พญานาคกับอดีตที่ผ่านมา

ใช่ ไม่ ใช่ หรือบังเอิญ

ไม่ทราบแน่คะ พี่สาว เรื่อง แปลกๆ หลายๆ ท่าน มีอีก เยอะ จริงป๊าวววว คะ ทุกท่าน อิอิ

 

ปูทางมาแบบนี้ พี่ก็อยากฟังหนอน่ะสิจ้ะ... ฮ่าๆๆ

แต่ไม่รู้จะมีพี่ๆน้องๆท่านไหน มีเวลาจะเล่าสู่กันฟังบ้างไหมหนอ

 

กายหยาบเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผลบุญกุศลและกรรมตัดรอน

ส่วนผลการปฏิบัติต้องดูที่กายทิพย์ สว่างไสวหรือมืดสลัว เป็นกายเทวดา
กายเทพ กายพรหม หรือว่า...

 

ปูทางมาแบบนี้ พี่ก็อยากฟังหนอน่ะสิจ้ะ... ฮ่าๆๆ

แต่ไม่รู้จะมีพี่ๆน้องๆท่านไหน มีเวลาจะเล่าสู่กันฟังบ้างไหมหนอ

จันทร์เทวี อยากฟัง เรื่องอะไร หนอ วันนี้ ลักษณะสิณี จะมาเล่าเรื่องเที่ยวเมืองบาดาลให้ฟัง อยากฟัง ไหม หนอ---

เมื่อวันวานลักษณะสิณีเล่าเรื่องเมืองบังบดให้ฟังแล้วครับ --

แล้วเมื่อไหร่ นาคีสีทองจะมาเล่าให้สมาชิกฟังซักที สงสัย มัวแต่ แต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ แน่นอน(แบบว่า กลัวไม่ งาม ไม่ สวย สมกับฐานะ นะครับ)

 

ฟังหนอเจ้าค่าาาาา....

(คลานเข่าเข้ามาใกล้ๆ นวดขาๆ อ้อนสุดฤทธิ์ หวังจะได้ฟังนิทาน อิอิ)

 

อ๊าววว...แหร๋วกัน...ทำไมท่านประธานปู่ไปว่า คุณหวานใจ แบบนี้ละคะ อิอิ

 

เหตุการณ์คล้ายๆนะคะ เกือบเอาตัวไม่รอดแหะๆ งูเห่าตัวใหญ่มาก

 

เอ... คิดว่าหมายถึงพี่มิ๊กเสียอีกนะเจ้าคะ 555+

 

สงสัยลักษณะสิณี จะหมดเรื่องเล่าแล้วคะ ท่านประธาน

ช่วงนี้ งดเที่ยว เข้าพรรษา คะ อิอิ พี่ชายก็ไม่ได้ลงมาเมืองมนุษย์เลยคะ

ตั้งแต่ได้รับเพชรพญานาค จากที่ร่วมทำบุญกับพี่รั้งมา

ก็ไม่เจอพี่ชายอีกเลยคะ สงสัยเขาจะคิดว่ามีคนดูแลแทนเขาแล้ว เลยตัดหางปล่อยวัด อิอิ :''(

 

เงียบทามมายล่ะ รออ่านหนออยู่นะเนี่ย
คุณ hastin เรารอคุณเป็นวัน...เล่าให้อ่านติ๊ดเดียว
อนุญาตให้เล่าเยอะๆ ได้คร้า..าาา

ถามหน่อยจิ...แล้วคุณ hastin เนี่ยเป็นคนจีนหรือเปล่า?
นับถือเต๋า...ช่ายหรือเปล่าหนอ...?

 

คนไทยจ้า นับถือพุทธครับ

รายละเอียดก็ตาม PM อ่ะ ไม่ได้คุยอะไรมาก

แล้วพระแม่ที่คุ้มครองคุณ nouk คือท่านใดครับ แล้วเห็นผมเป็นยังไงมั่งอ่ะ

 

พระแม่อุมาเทวี หรือพระแม่ปารวตีค่ะ ที่คุณ hastin เห็นนั่นแหละค่ะ
ลักษณะผู้ชายที่เราพูดคุยด้วย รูปร่างสูงใหญ่ ท้วมขาว ลักษณะเหมือนคนจีน
คุยสนุกมาก สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรค่ะ

เมื่อคืนมีใครมาหาเราอีกหรือเปล่า เพราะจิ้งจกทักเราตั้ง 3 ครั้งแน่ะ

 

ร๊อหนอ รอ ฟังนิทาน และคำทำนาย เอะ นครเงียบกริบ ช่วงนี้ ขอฟัง อ่านต่อ ช่วงหลังนะคะ ตอนนี้ขอตัว
รักษาสุขภาพดัวยจ้า ชาว นคร

 

รออ่านนิทานพญานาคอยู่คร้า..าา
เราไม่มีเรื่องพญานาคมาเล่า ก็เลยอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวป๋าให้ตังค์ อิอิ

 

หวาดดี ยามเที่ยง คร้าบ

เมื่อคืนฝันครับ แต่ ขออนุญาติไม่เล่านะครับ แต่จะถามว่า ก่อนที่จะสดู้งตื่น เรารู้สึกว่ามีความรู้สึกตัว มองเห็นแสงสว่างจุดเล็กๆ สูงเหนือหน้าผากขึ้นไปหน่อยนึง (ช่วงนี้ยังนอนหลับตาอยู่) แต่ พอสดู้งตื่น ลืมตาขึ้นมา ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย แค่อยากถามว่า
ถ้าเป็นแค่อุปทานก็ไม่เป็นไร แต่ ถ้าไม่ใช่อุปทาน อยากทราบว่า สิ่งนั้นคืออะไรครับ

 

ถ้างั้น ระหว่างรออ่านนิทานพญานาค เราขอนำเสนอเรื่อง

อีโต้ของนางแก้วหน้าม้ายืมมาจากเจ้าแม่วราฮี

มีนักวิชาการหลายท่านในเมืองไทย มีความเชื่อว่านางแ้ก้วหน้าม้าของเราได้รับอิทธิพลมาจาก นางกินนรี ที่ปรากฏในวรรณคดีของอินเดียว่ามีหน้าเป็นม้าตัวเป็นหญิง ซึ่งตามคำบอกเล่าของชาวทมิฬนั้นมีความ เชื่อว่า คำว่า กิม เมื่อ บวกกับอะไร ก็จะหมายถึงพวกลูกครึ่ง คำว่า กินนรี จึงหมายถึง ครึ่งนารี คือครึ่งหญิงอันไม่ได้หมายความว่าเป็นครึ่งหญิง หรือครึ่งอะไร แต่ถ้าเป็นครึ่งหญิง คือนก ทางทมิฬก็จะเรียกว่า กิมปักษี หมายถึง นกอะไร ส่วนกิมบุรุษ คือ ตัวเป็นสัตว์หน้าเป็นคน ต่างกับ กินนร ที่ หน้าเป็นสัตว์แต่ตัวเป็นคน (นีคือความเข้าใจของนักเรียนวรรณคดีทมิฬ)

ซึ่งถ้าหากจะว่าตามความชื่อของอินเดียนาง แก้วหน้าม้าก็คือ นางกินนรี นี่เอง ซึ่งตามตำรา พุทธศาสนาว่าเป็นบริวารของท้าวกุเวร แต่ทางสันสกฤตว่าเป็นบริวารของพระศิวะ.....ฯลฯ แต่ที่มาของนางแก้วหน้าม้าที่น่าสนใจนั้นอาจจะเป็นได้ว่าจะมาจากแหล่งอื่นอีก เช่น

 

1. จาก นางอัศวมุกขียักษ์ ซึ่งเป็นนางยักษ์ หน้าม้าซึ่งปรากฏอยู่ในวรรณะกรรมพุทธศาสนาของอินเดียโบราณว่า อัศวมุกขี ชาดก เล่าว่า นางอดีตชาติเป็นมเหษีของกษัตริย์พาราณสี ได้พูดปดกับกษัตริย์ เมื่อถูกคาดคั้นเอาความจริงจึงได้สาบานว่าหากตนพูดปด ขอให้ตายไปเกิดเป็นนางยักษ์หน้าม้า

ซึ่งด้วยผลกรรมนี้เมื่อได้ตายไปจึงไปเกิดเป็นนางยักษ์หน้าม้า อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งในป่า วันหนึ่งไปจับพราหมณ์คนหนึ่งมาจะกิน เกิดเปลี่ยนใจเก็บไว้เป็นสามี ร่วมสู่สมจนมีลูกขึ้นด้วยกัน ทุกวันก่อนออกไปหาอาหารนางจะนำหินก่อนใหญ่มาปิดปากถ้ำ เพื่อขังลูกกับสามีของนางไม่ให้หนีไป

แต่เมื่อลูกของนางโตเป็นหนุ่มแล้วมีพลังมากจึงผลักหินหนีออกไปกับพ่อของเขา เมื่อนางกลับมาไม่เจอก็ตามไป ลูกของนางกับสามีหนีขึ้นไปบนเขาแห่งหนึ่ง และลูกของนางก็ตั้งความสัตย์ ขออำนาจเทวดาเป็นที่พึง ทำให้นางไม่สามารถตามขึ้นไปบนเขาได้ จึงได้ร้องไห้ออกแตกตายอยู่ที่ตีนเขา แล้วลูกของนางกับสามีก็กับเข้าไปใช้ชีวิตในเมือง ตอนจบลูกนางซึ่งก็คือพระโพธิสัตว์ก็ได้เป็นกษัตริย์พาราณสี (ดูแล้วเรื่องจะคล้ายผสมกันระหว่างเรื่อง พระอภัยมณี กับ สังข์ทอง แต่เรื่อง อัศวมุขี ชาดก มีมาก่อน)

2. เรื่องทำนองเดียวกัน นางรากษัส หน้าม้า ในตำนานเกี่ยวกับ พระสขันธกุมาร ได้กล่าวว่า นางฟ้าตนหนึ่งทำผิดจึงถูกสาปให้เป็นเกิดเป็นนางรากษสหน้าม้า นางมีความศัทธาต่อเจ้าแม่กาลีมาก จึงจับพวกพราหมณ์ที่ทำการบูชาต่อศิวะ ด้วยวิธีการที่ผิดทำเนียมต่างๆทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ มาขังไว้ในถ้ำของนางเมื่อใดได้คบพันคนจะฆ่าพร้อมกันทั้งหมดเพื่อบูชาเจ้าแม่กาลี

วันหนึ่งนางไปจับเอาพราหมณ์คนสุดท้ายมาซึ่งพราหมณ์คนนี้ได้สวดของความช่วยเหลือต่อพระสกันธกุมาร ในขณะที่นางรากษัสหน้าม้า ไปอาบน้ำก่อนกับมาทำพิธี พระสกันธกุมารก็เลยพุ่งหอกทำลายทำปล่อยคนทั้งหมดออกไป เมื่อนางกับมาเห็นพอดีก็ตกใจ และในขณะเดียวกันพระสกันธกุมารก็พุ่งหอกลงปักหัวใจของนาง ก่อนตายนางได้สวดเรียกพระสกันธกุมารวิญญาก็คงจะได้ไปสวรรค์ตามแบบนิยายแขก (เรื่องนี้ดูเค้าแล้วจะไกลไปกว่านิทานพื้นบ้านไทย จะคล้ายก็มีเค้าเรื่องนางยักษ์ผีเสื้อในอภัยมณีเท่านั้น)

 

3. แม่ซื้อ ประจำวันต่างๆ มีแม่ซื้อในวันจันทร์ที่มี หน้าเป็นม้าด้วย เชื่อว่าแม่ซื้อที่มีหน้าเป็นสัตว์ประจำวันนั้นก็คือสัตว์ประจำวันที่เป็น พาหนะของเทพนพเคราะห์ต่างๆ นั้นเอง

แต่ถ้ามองกลับกันแล้วในอินเดียเทพเจ้านพเคราะห์นั้นไม่ได้มีการขี่สัตว์ดังกล่าว เช่นเดียวกับความคิดของเรา เช่นของเขาพระอาทิตย์ทรงม้า เหมือนพระจันทร์ และ พระเสาร์ขี่อีกา เป็นต้น จึงอาจเป็นไปได้ว่าแม่ซื้อประจำเป็นนี้เองที่เป็นที่มาของสัตว์ที่เป็นพาหนะ ประจำวันของเทพต่าง

และก็ต่อมาก็กลายเป็นว่า พระนพเคราะห์ต่างได้มีกำลังมาจากการนำสัตว์ต่างๆเหล่านั้นมาปดและชุบขึ้น เป็นเทพ (ซึ่งกำลังของฮินดู ก็คือศักติที่เป็นชายาของเทพ)...แม่ซื้อประจำวันต่างๆ นั้น อาจจะเทียบได้กับนางโยคินี ซึ่งนางโยคินีนี้ก็คือบริวารเทพนารีที่มีฤทธิ์มากของพระศิวะและอุมาเทวี

และบางก็ว่าคืออวาตารของเจ้าแม่อุมาเทวีนั้นเอง มีถึงหกสิบสี่นางนิยมสร้างไว้บูชารอบวิหารของพระศิวะ ซึ่งนักวิชาการแขกบางทางท่านก็เชื่อว่านางอัปสรตามที่เราเห็นอยู่ในนครวัด ทั้งหลายนั้นแท้ที่จริงแล้วคือนางโยคินีนี่เอง ซึ่งนางโยคินี นี้มีหลายประเภทที่มีรูปงามดังนางฟ้า หน้ากลัวอย่างกาลี หรือ มีหน้าเป็นสัตว์ก็มี ที่ว่ารูปงามนั้น ก็คือนางจิตราเลขา พี่เลี้ยงของอุษา ที่อุ้มพระอนิรุทธิ์มาให้ นางก็คือนางโยคินี ที่พระกฤษณะขอไปเป็นเมีย แลกกับที่พระศิวะของให้ไว้ชีวิตพาณาสูระ พ่อของนางอุษา ในวรรณกรรมสันสกฤต ส่วนนางโยคินีที่รูปหน้าเป็นสัตว์นั้นสามารถเทียบได้กับแม่ซื้อวันต่างคือ

วันอาทิตย์ แม่ซื้อ วิจิตรมาวรรณ ตรงกับนางโยคินี สิงหมุกขี ต่างมีหน้าเป็นสิงข์

วันจันทร์ แม่ซื้อ วรรณนงคราญ ตรงกับนางโยคินี หยานะนา ต่างมีหน้าเป็นม้า

วันอังคาร แม่ซื้อ ยักษบริสุทธิ์ ตรงกับนางโยคินี วฤษานะนา ต่างมีหน้าเป็นมหิงษา(ควาย)

วันพุธ แม่ซื้อ สามลทัส นางโยคินี ตรงกับนางโยคินี คชานะนา ต่างมีหน้าเป็นช้าง

วันพฤหัสบดี แม่ซื้อ กาโลทุกข์ ตรงกับนางโยคินี มฤคศิระ ต่างมีหน้าเป็นกวาง

วันศุกร์ แม่ซื้อ ยักษ์นงเยาว์ ตรงกับนางโยคินี โคมุกขี ต่างมีหน้าเป็นวัว

วันเสาร์ แม่ซื้อ เอกาไลย์ ตรงกับนางโยคินี วยาฆมุกขี ต่างมีหน้าเป็นเสือ (นางวยาฆมุกขี นี้คือนางโยคินีหรือ ทากินี ที่ปรากฏอยู่เป็นผู้ช่วยของนาง สิงหมุขี หรือ วัชรวราฮี (เจ้าแม่วราหี ในทิเบต ซึ่งทิเบตกับพม่า มอญนั้นใกล้กันไม่แปลกถ้าเราจะรับมาจากมอญ หรือพม่าอีกที)

 

นางโยคินี นี้มีชื่อเล่นที่ใช้เรียกกัน คือ นางยักษี นางยักษินี นางรากษัส นางรักษากรณี จึงไม่แปลกที่นาง หยานะนา จะกลายเป็น อัศวมุขี ยักษี ในพระบาลี หรือ อัศวมุขีรากษัส ในนิทานปุราณะอื่นๆ และถูกเหยียดไปว่าเป็นนางปิศาจในที่สุด

แท้ที่จริงแล้ว นางคือนางเทพเทพารักษ์ ซึ่งมีต้นกำเนิดครั้งแรกน่าจะมาจากกลุ่มของนางสัปตมาตริกา ซึ่งเป็นอวตารปางต่างของเจ้าแม่ทุรคาเพื่อจะรบกับ อสูรปิศาจ รักตพีชะ ที่ได้พรว่าถ้าเลือดของมันหยุดลงพื้นหยุดหนึ่งก็จะกลายเป็นตัวมันขึ้นอีกตัว หนึ่งขึ้นทันที่ไม่หมดไม่สิ้น

นางทุรคาจึงแบ่งภาคเป็นเจ็ดปาง คือ ๑.พรหมณี ทรงหงษ์,๒.มเหษวรี ทรงวัว,๓.เคามรี ทรงนกยุง,๔.ไวษณวี มีสีกรถือคฑาจักรสังข์อย่าวิษณุ ทรงครุฑ,๕.วราฮี มีหน้าเป็นหมูป่า ทรงแพะ หรือควาย,๖.อินทราณี ทรงช้าง,๗. และ จมุนทา(กาลี) ทรงม้าป่า หรือ นรสิงห์ ทรง สิงห์โต.

ซึ่ง นรสิงฮี ที่เป็น นางเทวีหน้าสิงห์ นั้นอาจจะเป็นที่มาของ นางสิงหมุขี ในโยคินี ซึ่งต่อมาจาก เจ็ดนางสัปตมาตริกา ก็ได้มีการพัฒนาเพื่อเดิมโดยผนวชเอาเทพพื้นบ้านท้องถิ่นต่างของชาวอินเดีย เขาไปจนในที่สุดก็เลยกลายเป็น นางโยคินี หกสิบสี่นางขึ้นมาเป็นอีกกลุ่มหนึ่งนั้นเอง

ซึ่งความนับถือนางสัปตมาตริกา และนางโยคินีนี้ก็มีคลายคลึงกันว่าเป็น เทพีแห่งการปกปักรักษา เป็นผู้ทำให้สิ่งที่รบกวนหมดไป (พวกมาร) พวกเธอมีฐานะเป็นถึงเทวีมิใช่อสูรปีศาจแต่อย่างใด

ต่อมาเมื่อความเชื่อนี้เข้ามาสู่เขมร จึงกลายเป็นว่ามีนางเทพรักษ์รักษาครรภ์เด็ก และเมื่อเกิดมาแล้วสามารถให้คุณหรือโทษกับเด็กก็ได้ ก็เหมือนกับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เช่นกัน ที่ว่าสามารถให้คุณและโทษก็ได้ พระเจ้าแม่มีทั้งปางเมตตา และปราบมาร จนสุดท้ายก็พัฒนามาเป็นแม้ซื้อประจำวัน และในที่สุดก็ได้กลายเป็นเทพพาหนะของนพเคราะห์ไทยไปในที่สุด (แต่ก็น่าสงสัยว่า ในตำรา นพเคราะห์ กล่าวว่า พระจันทร์เกิดมาจาก เหล่านางฟ้า ไม่ใช่ม้า ในขณะที่เทพทั้งหลายมาจากพลังของสัตว์พาหนะ ที่อาจนับได้ว่าเป็นศักติในความคิดแบบไทยๆ ในความคิดฮินดูศักติคือเทวี)