ภาวะสภาวะในองค์ฌานทั้ง8ของ อ.วารุณี สวัสดิภักดิ์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 29 มิถุนายน 2012.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    พอเริ่มเข้าวัดปฏิบัติธรรม ครูบาอาจารย์ก็บอก “ให้ดูธาตุ พิจารณาธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ” ความที่ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เลยนั่งนิ่งสงสัยว่า “เอ๊ะ มันเป็นยังไงกันนะ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ท่านพ่อให้พิจารณา" เลยนั่งนึกเรื่อยเปื่อยไปว่า “ดิน คงเป็นดินที่เราเดินอยู่ทุกวันที่ใช้ปลูกต้นไม้ น้ำคงเป็นน้ำที่เราใช้ดื่มกิน ลมคือลมที่มาปะทะเรา ไฟคือไฟที่เราใช้หุงข้าว หรือไฟที่เราใช้ทุกวัน วิญญาณธาตุเป็นแบบไหนหล่ะ อากาศธาตุคงเป็นอากาศที่เราหายใจ” ก็ได้แต่นั่งนึกอยู่อย่างนั้นพอถามท่านพ่อ ท่านได้อธิบายให้ฟังก็ไม่เข้าใจในความหมาย เวลาผ่านไปหนึ่งปี...สองปี ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความที่เป็นคนจริงจัง เมื่อจะทำอะไรก็จะทำให้ได้ เลยไม่คิดท้อ ถอย แล้วในวันหนึ่งก็เข้าใจว่าสิ่งที่ค้นหามาทั้งหมดนั้น..คืออะไร

    ในวันหนึ่งประมาณเที่ยงคืนเป็นช่วงที่สงบสงัด ในขณะที่นั่งสมาธิ รู้สึกวิเวกกายและจิต สมาธิจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว สติมีความระลึกรู้ สัมปชัญญะพร้อมสรรพ ทำให้จิตเกิดกำลังเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนเดินของจิต แล้วจิตเกิดการเปลี่ยนแปลง มีอาการขนลุกซู่ซ่าไทั่วจิตทั่วสรรพางค์กาย เกิดความสุขตามมารู้สึก อิ่มเอมใจเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็เกิดอาการลังเลสงสัย ฉงนสนเท่ห์จิตเกิดอาการคิดทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร อาการที่เกิดขึ้นทั้งที่ทรงอยู่ในสมาธิภาวะนี้ ทำไมจิตยังมีอาการตรึกตรองได้ ความรู้ตัวก็ชัดเจน ไม่ได้เคลื่อนหรือเบลอแบบไม่รู้สึกตัว ตรงกันข้ามกลับชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่ายามปกติที่ไม่ได้นั่งสมาธิเสียอีก ต่อมาก็ได้รู้ว่าเป็นอาการของ วิตก วิจารณ์ นั่นเอง. พอจิตทรงอยู่ในอาการเช่นนั้นสักระยะหนึ่ง สมาธิตั้งมั่นแข็งแกร่งมีพละกำลังแน่แน่วมากยิ่งขึ้น จากนั้นภาวะใหม่เกิดขึ้น

    ภาวะสติสัมปชัญญะเฝ้าติดตามคอยดูจิตภาวะนี้ จิตผ่องใสมาก ความลังเลสงสัยหมดไปจากจิตภายใน ความระลึกรู้ในธรรมเกิดขึ้นมาแทนที่ จะเรียกว่า “ธรรมะผุด” ก็ได้ ความซาบซ่านยังคงอยู่ ความสุขประณีตยิ่งกว่าเก่า รู้อารมณ์ที่เกิดกับจิตได้ด้วยภาวะธรรมที่ผุดขึ้นที่จิตว่า “สุขอันประณีตนี้ เป็นสุขอันเกิดจากสมาธิที่มีพละกำลังอันแก่กล้า และสามารถดับความลังเลสงสัย ที่ภาษาธรรมเรียกว่า วิตก วิจารณ์ ไม่ให้เหลือติดอยู่ในจิตแม้แต่น้อย จิตซาบช่านอิ่มเอมอยู่อย่างนั้น” แล้วก็เปลี่ยนภาวะเคลื่อนต่อไป

    ภาวะที่สอง ที่เห็นสภาพของจิตกับสติสัมปชัญญะได้ชัดเจนว่า มนุษย์เรานั้นสติสัมปชัญญะกับจิตเป็นของที่อยู่เคียงคู่กัน สมมุติว่าจิตเป็นขวด ฝาขวดเป็นสติ กำลังสมาธิของจิตในภาวะนี้ขับเคลื่อนให้สติกับจิตเคลื่อนเข้าหากัน เหมือนเราเอาฝาขวดปิดปากขวด พอทั้งสองสิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ภาษาธรรมเรียกว่า “จิตรวมกันเป็นหนึ่ง” ภาวะจิตขณะนั้นสว่างไสวเจิดจ้า เหมือนดังกับว่าจิตหลุดจากสิ่งยึดเหนี่ยว..รู้สึกเป็นอิสระ เป็นเอกเทศ ปัญญาความรู้เกิดขึ้นที่จิตโดยอัตโนมัติ รู้ได้ทันทีว่า “ภาวะที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ แม้แต่คำว่าสว่างไสวเจิดจ้า เมื่อสื่อสารให้บุลคลอื่นฟังให้มองเห็นภาพ ในความเป็นจริงภาวะจิตในขณะนั้นไม่สีสันใดๆ ทั้งสิ้น” เมื่อสติสัมปชัญญะกับจิตรวมเป็นหนึ่งแล้วอาการที่เฝ้าดูก็จบสิ้น เป็นหน้าที่ของปัญญาความรู้ที่เกิดขึ้นทำหน้าที่แทนโดยอัตโนมัติ เป็นสภาวะเต็มเปี่ยมด้วยสุขยิ่งกว่าสุขไหนๆ ที่เคยพบมา พอมีสิ่งใดเข้ามากระทบอารมณ์ ก็มีแต่ความรู้สึก..รับรู้.ว่าง.วาง เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีการปรุงแต่งไปตามอารมณ์ที่มากระทบจิต เรียกว่า “จิตหยุดปรุงแต่งชั่วขณะ” สุขอันประณีตเกิดสมาธิและทรงอยู่อย่างนั้นชั่วระยะหนึ่ง พลังของจิตเกิดกำลังเต็มที่ จิตก็เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ภาวะต่อไป

    ในภาวะนี้จิตดิ่งลงเต็มที่ ความสุขที่ดำเนินมาด้วยตลอดก็หายไป จิตทรงอยู่ในอาการวางเฉย เหมือนจิตหยุดทำงาน อะไรมากระทบก็ไม่หวั่นไหว เงียบๆ ปัญญาหยุดทำงานตามไปไม่ถึงสภาวะจิต ปล่อยวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับสภาวะใดๆ ที่มากระทบจิต เป็นภาวะที่จิตหลุดออกจากการปรุงแต่ง

    เมื่อบอกเล่าสภาวะจิตนี้ก็ต้องสมมติเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจจิต เหมือนหนูที่ลงไปอยู่ในรูลึก ปัญญาเปรียบเหมือนแมว เมื่อหนูลงรู แมวไม่อาจตามลงไปได้ จึงต้องนั่งเฝ้าคอยอยู่ปากรูไม่ต่างกับแมวนั่งหลับคอยหนู ภาวะนี้อยู่คงที่นาน พอจิตเริ่มถอน หนูคือตัวจิต เริ่มตื่นคลานออกจากรู แมวคือตัวปัญญา ก็เริ่มทำงานขยับตัวทำงานพร้อมกับจิต ปัญญาก็แจ้งที่จิต รู้ว่า “จะสุข สักแค่ไหนก็ไม่เที่ยง” ทำให้ได้รู้ว่าในฌานทั้งหลายไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญ ยังไม่พ้นทุกข์ มันเป็นของที่ยังไม่เที่ยง มันมีเกิดมีดับ การที่จิตติดอยู่กับสุขและอาการวางเฉย ทำให้ปัญญาไม่ทำงาน ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด นอกจากจิตได้หยุดพักหยุดฟุ้งซ่านไม่ปรุงไปข้างนอกให้วุ่นวาย จากนั้นจิตก็จะเริ่มถอยหลังกลับจากภาวะที่สี่ไปสาม จากสามไปสอง และจากสองไปหนี่ง แล้วก็เดินกลับไปหนึ่ง สอง สาม สี่ อีก เดินหน้า-ถอยหลังจนชำนาญ จนกระทั่งรวมกันเป็นอารมณ์เดียวหรืออันเดียวกัน แล้วก็ถอยกลับไปที่สี่ สาม สอง หนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ ยกภาวะจิตขึ้นพิจารณาไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ จิตก็จะเกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้น เคยสงสัยว่าทำไมจึงต้องย้อนออกไปใช้อารมณ์เป็นหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ ก็เกิดความรู้ที่จิตว่า ในองค์ฌานที่หนึ่งนั้นเดิมที จิตมี วิตก วิจารณ์ ความลังเลสงสัย เมื่อโอ้โลมปฏิโลมฌานกลับไปกลับมาแล้ว ความลังเลสงสัยดับไป ในองค์ฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกเป็นตัวตนของตนเองชัดเจน เมื่อตัดความลังเลสงสัยออก จึงเหมาะที่จะเป็นฌานที่เปลี่ยนอารมณ์ยกขึ้นเจริญเป็นฌานวิปัสสนา เมื่อพร้อมแล้วตามที่เคยสงสัยเรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ มาก่อน แต่ไม่มีความเข้าใจจึงไม่มีคำตอบ ความสงสัยจึงถูกจิตใต้สำนึกบันทึกไว้โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับข้อความที่สงสัยถูกเซฟไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่ไม่มีกุญแจไข จิตในภาวะนี้จึงเป็นกุญแจคอมพิวเตอร์เอาข้อมูลที่สงสัยและคำตอบออกมาดู ก็คือเรื่อง ปฏิสนธิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ และเรื่องทั้งหลาย จิตคือผู้รู้ ผู้ดู ปัญญาเป็นผู้รู้แจ้ง เป็นผู้อธิบายเรื่องราวที่ไปที่มา เริ่มด้วยการนั่งดู..สมมติว่า เรากำลังดูทีวี เรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ

    ภาพแรกก็คือ การแสดงการปฏิสนธิให้ดู มีน้ำเมือก สองเมือก มารวมตัวกัน แล้วก็ฝังตัวที่โพรงมดลูก จากนั้นก็ฟักตัวค่อยๆ เจริญเติบโต ปัญญาคือผู้บรรยายให้จิตได้รู้ว่า นี่แหละที่เรียกว่า “ปฏิสนธิ” จากนั้นก็เริ่มฝักตัวเป็นรูป เป็นร่าง จนกระทั่งสมบรูณ์ จากนั้นก็เคลื่อนตัวออกจากโพรงมดลูกของมารดา พอเคลื่อนตัวผ่านช่องคลอดก็ร้อง..แว้ ปัญญาอธิบายว่า “นี่แหละ การเกิด” จากนั้นก็เริ่มเติบโต เปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เป็นเด็กตัวแดงๆ แล้วก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆจากทารก..จนเป็นสาว แล้วก็เข้าสู่วัยกลางคน จนกระทั่งเป็นผู้เฒ่าฟันหัก ผมขาว ตาฝ้าฟาง ตัวสั่นงันงก หลังคุ้ม เวลายืนก็ต้องใช้ไม้เท้ายันกายไม่ให้ล้ม ในขณะที่จิตเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลง ก็เหมือนกับเราดูรูปเจ้าของร่าง คือ ตัวตนของเรานั่นเอง ที่เปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ พอถึงภาพแก่เฒ่าชราเต็มที่ยืนไม่ไหวแล้วก็ล้มลงกับพื้น จากนั้นก็แสดงอาการเจ็บป่วยใกล้ตายให้ดู จิตก็ป้อนคำถามขึ้นมาว่า.. “อาการตายเป็นแบบไหน” ตรงนี้ไม่อาจจะหยิบยกหรืออธิบายให้เห็นตามเป็นจริงขณะนั้นได้ ก็ต้องสมมุติให้ฟังว่า

    “อาการตายเป็นอย่างนี้ คือ ลมนั้นเปรียบเหมือนกับ Syringe (หลอดที่หมอใช้ใส่ยาฉีดให้คนไข้) เมื่อใส่ยาเต็มหลอด สมมุติว่ายาในหลอด คือ “ธาตุลม”
    ดวงเทียนที่มองเห็นเคียงข้างกับหลอดยา คือ “ธาตุไฟ” ซึ่งกำลังส่องสว่างโพลงนั้น พอฉีดยาหมดหลอด ธาตุลมดับ..ดวงเทียนธาตุไฟก็ดับตาม ปัญญาก็แจ้งกับจิตว่า “ลมดับไฟก็ดับพร้อมกัน” จากนั้นสังขารก็ค่อยๆ แสดงอาการขึ้นอืด ในขณะนั้นตัวก็เขียวคล้ำแล้วก็แตกออก น้ำเหลืองไหลเยิ้ม น่าสะอิดสะเอียน จนกระทั่งถึงความที่สุดของความน่าสะอิด สะเอียน ก็มีคนยกซากอันน่าเกลียดขึ้นไปเผา บนเชิงตะกอนแบบโบราณ แล้วก็จุดไฟเผา พอซากสังขารถูกไฟเผา ก็ยังแสดงความน่าสังเวชให้เห็นอีก เมื่อไฟเผาซากศพความร้อนทำให้เส้นเอ็นจากซากศพยึดรวมกันขึ้น ซากศพกระดกลุกขึ้นมานั่ง ทำให้น่าสังเวชหนักขึ้น” จิตที่เฝ้าดูอยู่ก็เกิดความสงสัยว่า “ปฏิสนธิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ธาตุลม ธาตุไฟ ก็เห็นแล้ว ธาตุน้ำหล่ะอยู่ไหน ทำไมมองไม่เห็น”

    พอนึกจบซากศพก็หายไป เหลือเพียงแต่ลำแขนเท่านั้นที่ยื่นออกมารนไฟที่กำลังลุกโชน แขนเมื่อถูกย่างด้วยเปลวไฟก็รีดน้ำหยดติ๊งๆ ออกจากลำแขนที่ถูกย่าง จากนั้นปัญญาก็แจ้งที่จิตว่านี่แหละคือ “ธาตุน้ำ” เป็นเช่นนี้ หากนึกภาพไม่ออกก็ลองนึกภาพหมูย่างหรือเนื้อย่าง ที่ทำหมูน้ำตก ก็เห็นภาพตามความเป็นจริง พอเห็นชัดเจนแล้วภาพทั้งหลายก็ดับหาย ไป เหลือเพียงขี้เถ้าสีเทาๆ กองหนึ่ง

    ขณะที่มองแล้วพิจารณาว่าเหลือแค่นี้เอง..สังขารของเรา อยู่ๆ ก็มีลมหอบใหญ่ ไม่รู้มาจากไหนพัดหอบเอาขี้เถ้ากองใหญ่ปลิวหายไปในอากาศ จิตที่กำลังพิจารณาก็คิดว่า “เออหนอ..มนุษย์เราก็เท่านี้ เมื่อคืนธาตุคืนสังขารไปก็ไม่เหลืออะไรเลย” ความรู้แจ้งที่จิตว่านี่แหละที่เขาเรียกว่า “อากาศธาตุ” คือ ความว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุด

    พอรำพึงจบก็สะดุ้งใจขึ้นมาว่า “เอ๊ะ..แล้วใครพูดอยู่อีกล่ะ” เมื่อก้มดูตัวตนเองก็เห็นว่า ยังมีสภาพครบถ้วนบริบรูณ์ ก็นึกต่อไปว่า “อ้าว..ที่ตายไปเห็นเผาจนไม่มีเหลือนั้นล่ะ..คืออะไร” ปัญญาแจ้งที่จิตว่า “มนุษย์เรา..เมื่อคืนธาตุคืนสังขารไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ขณะนี้คือ “วิญญาณธาตุ” ที่ยังรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่นั้น เพราะว่า ดวงจิตยังถอนสัญญาอุปาทานที่ติดอยู่กับจิตไม่ได้ แม้ไม่มีอะไรเหลือเพราะสังขารคืนสภาพความเป็นจริง ก็ยังติดว่ามีตัวตน มีสังขาร มีรูป มีนาม อยู่เช่นเดิม นี่แหละสิ่งที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของของเรา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาต่างหาก”

    พระพุทธองค์ทรงชี้แนะสั่งสอน ให้มนุษย์ทั้งหลายให้พยายามถอนสัญญาอุปาทานออกจากจิตให้ได้ ก่อนที่สังขารจะสลายไป หากถอนได้ก็เป็นอิสระ ภพชาติเป็นอันสิ้นสุด กิเลสที่ปรุงแต่งจิตมาทุกภพทุกชาติ ก็ไม่สามารถบงการจิตให้เกิดสัญญาอุปาทานได้อีกต่อไป นั่นหมายถึง..หลุดพ้นเป็นอิสระจากสิ่งร้อยรัดทั้งปวงโดยเด็ด ขาด ภพชาติสิ้นสุดแล้ว

    ในความรู้สึกขณะนั้น รู้ว่าตนเองนั้นตายไปแล้ว และสัญญาอุปาทานต่างหากที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เหลียวมองดูรอบกาย เกิดความอ้างว้าง วังเวง เดียวดาย เหมือนยืนอยู่ในป่าช้ายามโพล้เพล้ สัญชาตญาณก็เลยนึกถึงสามีขึ้นมา ในขณะนั้นเองภาพของสามีได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าไกลลิบ ด้วยความดีใจจึงกวักมือพร้อมตะโกนเรียก อนิจจา!..สามีกำลังก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยว ไม่รู้สึกไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกเลยซักนิด ปัญญาแจ้งที่จิตว่า “มาคนเดียวก็ต้องไปคนเดียว จะเอาเขาไปเป็นเพื่อนไม่ได้ เพราะต่างคน ต่างเกิด ต่างตาย ต่างวาระกัน” ผู้เขียนเกิดความหวาดกลัวมากเลยยืนร้องไห้อยู่กับที่ ไม่รู้จะเดินไปทางไหน เบื้องหน้าก็มีเพียงปากถ้ำกว้างใหญ่สองถ้ำขวาง ทางอยู่ เป็นถ้ำสว่างและถ้ำมืด ไม่มีทางอื่นให้เลือกเดิน ธรรมชาติของมนุษย์เมื่อต้องเลือกไม่ว่าใคร ก็ต้องเลือกทางสว่างกันทั้งนั้น ผู้เขียนก็เช่นเดียวกัน ได้ตัดสินใจเดินเข้าไปในถ้ำสว่าง ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปในถ้ำก็ได้กลิ่นหอมรัญจวนใจ ได้ยินคล้ายเสียงดนตรีบรรเลงก้องกังวาลไพเราะไม่มีอะไรจะเปรียบปานได้ จิตปลอดโปร่งโล่งเบาราวกับปุยนุ่น รู้สึกมีความสุขความอิ่มเอมใจมาก ไม่สามารถบรรยายความสุขที่เกิดขึ้นออกมาเป็นตัวหนังสือได้เท่ากับความรู้สึก ที่ได้รับ ในใจก็คิดว่าเราโชดดีที่เดินเข้ามาถูกทาง พอนึกถึงตรงนี้ ฉับพลันทันทีก็ มีกระแสประหลาดดึงดูดร่างให้ล่องลอยออกจากถ้ำที่ยืนอยู่ ความรู้สึกตระหนกตกใจจึงเอามือสองข้างยึดกับผนังถ้ำไว้ ปัญญาแจ้งที่จิตว่า “มนุษย์เราเมื่อคืนธาตุคืนสังขารก็เหลือแต่วิญญาณธาตุ อย่าพยายามยื้อยุดขัดขืนเลย ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ เพราะไม่มีสังขารที่จะยึดผนังถ้ำไว้ได้ สิ่งที่คิดว่าคือสังขารอยู่นั้นมันเป็นเพียงอุปาทานที่ติดอยู่ที่จิตเท่า นั้นเอง ขณะที่รู้สึกว่าร่างล่องลอยออกจากปากถ้ำสว่างแล้ว ไหลเข้าสู่ถ้ำมืดผู้เขียนได้มองเห็นเงินทอง เพชรนิลจินดาสว่างไสวส่องประกายวูบวาบตระการตามากมายกองอยู่เต็มปากถ้ำมืด แต่ความกลัวในขณะ นั้นมีมากกว่า จึงไม่มีความต้องการที่อยากจะได้ มีแต่ความต้องการที่จะขัดขืนไม่ให้ร่างลอยเข้าไปในถ้ำมืดเพียงอย่างเดียว พอร่างไหลเข้าไปในถ้ำมืด ทันทีที่สัมผัส ความรู้สึกก็เกิดอาการสะดุ้งผวา เพราะเสียง ที่อึกทึกครึกโครมนั้น ช่างสยดสยองปานประหนึ่งใจกลางมหานรก ผู้เขียนไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบเทียบ ก็เลยเอาสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือ “มหานรกอเวจี” มาเป็นเชิงเปรียบเทียบให้ฟัง ในขณะ ที่เกิดความสยดสยองหวาดกลัว ไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว ในขณะนั้นมีสิ่งเดียวที่นึกถึงคือ “องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ขึ้นมาในวาระนั้น ก็เลยร่ำร้องขอขึ้นมาว่า “ข้าพเจ้ารู้แล้วว่านรกสวรรค์เป็นอย่างไรข้าพเจ้าขอบารมีองค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้า โปรดเมตตาขอให้ข้าพเจ้าได้มีชีวิตกลับมาบำเพ็ญบุญกุศล เพื่อภพภูมิเบื้องหน้าจะได้ไม่ต้องทุกข์เวทนาหวาดกลัว ดังที่ประสบอยู่ในขณะนี้ ดีหรือชั่วที่เคยได้กระทำมาเจตนาหรือไม่เจตนา ข้าพเจ้าขอสัญญาว่าจะละเว้นความชั่วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าหากมีวาสนาจะขอบำเพ็ญภาวนาประกอบแต่กรรมดี ละเว้นกรรมชั่วจนกว่าจะสิ้นลมในชาตินี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้กลับมาบำเพ็ญบุญกุศลต่อไป ได้เกิดปัญญาแจ้งที่จิตว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามเมื่อคืนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อตายจากโลกนี้ไปจะมีกระแสบุญ-กระแสบาปเป็นเครื่องนำทาง” จากนั้นจิตก็วูบกลับมา ความรู้สึกเกิดขึ้น ลมหายใจค่อยแรงขึ้น จากนั้นจิตก็ถอนออกจากสมาธิเหมือนตื่นจากการนอนหลับแล้วฝันไป แต่แตกต่างกันที่สติสัมปชัญญะเจิดจ้ามาก ความรู้สึกชัดเจน ในวันนั้นธรรมข้อที่ว่า “ปฏิสนธิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ ตายแล้วไปไหน ก็รู้แจ้งด้วยจิต และได้รู้ว่าปัญญา “วิปัสสนา” เป็นเช่นนี้เอง” ความลังเลสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้สิ้นสุดไปอีกบทหนึ่ง เป็นบทเรียนที่ต้องผ่านพบในทางธรรม และเรื่องนี้ก็กลายเป็นเบรคที่คอยห้าม เมื่อยามที่จิตใจถูกกิเลสความอยากในรูปแบบต่างๆ บงการให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะความโลภโมโทสันที่เกิดขึ้นในกมลสันดาน ทำให้เกิดความอยากได้ในสิ่งที่ผิดๆ ไม่ให้เผลอ กระทำผิดอีกต่อไป แล้วตั้งใจว่าชีวิตนี้ขอหนีนรกให้ไกลสุดขีดเท่าที่จะ ทำได้ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เวลาผ่านมาเกือบสี่สิบปี ธรรมข้อนี้ไม่เคย ลบเลือนไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป ทำให้ได้รู้ว่าธรรมใดที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นการรู้แล้วรู้เลย ไม่มีอะไรติดข้องสงสัยเป็นการรู้ที่จิต แจ้งที่จิต เรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ ที่เกิดขึ้นกับผู้เขียนนั้น เป็นการดำเนินจิตแบบเข้าองค์ฌานที่หนึ่งถึงองค์ฌานที่สี่ จากนั้นเปลี่ยนจิตออกจากองค์ฌานให้เป็นวิปัสสนา ซึ่งเป็นแนวทางของเจโตวิมุตติ ซึ่งเป็นความถนัด และเป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมที่ผู้เขียนใช้ “เจโตวิมุตติ” เป็นแนวทางการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ประณีตเป็นเลิศที่สุด”

    คุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้าถึงธรรมะตามแนวของ เจโตวิมุตติ ต้องทำฌานให้เกิดขึ้นก่อน แล้วออกจากฌาน คือ เปลี่ยนอารมณ์น้อมเข้าสู่วิปัสสนาให้เกิดปัญญา สิ่งที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญก่อนที่จะทำจิตให้เกิดกำลังพอที่จะเข้าถึง องค์ฌาน อันดับแรกคือ การสำรวม กาย กิริยา วาจา จิต ศีล สติ สัมปัญชญะ สมาธิ

    สติ ภาวะจิตตั้งมั่นเพื่อระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    สมาธิ ภาวะจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว
    สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม
    วิตก การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์
    วิจาร การต่อเนื่องของการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์
    เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ จิต สติ สมาธิ ก็เป็นตัวขับเคลื่อนจิตเข้าสู่ภาวะ “อุปจารสมาธิ” ที่ยังไม่แน่วแน่แข็งแรงพอ ที่จิตจะเข้าภาวะองค์ฌาน “อัปนาปาสมาธิ” เป็นสมาธิที่แข็งแรงมีกำลังแก่กล้าจิตพร้อมที่จะเข้าภาวะ องค์ฌานที่ หนึ่ง คือ ปฐมฌาน จากนั้นก็จะดำเนินเข้าภาวะ องค์ฌานที่สอง-สาม-สี่ จนกระทั่งเรียนรู้อารมณ์ฌานทั้งสี่ ได้ชัดเจนว่า ในแต่ละองค์ฌานมีอะไรเกิด..มีอะไรดับ ในภาวะขององค์ฌานแต่ละองค์ฌาน ต่อจากนั้นจิตก็จะโอ้โลมปฏิโลมองค์ฌานทั้งสี่..แบบกลับไปกลับมา จนกระทั่งชำนาญการเข้าออก จนกระทั่งองค์ฌานทั้งสี่เป็นหนึ่งเดียวกัน “ปัญญา” ความรู้ก็จะเกิดขึ้น การพิจารณาเป็นเรื่องของ “ปัญญา”

    ในธรรมะที่ พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่จะให้เข้าถึงทั้ง สี่อย่างแจ่มแจ้งแบบสิ้นอาสวะจากสิ่งร้อยรัดทั้งปวง ก็ต้องดำเนินองค์ฌานที่ห้า ถึงองค์ฌานที่แปด เมื่อรูปฌานดับ เกิดอรูปฌานขึ้นมาแทน เพราะองค์ฌานที่แปด มีความสำคัญมาก ถ้าไม่ผ่านองค์ฌานที่แปด อรูปฌานเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะอรูปฌานแปด เป็นภาวะที่เข้าถึง จะว่ามีก็ไม่มี จะว่าไม่มีก็มี ฌานที่แปด เป็นภาวะองค์ฌานที่สัญญาปรุงอารมณ์ให้เป็นไปต่างๆ นาๆ ไม่ได้ จากนั้น ภาวะนี้แหละที่ อรูปฌานเกิดขึ้น คำว่า “อรูปฌาน” แปลว่า ไม่มีรูป ซึ่งเป็นลักษณะของกายละเอียด พวกเทพชั้นพรหม ที่เรียกว่า “อรูปพรหม” ภาวะจิตนี้ในความรู้ความเข้าใจ คือ ไม่มีการแสดงของรูปเป็นองค์ประกอบ เป็นภาวะรู้ที่จิต..แจ้งที่จิต..ดับที่จิต” ฌานเป็นสมถะย่อมยึดหน่วง ทำให้อารมณ์เป็นหนึ่งเดียวโดยตลอด แต่ไม่สามารกทำให้จิตเกิดปัญญาที่จะทำให้จิตหลุดพ้นได้ เพราะจิตยังติดอยู่ในฌานหรือติดสมาบัติ ถ้าตายไปก็ต้องไปเกิดเป็นพรหมซึ่งยาวนานมาก ผู้เขียนเคยตั้งใจอธิษฐานจิตว่า “ถ้าหากตายไปยังต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ขอให้ได้ไปเกิดชั้นพรหม อย่าได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเลย ขอให้มีวาสนาได้ไปเกิดตามที่ตั้งใจ” จะอธิฐานทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ออกจากสมาธิ สาเหตุเพราะเบื่อหน่ายชีวิตการเกิด ด้วยพระพุทธองค์ทรงเมตตาเพราะไม่มีครูบาอาจารย์ที่คอยให้คำแนะนำสั่งสอน ในวันหนึ่งมีนายทหารท่านหนึ่งได้หนังสือพระไตรปิฎกฉบับชาวบ้านมาฝากเล่ม หนึ่ง และ เป็นเล่มแรกที่ตั้งใจจะลองศึกษาดูว่าการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาทั้งหมด มีตรงไหนบ้างที่ไม่ถูกต้องจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง ก่อนเปิดอ่านได้ก้มลงกราบพระพุทธองค์ “ขอพระพุทธองค์ทรงโปรดเมตตาชี้แนะทางสว่างให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด” จากนั้นก็เปิดหนังสือแบบไม่มีการกำหนดหน้าหนังสือ แล้วแต่มือจะพาไป ความมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ในหน้าที่เปิดข้อความมีอยู่ว่า “พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดมีความปรารถนาที่จะไปเกิดเป็นพรหม จงละความปรารถนานั้นเสียเถิด การไปเกิดเป็นพรหมยาวนานมากจนกว่าจิตจะเสื่อมจากฌาน ซึ่งไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ ถึงเวลาก็ต้องกลับมาเกิดอีก เพราะจิตยังติดอยู่ในวัฏสงสาร พออ่านจบ ปัญญาความรู้ก็ผุดขึ้นที่จิตว่า “ทำไมพระอริยะสงฆ์ทั้งหลายจึงลงมาบำเพ็ญจนสำเร็จมรรคผลในภพมนุษย์มากมาย อย่างที่เห็นๆ” คำตอบแจ้งที่จิตว่า “เพราะเวลาของมนุษย์นั้นสั้นกว่าพรหม เป็นหมื่นเป็นแสนกัป มนุษย์ถ้ามีความเพียรอย่างมาก ก็ประมาณแปดสิบหรือเก้าสิบปี ก็สำเร็จพระอรหันต์ บางรูปใช้เวลาน้อยปี ขึ้นอยู่กับบารมีของแต่ละองค์ เกิดเป็นมนุษย์สำเร็จเร็วกว่า” เมื่อพิจารณาเห็นจริงก็เลยอธิษฐานจิต “ขอยกเลิกละจากการปรารถนาพรหมตั้งแต่นั้นมา” ฌาน จึงไม่ใช่ธรรมะขัดเกลากิเลส ฌาน เป็นปัจจัยให้ผู้ที่สำเร็จฌาน หนึ่ง- แปด เรียกว่า สมาบัติแปด เกิดกิเลสอื่นๆ เช่น ความถือตัวเหนือผู้อื่น เป็นต้น ถ้าหากไม่ใช้ฌานเป็นบาทฐานเจริญวิปัสสนา คือ ออกจากฌานแล้วไม่พิจารณา สังขาร ธรรมะความรู้แห่งความ เกิด ดับ ความหลุดพ้นจากกิเลสย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น เรื่องของฌานจึงเป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติธรรมควรศึกษา เพื่อเป็นความรู้ บางท่านอาจ จะมีจริตนิสัยในการภาวนาแนวเจโตวิมุตติโดยไม่รู้ตัว เหมือนที่ผู้เขียนเคยเป็นมาก่อน แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจทำให้เสียเวลาติดอยู่ตรงนี้นานมาก

    จากหนังสือมิติซ้อนมิติเล่ม2

    ขอขอบคุณในความกรุณาของท่านนะครับ ข้าพเจ้าเองเป็นผู้ปฏิบัติธรรมผู้หนึ่งซึี่งได้นำเอาเรื่องของครูบาอาจารย์ มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง เหตุเกิดจากอยากให้เชื่อเรื่องกรรมและภพภูมิต่างๆที่เราไม่สามารถเห็นด้วยตา มากกว่า และอีกเหตุหนึ่งคืออยากโปรโมทหนังสือของสถานธรรมภวันตุเตซึ่งรายได้นำมาเป็น ค่าใช้จ่ายต่างๆเช่นการก่อสร้าง แจกทาน และอาหารการกินของผุ้ที่มาปฏิบัติธรรมครับ เจตนาที่เป้นกุศลของท่านขอน้อมรับด้วยใจครับ ตอนนี้อาจารย์ท่านมีปัญหาเนื่องจากปีที่แล้วน้ำท่วมกัดเซาะฐานรากของตึกจน ใกล้จะทรุดตัวลงมาจึงต้องถมสระ จึงขาดปัจจัยจำนวนมากถ้าสนใจจะร่วมบริจาคได้ที่เวบ วารุณี สวัสดิภักดิ์ | Facebookหรือ สังซื้อได้ที่สำนักพิมพ์ช่อแก้ว ติดต่อ0863247404คุณเสาวนีย์ สวัสดิภักดิ์ ครับกราบขอบพระคุณและอนุโมทนากับท่านทั้งหลายมาณ.ที่นี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    โมทนากับการศึกษาธรรมกับ อ.วารุณี สวัสดิภักดิ์


    ฝากธรรมะหลวงปู่พุธ ฐานิโย
    ให้ อ.วารุณี สวัสดิภักดิ์
    ไว้ฟังยามว่างครับ
    โหลดได้ที่ไฟล์แนบข้อความครับ
    <FIELDSET style="MARGIN-BOTTOM: 6px; FONT-SIZE: 11px" class=fieldset><LEGEND style="FONT: 11px tahoma, verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; COLOR: rgb(34,34,156)">ไฟล์แนบข้อความ</LEGEND><TABLE border=0 cellSpacing=3 cellPadding=0><TBODY><TR><TD style="FONT: 11px verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif">[​IMG]</TD><TD style="FONT: 11px verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif">11.mp3 (13.60 MB, views)</TD></TR></TBODY></TABLE></FIELDSET>
     
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เนวสัญญามีสภาวะเป็นอย่างไร
    จิตว่างเปล่ามีสภาวะเป็นอย่างไร
    สี่ปีแล้วครับผมอยากเจอท่านสมาชิกท่านนี้
    ขอท่านเจริญในธรรมครับ
     
  4. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    มีข้อสงสัยในการปฏิบัติ ถามได้ที่นี่ครับ วารุณี สวัสดิภักดิ์ | Facebook
     
  5. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ผมว่าเสียเวลากับฌาน ดีกว่าเสียเวลากับอย่างอื่นมาก

    “นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส
    นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน
    ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญาจ นิพฺพานสฺ เสว สนฺติเก

    ฌานย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีปัญญา
    ปัญญาย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีฌาน
    ผู้ที่มีทั้งฌานและปัญญา จึงจะอยู่ใกล้พระนิพพาน.”


    บุคคลผู้นิยมฌาน นั่นแสดงว่านิยมความสงบ ซึ่งแปลว่าหันทิศทางของจิตไปยังพระนิพพาน
    แต่จะไปถึงเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับกำลังใจในการเจริญวิปัสสนา
    อย่าลืมว่าสังโยชน์ ๕ ข้อสุดท้ายที่พระอานาคามีต้องละ ๒ ข้อในนั้นคือ รูปราคะและอรูปราคะ

    การเจริญฌานนั้นจึงควรมีบาทฐานเริ่มต้นคือสัมมาทิฐิ
    และการพิจารณาในด้านวิปัสสนา (ในความเห็นของผมสองอย่างนี้เนื่องกัน)

    การเจริญกรรมฐานใดๆ ควรตั้งอธิษฐานไปพระนิพพานเลย
    ตกหล่นยังไงก็ยังดี

    ส่วนการสำเร็จในขั้นมรรคผลนั้น มนุษย์ช้ากว่าเทวดาและพรหมมากครับ
    มนุษย์มีสติดีกว่าเท่านั้นเอง
    แต่อย่าให้เทวดาและพรหมตั้งสติได้นะครับ.. มนุษย์ตามไม่ทันหรอก
     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ขอบคุณครับ
    ผมพยายามแล้วครับ
    แต่มีข้อที่ผมไม่สามารถทำตามกติกาง่ายๆที่ท่านต้องการได้
    อีเมล์ผมลืมไปแล้วครับว่าผมใช้อะไรเป็นสื่อ
    ผมยืมคอมเขาใช้มาตลอดครับ

    ต้องขอขอบคุณหิมะนะครับที่ไม่ลบผมออกจากสมาขิกตั้งสามปี
    บังเอิญผมจำระหัสเข้าได้เท่านั้นเอง
    และไม่เอาแล้วครับ
    ผมต้องการอยู่อย่างสงบ
    คุยกับเพื่อนไปตามกาลดีกว่าไหมครับ

    ทีผมรอถามเรื่องเนวสัญญานี้
    คือผมมีเรื่องถามต่ออีกครับ
    ว่าทีกำ กรรม.........ไว้ทั้งหมดนี้
    คุยกับใครได้รู้เรื่องอืกไหมเท่านั้นเองครับ
    ขอท่านเจริญในธรรมครับ
     
  7. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    เบื้องบาทควรได้นิพพิทาญาณก่อน แล้วจึงเจริญในฌานให้ไปจนถึงที่สุดดับสัญญาและเวทนา วิปัสสนาเริ่มตรงพิจารณาให้จิตเกิดนิพพิทาญาณก่อน ให้เบื่อหน่ายในร่างกายตน เมื่อเบื่อหน่ายในร่างกายตน ก็จะเบื่อหน่ายในร่างกายผู้อื่นเช่นกัน ยากตรงนี้แหละครับ เป็นเบื้องบาทขององค์ฌานที่จะเป็นโลกุตตระ เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์
     
  8. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    [​IMG]
    ที่สถานปฏิบัติธรรมภวันตุเต เป็นทะเลน้ำจืด ช่วงน้ำท่วม ภาพพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เป็นภาพที่สวยมากภาพหนึ่ง
    [​IMG]
    ภาพเจ้าเป็ดน้อย ลงเล่นน้ำ ก่อนที่ชาวนาจะปลูกข้าว
    [​IMG]
    เจ้าเป็ดน้อย ปรึกษากันว่าพวกเราจะได้เล่นน้ำอย่างนี้คงได้อีกไม่กี่วันเดี่ยวชาวนา เขาก็ทำนากัน พวกก็คงไม่ได้เล่นน้ำอีกแล้ว เสียดายจังเลย เน๊อะ
    [​IMG]
    โอ้ยพวกเรา สนุกกันจังเลย เล่นน้ำเย็นฉ่ำ
    [​IMG]
    นี่พวกเรารู้ไหมว่า อีกไม่กี่วัน จะถึงวันตรุษจีนแล้ว พวกเราคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว สนุกกันให้พอ แล้วก็ลากันก่อนนะเพื่อน
    [​IMG]
    หลังจากเล่นน้ำอย่างมีความสุขแล้ว เจ้าเป็ดน้อยก็เตรียมตัวตั้งแถวเดินกลับบ้าน
    [​IMG]
    ขณะที่ไถนาอยู่ นกกระยางขายาว บินมากินหอย มากันเป็นฝูง

    [​IMG]
    นกนับร้อย พากันมากินข้าวที่ชาวนาหว่าน พอได้ยินเสียงดัง ตกใจบินขึ้นพร้อมๆ เป็นฝูงใหญ่ เป็นภาพที่สวยมาก
    [​IMG]
    ภาพต้นข้าวต้นอ่อนในนา
    [​IMG]
    ภาพต้นข้าวสีเขียวอ่อนมองสุดตา สวยมาก
     
  9. KRIDROCKER

    KRIDROCKER Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +95


    ชอบโพสท์ของท่านครับ
    ผมว่า 8 ไม่เอา เด๋วจะช้า มุ่งไป 3 เลยดีกว่ามั้ยครับ
    อีกอย่างหนึ่ง ผ่านมาสองพันกว่าปี สัญญาค่อยเปลี่ยนไป คนสมัยนี้ (อิอิ อย่าจิ จุ๊บุๆ)
    อีกนิดนึงครับ ความลังเลสงสัย กั้นความดีได้นะครับ.
     
  10. วิชย

    วิชย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +67
    อนุโมทนาสาธุกับ อ.วารุณี ด้วยนะครับ กระผมจะตั้งใจปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมที่ถ่องแท้ให้จงได้ครับ
     
  11. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากเข้าเนวสัญญาได้นี้จิตจะปภัสสรหรือไม่อย่างไรครับ
    คือจิต
    อยากให้ว่างก็ว่างอยากให้มีก็มีดังทีเพื่อนโพสอยู่

    และปัญญาเกิดอย่างไรครับ
    ผมจะถามว่าขณะที่เราลืมตาอยู่หรือไม่ที่จะเห็นธรรมหรือเข้าใจธรรม
    หรือขณะที่เราหลับตาอยู่เท่านั้น

    แล้วทำไมเริ่มมาจากกุศลาก่อน
    ผมขอถามอีกว่าทำไมกำหนดเช่นนั้นแล้วถึงเรียกตรงนี้ว่าธรรม
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีสี่หมื่นแปดพัน
    ต้องเริ่มที่กุศลาก่อน
    แล้วแสดงไว้สามตอน
    สุดท้ายคืออพยากต........บางตำราอัพยากฤต

    ทำไมไม่พยาบาทหรือพยายามว่า.......กะหรือตะ
    หรืออย่างไรครับตรงนี้ผมไม่เข้าใจ

    หากเป็นเนวสัญญาแล้วเท่าที่ผมฟังมาเท่าที่ได้มีหลักฐานจากบรรดาศิษย์
    คือหลวงปู่มั่น
    และเท่าที่ได้ยินจากเทปคือหลวงปู่ดุลย์
    แต่คงมีอีกมากมายหลายท่านที่มีนะครับ
    แต่ทำไมไม่เป็นที่แจ้งในปริยัติ
    ว่าอิติปิโสแล้วต้องตามด้วยภควาเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
    ทำไมเป็นเช่นนั้น

    คนรู้ธรรมมีมากครับแต่ท่านคงกลัวเปื้อนโคลนที่พวกเราชอบสาดกันไปมา
    ท่านเลยไม่มาเล่น

    ขอท่านเจริญในธรรมครับ
     
  12. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ผมแบ่งครึ่งเส้นมายาวมาก
    แบ่งครึ่งสามเหลื่ยม
    สี่เหลี่ยม
    จนวงกลมแล้วเป็นกลางในวงกลม
    แล้วหลุดมาอีกฟากหนึ่ง
    ไปไหนมาไม่รู้แต่ใครบอกให้ทำอะไรเอาอะไรไม่เอาสักอย่าง
    สิ่งที่เขาว่ามีๆ ผมว่าเหมือนเคยมีเท่านั้น
    คิดอีกเท่าไรก็จำไม่ได้
    ขนาดบอกแล้วก็ไม่จำไม่ทำ
    สุดท้ายไม่รู้ว่าจะไปจะเอาอะไรมาทำไมเท่านั้นเองขอรับ
    แต่ตอนนี้ไปไม่หลุด
    ราเกิดที่หู
    ติดครับ

    ขอท่านเจริญในธรรมนะครับ
     
  13. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ผมถามอาจารย์ท่านแล้ว อาจารย์บอกว่าอยากถามจริงมาที่ภวันตุเตดีกว่า ครับติดต่อมาละกัน ทางเฟสบุคของอาจารย์ท่านรับครับ
     
  14. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    กะจะโปรโมทคนนี้ให้ติดตลาดเลยหรือไงครับ มันเรื่องปกติครับ ที่เข้าญาณแล้วเห็นนู้นเห็นนี้ แค่มีปัญญามาวิเคราะห์และกำกับ มันก็ได้คำตอบแล้ว ใครๆก็ทำได้ ลากยาวซะให้เห็นคนนี้เป็นคนวิเศษหรือไงครับ แค่คนแก่ๆ
     
  15. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    คิดดีได้ดีครับ ทำอย่างไรได้อย่างนั้นครับ
     
  16. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กราบขอบพระคุณมากครับ
    ผมสร้างอีเมลใหม่ไม่ได้จริงๆ
    และโดยเหตุคือไม่อยากสร้างนะครับ
    ผมพูดปดไม่ได้ครับ คือไม่พูดปด
    เอาเป็นว่าในจักรวาลนี้มีทางโคจรได้โดยไม่มาพบกัน
    ต่างคนต่างทำหน้าที่
    คือรักและปรารถนาดีต่อเพื่อน
    สิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยมีหรอกครับคนที่ดมแต่ไม่กิน
    คืออุดมภ์การณ์
    หายากครับแต่มีอยู่ครับผมเชื่อ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งนะครับ
     
  17. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    บางครั้งเจตนาที่ดีไม่ต้องเป็นคนดีก็ได้นะครับ
    เพียงเป็นอุบายเท่านั้นเพือ่ให้เราเข้าไปเข้าใจตัวเอง
    โดยคนสร้างยอมเป็นเหยื่อสังคม
    ผมไม่เจาะจงโพสของเพื่อนตรงนี้นะครับ
    ผมเห็นมีหลายโพส
    อยู่ที่ว่าเราพิจารณาไหมว่าทำไมเขาทำอย่างนั้นทำไม
    มีเจตนาอะไร หรือไม่อย่างไรครับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งครับ
     
  18. สมพิศเปรม

    สมพิศเปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +361
    คิดดี ทำดี ก็จะได้ดี
     
  19. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ขออนุโมทนาบุญกับท่านผุ้ใจบุญทั้งหลายที่ได้ร่วมปัจจัยถมสระ ซัึ่งอยุ่ระหว่างศาลาปฏิบัติธรรกับศาลาแจกทาน มาณ.ที่นี้ด้วย



    [​IMG]
     
  20. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    อย่าหลงจิตครับ
    หลวงพ่อท่านหนึ่งท่านกล่าวว่าผมไม่เอ่ยนามนะครับเพราะท่านละสังขารแล้ว
    จิตมันหลงสังขาร
    ท่านกล่าวว่าพระอาจารย์ถามว่าจิตท่านสงบดีอยู่หรือ
    จิตท่านสงบดีอยู่หรือ

    มาถึงตรงนี้แล้วไม่ง่ายเลยครับ
    ท่านกล่าวว่าจิตมันสงบเพราะมันหลงสังขาร

    ยังไม่จบครับ
    เพราะพระนางสิริมหามายาแปรเป็นไทยว่าอย่างไร

    หากเป็นนิทานไทยนะครับผมเลี่ยงการปรามาสพระธรรมแล้วนะครับ
    หากเป็นนิทานไทยห้าร้อยเล่มเกีวยน แถมอีกสามกระสอบครับ
    อย่าหลงจิตคิดว่าใช่

    หากรู้จริงต้องธรรมานุสติกรรมฐาน
    นี่แหละครับแปดแล้วใครแปดบ้างขอรับมแปดไม่ใช่ ม..ยี่สิบเอ็ดหรือห้าร้อยเล่มแถมอีกสามกระสอบ

    ใครเล่นธรรมานุสติกรรมฐานบ้างขอรับ
    เขาไม่มีจิตและมีใจหรือไม่อย่างไร

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...