Convoluted Universe ป้าโดแห่งหุบเขาโอแซก

ได้หนังสือมาชุดหนึ่งโดยบังเอิญ
เป็นบทความเกี่ยวกับ แพทย์นักจิตรบำบัด ที่ทำงานด้านนี้มากว่า สาม-สี่สิบปี รักษาผู้คนเป็นร้อยเป็นพัน จากอาการทางจิตรและโรคร้ายทางร่างกาย โดยผ่านการสะกดจิตรผู้ป่วย ย้อนกลับไปหาสาเหตุอาการในอดีต และส่วนใหญ่อาการเหล่านั้น ร้อยละเก้าสิบ เริ่มจากจิตรใจของเราเอง มิได้เกิดจากปัจจัยภายนอกแต่อย่างใด แต่พอคนไข้เหล่านั้นทราบสาหตุของโรค ทุกอย่างก็กลับสู่สมดุลย์ แม้แต่โรคมะเร็งที่เรายังไม่มียารักษา หลายท่านวนเวียนอยู่แถวๆนี้ น่าจะพอรู้จักกันดี ป้าแกชื่อ

Dolores Cannon



สิ่งที่น่าสนใจหลังจากอ่านไปได้พักใหญ่คือ ป้าโด แกรวบรวมข้อมูลงานวิจัยของแก จัดออกมาเป็นหมวดหมู่ ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เชื้อโรคไปยันกำเนิดจักรวาล ศาสนาไปยังวิทยาศาสตร์ วิวัฒนาการโลกและมนุษย์ต่างดาว และที่น่าสนใจ มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโลกแตกหรือไม่แตกอยู่ในนั้นด้วย ควรทำอย่างไร อยู่อย่างไร เพื่อรอเวลานั้นมาถึง (ง่ายกว่าที่หลายๆคนคิด ขอบอก)

ข้อมูลหล่านี้ ป้าโดแกอ้างว่า หลายสิปปีืั้ที่ทำการรักษาผู้คน แกได้สอดแทรกงานวิจัยลงไปอย่างเป็นระบบ ทุกครั้งที่มีการย้อนสำนึก พบว่าในตัวคนทุกคน มีผู้ทรงภูมิปัญญาอยู่ข้างในเสมอ โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่อง เสมือนคอยเฝ้าดูและนำทางบุคคลเหล่านั้น เหมือนเราทุกคนกำลังใส่หน้ากากของตัวเอง อย่างไรอย่างนั้น เพราะแม้แต่บุคลิกเวลาพูดคุย ก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับภาวะปกติ ผู้ทรงภูมิเหล่านี้ คือแหล่งข้อมูลสำคัญของงานวิจัย

หลังจากได้อ่านไปเรื่อยๆ รู้สึกเสียดายว่า พวกเราไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลเหล่านี้ เพียงเพราะว่ามันไม่ใช่ภาษาของเรา อดนึกไม่ได้ว่า หากทางเวบจะขอซื้อลิขสิทธิ์มาแปลเป็นไทย คงจะดีไม่น้อย นอกจากได้เปิดหูเปิดตาคนไทยด้วยกันแล้ว ขาประจำคงมาอุดหนุนกันแน่ๆ หากทำเป็นหนังสืออกมาเพราะตรงคอนเซปมากๆ

ตอนนี้ผมกำลังอ่านเรื่อง Convoluted Universe
แบบไทยๆคงประมาณคำว่า สังสารวัฐ และอิทัปปัจยตา



หากพอมีเวลา ว่างๆจะลองมั่วๆแกะมาให้อ่านเป็นตอนๆไป หนุกหนานขอบอก

 

เราพอจะสรุปคร่าวๆถึงสิ่งที่บางคนพยายามค้นหา
ในหนังสือของป้าโด พยายามสรุปเรื่องราวที่นอกเหนือจากการรับรู้อย่างปกติของมนุษย์
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ การพูดถึงเรื่องกรรมอยู่ตลอดเวลา ในทุกๆเล่มที่แกเขียน
เหมือนเป็นการตอกย้ำคำสอนของพระพุทธองค์ แต่ในมุมมองใหม่
เป็นเพชรอีกเหลี่ยมมุม ที่เราสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า บทสวด คำพระ ในพระไตรปิฎก
การสะกดจิตรบำบัด ได้รับการยอมรับมากขึ้น ในวงการพทย์ทางเลือก
ว่าสามารถรักษาโรคร้าย ได้โดยไม่ต้องใช้ยา หลายคนเมื่อกลับไปตรวจร่างกาย
ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน สิ่งที่เคยอยู่กลับหายไป โรคร้ายที่เคยคุกคามหยุดไปเฉยๆ
ในการย้อนอดีตของป้าโด เริ่มจากการพูดคุยกับคนไข้ในเบื้องต้น
จากนั้นเริ่มเปลี่ยนระดับการเข้าถึงจิตรใจให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหาคำตอบที่แท้จริง
จากจิตรสำนึก ลึกลงไปในจิตรใต้สำนึก และ สุดท้ายจิตรเหนือสำนึก
ในสามระดับ คำตอบที่ได้ของสาเหตุ แตกต่างกันออกไปในรายละเอียดถึงแม้จะพูดถึงสิ่งเดียวกัน
จิตเหนือสำนึก จะรู้รอบ ปราศจากมายาการ ในการตอบคำถาม
ยกตัวอย่างเช่น ในบางกรณี มีการถามถึงเหตุการณ์ ที่ประทับใจของผู้ป่วยรายหนึ่ง
เธอบอกว่า ตอนขับรถกลับบ้านคืนหนึ่ง เจอนกฮูกสีขาวบินผ่านหน้าเธอไป สวยงามมาก
แต่พอเข้าไปถามจิตรใต้สำนึก คำตอบกลับกลายเป็นเรื่องประหลาด
นกฮูกสีขาวที่เธอจำได้ แท้จริงแล้วคือมนุษย์ต่างดาว ที่เข้ามาติดต่อกับเธอ
แต่ด้วยวิธีการที่จะไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน ชาวต่างดาวได้บิดความทรงจำของเธอออกไป
ให้กลายเป็นนกฮูกสีขาว แต่ข้างในตัวตนของเธอก็ยังคงรับรู้ความจริงนี้อย่างชัดเจน เป็นต้น
หลังจากการหาสาเหตุอาการ ผ่านจิตรระดับต่างๆจนแน่ใจ ถึงสาเหตุที่แท้จริง
ในระดับจิตรเหนือสำนึก เราทุกคนจะสามารถตอบที่มาของปัญหาในชีวิต ได้เกือบทุกเรื่อง
เพียงแต่จะถึงเวลานั้นหรือไม่ จิตรเหนือสำนึกมักจะพูดว่า
หลายเรื่องราว เราไม่จำเป็นจะต้องรู้ มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หากรู้คำตอบล่วงหน้าของปัญหา โดยไม่พยายามลองแก้ไขก่อน
ดูเหมือนเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตเรา ถูกวางแผนไว้อย่างดี
และคนที่เจ้ากี้เจ้าการในเรื่องนี้ คือตัวเราเอง ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรที่ไหน

 

หลายครั้งเมื่อป้าโด เข้าถึงจิตรเหนือสำนึก ที่ว่างและเวลาไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
บางครั้งพูดคุยกับตัวตนในอดีต บางครั้งตัวตนในอนาคต
บางครั้งพูดคุยกับตัวตนที่อยู่ระหว่างการเกิดใหม่ และบางครั้ง
พูดคุยกับจิตรวิญญาณผู้ทรงปัญญาอื่นๆ โดยที่ผู้ป่วยเป็นตัวกลาง
ซึ่งทำให้ป้าโด ได้ข้อมูลสำคัญๆ และที่จำเป็นต่อมนุษยชาติ นำออกมาเผยแพร่

เนื้อหาภาพรวมส่วนใหญ่ มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป จากที่เคยอ่านๆกันมา
เมื่อก่อนเราเป็นผู้รับข้อมูลฝ่ายเดียว ซึ่งหลายครั้ง เราจะไม่ค่อยเข้าใจ
ในหนังสือเล่มนี้ กลับทิศทางกัน
เนื้อหาจะเริ่มจากป้าเป็นคนถามและ ทางโน้นเป็นผู้ตอบให้กระจ่าง
ทำให้เราเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายกว่า เพราะคนถามและคนอ่านขี้สงสัยเหมือนๆกัน
อยากรู้ในสิ่งเดียวกัน ไม่รู้เรื่องเหมือนๆกัน และป้าแกเป็นผู้ถามและผู้รับฟังที่ดี

 

อดคิดไม่ได้ว่า หนังสือที่ป้าเขียนออกมา เป็นที่มาของเรื่องราวของพวก new age ทั้งหลาย
เพราะแกเขียนออกมาเป็นสิบปีแล้ว ทั้งในเรื่อง star seeds , assension, mayan, nostradamus
เราอาจสรุปเนื้อหาของสิ่งที่ทางโน้นพยายามจะบอกมนุษย์คือ


-โลกใบนี้พิเศษกว่าโลกใดๆในจักรวาล เพราะถูกตั้งให้มีตัวตนแยกต่างหากจากสรรพสิ่ง ที่โลกอื่นไม่ทำกัน

-จิตรวิญญาณที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่แถวนี้ ไม่ธรรมดา เพราะใครๆต่างรู้ว่า ถ้าเข้ามาแล้ว อาจติดหนึบกับกรรมบนโลกไปไหนไม่ได้

-ในช่วงหกสิบปีที่ผ่านมา มีการคัดเลือกจิตรวิญญาณในจักรวาลต่างๆให้เข้ามาในโลก เพื่อเตรียมการเลื่อนระนาบพลังงาน ด้วยการลงมาเกิดเป็นคนแทรกอยู่กับชุมชนต่างๆทั่วโลก ตอนนี้มีสามเจนเนอเรชั่นแล้ว

-อย่าจริงจังโหดร้ายกับชีวิตมากนัก เพราะมีทางเดินอื่นๆรอเราอยู่ นับอนันต์

-ยุคนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองของจักรวาล ใครๆต่างก็จ้องมองโลกเราและพยายามจะมีส่วนร่วม
ขยายความ : ตำนานเรื่องหมู่บ้านอินเดียนแดง ชาวมายันหรือแอดแลนติสท์ ที่หายไปจากโลกนี้ เพราะสามารถพากลุ่มตนเองเลื่อนขึ้นไปอีกระนาบ แต่ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ
แต่เที่ยวนี้ มีแผนการที่จะเลื่อนระดับพลังงานกลุ่มใหญ่ของจิตรวิญญาณบนโลกทั้งใบ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในจักรวาล ใครๆข้างนอกนั่นพยายามจัดเตรียม และเข้าร่วมในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้

-เรากำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ การเลื่อนระดับพลังงานโลกเป็นเรื่องจริง

-โลกกำลังถูกแยกเป็นสองใบ (???) โลกใบเก่าสำหรับพวกชอบคลุกเคล้าอยู่กับการสร้างกรรม และโลกใบใหม่สำหรับการวิวัฒน์จิตรวิญญาณ การเตรียมการณ์คัดแยก ไม่เกี่ยวกับปัจจัย ยากดีมีจน แต่เกี่ยวกับสิ่งทุกคนมีเท่าเทียมกัน คือ การมีจิตรวิญญาณที่ดี เพียงพอแล้วสำหรับการเลือก

-จุดประสงค์หนึ่งเดียวของเราคือ การ "ชิมรสชาดประสบการณ์" บนโลกใบนี้ โดยไม่แปดเปื้อนกรรมมากเกินไปนัก

-ระนาบที่แข็งข้นสามมิติ เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆในจักรวาล ส่วนใหญ่เป็นโลกแห่งพลังงาน โลกแห่งจิตรวิญญาณเสียมากกว่า

-การที่ฝั่งโน้นออกมาให้ข้อมูลผ่านทางป้าโด ตลอดระยะเวลานับสิบปี เป็นหนึ่งในแผนการคัดแยก ผู้เฒ่าฝั่งโน้นพูดทำนองว่า หากเวลานั้นมาถึง ผู้ที่ไม่รู้อะไรเลยจะโกลาหล บ้าคลั่ง ไม่รู้ที่มาที่ไป จนอาจทำให้ตนเองต้องติดแหงกอยู่กับโลกใบเก่าด้วยความกลัวที่สร้างขึ้นมาเอง (ซึ่งอ่านดูแล้วไม่ค่อยโสภาเอาเสียเลย) แต่หากรู้แต่ต้นมือ คนกลุ่มนี้จะสามารถประคองจิตรตนเองไปได้ ไม่ว่าจะต้องออกจากร่างกายไปหรือไม่ ก็จะไปสู่ออกใบใหม่โดยอัตโนมัติ

จุดประสงค์ในการเปิดกระทู้นี้ เพียงแค่อยากให้ข้อมูลอีกด้าน ที่เราหาไม่ค่อยได้ในชีวิตประจำวัน โลกฝั่งตะวันตก มักจะมีคนใฝ่รู้ ค้นคว้า ความรู้ใหม่ๆตลอดเวลา กลับกันฝั่งตะวันออก คนส่วนใหญ่เชี่ยวชาญกับการจัดการภาวะอารมณ์บนโลกได้ดีกว่า หากเราได้มุมมองใหม่ๆ หลักการใหม่ๆ ที่ทำให้เราเข้าใจโลกได้มากขึ้น คงจะดีไม่น้อย ชีวิตคงง่ายขึ้นอีกบานตะเกียง

จบภาคเกริ่นนำ เที่ยวหน้าถ้ามีเวลา จะลองมั่วๆแกะภาษาปะิำกิดมาให้อ่านเป็นตอนๆไป

 

มารออ่านและเป็นกำลังใจให้นะคะ
น่าสนใจมากๆเลย *-*

 

มารออ่านขัอมูลดีๆๆ...รีบมานะครับ

 

เกริ่นนำ

ป้าคิดว่าเมื่อผู้อ่านมาเจอหนังสือเล่มนี้ คงจะคุ้นเคยเล่มอื่นๆที่จัดพิมพ์ออกมากว่าสิบสี่เล่มแล้ว แต่ถ้าหากนี่เป็นเล่มแรกของเธอ การปูพื้นสักเล็กน้อยอาจช่วยทำให้เข้าใจได้ดีขึ้น ป้าไม่ใช่ร่างทรง / channel แต่เป็นนักจิตรบำบัด ย้อนอดีตเข้าไปหาสาเหตุที่แท้จริงของผู้ป่วยมายาวนานกว่าสามสิบปี ข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากการบำบัดผู้ป่วยนับพันราย เรื่องที่ป้าสนใจคือการเข้าไปหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการต่างๆ ด้วยการสะกดจิตรย้อนอดีตไปยังหตุการณ์ที่สำคัญของชีวิต ป้าคิดว่าตัวเองเป็นเพียงผู้รายงานผล เป็นนักสืบ และเป็นนักค้นคว้าความรู้ที่สูญหายไป ป้าคิดว่าเราได้ค้นพบวิธีการเข้าถึงแหล่งความรู้จักรวาล และนั่นทำให้หนังสือแต่ละเล่มที่ออกมา มีเนื้อหาของความรู้ที่เคยสูญหายไปในอดีตหรือแม้แต่ที่ไม่เคยรู้กันมาก่อน นี่ทำให้เราปลื้มใจที่การทำงานของเราได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา คลี่ขยายมันออกมาและนำมันออกมาสู่โลกปัจจุบัน

 

ในระยะเวลานับสิปปีที่ได้ทำงานนี้ เราได้พัฒนาเทคนิคการสะกดจิตรขึ้นมาเอง เราได้ค้นพบวิธีการเข้าถึงจิตรในระดับใต้สำนึกของผู้ป่วยแต่ละราย นี่ไม่ใช่จิตรใต้สำนึกที่รู้จักกันโดยทั่วไป เค้าบริสุทธิ์กว่านั้น ทุกครั้งที่เราขอให้ระบุตัวตนว่ากำลังพูดกับใคร เค้ามักจะเปรียบเทียบเหมือนดังว่าตนเองเป็นจิตรเหนือสำนึก อยู่เหนือจิตรวิญญาณของผู้ป่วย หรือแม้แต่เป็นตัวตนที่สูงกว่า ป้าเชื่อว่านี่เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ ซิกมันต์ ฟลอยด์ เรืยกเค้าว่า จิตรวิญญาณจักรวาล
การสะกดจิตรโดยทั่วไปมักจะให้ผู้ป่วยกระดิกนิ้วแต่ละข้างเพื่อแสดงคำตอบใช่หรือไม่ใช่ ป้าว่ามันช้าเสียเวลาและน่าเบื่ออย่างมาก ทำไมเราไม่ทำให้การสนทนามันกระฉับกระเฉงกว่านั้น นี่คือสิ่งที่เราได้พัฒนาขึ้นมา เพื่อง่ายต่อการเข้าถึงส่วนที่ลึกลงไปและเป็นส่วนที่มีพลังมากด้วยสิ นี่เป็นหนทางการเข้าถึงแหล่งความรู้ทั้งหมดของทุกคน เราแค่คิดถึงคำถามที่เหมาะสมก็พอแล้ว ในหนังสือป้ามักแทนตัวตนเหล่านั้นด้วยคำว่า “เรา” พวกเค้าบอกว่าจะเรียกว่าเป็นจิตรใต้สำนึกก็ได้ มันไม่สำคัญอะไร พวกเค้ายินดีที่จะให้ความร่วมมือ

 

ในช่วงเวลาที่ได้ทำงานนี้ ป้าค้นพบว่าภายในจิตรใจ มีสิ่งมหัศจรรย์พันลึกและมีตัวตนที่มีความเมตตากรุณาอย่างมาก อยู่ภายในจิตรใจเราทุกคน ทั้งยังมีพลังที่จะสามารถเยียวยาร่างกายตนเองได้ในพริบตา แต่พวกเค้าไม่ได้รับการยินยอมให้พูดถึงเรื่องนี้มากนัก ถ้าจะให้มีป้ายชื่อ พวกเค้าขอให้เรียกมันว่า การ”ปลดปล่อย” จะดีกว่า คำว่าการ ”รักษา” จริงๆมันไม่สำคัญที่จะเรียกมันว่าอะไร ในเมื่อผลออกมาหมือนๆกัน ในหลายๆครั้งผู้ป่วยบางรายสามารถได้รับการเยียวยาทางร่างกายเพียงแค่ผ่านกระบวนการเพียงครั้งเดียว พวกเค้ายังบอกให้ป้าสอนเทคนิคเหล่านี้ออกไปให้มากที่สุด เพราะมันจะเป็น การบำบัดแห่งอนาคต มันสำคัญมากที่จะให้ผู้คนทั่ววโลกได้รับรู้ว่า พวกเรามีความสามารถและมีพลังมากมายที่จะรักษาตัวเองได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่หาวิธีที่ถูกต้องให้เจอ แรกๆป้าก็เงอะๆงะๆทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะสอนคนอื่นยังไง จะเปลี่ยนความเชื่อเหล่านี้ได้ยังไง ครั้งแรกเราได้เปิดคลาสในปี 2002 ที่ทาโอ นิวแมกซิกโก มีผู้สนใจราวสิบคน ป้าเรียกรุ่นนั้นว่าเป็นรุ่น หนูตะเภา พวกเค้าบอกว่าไม่เป็นไรทุกอย่างต้องมีครั้งแรก และทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากนั้นพอเราเริ่มรู้เทคนิคการสอน ป้าก็ไปเปิดคลาสเพิ่มขึ้นทั่วโลกจน ณ ตอนที่เขียนอยูนี้เรามีผู้เรียนหลายร้อยแล้วล่ะ นักเรียนที่ผ่านการฝึกอบรมเธอสามารถเขาไปดูได้ใน www.ozarkmt.com ทุกคนลองนำไปปฏิบัติ ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ ป้าว่าอะไรที่ครูจะมีความสุขที่สุด เห็นจะเป็นคามสำเร็จในการส่งผ่านความรู้นี่ละ
ในขณะที่จุดประสงค์หลักในการนี้คือการรักษาผู้ป่วย แต่ในระหว่างนั้นเรายังได้รับความรู้ที่ยิ่งใหญ่กลับมาด้วย และนี่คือสิ่งที่ป้ากำลังจะเขียนถึงการผจญภัยของเรา ข้อมูลเหล่านี้รวบรวมจากผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ป้าหวังว่าการเกริ่นนำจะทำให้ผู้อ่านเห็นที่มาที่ไปว่าทำไมถึงได้บอกว่า ป้าไม่ใช่ร่างทรง ไม่ใช่นักพลังจิตร แต่เป็นนักสะกดจิตรบำบัด ข้อมูลทั้งหมดได้มาจาก “พวกเขา” เราแค่รวบรวมมันออกมา จัดหมวดหมู่ เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ แล้วอกมาเป็น Covoluted Universe

 

จบภาคเกริ่นนำ
ผมคงจะไม่แกะออกมาทุกเรื่อง
คงมีเฉพาะเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า
อาจจะอัพไม่ถี่ เป็นทางการมากนัก
แล้วแต่เวลาจะอำนวย
แต่ถ้าใครมีทุนทรัพย์ ลองไปอุดหนุนป้าแกหน่อยคงจะดีไม่น้อย

อ้อ คราวหน้าว่าจะโพสท์เรื่องที่ป้าแกเจอมา
ซึ่งตรงกับศาสนาพุทธของเรา
การเก็บกดอารมณ์ ความอาฆาตมาดร้าย ทำให้ป่วยและอาจตายได้
อภัยทานเท่านั้นคือทางออก และเป็นการปลดปล่อยข้อตกลงที่มีต่อกัน (ผูกกรรม??)

หรือใครสนใจเรื่องไหนก็โพสท์ทิ้งๆไว้นะครับ
ถ้ามีจะแกะมาลงให้อ่าน

 

น่าอ่านนัก... พอเห็นสาเหตุของโรคคนไข้ก็หาย นึกถึงอริยสัจสี่ เลยครับ เหตุเกิดที่จิต ก็จบเหตุที่จิต โอ้.. สาธุ

 

ขอเปลี่ยนทิศทางจากเดิมนิดหน่อย
พอดี เกิดความรู้สึกขึ้นมาเฉยๆว่า เรื่องนี้น่าสนใจกว่า

 

เอ้อ ขอออกตัวล้อฟรีนิสสนึงว่า
เราเป็นแค่มือสมัครเล่น ดังนั้นสิ่งทีแกะออกมาอาจจะไม่ตรง
อย่างที่ผู้เขียนเค้าอยากจะนำเหนอทั้งหมด
อาจมีใส่ไข่ ใส่ผักบ้างเพื่อให้คล่องคอ กลืนง่าย
อาจจะฝืดๆเป็นบางประโยค
แต่เอามันเข้าว่า
ผิดพลาดประการใดขอน้อมรับ

 

ในช่วงเดือนเมษายน ห้าปีที่แล้ว เราได้รับคำเชิญให้ไปบรรยายที่ เกาะพาราไดส์ อัสรัม บาฮามาส ที่ศูนย์ฝึกโยคะ ซึ่งจริงๆเราก็ไปบรรยายมาหลายครั้งแล้วละ เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เจ้าของงานก็ค่อนข้างสุภาพเป็นกันเอง ทริปตรั้งนี้ป้าหยิบสมุดบันทึกเล่มนี้มาด้วยเพื่อทบทวนและบันทึกเรื่องราว โครงงานต่างๆเอาไว้อย่างหยาบๆ เพราะรู้ล่วงหน้าว่าเราจะมีเวลาส่วนตัว ตัดขาดจากการสื่อสารทุกชนิด

ในสมุดบันทึกเล่มนี้ มีการจดรวบรวมหัวข้อต่างๆเอาไว้ รวมถึงคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ วันนั้น ป้านั่งอยู่บนระเบียงในกระท่อมหลังน้อยใต้ต้นมะพร้าว ปล่อยใจไปกับเสียงคลื่นซัดชายฝั่งอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงค่อยๆเริ่มทบทวน ถึงหัวข้อที่พึ่งบรรยายไปเมื่อคืนที่ผ่านมา คำพูดเหล่านั้นยังคงล่องลอยอยู่ในหัว
ใครที่เป็นนักเขียนคงพอจะเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ได้ดี ป้าหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจดเรื่องราวเหล่านั้น
เอาไว้ก่อนที่มันจะหายเข้ารกเข้าพงไปเสียเปล่า

ขณะที่กำลังเขียนหนังสือเล่มนี้ การปะติดปะต่อเรื่องราวจากการสะกดจิตผู้ป่วยนับครั้งไม่ถ้วน คำบางคำ ประโยคบางประโยคถูกทำให้ชัดเจนมากขึ้นแล้ว ถึงสิ่งที่พวกเค้าต้องการจะสื่อสารกับพวกเรา แต่มันก็มากมายเกินกว่าที่คนๆหนึ่งจะรับไหว ในการที่จะทำความเข้าใจ เรื่องราว ทฤษฎี ความเป็นมา หรือเธอจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม ทั้งหมดนั่นแหละ มันมากมายเสียเหลือเกิน กับการนำมาจัดหมวดหมู่เพื่อรวมเข้าด้วยกัน

ร้อยเรียงเนื้อหาออกมาทีละชิ้นๆจากผู้คนนับร้อย เนื้อหาที่น่าสนใจของแต่ละคน คนละทิศละทาง แต่เมื่อนำมารวมเข้าด้วยกัน มันทำให้เกิดภาพใหญ่อันน่าอัศจรรย์
เพราะแท้จริงแล้ว...มันปะติดปะต่อรวมกันออกมาเป็น แผนการการช่วยเหลือมนุษยชาติอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยขอบเขตแผนงานที่ใหญโตมโหฬาร มากเกินกว่าที่คนคนนึงจะจินตนาการไปถึงได้

 

หลังจากที่มนุษย์ได้มีการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาในปลายทศวรรษที่สี่สิบ การร้องขอความช่วยเหลือจากโลก ได้ถูกส่งผ่านออกไปยังจักรวาลข้างนอกนั่น หลักฐานที่จับต้องได้ก็คือข่าวการพบเห็นยูเอฟโอเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญนับจากเวลานั้นเป็นต้นมา พวกเค้าบอกว่าการพัฒนาอาวุธสงครามและการระเบิดในครั้งนั้นทำให้พวกเราต้องหันกลับมามองและต้องการมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกดึกดำบรรพ์ใบนี้ สิ่งที่เห็นคือมนุษย์ไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะความรุนแรงที่ฝังอยู่ในกมลสันดานจะสามารถใช้มันทำลายโลกทั้งใบได้อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย ซึ่งพวกเค้ายอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากจะทำให้เกิดผลกระทบการทำลายล้างเป็นระลอกๆไปยังดาวดวงอื่น มิติอื่นๆ ทั่วทั้งจักรวาล แต่จะทำอย่างไรเพื่อที่จะหยุดการกระทำอันสิ้นคิดเหล่านี้ ได้โดยไม่ไปละเมิดกฏปฐมบรรพ์แห่งจักรวาล prime directive
นั่นคือ"กฎการห้ามแทรกแซง"

 

ดาวเคราะห์ดวงนี้เริ่มอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากการที่เราแต่ละคนต่างวนเวียนกลับชาติมาเกิดใหม่นับร้อยนับพันชาติ ซ้ำๆกับบทเรียนเิดิมๆ แต่ละครั้งแต่ละคนยังคงสร้างกรรมทับถม ผูกติด โยงใยออกไปมากขึ้นและมากขึ้น แทนที่จะพยายามทำให้มันจบไปในแต่ละชาติ กลับติดแหงกอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหนเสียที นั่นบ่งบอกถึงการที่ หากเราไม่สามารถแก้ปัญหาของตนเองให้ได้ก่อน ก็จะไม่มีทางไหนเลยที่เราจะสามารถหยุดความรุนแรง ความขัดแย้ง สงคราม และปัญหาระบบนิเวศน์ บนดาวดวงนี้เลย


แต่หากจะว่าไป ถ้าเราอยากจะใช้ชีวิตแบบผิดๆแล้วมันไม่ไปเดือดร้อนใคร ก็ไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะต้องเข้ามายุ่มย่ามอะไรด้วย พวกเค้าก็จะเฝ้าดูเฉยๆ โดยที่จะไม่เข้ามาช่วยเหลืออะไรเลย เรามีอิสระที่จะเลือกทำอะไรก็ได้ ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ชีวิตเราย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆก็ตาม ถือว่านั่นเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ตราบเท่าที่ไม่ไปเหยียบตาปลาใครเข้า


ทำนองเดียวกัน
ระเบิดนิวเคลียร์นำไปสู่สิ่งประดิษฐ์ที่แค่ผู้นำกดปุ่มด้วยความบ้าคลั่งเพียงคลิกเดียว
ทุกอย่างบนโลกก็จะราบพนาสูร
ถึงแม้ว่าจะเห็นตำตา มีความสามารถยับยั้งสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายๆ
หรือมีเหตุผลที่ดีเพียงพอที่จะเข้ามาช่วยหลือมนุษย์ีแค่ไหนก็ตาม
แต่พวกเค้าจะไม่ยอมฝ่าฝืนกฎไม่ว่ากรณีใดๆ
การเข้ามากระทำการในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการบังคับให้ยอมตาม
มากกว่าการกระทำที่เกิดจากความเข้าใจ
และอาจทำให้ปัญหาในระยะยาวรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
จนไม่อาจควบคุมได้

 

แต่...ตอนนี้ได้มีการวางแผนการขึ้นมาใหม่
ถ้าการช่วยเหลือจากภายนอกไม่สามารถทำได้
พวกเค้าก็จะพยายามหาทางช่วยเหลือจากภายใน
การร้องขอความช่วยเหลือจากโลกครั้งนั้น
ถูกส่งไกลออกในอวกาศกว้างใหญ่
มันได้ยินไปถึง
รูปธรรมจิตรวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหลายข้างนอกนั่น
ผู้ที่มีความพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือมนุษย์โดยไม่มีเงื่อนไข
ด้วยการลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตอย่างปุถุชน

รูปธรรมเหล่านี้ไม่เคยเกิดเป็นคน
ไม่เคยแปดเปื้อนกรรมบนโลกใบนี้
เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานบริสุทธิ์จากผู้สร้าง
เมื่อเข้ามายังโลกแล้ว
จะแทรกตัวอยู่ท่ามกลางผู้คน
ในแต่ละชุมชนทั่วโลก
ดุจดังเทพเจ้าในร่างมนุษย์
ที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
มีความสำคัญแค่ไหน

คนกลุ่มนี้จะระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก
ที่จะไม่ถูกตรึงอยู่ในโลกด้วยการสร้างกรรมใหม่ขึ้นมา
หลายคนมีเกราะคุ้มกันที่มองไม่เห็น

เมื่อเวลานั้นมาถึง
พวกนี้จะทำหน้าที่เป็นช่องทางส่งผ่าน
และกระจายพลังงานบริสุทธิ
ผ่านชุมชน ผ่านหมู่บ้าน ผ่านประเทศ
ครอบคลุมออกไปทั่วโลก
เพื่อขจัดและลดทอนพลังงานที่ต่ำกว่า
ี้ออกไปจากโลกให้ได้มากที่สุด
และเมื่อภาระกิจแล้วเสร็จ
ก็จะกลับไปยังที่ๆเคยจากมา
อย่างเงียบๆ

ป้าเคยเขียนถึงรูปธรรมเหล่านี้มาก่อนหน้าแล้ว
จากการได้คลุกคลีกับผู้ได้รับการบำบัดนับร้อยราย
ในระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาี
เราได้ค้นพบว่า มีบุคคลกลุ่มนี้ปะปนอยู่ในนั้นด้วย
จำแนกได้เป็นสามกลุ่มใหญ่
เราเรียกพวกเค้าว่า
เป็นจิตรวิญญาณอาสาสามระลอก
three waves of volunteers

 

สิ่งสำคัญของช่วงเวลานี้ที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
มนุษย์กำลังเข้าใกล้ช่วงเวลาของ
การเกิดขึ้นของโลกใบใหม่
และมันไม่มีเวลามากพอ
สำหรับจิตวิญญาณอาสาที่จะลงมาเกิดใหม่
โดยเริ่มจากการมาเกิดเป็นเด็กทารก แล้วค่อยๆเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ


จากการวิจัยเราพบว่า
ในหลายๆครั้ง หลายๆคน
พวกเค้าเข้ามาในโลกใบนี้
ด้วยการมองหาร่างของเด็กที่อยู่ในสภาวะใกล้ตาย
มันไม่ใช่การเข้าทรงหรือสวมวิญญาณ
แต่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่างกายอย่างชอบธรรม
โดยที่ความทรงจำและรายละเอียดชีวิตยังคงอยู่อย่างครบถ้วน
ซึ่งมันต่างกับการเข้าสิงร่างกายคน
ของวิญญาณจากภายนอกอย่างที่เราเคยรู้จักกัน
อย่างสิ้นเชิง

ถือว่าเป็นวิธีการที่เข้าขั้นอัฉริยะ ฉลาดหลักแหลมมาก
ในการหาวิธีเข้ามาช่วยเหลือมนุษย์
และดาวเคราะห์ดวงนี้จากภายใน
โดยที่ไม่ขัดกับกฏแห่งการแทรกแซง
เนื่องจากไม่ใช่การบังคับให้ยอมตามโดยดุษฎี
แต่เป็นการเชื้อชวนจิตรวิญญาณทั้งหลายบนโลก
ให้ร่วมกันเลือกหนทางใหม่
อนาคตที่สอดคล้องไปกับจักรวาล

 

มันออกจะพิลึกพิลั่นสำหรับใครบางคน
ถ้าจะบอกว่า
โลกนั้นมีชีวิต
เธอได้ร้องขอความช่วยเหลือออกไป
ขณะเดียวกัน เธอก็พยายามจัดการล้างสิ่งที่ไม่ดี
ปรับสภาพสมดุลย์ สิ่งที่มารุกรานธรรมชาติของตนเอง
ด้วยการทำให้เกิดน้ำท่วม ซึนามิ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด
และภัยพิบัติต่างๆ อย่างที่เราได้รับรู้กัน

หรืออีกนัยหนึ่ง
เธอพยายามปลดเปลื้องกรรมของตนเองให้ได้มากที่สุด
ก่อนที่จะไปเกิดในภพภูมิใหม่
เป็นโลกใบเดิมที่สดใสสวยงามกว่า
สภาวะแวดล้อมที่ดีกว่า
เสมือนเป็นการเริ่มต้นของการเกิดใหม่
เพื่อที่เธอจะได้เข้าร่วมกับกลุ่มคน
ที่สามารถปรับความสั่นสะเทือน
และความถี่ของตนเองให้สูงขึ้นมาได้
ในการที่จะวิวัฒน์ไปด้วยกัน

เป็นดักแด้ที่กำลังจะลอกคราบ
ปล่อยให้เปลือกแตกทำลาย สลายไปเอง
ซึ่งไม่ได้หมายความว่า
โลกใบเดิมจะถูกทำลายหายไปจากระบบจักรวาลในพริบตา
นั่นจะทำให้เกิดการทำลายล้างเป็นลูกโซ่
ไปยังดาวดวงอื่น มิติอื่นๆ นับไม่ถ้วน
และไม่ได้หมายความว่าโลกใบเก่าจะ
มาลอยอยู่เคียงข้างกันกับโลกใบใหม่

แต่หากหมายถึง
โลกจะแยกตัวเองออกเป็น
สองดวง สองสภาวะ สองภพภูมิ แล้วแต่จะเข้าใจ
โลกหนึ่งจะมองไม่เห็นอีกโลกหนึ่ง
เนื่องจากลอยอยู่คนละระนาบความสั่นสะเทือน
เสมือนเมืองลับแลในตำนานกับโลกมนุษย์
อะไรทำนองนั้น

บนโลกใบเดิม
เธอก็จะปล่อยให้จิตรวิญญาณที่ชื่นชอบความรุนแรง
ความขัดแย้ง ความเห็นแก่ตัว
เกลือกกลิ้งอยู่กับความกลัว
ที่ตนเองชอบสร้างขึ้นมา ใช้ชีวิตอยู่กันต่อไป
ไม่มีการขจัดทิ้ง
แต่จะค่อยๆเสื่อมโทรมลงไปเองตามกาลเวลา
จากพลังงานไม่ดีที่ยังหลงเหลือ
ขณะเดียวกันโลกที่เกิดใหม่ในอีกระนาบ
ก็จะดึงดูดกลุ่มจิตรวิญญาณ
ที่ต้องการการเติบโตและวิวัฒน์เข้าหาตัวเธอเอง
ดุจธรรมชาติของแม่เหล็กซึ่งดึงดูดซึ่งกันและกัน

ในโลกปัจจุบัน
ทุกสิ่งทุกอย่างได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย
นั่นอาจแสดงถึง
คลื่นความสั่นสะเทือนที่กำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ
ก็เป็นได้

 

ในเชิงควันตัม
ทุกสรรพสิ่งนั้นสั่นสะเทือน
มีความถี่เป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น หิน ต้นไม้
เฟอร์นิเจอร์ อะไรก็ตาม
ความถี่ที่ต่ำกว่า หมายถึงกายภาพที่หนาแน่นกว่า
ตราบเท่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก
ยังคงสั่นสะเทือนอยู่ในความถี่เดิมๆ
โลกและเราก็จะไม่ไปถึงไหน
โลกจะต้องปรับความสั่นสะทือนของตัวเธอเองให้สูงขึ้น
เพื่อที่จะแยกตัวเองออกมาจากโลกใบเดิม
ไปยังระนาบความสั่นสะเทือนที่สูงกว่าให้ได้

เทียบเคียงได้กับโลกในตัวเราุทุกคน
หากเราพยายามเรียนรู้บทเรียนต่างๆที่เข้ามาในชีวิต
อย่างซื่อตรง ทำอย่างสุดความสามารถเท่าที่เรามีข้อจำกัด
ผลที่ออกมาไม่ว่าจะล้มเหลวอย่างไร
อาจไม่ได้อย่างที่เราคาดหวังเอาไว้
อาจไม่ใช่ความร่ำรวย ความสำเร็จ
หรือความปลอดภัยในชีวิตเสมอไป
แต่ในอีกด้านหนึ่ง
เราก็จะสามารถเติบโตขึ้นไปสู่ระนาบที่สูงขึ้นกว่าเดิม
อย่างแน่นอน
ที่สำคัญ
ไม่ต้องวนเวียนกลับมาเรียนรู้ใหม่
ซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนโลกใบนี้อีก
เราต้องการเพียงประสบการณ์ที่มีรสชาดที่ดี
เพื่อหล่อเ้ลี้ยงจิตรวิญญาณให้เติบโต
(คงไม่ได้หมายถึงการทำชั่วแน่ๆ)

ตัวโลกเอง
เธอก็กำลังเตรียมความพร้อม
เพื่อหนีไปจากสภาพดั้งเดิม
ไปสู่ความจริงที่สูงกว่าเช่นกัน