย น้ำเสีย เสียงเป็นพิษและขยะล้น)เพราะเศรษฐกิจทุนนิยมเน้นเรื่องการบริโภค การแข่งขันสะสมทรัพย์สิน และปัจเจกบุคคลนิยมสุดโต่ง

    ยิ่งไปกว่านั้นอิทธิพลของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมยังได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวางจนกลายเป็นวัฒนธรรม และศาสนาใหม่ที่ผู้คนทั่วโลกหลงใหลอย่างสุด ๆ โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว ทุนนิยมกลายเป็นวิถีชีวิตใหม่ของชาวโลก มนุษยชาติบูชาเงินทอง ทรัพย์สินแทนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพฯที่ตนเองเคยบูชานับถือ

    หลังจากการเปิดประเทศของจีนในปี 1978 และของอินเดียในปี 1989 และการล่มสลายของอาณาจักรสหภาพโซเวียตในปี 1991 ทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมกลายเป็นพระเอกในสายตาของชาวโลก

    อย่างไรก็ดียังมีประเทศเล็ก ๆ อยู่ประเทศหนึ่งซึ่งก็คือ ภูฏาน ที่ปฏิเสธระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ประเทศนี้ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบบกษัตริย์หรือถ้ามองด้วยมุมมองของชาวยุโรป และสหรัฐฯ ประเทศนี้ปกครองด้วยระบบเผด็จการ หรือทรราชเพราะพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีพระราชอำนาจสูงสุด อำนาจทั้งสามคือ บริหาร นินิติบัญญัติ และตุลาการอยู่ที่พระองค์ หรือกษัตริย์คือผู้ใช้อำนาจทั้งสามนั้นเพียงลำพังพระองค์เดียว แต่ประชาชนของภูฏานมีความสุขมากกว่าชาวญี่ปุ่น หรือสหรัฐฯ หรืออังกฤษที่ปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยด้วยระบบการเลือกตั้งโดยตรงโดยอาศัยเงิน หรือทุนเป็นปัจจัยหลักในการหาเสียง พรรคฯที่มีเงินทุนหนา หรือนายทุนสนับสนุนมากก็มักจะชนะการเลือกตั้งเพราะประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงไม่รู้จักตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งดีพอเพราะมีเวลาเพียงไม่กี่เดือน(ในระบบรัฐสภา) หรือ1-2 ปีในระบบประธานาธิบดี ช่วงเวลาดังกล่าวคือระยะเวลาในการหาเสียงซึ่งพรรคฯที่มีเงินทุนสนับสนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่งก็มักจะชนะเสมอ แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นก็เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอย่างใดว่า ทำไมระบบประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งโดยตรงด้วยอำนาจเงินทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป หรือเอเชีย คนในสหรัฐฯจึงเลือกคนอย่างจอร์จ บุชแห่งสหรัฐฯผู้บ้าคลั่งสงครามเป็นประธานาธิบดี หรือคนอย่างโทนี่แบลร์ในอังกฤษหรือเบอร์โรสคูนี่ในอิตาลี หรือคนอย่างทักษิณ ชินวัตรของไทยจึงได้รับเลือกเป็นนายกฯผู้นำฝ่ายบริหารปกครองประเทศ

    ระบบการเลือกตั้งโดยตรงด้วยอำนาจเงิน หรือระบบประชาธิปไตยทุนนิยม ปัจจัยชี้ขาดจึงเป็นอำนาจของเงิน ในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยเราก็อาศัยการซื้อเสียงโดยตรงอย่างที่พวกเราทราบกัน ส่วนในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ อังกฤษ หรืออิตาลีก็ใช้วิธีการซื้อสื่อฯ(วิทยุโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์กับนิตยสาร รวมทั้งใช้วิธีการบริจาคเงินให้โบสถ์ โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือชุมชนฯลฯ)

    นี่เองคือคำอธิบายว่า บุคคลที่ไร้คุณธรรมอย่างบุช แบลร์ คูนี่ หรือทักษิณจึงได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและนายกฯมาบริหารปกครองประเทศ

    กลับมาดูที่ประเทศภูฏานซึ่งปกครองด้วยระบบกษัตริย์ พระองค์ตระหนักดีว่าพระองค์มีพระราชอำนาจล้นพ้น พระองค์จึงยึดมั่นในหลักการปกครองด้วยคุณธรรม หรือหลักทศพิราชธรรม กษัตริย์ภูฏานเลือกใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียงในการปกครองประเทศโดยใช้ GDH(Gross Domestic Happiness) แทนที่จะใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ใช้ GDP(Gross Domestic Product) อย่างที่ชาวยุโรปคิดขึ้นมา

    แม้ว่าประเทศภูฏานไม่มีตึกรามอาคารสูง ๆ หรือศูนย์การค้าขนาดยักษ์อย่างสยามพารากอน หรือเซ็นทรัลเวริลด์ที่ใช้ไฟฟ้าในแต่ละวันมากเท่ากับหมู่บ้านนับเป็นร้อยแห่งใช้ไฟฟ้ารวมกันเป็นเดือน หรือเป็นปี แต่ชาวภูฏานก็มีความสุขมากกว่าชาวสหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือชาวไทยที่มีวัตถุบริโภคหรืออำนวยความสะดวกมากมาย

    ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ หรือเงินตราอย่างที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนไว้ แม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกผู้อ่านคัมภีร์เต๋าเต๋อหรือเต๋าเต๋อจิงของเหลาจื่อก็พูดว่า เงินตราซื้อความสุขไม่ได้

    คุณวอร์เรนแม้จะมีเงินตรามากมายหากคิดเป็นเงินไทยก็มากกว่างบประมาณของรัฐบาลไทยทั้งปี ท่านก็ยังตระหนักว่า เงินตราไม่ได้มีอำนาจมากมายอย่างที่คนทั่วไปคิดกันโดยเฉพาะเรื่องความสุขเพราะความสุขคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายใน

    ถ้าไม่มีความโลภ ความสุขก็หาได้ไม่ยากนัก แค่ได้ทานข้าวกับคนที่เรารัก และรักเรานั่นก็คือความสุขแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องทานข้าวกับนางงามจักรวาล หรือได้ขับรถฟอร์รารี่ หรือโรสรอยล์ แค่มีรถขับก็พอเพียงแล้ว อย่างคุณวอร์เรนแม้ว่าท่านจะมีเงินทองหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ท่านก็ยังคงขับรถโฟคส์เต่าคันที่ท่านขับมาแล้วกว่า 10 สิบปี

    นี่คือพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่จำเป็นต้องมีมาก ที่จริงการมีมากคือความทุกข์เสียอีกแทนที่จะเป็นความสุข ไม่เชื่อลองไปถามมหาเศรษฐีทั้งหลายว่า พวกท่านมีความสุขที่แท้จริงหรือไม่

    อย่างที่อาจารย์หลี่หงจื้อแห่งฝ่าหลุนกงได้กล่าวไว้ว่า อย่าไปอิจฉาคนที่ร่ำรวย หรือมีตำแหน่งสูง ๆ เลย เพราะพวกเขาไม่มีความสุขที่แท้จริง แม้แต่เวลานอนยังมีความกังวล นอนหลับไม่สนิท และฝันร้ายเพราะเกรง หรือวิตกว่า เงินทองจะสูญหาย หรือลดลง หรือจะถูกถอดถอนจากตำแหน่ง

    ถ้าคนเรารู้จักพอ เช่นในครอบครัว 4 คนมีรถใช้หนึ่งคันก็น่าจะพอแล้ว ไม่ใช่ต้องซื้อรถคนละคัน (4 คน 4คัน) หรือที่แย่กว่านั้นก็คือ คนหนึ่งคนมีรถ 5-6 คัน หรือ 60-70 คันเพื่อแสดงความร่ำรวยของตน หรืออวดมั่งอวดมี ต้องหัดคิดถึงคนอื่น หรือสังคมบ้าง อย่าคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว และครอบครัวตัวเองเท่านั้น

    พื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นต้องเริ่มจากค่านิยมที่ถูกต้อง หากคนไทยยังมีค่านิยมบูชาวัตถุเงินตราเหนือกว่าความดีงาม หรือความถูกต้อง ก็คงไม่ต้องพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง เพราะเป็นไปไม่ได้นั่นเอง

    ที่ภูฏานยืนหยัดใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ได้เพราะชาวภูฏานมีค่านิยมที่ถูกต้อง เช่น ไม่ต้องการเป็นคนร่ำรวยเพราะความร่ำรวยกับความสุขไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ต่างจากชาวจีน และอินเดียที่ต้องการแสวงหาความร่ำรวยซึ่งกำลังนำพาให้ชาติทั้งสองที่เคยเป็นอู่อารยธรรมของเอเชีย และโลกต้องล่มสลายเพราะความโลภจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยม

    ตอนนี้แม้ชาวจีนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีวัตถุอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นเช่น รถยนต์ โทรทัศน์ เครื่องเสียงราคาแพง ๆ และมีเงินทองไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ผลการสำรวจทัศนคติที่ทำโดยรัฐบาลจีนเองพบว่า ชาวจีนมีความสุขน้อยลง และอัตราฆ่าตัวตายรวมทั้งการหย่าร้างสูงขึ้นเพราะมีความเครียดและไม่มีความสุข

    เช่นเดียวกับชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นชาติเอเชียชาติแรกที่รับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเต็มตัว แม้ว่าชาวญี่ปุ่นจะมีวัตถุที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายมากมาย คนญี่ปุ่นร่ำรวยกว่าคนภูฏานหลายสิบเท่าแต่ชาวญี่ปุ่นก็ไม่มีความสุข คนญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลกคือมากกว่า ปีละ3หมื่นคน

    ขณะที่ชาวภูฏานนั้นไม่มีรถขับ ไม่มีโทรทัศน์ดู ไม่มีแม้แต่เครื่องซักผ้าคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ แต่พวกเขาก็มีความสุขมากกว่าชาวญี่ปุ่น หรือชาวจีน หรืออินเดีย หรือชาวไทย

    ฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธองค์หรือเหลาจื่อสอนไว้จึงเป็นสัจธรรมที่แท้จริง หรือคำพูดของคุณวอร์เรนลูกศิษย์เหลาจื่อ

    ความรวยกับความสุขนั้นเป็นคนละเรื่อง คนรวยไม่จำเป็นต้องมีความสุขเสมอไปอย่างที่มหาเศรษฐีอันดับสองของโลกได้พูดไว้ข้างต้น
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ความสุขจริงๆเกิดจากภายในจิตใจของเราครับ

    แต่สังคมทุนนิยมพยายามที่จะ ยัดเยียดความรู้สึก ความคิดที่ว่า ยิ่งมีวัตถุมากเท่าไร ความสุขยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหากมาใช้ปัญญาไตร่ตรองกันให้ดีแล้ว วัตถุยิ่งมีมากก็ยิ่งทุกข์ยิ่งเพิ่มความกังวล ยิ่งเพิ่มธุระ เพิ่มภาระ

    การแสวงหาเพื่อจะได้มาก็ทุกข์
    รักษา ดูแล ไว้ก็เป็นทุกข์
    เสียหาย เสื่อมสลาย พังตัว ถูกพรากไปก็ทุกข์

    มี(ตามความจำเป็น ตามเหตุ ตามปัจจัย)
    ใช้(ตามกำลัง)
    ข้าใจ(ว่าเราใช้มัน ไม่ใช่ให้มันมาเป็นนายเรา)
    และปล่อยวาง(เมื่อมันพัง มันเสื่อม มันสลายตัวไปในที่สุด)

    ไม่ว่าจะเป็นเงิน เป็นทรัพย์สิน เป็นสิ่งของ เป็นคน หรือแม้แต่ร่างกายของเราในที่สุด


    "ความสุข เกิดขึ้นที่ใจ สุขเพราะ การให้(มีความปิติ อิ่มเอมใจเป็นอารมณ์)
    ความสุข จากการปล่อยวาง (มีความสงบ ความเบาใจ ปราศจากความกังวลเป็นอารมณ์)

    ความสุข จากการตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหาร (มีอารมณ์ที่ปราศจาก การเกาะเกี่ยว ความกังวลใจ ความลังเลใจใดๆทั้งปวง กิจต่างๆที่พึงทำสำเร็จสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดให้ห่วงให้กังวล ให้เป็นทุกข์กับจิตของเราได้) อุปมาดังหยดน้ำบนใบบัว อันไม่อาจเปียกหรือซึมได้ฉันนั้น
     
  12. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เอาธรรมทานจากหลวงพี่เล็กมาฝากครับ

    วันนี้เด็กอนุบาลไปถวายสังฆทานกับหลวงพี่เล็กมา ประทับใจหลายอย่างมาก แต่ที่ประทับใจที่สุดคือที่ท่านพูดว่า "แปลกนะที่คนเรากลัวตาย แต่ดันไม่กลัวเกิด" จึงขอนำธรรมทานที่ลึกซึ้งนี้จากหลวงพี่มาฝากทุกท่านค้าบ :)
     
  13. woottipon

    woottipon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2005
    โพสต์:
    11,813
    ค่าพลัง:
    +84,008
     
  14. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เตือนเพื่อนๆเกี่ยวกับการรักษาศีลข้อ 2 ครับ

    เมื่อวานนี้ เด็กอนุบาลได้มีโอกาสถามข้อธรรมหลวงพี่เล็กท่านเกี่ยวกับการใช้ซอร์ฟแวร์เถื่อน ซึ่งเป็นประเด็นที่เราอาจจะขาดความระมัดระวังกันได้ง่ายครับ

    หลวงพี่ท่านสงเคราะห์ตอบว่า ถ้าเรารู้ว่าเป็นของเถื่อนแล้วยังใช้ต่อไป ถือว่าผิดศีลข้ออทินนาทานนะครับ

    ข้อนี้เด็กอนุบาลผิดเต็มๆ เพราะงานที่ทำอยู่ต้องใช้คอมฯ โน๊ตบุ๊กของบริษัทที่เด็กอนุบาลคาดว่าเค้าคงลงโปรแกรมเถื่อนมาให้ เพราะมีให้ใส่รหัสอะไรอะไรกันวุ่นวายตอนติดตั้ง ก็พวกตระกูล Microsoft และ Adobe นี่แหละคับ Y_Y

    ตั้งใจจะรีบไปเปลี่ยนเอาตัวจริงลงครับ ถึงแพงก็คงต้องยอม จิตใจต้องเข้มแข็งที่จะรักษาศีลห้าให้ได้ เพื่อเป็นปฏิบัติบูชา ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นที่พึ่งสูงสุดของเด็กอนุบาลครับ

    เมื่อวานนี้ หลวงพี่เล็กท่านเน้นให้พวกเราฟังประมาณว่า "ท่านไม่ได้มีอะไรดีกว่าพวกเราที่นั่งฟังอยู่หรอก แต่ท่านเคารพเชื่อมั่นในพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มากกว่าพวกเราเท่านั้นเอง ถ้าพวกเราทุกคนทำได้เหมือนท่าน ท่านว่าถ้าทำได้คุณสมบัติความเป็นพระโสดาบันของพวกเราก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น"

    เด็กอนุบาลจึงเห็นว่า ถ้าเราเคารพเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยจริง เราก็ต้องปฏิบัติบูชาท่าน เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณท่านอย่าแท้จริง
    - ท่านให้รักษาศีลให้เคร่งครัด เราต้องทำให้ได้
    - ท่านให้ตั้งใจทำสมาธิให้เป็นฌาน ให้ทรงอารมณ์ฌาน เราต้องทำให้ได้
    - ท่านให้วิปัสสนาให้จิตปล่อยวางจากกิเลสอยู่เนืองๆ เราต้องทำให้ได้
    - ท่านมีพระคุณยิ่งใหญ่ จะตัดสินใจทำอะไร อยากรู้อะไร อย่ารู้ด้วยกำลังตนเอง น้อมใจกราบถามพระท่านดีกว่า
    - ทำความดีทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ถ้าคิดว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณจริง ก็ควรแสดงความกตัญญูรู้คุณ ถวายกุศลเล่านั้นบูชาพระรัตนตรัยทุกครั้ง
    - ระหว่างวันเราอาจจะล่วงเกินปรามาสท่านโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ กราบขอขมา ขออโหสิจากท่านผู้มีคุณทุกวัน
    - คนดีต้องมีความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีคุณทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ทำกับพระท่านเท่านั้น ดังนั้น พ่อแม่เราต้องทำความดีให้ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พรหมเทวดา ท่านพระยายมราช ท่านพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่มีคุณยิ่งต่อเรา ต่อสรรพสัตว์ในวัฏสงสาร

    ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วอนันตริยจักรวาล สามโลกธาตุ ได้โปรดบันดาลบุญที่เด็กอนุบาลทำมาดีแล้วทั้งหมด ตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน ตราบอนาคตจนเข้าพระนิพพาน ถวายแด่พระรัตนตรัย และอุทิศแด่ผู้มีคุณต่อจักรวาลทั้งหลายที่เด็กอนุบาลได้เอ่ยมาแล้ว และผู้มีคุณทั้งหลายที่เด็กอนุบาลยังไม่ได้เอ่ยชื่อก็ตาม รวมทั้งอุทิศให้แด่เพื่อนๆ ผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมทั้งหลายที่ได้เข้ามาอ่านข้อความนี้ก็ตาม ที่ไม่ได้เข้ามาอ่านก็ตาม

    ขอทุกท่านได้โมทนาบุญนี้ และขอให้บุญนี้ได้เป็นเหตุปัจจัย ให้ท่านทั้งหลายได้ถึงซึ่งพระนิพพานโดยเร็วเทอญ:)
     
  15. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    ขออนุโมทนากับอ.คณานันท์ด้วยครับ
    แหม..เหนื่อยแย่เลยนะครับ

    ขออนุญาติเรียกอาจารย์ล่ะกันครับ
    อุตส่าห์ลําบากสอนขนาดนี้
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อย่าได้เรียกอาจารย์เลยครับ เป็นการอื้อเฟื้อในธรรมต่อกันในฐานะ กัลยาณมิตร ดีกว่าครับ

    ผมก็ทำตามที่พระท่านเมตตา ตามกำลังที่ทำได้เพื่องานโดยสวนรวมของพระพุทธศาสนาครับ

    ต้องร่วมแรงร่วมใจกันครับ
     
  17. somsannannom

    somsannannom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,626
    นับถือ นับถือ ไม่ค่อยรู้อะไรแต่นับถือ
    ส่งแรงใจไปอย่างแรงครับ
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ชัยชนะ ****

    ชนะ...อารมณ์ตนเอง
    ชนะ....นิสัยตนเอง
    ชนะ...ความคิดตนเอง
    ชนะ....สิ่งไม่ดีในตนเอง
    ชนะ...ใจตนเอง
    เส้นชัย.......คือ หมดกิเลส
    ชนะ...วันละอย่าง ด้วย
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** แพ้ภัย ****

    ไม่...ปล่อยตัวตามใจ
    ไม่....ปล่อยให้มาร มานำตัวเรา
    ไม่...ตกเป็นทาสผู้อื่น โดยรู้ตัว และไม่รู้ตัว
    แพ้ภัยตนเอง....ก็แพ้กรรม
    นำตนเองไม่ได้...ก็นำคนอื่นไม่ได้
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <table id="post468165" class="tborder" _base_href="http://www.palungjit.org/board/" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody _base_href="http://www.palungjit.org/board/"><tr _base_href="http://www.palungjit.org/board/"><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;" _base_href="http://www.palungjit.org/board/">28-01-2007, 03:50 PM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" _base_href="http://www.palungjit.org/board/" align="right"> #1 </td> </tr> <tr _base_href="http://www.palungjit.org/board/" valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" _base_href="http://www.palungjit.org/board/" width="175"> toya <script type="text/javascript" _base_href="http://www.palungjit.org/board/"> vbmenu_register("postmenu_468165", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: 18-02-2007 12:08 AM
    วันที่สมัคร: Nov 2006
    อายุ: 33 ปี
    ข้อความ: 180 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 1,204 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 890 ครั้ง ใน 155 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 117 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_468165" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);" _base_href="http://www.palungjit.org/board/"> <!-- icon and title --> วิธีที่จะทำให้เทพที่เป็นหมอมาทำการรักษาตัวเรา
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> ให้ตั้งจิตก่อนที่จะนอนหลับดังนี้

    ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้เหล่าเทพเทวาที่เป็นญาติข้าฯจงได้ยินเสียงข้าฯ ในเวลานี้ด้วยเถิดขอให้ท่านทั้งหลายจงไปนำเทพที่เป็นหมอมาทำการตรวจรักษาข้าในเวลาที่ข้าหลับด้วยข้าฯ จะเปิดโอกาสไว้ ข้าฯมีอาการ.......................(ปวดหัวหรือเป็นอะไรก็บอกไปตามนั้น)เมื่ออาการดีขึ้น ข้าฯ จะทำบุญให้แก่พวกท่านยิ่งๆ ขึ้นไป

    แล้วต่อไปให้คิดดังนี้อีกว่า ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จงบันดาลให้ร่างกายข้าฯให้เปิดโอกาสแก่เหล่าเทพที่เป็นหมอให้เข้าตรวจร่างกายข้าฯในเวลาที่ข้าหลับไดด้วยเถิด

    ดังนี้แล้วให้คิดจ่ายบุญดังนี้ว่า

    ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้บุญของข้าฯที่ได้สร้างสมอบรมไว้ จงไหลรวมมาสู่ข้าฯ ในเวลานี้แล้วขอให้บุญนี้จงอยู่กับข้าฯ แล้วหากผู้ใดไปนำหมอเทพมาและหมอเทพใดที่มาทำการตรวจรักษาข้าฯ ขอบุญนี้จงเป็นของท่านผู้นั้นดังนี้

    หมายเหตุ :แล้วอย่าลืมเอาบุญให้ญาติทิพย์ของตนและเหล่าเทพที่มาทำการรักษาบ่อยๆ ด้วยยาก็ให้กินด้วยหากเป็นยาสมุนไพรก็ให้เอาบุญให้แก่เหล่าเทพที่รักษาต้นยาที่เอามากินนั้นด้วยแล้วก็เอาบุญให้ผู้ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยตรงนั้นๆ ด้วย อนึ่งวิธีนี้สามารถสลับสับเปลี่ยน ซิกแซ็กตามแต่ใครจะคิดเอาแต่อย่าให้หนีจากหลักนี้ เช่น ขอเชิญเอานาคมาทำการรักษา ฯลฯ ก็ได้เช่นกัน

    ***
    แล้วที่พิมพ์คำว่า ข้าฯนั้น จะว่าข้าพเจ้าแบบเต็มๆ ก็ได้ ***

    </td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...