นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.

  1. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    เป็นเพลงที่ทั้งเนื้อร้อง และทำนอง โหยหวนชวนให้รู้สึกได้ถึงความเหงา เปล่าเปลี่ยว การรอคอย ได้อย่างดีค่ะพี่นุ๊ก:cool:
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หลวงพ่อโตวัดบางพลี

    "หลวงพ่อโต"
    วัดบางพลีใหญ่ใน ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย (สะดุ้งมาร) องค์พระเป็นทองสำริดทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดบางพลีใหญ่ใน

    ได้รับการกล่าวขวัญถึงความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะของชาวบางพลีและพุทธศาสนิกชนทั่วไปตามตำนาน เล่าสืบต่อกันมา ว่าประมาณกาล 200 กว่าปีล่วงมาแล้ว ได้มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 3 องค์ ปาฏิหาริย์ลงมาจากทางเหนือ ลอยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดมาพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นี้ เข้าใจว่าปวงชนในกรุงศรีอยุธยาคงอาราธนาท่านลงสู่แม่น้ำ เพื่อหลบหนีข้าศึก ด้วยในสมัยนั้นบ้านเมืองได้เกิดสภาวะสงครามขึ้นกับพม่า

    พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ได้แสดงอภินิหารลอยล่องมาตามลำแม่น้ำ และบางครั้งก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ผุดให้ผู้คนเห็นตามลำดับ จนเป็นที่โจษจันกันทั่ว ถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ต่อมาภายหลังปรากฏว่า พระพุทธรูปองค์หนึ่งไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่ วัดบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม ในเวลาไล่เลี่ยกันพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง ไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร จ.ฉะเชิงเทรา

    ส่วนอีกองค์หนึ่งได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ปาฏิหาริย์ลอยวกเข้ามาในลำคลองสำโรง ประชาชนพบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่ว พร้อมกับได้อาราธนาขึ้นที่ปากคลองสำโรง แต่พระพุทธรูปไม่ยอมขึ้น (หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน)

    ในที่นั้น มีผู้มีปัญญาดีคนหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า คงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่าน แม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายฉุดท่าน ให้ลอยตามลำน้ำสำโรงและอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใดก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด" เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องดีกันดังนั้นแล้ว ก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่านแล้วใช้เรือ ซึ่งสมัยนั้นเป็นเรือพายทั้งสิ้น ช่วยกันจ้ำพายจูงแพลอยเรื่อยมาตามลำคลองเรือที่ใช้ลากจูงแพมานั้นมีชื่อแปลกต่างๆ กัน เช่นชื่อ ม้าน้ำ เป็ดน้ำ ตุ๊กแก และอื่นๆ เป็นต้น และจัดให้มีการละเล่นต่างๆ มีละครเจ้ารำถวายมาตลอดทาง และการละเล่นอื่นๆ ครึกครื้นมาตลอดทั้งลำน้ำ

    ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือวัดบางพลีใหญ่ใน แพที่ผูกชะลอองค์ท่านเกิดหยุดนิ่ง พยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ประชาชนที่มากับเรือและชาวบางพลี จึงได้พร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้วก็ ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด" และเป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพียงใช้คนไม่มากนัก สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่านเป็นอย่างยิ่ง และได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้นเรื่อยมา

    ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นอีกเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ เพื่อเป็นพระประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน

    เล่ากันว่า เมื่อคราวสร้างพระอุโบสถเสร็จใหม่ๆ ได้วัดช่องประตูพระอุโบสถกับองค์หลวงพ่อโต ปรากฏว่า ช่องประตูใหญ่กว่าองค์พระประมาณ 5 นิ้ว ซึ่งสามารถนำองค์หลวงพ่อโตผ่านเข้าไปได้ แต่พอถึงคราวอาราธนาจริง กลับปรากฏว่า องค์หลวงพ่อใหญ่กว่าประตูมาก คณะกรรมการจำนวนหนึ่งเห็นว่าควรทุบช่องประตูทิ้ง แต่อีกจำนวนหนึ่งเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโต จึงได้พร้อมใจกันอธิษฐานขอให้หลวงพ่อโตสามารถผ่านเข้าประตูได้ เพื่อเป็นมิ่งขวัญคุ้มครองชาวบางพลีสืบไป

    เมื่ออธิษฐานเสร็จก็อาราธนาหลวงพ่อโตผ่านประตูได้โดยสะดวก การที่ท่านได้พระนามว่า "หลวงพ่อโต" คงเป็นเพราะองค์ของท่านใหญ่โต คือ ใหญ่โตกว่าองค์ที่ลอยน้ำมาด้วยกันทั้ง 2 องค์ จึงถือเป็นนิมิตอันดีให้ประชาชนพากันถวายนามว่า "หลวงพ่อโต" เป็นสิ่งที่เคารพสักการะของชาวบางพลี ตราบเท่าทุกวันนี้ หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน

    ทั้งนี้ การลำดับว่าองค์ไหนองค์พี่ องค์กลาง องค์น้อง และลอยมาพร้อมกันตามตำนานที่สืบต่อกันมา เข้าใจว่าคงจะนับเอาองค์ที่อาราธนาขึ้นจากน้ำได้ก่อนเป็นองค์พี่ ขึ้นจากน้ำองค์ที่ 2 เป็นองค์กลาง ขึ้นจากน้ำองค์ที่ 3 เป็นองค์น้อง ตามลำดับ คือ

    หลวงพ่อวัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม อาราธนาขึ้นจากน้ำองค์ที่ 1

    หลวงพ่อโสธร วัดโสธรฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา อาราธนาขึ้นจากน้ำองค์ที่ 2

    หลวงพ่อโสธร
    ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโสธรนี้มีผู้เล่าสืบ ๆ กันมาหลายกระแส ได้สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่หลายคน ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ได้รับฟังมาจากบรรพบุรุษเล่าให้ฟังต้องกันว่า “หลวงพ่อโสธร” ลอยน้ำมาตามคำว่า มีพระพี่น้องชายกัน 3 องค์ อยู่ทางเมืองเหนือแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ล่องลอยมาตามแม่น้ำจากทางทิศเหนือ เรื่อยมาจามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ในที่สุดมาผุดขึ้นใน แม่น้ำบางปะกง ณ ที่ตำบลหนึ่ง และแสดงปาฏิหารย์ลอยทวนกระแสน้ำให้ประชาชนเห็นทั้ง 3 องค์ ประชาชนแถบนั้นต่างพร้อมใจกันอาราธนาเอาเชือกพรวนมนิลาลงไปผูกมัดที่องค์ หลวงพ่อทั้ง 3 แล้วช่วยกันฉุดลากขึ้นฝั่งด้วยจำนวนผู้คนประมาณ 500 กว่าคนก็ฉุดขึ้นไม่ได้ เชือกขนาดใหญ่ที่ผูกองค์หลวงพ่อทั้ง 3 ก็ขาดฉุดไม่สำเร็จตามความประสงค์ ครั้นแล้วหลวงพ่อทั้งสามองค์ก็จมน้ำหายไปต่อหน้าคนทั้งหมด สถานที่พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ได้ลอยทวนน้ำมานั้นเลยได้ชื่อว่า “ตำบลสามพระทวน” แต่ต่อมากลับเรียกว่า สัมปทวน ได้แก่แม่น้ำหน้าวัดสมปทวน อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ทุกวันนี้

    หลวงพ่อวัดบ้านแหลม เป็นพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร หล่อด้วยทองเหลืองแบบสมัย สุโขทัยตอนปลาย ภายในโปร่งขนาดส่วนสูง 170 เซนติเมตร ประดิษฐานยืนอยู่บนแท่น ภายในพระอุโบสถวัดบ้านแหลม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ตามประวัติที่จารึกกล่าวไว้ว่า หลวงพ่อได้ล่องลอยน้ำลงมาจากทางเหนือพร้อมกัน 3 องค์ แสดงอภินิหารให้ผู้คนเห็นมาตลอดลำแม่น้ำเจ้าพระยา และ ครั้งหนึ่ง ได้ล่องลอยมาถึงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาตอนสามเสน ประชาชนสามแสนกว่าคนประสงค์ที่จะนิมนต์หลวงพ่อขึ้นบนฝั่ง ช่วยกันเอาเชือกผูกมัดองค์หลวงพ่อแล้วช่วยกันฉุดลากแต่ก็ไม่สามารถจะนำหลวง พ่อขึ้นฝั่งได้ และท่านก็จมน้ำหายไปจากที่นั้น

    ต่อจากนั้นท่านก็ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ผุดให้คนเห็นในที่ต่าง ๆ กันเรื่อยมาจนในที่สุดก็ได้มาประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญอยู่ใน พระอุโบสถวัดบ้านแหลมนี้จนกระทั่งปัจจุบันวัดบ้านแหลมเดิมชื่อว่าวัดศรีจำปา เป็นวัดที่เก่าแก่สร้างมานานคำนวณไม่ได้ว่ามี อายุประมาณสักเท่าใด วัดศรีจำปามีมาก่อนที่จะได้หลวงพ่อบ้านแหลมมาประดิษฐาน เมื่อหลวงพ่อมาประดิษฐานอยู่แล้วจึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อวัดบ้านแหลม

    บอกผิดไปค่ะ มี 3 องค์พี่น้องที่ลอยน้ำมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หลวงพ่อโสธร ท่านจะอยู่กับพี่ตลอดเวลาค่ะ
    อาจจะเคยมีความเกี่ยวข้องกันมาก่อนในอดีตก็ได้เนาะ

    พี่มีความเิชื่อว่าทั้ง 3 องค์ ผู้สร้างเป็นพี่น้อง 3 คน
    สร้างและลอยน้ำมาเพื่อเสี่ยงทายบารมี
    และพระทั้ง 3 องค์ ก็ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เลือกสถานที่ๆ จะขึ้นเอง

    คนพี่สร้างหลวงพ่อโสธร
    คนกลางสร้างหลวงพ่อโต
    และคนสุดท้องสร้างหลวงพ่อวัดบ้านแหลม

    จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
    หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
    และหลวงพ่อวัดบ้านแหลม เป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร

    สื่อให้เห็นถึงความปรารถนาของพี่น้องทั้ง 3 คน (ความเห็นส่วนบุคคลนะคะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2012
  4. พิมพัดดา

    พิมพัดดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +1,047
    ล่าพักสายตา ก่อนนะคะ พี่ๆ เพื่อนทุกท่าน
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
  6. ศิวกา

    ศิวกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +779


    จ้า......... ^_^ ขอให้หายไวๆ นะค๊าพี่อ้อม

    ยังจำได้ว่าตัวเองยังคงค้างของขวัญให้พี่อ้อมอยู่หนึ่งชิ้นค่ะ

    แต่ยังไม่ได้รบกวนขอที่อยู่อีกรอบเลยเหอๆ
     
  7. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229

    สวัสดีค่ะ.. คุณครู ติงติง พี่โมทนาสาธุ บุญด้วยนะคะ

    ที่ช่วยเป็นสะพานบุญ ให้แม่ชีนุช ค่ะ ...
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อีกหนึ่งตำนานบอกว่าัทั้ง 5 องค์เป็นพี่น้องกัน (ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดีนิ)
    แต่ครูบาอาจารย์ของเราก็บอกว่า ลอยมา 5 องค์ แล้วขึ้นกันคนละที่
    มาดูประวัติของหลวงพ่อวัดไร่ขิง กันดีกว่า จะกล่าวถึงทั้ง 5 องค์เลยค่ะ

    หลวงพ่อวัดไร่ขิง
    (มีด้วยกัน 3 ตำนานเลย)

    องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้วเศษ สูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษ ประดิษฐานอยู่บนฐานอยู่บนฐานชุกชี 5 ชั้น เบื้องหน้าผ้าทิพย์ปูทอดลงมาองค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงประดิษฐานเป็นพระประธาน อยู่ภายในอุโบสถ หันพระพักตร์ไปทางทิศอุดร (ทิศเหนือ) ซึ่งหน้าวัดมีแม่น้ำนครชัยศรีหรือแม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน จากหนังสือประวัติของวัดไร่ขิงได้กล่าวไว้ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ได้อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูน โดยนำล่องมาทางน้ำด้วยการทำแพไม้ไผ่หรือที่เรียกกันว่าแพลูกบวบรองรับองค์ พระปฏิมากรณ์ เมื่อถึงหน้าวัดไร่ขิงจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ภายในอุโบสถ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดีจึงมีประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมกัน ในขณะที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นจากแพ สู่ปะรำพิธีได้เกิดอัศจรรย์แสงแดดที่แผดจ้ากลับพลันหายไป ความร้อนระอุในวันสงกรานต์ก็บังเกิดมีเมฆดำมืดทะมึน ลมปั่นป่วน ฟ้าคะนอง และบันดาลให้มีฝนโปรยลงมาทำให้เกิดความเย็นฉ่ำและเกิดความปิติ ยินดีกันโดยทั่วหน้า ประชาชนที่มาต่างก็พากันตั้งจิตรอธิฐานเป็นหนึ่งเดียวกัน ว่า “หลวงพ่อจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนร้ายคลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วยธัญญาหารฉะนั้น” ดังนั้น วันดังกล่าวที่ตรงกับวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของคนไทย ทางวัดจึงได้ถือเป็นวันสำคัญ และได้จัดให้มีงานเทศกาลนมัสการปิดทองประจำปีหลวงพ่อวัดไร่ขิง สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ตำนานหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา หรือที่เรียกว่า "มุขปาฐะ" มีหลายตำนาน ดังนี้

    • ตำนานที่ 1 ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก)ชาวเมืองนครชัยศรี ได้มาตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน ได้เข้าไปในพระอุโบสถวัดไร่ขิง หลังจากกราบพระประธานแล้ว มีความเห็นว่าพระประธานมีขนาดเล็กเกินไป จึงบอกให้ท่านเจ้าอาวาสพร้อมชาวบ้านไปอัญเชิญมาจากวัดศาลาปูนฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยวางลงบนแบบไม้ไผ่และนำล่องมาตามลำน้ำและอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 วันสงกรานต์พอดี

    • ตำนานที่ 2 วัดไร่ขิงสร้างเมื่อปีกุน พุทธศักราช 2394 ตรงกับปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ต้นปี ในรัชกาลที่ 4 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก)ซึ่งเป็นชาวเมืองนครชัยศรี ในขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ "พระธรรมราชานุวัตร" ปกครองอยู่ที่วัดศาลาปูนวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้กลับมาสร้างวัดที่บ้านเกิดของตนที่ไร่ขิง เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งจากกรุงเก่า ( จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ) มาเพื่อประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถแต่การสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ ท่านได้มรณภาพเสียก่อน ส่วนงานที่เหลืออยู่พระธรรมราชานุวัตร(อาจ จนฺทโชโต) หลานชายของท่านจึงดำเนินงานต่อจนเรียบร้อย และบูรณะดูแลมาโดยตลอดจนถึงแก่มรณภาพ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    • ตำนานที่ 3 ตามตำนานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับมีพระพุทธรูปลอยน้ำมา 5 องค์ก็มี 3 องค์ก็มีโดยเฉพาะในเรื่องที่เล่าว่ามี 5 องค์นั้น ตรงกับคำว่า " ปัญจภาคี ปาฏิหาริยกสินธุ์โน " ซึ่งได้มีการเล่าเป็นนิทานว่า ในกาลครั้งหนึ่ง มีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมากได้พร้อมใจกันตั้งสัตย์อธิฐานว่า เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยให้สัตว์โลกได้พ้นทุกข์ แม้จะตายไปแล้ว ก็จะขอสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้ได้พ้นทุกข์ต่อไปจนกว่าจะถึงพระนิพานครั้ง พระอริยบุคคลทั้ง 5 องค์ ได้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าไปสถิตในพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์จะมีความปรารถนาที่จะช่วยคนทางเมืองใต้ที่อยู่ติดแม่น้ำให้ได้พ้นทุกข์ จึงได้พากันลอยน้ำลงมาตามลำน้ำทั้ง 5 สาย เมื่อชาวบ้านตามเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำเห็นเข้า จึงได้อัญเชิญและประดิษฐานไว้ตามวัดต่างๆ มีดังนี้
      • พระพุทธรูปองค์ที่ 1 ลอยไปตามแม่น้ำบางปะกง ขึ้นสถิตที่วัดโสธรวรวิหาร เมืองแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกกันว่า "หลวงพ่อโสธร"
      • พระพุทธรูปองค์ที่ 2 ลอยไปตามแม่น้ำนครชัยศรี (ท่าจีน)ขึ้นสถิตที่วัดไร่ขิงเมืองนครชัยศรี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง"
      • พระพุทธรูปองค์ที่ 3 ลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสถิตที่วัดบางพลี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดบางพลี" แต่บางตำนานก็ว่า หลวงพ่อวัดบางพลีเป็นองค์แรกในจำนวน 5 องค์ จึงเรียกว่า "หลวงพ่อโตวัดบางพลี "
      • พระพุทธรูปองค์ที่ 4 ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นสถิตที่วัดบ้านแหลม เมืองแม่กลอง เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม"
      • พระพุทธรูปองค์ที่ 5 ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเมืองเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"
    ส่วนตำนานของเมืองนครปฐมนั้นเล่าว่า มีพระ 3 องค์ ลอยน้ำมาพร้อมกัน และแสดงปาฏิหาริย์จะเข้าไปยังบ้านศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ จึงได้เรียกตำบลนั้นว่า "บางพระ" พระพุทธรูป 3 องค์ลอยไปจนถึงปากน้ำท่าจีนแล้วกลับลอยทวนน้ำขึ้นมาใหม่ จึงเรียกตำบลนั้นว่า "สามประทวน" หรือ "สัมปทวน" แต่เนื่องจากตำบลที่ชาวบ้านพากันไปชักพระขึ้นฝั่งเพื่อขึ้นประดิษฐาน ณ หมู่บ้านของตน แต่ทำไม่สำเร็จ ต้องเปียกฝนและตากแดดตากลมจึงได้ชื่อว่า "บ้านลานตากฟ้า" และ "บ้านตากแดด" ในที่สุดพระพุทธรูปองค์แรกจึงยอมสถิต ณ วัดไร่ขิงเรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" ส่วนองค์ที่ 2 ลอยน้ำไปแล้วสถิตขึ้นที่วัดบ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม" และองค์ที่ 3 ลอยตามน้ำไปตามจังหวัดเพชรบุรี แล้วขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเครา เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    “หลวงพ่อทอง” วัดเขาตะเครา เป็นพระพุทธรูปแบบนั่ง พระพุทธลักษณะปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ หล่อด้วยสำริด ศิลปะเชียงแสน มีขนาดหน้าตักกว้าง ๒๑ นิ้ว และสูง ๒๙ นิ้ว ปิดทองคำเปลวอร่ามทั้งองค์

    ไม่มีหลักฐานระบุสร้างปีใด ใครเป็นผู้สร้าง มีเพียงตำนานเอ่ยถึง โดยเรื่องที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด มีรายละเอียด ดังนี้ มีพระสงฆ์ ๒ รูป สามเณร ๑ รูป ทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน และมีฤทธิ์เดชเวทมนต์แรงกล้ามาก ทั้ง ๓ ได้ทดลองวิชา โดยพระรูปแรกได้ทำน้ำมนต์ไว้ และสั่งพระรูปที่ ๒ ว่า

    “เดี๋ยวจะกระโดดลงน้ำแล้วจะกลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมา แล้วให้ใช้น้ำมนต์รดลงไปก็จะกลับเป็นพระสงฆ์ตามเดิม”

    แต่เมื่อพระรูปแรกกระโดดลงไปแล้วลอยขึ้นมาเป็นพระพุทธรูป พระรูปที่ ๒ ก็ไม่รดน้ำมนต์ให้ โดยบอกว่า
    “เมื่อพี่ทำได้เราก็ทำได้” และได้สั่งให้สามเณรรดน้ำมนต์ให้ แล้วก็กระโดดลงน้ำกลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมาอีก


    ด้านสามเณร เมื่อเห็นว่าพระทั้ง ๒ รูปทำได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน จึงกระโดดลงน้ำแล้วกลายเป็นพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ โดยที่ไม่มีใครนำน้ำมนต์รดให้ จึงกลายเป็นพระพุทธรูปลอยน้ำอยู่เช่นนั้น

    ต่อมาได้แสดงอภินิหารโดยลอยทวนน้ำไปขึ้นที่ ช.พัน ๒ ทหารช่างอยุธยา ภายหลังเรียกว่า คุ้ง ๓ พระทวน ปัจจุบันเรียกเพี้ยนไปเป็น
    สัมประทวน ช่วงเวลาต่อมา ได้ลอยน้ำโดยเอาเศียรวน ไปอยู่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชาวบ้านเห็นและมีผู้นำสายสิญจน์ไปผูก พร้อมปลูกศาลเพียงตา อาราธนาอัญเชิญองค์กลางขึ้นไว้ได้ ๑ องค์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ วัดโสธรวราราม มีชื่อเรียกว่า “หลวงพ่อโสธร” จ.ฉะเชิงเทรา

    เหลืออีก ๒ องค์ ลอยมาโผล่ที่ชายทะเลแถบ จ.สมุทรสงคราม ชาวบ้านจึงได้ใช้เชือกจำนวน ๓ เส้น ผูกพระพุทธรูปเพื่อดึงขึ้นฝั่ง แม้จะใช้คนจำนวนมาก ก็ไม่สามารถดึงขึ้นได้ จนเชือกขาดทั้ง ๓ เส้น พระพุทธรูปจึงจมน้ำหายไป ต่อมาชาวบ้านจึงได้เรียกบริเวณนั้นว่า
    สามเส้น และต่อมาเรียกเพี้ยนไปเป็น สามเสน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. ศรีสุจิตรา

    ศรีสุจิตรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +337
    ด้วยความยินดีที่จะไ้ด้ร่วมทำบุญด้วยกันนะคะ สำหรับเลขที่บ/ช. สามารถหลังไมค์ขอจากพี่รั้งได้เลยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^^
     
  12. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229

    แหม !! เป็นงานนะน้องเรา คริ คริ ..

    จะรู้มั๊ยนะ..เธอสองคนเคยอยู่ที่เดียวกัน.....
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พี่รั้ง กั๊กอะไรไว้อีกคะ เล่ามาเลยหนอ รออ่านหนอ...:cool:
     
  14. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229
    เดาเอาค่ะ.. ส่วนเรื่องจริงเป็นอย่างไรให้

    ท่านประธานเป็นผู้เฉลยค่ะ ...
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อีกแระ...เซง..งงงง นู๋ฮอลลลลลแล้ว
     
  16. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229

    อย่าอมฮอลลลล เล้ยเดี๋ยวไม่สวยนะคะ.. เรื่องของ

    ท่านศรีสุจิตรา หลังจากออกจากคำชะโนดแล้วไม่ทราบตอนต่อไปค่ะ
     
  17. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229
    สวัสดีค่ะ ..ท่านประธาน เล่นซ่อนหาหรอค่ะ..

    ช่วยเล่าเรื่องอะไรก็ได้ค่ะ หรือ ตอบคำถามเพื่อนๆที่ค้างไว้ก็ได้ค่ะ

    รออ่านกันนานเลยวันนี้...
     
  18. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    เล่นเกม..แจกรางวัลอีกก็ได้ค่ะ ท่านประธาน :cool:
     
  19. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229


    น้องมิ๊ก ค่ะ ..ลองทบทวนเมื่อวานดูนะคะว่ามีชื่ออะไรบ้างน่ะ

    เผื่อว่าเจ้าตัวอาจเข้ามาเปิดเผยตัวเองและเล่าเรื่องราวให้เราฟัง
     
  20. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ huten [​IMG]
    น้องมิ๊ก ค่ะ ..ลองทบทวนเมื่อวานดูนะคะว่ามีชื่ออะไรบ้างน่ะ
    เผื่อว่าเจ้าตัวอาจเข้ามาเปิดเผยตัวเองและเล่าเรื่องราวให้เราฟัง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    1. รัศมีเทพ คือ........
    2. ปิ่นแก้ว คือ........
    3. ปทุมวรรัตน์ คือ........
    4. นิมมาระดี คือ.......
    5. อัญชลีมายา คือ.......
    6. รัชนีพร คือ........
    7. โชติรส คือ........

    หลานนราวดีอยากรู้หนอ... :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...