ตามรอย "พระมหาชนก"

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 15 กรกฎาคม 2010.

  1. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ช่วงระยะนี้ผมขอพิจารณามองย้อนกลับไปหาอดีตเพื่อความรู้เท่าทันกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน...
    ผมมีความเชื่อมั่นว่าหลายๆท่านที่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างใกล้ชิด ก็คงจะพอทราบได้ว่า ก๊กไหนชักธงรบเพื่อปกป้องสถาบัน ก๊กไหนสร้างปัญหาให้บ้านเมืองเพื่อล้มล้างสถาบัน คงเป็นที่ชัดเจนแล้วนะครับ เหตุการณ์ต่างๆที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้คงจะพอบอกท่านทั้งหลายได้ว่าก๊กไหนเป็นก๊กที่๑ และก๊กไหนเป็นก๊กที่๒ ผมมีความเชื่อมั่นเป็นส่วนตัวว่ามีท่านผู้รู้หลายๆท่านทราบเป็นอย่างดีครับ ก่อนเกิดศึกช้างชนช้างตามที่ในหลวงทรงบอกกับคนไทยนั้น ต้องรอให้ก๊กที่๓ เกิดขึ้นหรือมารายงานตัว มาเป็นลำดับขั้นลำดับตอนก่อนครับ เพื่อให้ทั้ง๓ก๊กเห็นทั้งหมดก่อน ดังนั้นผมจึงรอคอยก๊กที่๓ อย่างเชื่อมั่นว่า อีกไม่นานเกินรอ... ณ. วันนี้ก๊กที่๓ได้มารายงานตัวแล้วและเป็นข่าวเรียบร้อยแล้ว และมีผู้รู้หลายๆท่านก็คงจะทราบข่าวคราวเช่นเดียวกันครับ
    ท่านผู้รู้ทุกๆท่านก็คงจะพอทราบและประเมินสถานการณ์เป็นอย่างดีกันแล้วนะครับว่า จะเกิดศึกช้างชนช้างขึ้นก่อน หรือเกิดการรบราฆ่าฟันกันก่อน ของทั้ง๓ก๊ก ผมมีความเชื่อมั่นลึกๆว่ามีผู้รู้หลายท่านทราบเป็นอย่างดี
    ครับเรื่องนี้ผมได้พิจารณาแจ้งบอกไปแล้วเช่นเดียวกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ช่วงระยะนี้ผมขอพิจารณามองย้อนกลับไปหาอดีตเพื่อความรู้เท่าทันกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน...

    ก๊กที่๓ ได้มารายงานตัวแล้วครับ...

    อดีตสหายภาคอีสานฟื้น กองทัพปลดแอกฯปกป้องชาติ ยื่นคำขาด จาตุรนต์-ธิดาหยุดเคลื่อนไหว<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <TABLE style="mso-cellspacing: 0in; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 3.0pt 3.0pt 3.0pt 3.0pt" class=MsoNormalTable border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; PADDING-BOTTOM: 3pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 3pt; PADDING-RIGHT: 3pt; BORDER-TOP: #f0f0f0; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; PADDING-TOP: 3pt">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์<o:p></o:p>
    </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; PADDING-BOTTOM: 3pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 3pt; PADDING-RIGHT: 3pt; BORDER-TOP: #f0f0f0; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; PADDING-TOP: 3pt">15 มิถุนายน 2555 15:13 น.<o:p></o:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <o:p> </o:p>
    อุดรธานี - พี่น้อง ผรท.หรืออดีตสหายใน 20 ภาคอีสานบุกเมืองหลวง เสื้อแดงชุมนุมแสดงพลังปกป้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกอดีตเพื่อนร่วมอุดมการณ์ “จาตุรนต์-ธิดา” ย่ำยีทำลาย ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญของแผ่นดิน ประกาศฟื้น “กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” พร้อมเรียกร้องอดีตสหายที่กระจายอยู่ทุกพื้นที่เข้ารายงานตัวแกนนำในเขตงานของตัวเองด่วนเพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจสำคัญเพื่อชาติ ยื่นคำขาดทั้งนายจาตุรนต์และนางธิดาต้องยุติการเคลื่อนไหวทำลายสถาบันหลักของชาติบัดเดี่ยวนี้
    วันนี้ (15 มิ.ย.) เวลาประมาณ 10.30 น. ที่ศาลาพิธีสนามทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) อีสาน 20 จังหวัด กว่า 7,000 คน ได้รวมตัวเดินทางมาชุมนุมเพื่อแสดงพลังปกป้องสถาบันตุลาการ โดยเรียกร้องให้นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช.และพวก ยุติการล่ารายชื่อเครือข่ายคนเสื้อแดง เพื่อยื่นถอดถอนคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนั้นได้อ่านแถลงการณ์ประกาศจุดยืนของ ผรท.ฉบับที่ 2

    ระหว่างการชุมนุม แกนนำ ผรท.จากจังหวัดต่างๆ ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยโจมตี พฤติกรรมของกลุ่มคนที่ออกมาเคลี่อนไหวทำลายความชอบธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ได้ลงมติให้สภาฯ ชะลอการพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการกระทำของนางธิดา และแกนนำคนเสื้อแดงถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ

    ทั้งนี้ นายทองดี นามแสงโคตร หรือสหายพิชิต ได้แถลงการณ์ฉบับที่ 2 โดยมีเนื้อความระบุว่า เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้ได้มีบุคคลและกลุ่มบุคคลบางพวกที่ไม่ยอมรับ ไม่เคารพต่อคำสั่งสถาบันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย โดยบิดเบือนข้อเท็จจริงอันจะเกิดมหันตภัยอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ

    พฤติกรรมของนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช.และพวก ได้กระทำการตั้งโต๊ะออกล่ารายชื่อเพื่อดำเนินการถอดถอนคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีคำสั่งให้มีการชะลอการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น พวกเราในฐานะประชาชนคนไทย ผู้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้อำนาจอธิปไตยภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ใช้ปกครองประเทศ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า การกระทำดังกล่าวของนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ และพวกนั้น ถือเป็นการข่มขู่คุกคามคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างให้อภัยไม่ได้ และถือว่าเป็นการกระทำเพื่อผลประโยชน์ของคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น

    พวกเราจึงขอเรียกร้องให้นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ และพวก ได้ยุติพฤติกรรมดังกล่าวโดยเด็ดขาด และขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันแสดงพลังเพื่อปกป้องสถาบันที่สำคัญของชาติไทยให้คงอยู่ตลอดไป

    และเพื่อให้การรวมพลังของพี่น้องผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรือ ผรท.เป็นไปอย่างมีเอกภาพ นับจากนี้ต่อไปพวกเราขอใช้ชื่อกองกำลังนี้ว่า “กองทัพปลดแอกประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” สุดท้ายนี้ ขอเรียกร้องให้นักรบประชาชน เพื่อประชาธิปไตยทุกๆ ท่านที่ยังกระจายกันอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ได้กลับเข้ามารายงานตัว กลับสู่กรมกองของท่านโดยเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจสำคัญ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังอ่านแถลงการณ์เสร็จ นายทองดี นามแสงโคตร หรือสหายพิชิต ตัวแทนกลุ่ม “กองทัพปลดแอกประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” ได้ยื่นแถลงการณ์ต่อนายนพวัชร สิงห์ศักดิ์ดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี

    นายคำพอง โคตรทา หรือสหายภูซาง สมาชิก ผรท.จากจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวว่า ถึงแม้การออกมาชุมนุมแสดงพลังครั้งนี้จะช้าไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าไม่ออกมา และเมื่อพวกเราออกมาแล้วเราจะประกาศให้คนทั่วไปรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ และจะทำอะไรจากนี้ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและของชาติ การที่มีกลุ่มคนออกมาต่อต้านพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น ถือได้ว่ากลุ่มคนพวกนี้เป็นกลุ่มบุคคลที่เสียผลประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

    หากกลุ่มคนพวกนี้ยังไม่หยุดเคลื่อนไหวหรือยังกล่าวหาดูหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญอีก ทางแกนนำ ผรท.ในนามกองทัพปลดแอกประชาชน เพื่อประชาธิปไตยในจังหวัดภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัดจะนัดหารือกันเพื่อกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในเร็ววันนี้

    ด้านนายพนม พรหมพินิจ หนึ่งในแกนนำกองทัพปลดแอกประชาชน เพื่อประชาธิปไตย กล่าวต่อว่า ในวันนี้พวกตนออกมาปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเสาค้ำของสังคม ถ้าไม่มีศาล ไม่มีสถาบันตุลาการ บ้านเมืองก็เหมือนไม่มีกฎหมาย ซึ่งการมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตรวจสอบและชี้แนะผิด-ถูก ถือเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับสังคมประชาธิปไตย

    โดยกลุ่มอดีตสหายในพื้นที่ต่างๆ เมื่อทราบว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตสหายที่เคยร่วมอุดมการณ์ออกมาเคลี่อนไหวมากดดันศาล ดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งยั่วยุเรียกคนไปต่อสู้กับศาลรัฐธรรมนูญ จึงได้เรียกประชุมพี่น้องกันทันที และเห็นพ้องร่วมกันว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง เคยอยู่ในป่า เคยเคลื่อนไหวกับพี่น้องสหาย โดยพี่น้องสหายให้การดูแล ให้ข้าวแดงแกงร้อนกับเขามาก่อน การที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง ไปเล่นการเมือง หรือเคยเป็น ส.ส.นั้นพวกเราไม่ติดใจ

    แต่การออกมาพูดโจมตีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สถาบันหลักสำคัญของชาติได้สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มสหายเป็นอย่างมาก อุดมการณ์เพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองของเขาเปลี่ยนไป มุ่งรับใช้นายทุนการเมืองมากกว่าประชาชน ดังนั้นพวกเราจึงมีความจำเป็นต้องออกมาแสดงจุดยืนในครั้งนี้

    นอกจากนี้ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ก็เคยเข้าป่าเคยร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับพวกเรา และเคยได้รับเลือกเป็นกรรมการสำรองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งเขาเคยทำให้ป่าแตก สร้างความแตกแยกความสามัคคีของพี่น้องสหาย หลังจากนั้นนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ก็รีบออกจากป่าเข้ามาอยู่ในเมืองกรุง พวกเราบรรดาสหายทั้งหลายก็ยังให้อภัยเขา

    แต่วันนี้นางธิดาก็ยังมาละทิ้งอุดมการณ์ ไม่รักชาติบ้านเมือง ทำลายความมั่นคงของชาติ พวกเราไม่อยากให้สหายที่มีอยู่ทั่วประเทศสับสน จึงต้องออกมาเคลื่อนไหวและขอเรียกร้องให้ทั้ง 2 คน ทั้งนายจาตุรนต์ และนางธิดา ยุติบทบาทในการเคลื่อนไหวกดดันทำลายศาลรัฐธรรมนูญทันที

    ครับเรื่องนี้ผมได้พิจารณาแจ้งบอกไปแล้วเช่นเดียวกันครับ...<!-- google_ad_section_end --><!-- / message --><!-- attachments -->
    <o:p></o:p>


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. komsant

    komsant เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +262
    ขยับม้า

    หมากตานี้เดินได้ดีครับ แม้แต่คนข้างเดียวกันก็ต้องหยุดคิดว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วพวกเขาจะเป็นอย่างไรในเมื่อ ม้าศึกเดินไปคนละทาง คนละยุทธศาสตร์
     
  4. dang_sa

    dang_sa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +59
    ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 560292.jpg
      560292.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.7 KB
      เปิดดู:
      292
  5. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368
  6. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ผมขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ นำประวัติ และเรื่องปาฏิหาริย์ของ หลวงปู่พระภูริยะเจ้า หรือพระเทพโลกอุดรองค์ที่๕ นามว่า โอภาสี มาเสริมครับ เพื่อรอพิจารณามองย้อนกลับไปหาอดีตเพื่อความรู้เท่าทันกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน…”เพราะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเกี่ยวกับในเรื่องพระมหาชนก อย่างลึกลับ ลึกลับอย่างไร เมื่อถึงเวลาคนบุญที่รอดชีวิตจะทราบเอง ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะอยู่สายบุญไหนก็ตาม ท้ายสุดก็จะไหลมารวมเป็นสายบุญสายเดียวกัน ที่เป็นหนึ่งเป็นเลิศ คือสายบุญ .. ทุกอย่างมีคำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้วขอให้คนบุญทั้งหลายพิจารณาเถิด…“ โดยเฉพาะในยุคภัยพิบัตินี้ เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง คนบุญจะได้ใช้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีปัญญา มีความสามารถเข้าใจและประยุกต์ใช้งานได้มากน้อยแค่ไหน...ดังนั้นเนื้อหาตรงนี้จึงไม่สามารถแยกออกไปสร้างกระทู้ใหม่ได้ครับ... ขอน้อมกราบขอบพระคุณ ข้อมูลบางส่วนจาก ร... เปี่ยม บุณยะโชติ และวัดหลวงพ่อโอภาสี มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  7. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ประวัติหลวงพ่อโอภาสี(ตอน ๑)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นายชวน มะลิพันธุ์ เกิดที่บ้านตรอกไฟฟ้า อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เป็นลูกคนโตจากทั้งหมด๘คน บิดามีเชื้อสายจีน ครอบครัวมีฐานะพอกินพอใช้ ดังนั้นคนโตต้องเสียสละให้น้องๆได้เรียน แต่ ด.ช.ชวนรบเร้าว่าอยากเรียนหนังสือ พ่อก็เลยพาไปฝากไว้ที่วัดใกล้ๆบ้าน คือวัดใต้(วัดนันทาราม)เพื่อจะได้เรียนไปด้วยช่วยงานทางบ้านไปด้วย จนกระทั้งอายุ๑๕ปี นายชวนต้องการที่จะเรียนต่อ จึงได้ขอบวชเป็นสามเณร ที่วัดใต้ อีกทางก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายทางบ้านไปในตัว โดยมีท่านสมภารนนท์ เป็นเจ้าอาวาสวัดใต้ ในขณะนั้นเป็นผู้บรรพชาในราวๆ พ.ศ.๒๔๕๖ ท่านสมภารชวนเห็นว่า สามเณรชวน ท่านรักในการเรียน มีความฉลาด จึงอยากจะส่งเสริมให้เรียนสูงขึ้นไปอีกในทางปริยัติธรรม ท่านก็เลยพาไปฝากให้อยู่ศึกษาที่วัดท่าโพธิ์ ต.ท่าโพธิ์ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งในสมัยนั้นเป็นสำนักปริยัติธรรมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนครศรีธรรมราช<o:p></o:p>
    สมเณรชวนศึกษาได้อยู่๓ปี ท่านเป็นคนเรียนเก่งมาก เข้าใจหลักธรรมได้ดี จึงสอบได้ทุกปี เพียง๓ปีก็สอบได้นักธรรมเอกแล้ว ครูบาอาจารย์ในสำนักวัดท่าโพธิ์มีความเห็นตรงกันว่าควรส่งเสริมให้เรียนต่ออีกทางด้านภาษาบาลี ณ สำนักเรียนวัดบวรนิเวศที่กรุงเทพฯ ท่านเรียนภาษาบาลีไม่นานก็อายุครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบวรนิเวศ ท่านมีความรู้ทางด้านเปรียญจึงได้เป็นพระมหา ท่านได้ศึกษาอยู่ที่วัดบวรนิเวศหลายปี อยู่จนได้เปรียญธรรม๘ประโยค และเก่งทางด้านภาษาต่างๆอีกมาก จนเชี่ยวชาญในหลายภาษา เช่น บาลี สันสกฤต ฮินดู อังกฤษ เป็นต้น เป็นที่ยอมรับกันในบรรดาเพื่อนสหธรรมิก และครูบาอาจารย์ของท่านมากมาย จนได้รับหน้าที่เป็นครูสอนปริยัติธรรมทั้งบาลีและสันสกฤต ลูกศิษย์ที่ท่านเคยสอนไว้หลายรูป ณ สำนักวัดบวรนิเวศนี้ ส่วนใหญ่จะได้เป็นพระเถระผู้ใหญ่ในคราวต่อมาของประเทศไทย<o:p></o:p>
    พระมหาชวนท่านเป็นนักแต่งหนังสือที่มีชื่อเสียงหาตัวจับได้ยาก แต่งเทศนาวันมาฆบูชา วิสาขบูชาประกวดกัน หลวงพ่อก็หยิบรางวัลที่๑ไปกินถึง ๓ปี ติดๆกัน แม้ในการแต่งโครงฉันท์กลอนก็หาคนเทียบได้ยาก เฉพาะอย่างยิ่งเวลาเฉลิมพระชนม์พรรษา หนังสือพิมพ์หลายฉบับพากันไปขอให้ท่านช่วยเขียน ท่านเป็นครูอบรมพระบวชใหม่ เป็นครูสอนภาษาบาลี เป็นครูสอนนักธรรม เป็นครูสอนนักเรียนฝึกหัดครู ป.. อยู่ถึง๑๒ปีเศษ <o:p></o:p>
    ต่อมามีการแปลพระไตรปิฎกออกเป็นภาษาไทยดังที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้หลวงพ่อโอภาสีเป็นหัวแรงท่านหนึ่ง ถึงกับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงเขียนหนังสือยกย่องชมเชยไว้อย่างยืดยาว แต่ครั้นพอท่านร่วมมือสร้างพระไตรปิฎกจบแล้ว นิสัยใจคอหลวงพ่อโอภาสีเปลี่ยนแปลงไปเกือบจะเป็นคนละคนก็ว่าได้ ข้าวของทรัพย์สมบัติ ที่มีอยู่ท่านบริจาคเป็นทานให้ใครต่อใครจนเกือบหมด ตลอดจนแม้เงินทอง ขณะนั้นท่านมีรายได้มาก เช่นจากคุณนายเวียน ถนนสี่พระยา พระยาประศาสตร์แห่งกรมวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีบรรดาเจ้านายได้ถวายจตุปัจจัยหลวงพ่อเป็นประจำเดือนละ ๔๐๖ บาท แต่ท่านไม่ยอมรับจตุปัจจัยเดือนจากท่านผู้ใดเลย ถึงอย่างไรก็ตามผู้บริจาคยังอุตส่าห์จัดข้าวของไปถวายอยู่ตลอดเวลา ส่วนหลวงพ่อก็บริจาคต่อไปอย่างไม่ยอมหยุดยั้ง เหลือจากบริจาคก็เริ่มทำพุทธบูชา มีเจ้านายหลายพระองค์นำปลอกบุหรี่ซิการ์ไปถวาย ท่ารวบรวมไว้ได้เป็นจำนวนหมื่น แล้วถวายเป็นพุทธบูชาทั้งสิ้น หลวงพ่อชอบสะสมคดต่างๆ (คดหิน คดไม้ คดตาแมว) ไว้ได้ประมาณถึง ๒หีบเหล็ก แล้วก็นำไปถวายเป็นพุทธบูชาหมดอีก ต่อมาท่านเล่นพระบูชา เก็บไว้เป็นจำนวนร้อยๆองค์ และแล้วท่านก็ถวายพระสงฆ์บ้าง ฆราวาสบ้าง ต่อจากนั้นหลวงพ่อก็เล่นพระเครื่อง แล้วก็บริจาคไปอีกเช่นเดียวกับพระบูชา จากนั้นมา ท่านก็เริ่มเข้านั่งสมาธิทุกๆคืน คืนละ ๓ชั่วโมง ระหว่างนั่งสมาธิท่านบอกว่าได้พระบรมธาตุ ซึ่งเสด็จมา ๑องค์อยู่ในพาน นับแต่นั้นมาท่านก็ได้เสด็จมาเพิ่มเติมอีกนับเป็นจำนวนร้อยๆ<o:p></o:p>
    พระมหาชวนสมัยอยู่วัดบวรนิเวศนั้นท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมากๆ และยังสนใจศึกษาทางด้านวิปัสสนากรรมฐานอีก จึงทำให้ท่านมีวัตรปฏิบัติที่ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากพระนักศึกษาธรรมทั่วไป ท่านใช้ชีวิตสันโดษ มีความคิดเรื่องธรรมลึกซึ้งมากๆ มีความรู้ด้านปริยัติธรรมอย่างแตกฉาน ซึ่งจะพบเห็นได้จากหนังสือบทกลอนเก่าๆที่ท่านเคยเขียนเอาไว้ในสมัยอยู่วัดบวรนิเวศ ซึ่งในตอนนั้นท่านได้เปลี่ยนชื่อท่านเองเป็น โอภาสี แล้ว โดยท่านได้ให้เหตุผลในการเปลี่ยนชื่อไว้ว่า พระมหาชวนนั้นได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว ต่อแต่นี้ไปมีแต่เรา โอภาสี เหลืออยู่เพียงเท่านั้นเอง โอภาสี คือ ผู้ถวายเพลิงเป็นพุทธบูชา โอภาสี แปลว่า มีแสงสว่างเป็นปกติแล้วหลวงพ่ออายุเท่าใดแล้วขอรับ ใครคนหนึ่งถามด้วยความอยากรู้เป็นกำลัง หลวงพ่อโอภาสีตอบแบบให้กลับไปคิดว่า ในโลกก็หกสิบปีแล้ว แต่อายุจริงนั้นอาตมาไม่รู้เลย มันเนิ่นนานเป็นยิ่งนัก ท่านจึงใช้นามปากกาเขียนแต่งหนังสือแจกคนที่สนใจหลักธรรมของท่าน นามว่า โอภาสี บวรนิเวศ แต่เมื่อเป็นโอภาสีแล้ว ผิดกันเป็นคนละคน พูดจาเสียงดัง และโฮกฮากมีอารมณ์ร้อนเหมือนไฟ เหมือนกับเป็นคนละคน <o:p></o:p>
    ความเป็นอยู่ของท่านค่อนข้างแปลกไปจากพระในวัดทั้งการปฏิบัติทั่วไปหลายๆอย่าง ท่านมุ่งหวังไม่ใช่เพียงเพื่อต้องการศึกษาพระปริยัติธรรมเท่านั้น หากมีความปรารถนาความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายทั้งปวง เพื่อมุ่งให้สำเร็จอรหันต์ดับกิเลสให้หมดสิ้นไป นับตั้งแต่นั้นมาท่านจะพูดกับคนที่พบเจอท่านว่า พระหมาชวนนั้นได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปเหลือเพียงเรา โอภาสีเท่านั้น<o:p></o:p>
    นับตั้งแต่นั้นมา ของทุกอย่างที่เป็นของส่วนตัวของท่าน ท่านจะนำไปเผาไฟหมดสิ้นไปทุกอย่าง เคร่งครัดในการทำวัตรเช้า-เย็น และปฎิบัติสมาธิกรรมฐานโดยการบูชาไฟ หรือเพ่งกสิณไฟในรูปแบบใหม่ ซึ่งแตกต่างไปจากพระมหาชวนคนเดิมและพระภิกษุในวัดบวรนิเวศนั้นด้วย แต่ก็มีคนศรัทธาและนับถือท่านมากไปกว่าเดิมเสียอีก และสิ่งที่แปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านจะนับถือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ มากๆ ซึ่งจะสังเกตได้จากภาพถ่ายต่างๆในกุฏิของท่านจะเป็นรูปรัชกาลที่๕ มากมาย และรูปถ่ายของท่านส่วนมากจะมีพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่๕ ถือไว้ที่มือท่านเสมอ และท่านยังมีรูปหล่อทองเหลือง ทองแดงรมดำ บูชาอยู่ในกุฏิของท่านตลอด หลวงพ่อโอภาสีได้กล่าวสรรเสริญพระบารมีรัชกาลที่๕ ไว้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่มีบุญญาภินิหารอันยิ่งใหญ่มาก ปรากฏพระนามไปทั่วทิศ ทรงเล็งการณ์ไกลอะไรไว้ไม่เคยผิดพลาด อีกทั้งทรงเปรื่องปราชญ์ชำนิชำนาญในการรัฐประศาสน์และทรงพุทธวินัยอย่างเคร่งครัด ทรงปลดปล่อยทาสให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินสยาม”<o:p></o:p>
    ในวัดบวรนิเวศในแต่ละวันนับแต่นั้นมา ท่านจะไม่ค่อยพูดจากับพระในวัดสักเท่าไหร่ ท่านพูดจาเท่าที่จำเป็น ท่านจะเน้นการปฏิบัติมากๆ จนพระในวัดเห็นการบูชาเพลิงของท่านในแต่ละวันเป็นเรื่องแปลกพิสดารกันไปตามๆกัน พระบางองค์ก็กลัวไฟจะไหม้กุฏิและวัด และในบางครั้งท่านได้ออกเดินธุดงค์ไปหาความสงบสุขตามป่าตามต่างจังหวัดต่างๆบ้าง เพื่อปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน และระหว่างทางที่เดินไปธุดงค์นั้น ท่านก็ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพรรักษาคนต่างๆไปด้วย รวมถึงว่านร้อยแปดชนิดต่างๆมากมาย และได้เก็บสะสมเอาติดตัวท่านไปในสถานที่ต่างๆ ใช้ในการรักษาตนเองและผู้อื่นที่พบเจอท่านตามทางธุดงค์บ้าง และเมื่อท่านกลับจากการเดินธุดงค์มาวัดบวรนิเวศอีก พระภิกษุและสามเณรที่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่าน ในการที่จะเตรียมตัวสอบเปรียญธรรมในแต่ละปี มารอพบท่านและขอให้ท่านช่วยกวดวิชา ติวเข้มเพื่อเตรียมตัวสอบในแต่ละปีใหม่มารอพบท่านที่หน้ากุฏิ ท่านได้บอกกับศิษย์ไปว่า ทฤษฏีทั้งหลายที่ได้สั่งสอนให้ไป แม้จะรู้แล้วอย่างถ่องแท้ แต้ถ้าเราไม่นำไปปฏิบัติ ก็ไม่อาจจะพิสูจน์ความจริงได้ แล้วถึงจะสอบได้เปรียญธรรม๙ประโยค ก็ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ นอกจากปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้เท่านั้นเอง ถึงจะนิพพานได้<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแด่มกุฏราชกุมารญี่ปุ่น
    เมื่อเวลา 19.39 น. วันนี้ ( 25 มิ.ย.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกจากที่ประทับชั้น16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยรถเข็นพระที่นั่ง พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราชไปพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ เจ้าชายนารุฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น เข้าเฝ้าฯ ในโอกาสเสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 25-27 มิ.ย.55 และพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแก่ เจ้าชายนารุฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นด้วย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในฉลองพระองค์เชิ้ตสีขาว เนคไทสีน้ำเงิน สูทสีดำ พระสนับเพลาสีดำ ฉลองพระบาทสีดำ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอยู่ในฉลองพระองค์ชุดสีเทาเงิน
    พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแด่มกุฏราชกุมารญี่ปุ่น | เดลินิวส์
     
  9. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก๊ก ที่สามเป็นใคร??


    อเมริกาไม่เคยให้อะไรใครฟรีๆ...
     
  10. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ประวัติหลวงพ่อโอภาสี(ตอน ๒)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลังจากกลับมาจากการเดินธุดงค์ในครั้งนั้น ท่านก็เริ่มบำเพ็ญเพียรอย่างเคร่งครัดมาก จากนั้นก็มีประชาชนให้ความเคารพท่านอย่างมาก เพราะท่านเป็นพระที่สันโดษ อยู่ในวัดไม่ค่อยยุ่งกับใคร วันๆอยู่ในกุฏิ ทุกวันที่ท่านจะต้องปฏิบัติภารกิจเป็นประจำ คือ จะนั่งสมาธิเพื่อเข้าฌานเหมือนเกจิอาจารย์องค์อื่นๆ แต่สิ่งที่แปลกไปก็คือ คนนำของมาถวายท่านมาก ท่านก็จะเผาไฟมากเช่นกัน ไม่เก็บไว้เลยแต่ก็จะมีแจกสามเณรในวัดและประชาชนไปบ้าง นอกนั้นโยนเข้ากองไฟหมด จนกุฏิของท่านมีควันไฟพุ่งออกมามากมายเต็มไปหมดเลย จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ทั้งในวัดและนอกวัดต่างๆนานาว่า ถ้าเผาของแบบนี้ไฟอาจจะไหม้วัดได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    จนวันหนึ่งมีพระในวัดและชาวบ้านข้างวัด ได้นำเรื่องไปบอกเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ และพระอุปัชฌาย์ คือ สมด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ หรือ หม่อมหลวง ชื่นนพวงศ์ ให้เรียกตัวท่านมาว่ากล่าวตักเตือน ในการที่ท่านเผาของในวัดบวรนิเวศนี้บ้าง ว่าสักวันไฟอาจไหม้วัดได้ แต่การบูชาเพลิงก็มีขึ้นอีก หลวงพ่อจะไม่ออกไปไหน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ท่านจะฉันอาหารเพียงมื้อเดียว คือ อาหารกลางวัน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ฉันข้าวเลยด้วยซ้ำไป เพราะท่านจะตักข้าวใส่ปากเพียงสามคำเท่านั้นก็ไม่ฉันต่ออีกแล้ว ท่านก็ยังครองตัวออกมาได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกแก่ลูกศิษย์และผู้คนที่ไปพบเจอท่านในวัดบวรนิเวศ ส่วนในเรื่องกิจกรรมของสงฆ์ทั่วไปที่พึงกระทำ คือ การลงไปสวดมนต์ในโบสถ์ ทำวัตร-ทำวัตรเย็น และวันสำคัญต่างๆทางพระพุทธศาสนา ท่านก็ปฏิบัติตามประเพณีไม่เคยขาด เมื่อเสร็จแล้วท่านก็ขึ้นมาบนกุฏิของท่าน บำเพ็ญเพียรตามแนวของท่านเหมือนเดิม ท่านจะนั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาแบบนี้ทุกวันจนสว่างทีเดียว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สิ่งที่ท่านให้คำอธิบายไว้ในการเผาของต่างๆของท่านนี้ คือ โดยปกติแล้วพระเพลิงเผาผลาญสรรพสิ่งอื่นใดในโลกจนมอดไหม้เป็นจุลไปหมดสิ้น ก็จัดว่าเป็นธาตุที่มีความร้อนสูงอยู่แล้วและถึงกระนั้นจิตใจมนุษย์นั้น ยังมีความร้อนแรงยิ่งกว่ากองเพลิงเหล่านั้นเสียอีก นั่นคือ ความร้อนของมนุษย์นั้น เกิดจากการถูกเผาผลาญของดวงจิตด้วย โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชาต่างๆอีกมากมาย และการที่ท่านได้นำสรรพสิ่งของวัตถุทั้งหลายที่คนนำมาถวาย ไปเผาทำลายลง ก็เพื่อเป็นพุทธบูชา และเป็นการดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงให้หมดสิ้นไปในจิตใจของเรานั่นเอง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ก่อนที่จะเกิดสงครามอินโดจีน เมื่อ พศ.๒๔๘๔ กับการสร้างพระครั้งแรกในวันเสาร์ห้า แจกแก่ทหารและประชาชน ณ วัดบวรนิเวศ เมื่อนายทหารที่เป็นศิษย์ของท่านได้ฟังวาจาของหลวงพ่อโอภาสีพูดออกมาว่า ประเทศไทยเรานี้จะต้องตกอยู่ในภาวะสงครามด้วยแน่นอน นายทหารผู้นี้มีอำนาจในตอนนั้นจึงอ้อนวอนขอร้องหลวงพ่อโอภาสี ให้ท่านทำหรือสร้างวัตถุมงคลเพื่อแจกแก่ทหารที่ต้องไปออกรบ และประชาชนที่ต้องอยู่ในสภาวะสงครามในตอนนั้น เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ และหลักยึดเหนี่ยวจิตใจให้คนไทยรักกันสามัคคีกันในยามสงครามจริงๆ หลวงพ่อจึงเล็งเห็นการณ์ข้างหน้า จึงอนุญาตให้สร้างพระเครื่องครั้งแรกประมาณ๓๐๐องค์ ณ วัดบวรนิเวศ โดยหลวงพ่อโอภาสีปลุกเสกในกุฏิท่านก่อน ในวันเสาร์ห้า และท่านบอกกับลูกศิษย์และนายทหารว่า เพื่อให้พระยุคนี้ขลังยิ่งขึ้นไปอีก ท่านจึงได้ไปนิมนต์หลวงพ่อจากวัดต่างๆมาพร้อมกันปลุกเสกพระยุคนี้กันในโบสถ์วัดบวรนิเวศกันอีกครั้ง โดยมีเกจิอาจารย์ที่ร่วมกันปลุกเสกในครั้งนี้อีกก็คือ หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง หลังจากนั้นแล้วจึงได้นำมาแจกจ่ายทหาร และประชาชน ลูกศิษย์ จนกระทั่งหมดไปในที่สุด <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนเรื่องการสร้างเสื้อยันต์แจกทหารนี้ทำรุ่นเดียว ที่วัดบวรนิเวศ โดยมีประชาชนตัดเย็บเป็นเสื้อกั๊กมาถวายท่าน เพื่อให้ท่านปลุกเสกและแจกจ่ายให้กับทหารและประชาชนอีก ท่านให้ลูกศิษย์ใช้ไม้แกะเป็นพิมพ์ ในการพิมพ์ลงบนเสื้อกั๊กนี้กดลงบนหมึกพิมพ์สีดำ เป็นหมึกพิมพ์ที่คนจีนใช้ฝนเขียนหนังสือกัน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนพิธีพิมพ์ยันต์ลงบนเสื้อนี้ สร้างปาฏิหาริย์ให้แก่ลูกศิษย์และประชาชนในพิธีนั้นมากมายเลย คือหลวงพ่อนั้นให้เอาเสื้อกั๊กสีแดงมาตั้งตรงหน้าท่านทีละมัด มัดละ๕๐ตัว แล้วท่านก็เอาบล็อกไม้จุ่มหมึกดำ แล้วกดทับลงบนเสื้อตัวแรกเพียงตัวเดียวเท่านั้น ท่านท่องคาถาไปด้วย พอจบคาถา ท่านก็บอกให้ลูกศิษย์ยกออกไปแล้วเอามัดใหม่เข้ามาอีก ลูกศิษย์สงสัยหลวงพ่อกดพิมพ์เพียงตัวเดียวแล้วตัวอื่นๆจะติดหมึกหรือหลวงพ่อ ลูกศิษย์ก็แกะห่อมัดเสื้อออกมาดูทีละตัว ปรากฏว่าตัวแรกพิมพ์ไว้ชัดเจนอย่างไร ตัวสุดท้ายและตัวอื่นๆก็ชัดเจนกันทั้งนั้น เป็นแบบนี้ทุกตัว ในช่วงนั้นอินโดจีนกับฝรั่งเศสมีเรื่องทะเลาะกันวิวาทกันอยู่ ทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบในสงครามครั้งนี้ไปด้วย ในการเป็นพันธมิตรร่วมรบ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สร้างผ้าประเจียดและทรายเสกแจกลูกศิษย์และประชาชนทั่วไปเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนออกจากวัดบวรนิเวศวิหาร ทุกคนนึกถึงคำทำนายของท่านเอาไว้ว่า จะเกิดสงครามอินโดจีน และประเทศไทยต้องเข้าสู่สภาวะสงครามด้วย ก็เป็นจริงขึ้นมา คือ ประมาณ พศ.๒๔๘๔-๒๔๘๘ ได้เป็นช่วงของสงคราม ก่อนหน้านี้บรรดาศิษย์ของท่าน จึงแสวงหาพระเครื่องและเครื่องรางของขลังเพื่อเอาไว้คุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองเอาไว้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ในขณะนั้น หลวงพ่อโอภาสี ได้จัดสร้างวัตถุมงคล เป็นผ้าประเจียดกับทราบเสก ได้ทำพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระอุโบสถของวัด โดยยึดหลังแบบโบราณในการทำพิธีทุกอย่าง โดยได้นิมนต์หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกจ.อยุธยา หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางบัว จ.นนทบุรี หลวงพ่อจาดวัดบางกระเบา จ.ปราจีนบุรี ทั้ง๔พระอาจารย์นี้นั่งประจำตามทิศทั้ง๔ ผ้าประเจียดและทราบถุงอยู่ตรงกลางหน้าพระพุทธในโบสถ์ การปลุกเสกเริ่มต้นตั้งแต่หัวค่ำไปจนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ พระลูกวัดต่างผลัดกันสวดมนต์เป็นชุดๆ ตลอดคืนผลัดเปลี่ยนกันไป นายทหารใหญ่และลูกน้อง ลูกศิษย์ท่านจึงต่างเข้มงวดกวดขัน ห้ามประชาชนและคนทั่วไปเข้าออกในบริเวณที่ทำพิธีนั้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เวลาประมาณตี๔ ของคืนวันทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลในวันนั้น ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่างได้ยินเสียงดังเหมือนม้าศึกวิ่งรอบๆพระอุโบสถกันเต็มไปหมดเลย หมอกและควันละอองไอน้ำไฟฟ้าเดี๋ยวก็ลุกโชติช่วง ประเดี๋ยวหรี่ลง ลมพายุพัดแรงมาก แต่ไม่มีของพังลงเลย พอเสร็จพิธีทุกสิ่งที่เป็นนิมิตหมายมงคลต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นก็สลายหายลงไปหมดเลย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ในเวลาต่อมา ผู้ที่ได้รับแจกวัตถุมงคล ผ้าประเจียดกับทรายเสกในครั้งนี้ โดยเฉพาะนายทหารบางท่านได้นำไปลองของยิงกันด้วยปืนกล ปรากฏว่ายิงไม่ออกบ้าง หรือยิงออกแต่ไม่ถูกบ้าง ของแจกหมดภายในไม่กี่วัน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สถานที่ราชการหลายแห่งต่างมานิมนต์ให้หลวงพ่อโอภาสีไปรดน้ำมนต์ ไปโปรดทรายเสกให้กับสถานที่สำคัญนั้นบ้าง เพื่อความเป็นมงคล แคล้วคาดมากมายในหลายๆที่ในกรุงเทพฯ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ในเวลานั้นผู้คนทั่วไปเริ่มได้ยินนามหลวงพ่อโอภาสีกันบ้างแล้ว เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาเกิดขึ้น ญี่ปุ่นบุกประเทศไทย ได้เกิดการต่อสู้หลายจุดในประเทศไทย รัฐบาลไทยในสมัยนั้นภายใต้การนำของ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แก้ไขสถานการณ์ของสงครามเพื่อรักษาภัยพิบัติ ทั้งทรัพย์สินและชีวิตของประชาชนคนไทยโดยยุติสงครามกับญี่ปุ่น สำหรับหลวงพ่อโอภาสี ได้ช่วยเหลือประเทศชาติ โดยเป็นที่ปรึกษาให้กับนายทหารที่มารับท่านไปทำพิธีในสถานที่ราชการต่างๆ ความมีชื่อเสียงของท่านในตอนนั้น ทางการนิมนต์หลวงพ่อไปทำพิธีที่ไหน คนที่ทราบก็จะไปรอเฝ้าพบท่านเป็นจำนวนมาก เพื่อขอของดีต่างๆจากท่านติดตัวไว้ โดยเฉพาะทราบเสกของท่าน จะมีผู้มาขอกันไปโปรยบนหลังคาบ้านกันมากเพื่อป้องกันภัยจากลูกระเบิดที่เครื่องบินปล่อยลงมา สถานที่ต่างๆที่หลวงพ่อได้ไปทำพิธีนั้น ส่วนมากจะปลอดภัยไปกันทั้งหมดเลย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนบรรดาเด็กเล็กๆในกรุงเทพฯ จะไปขอผ้าสีเหลืองจากหลวงพ่อที่ท่านเสกไว้มาผูกข้อมือกันเป็นจำนวนมาก เพื่อคุ้มครองภัยสงครามในครั้งนั้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนลูกศิษย์ของหลวงพ่อ จะมาขอธงยันต์ที่ทำด้วยผ้าขาวเพื่อใช้โบกเครื่องบินให้มันผ่านไปทิ้งระเบิดไกลๆ แล้วก็ท่องคาถาของหลวงพ่อกำกับไปด้วยเสมอ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    อิติ สุคะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    วัตถุมงคลต่างๆที่ท่านได้สร้างไว้ ณ วัดบวรนิเวศวิหารนี้ ต่างมีพุทธคุณแคล้วคาดมาก เพราะเป็นยุคสงครามในสมัยนั้นการปลุกเสกจึงเน้นไปในทางแคล้วคาด อยู่ยงคงกระพันกันมากเลยทีเดียว ทหารไทยในตอนนั้นได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นทหารผี เนื่องจากถูกยิงแล้วแต่ไม่ตาย ได้เป็นที่หวั่นเกรงของศัตรูเป็นอย่างมากในสงครามอินโดจีนในครั้งนั้น<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. Limtied

    Limtied เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    822
    ค่าพลัง:
    +3,662
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ElaDYelHscc"]รอยยิ้มของคน ๆ หนึ่งสามารถทำให้คนทั้งประเทศมีความสุข - YouTube[/ame]​
     
  12. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล

    เวลา 17.00 น. วันนี้ (30-06-2555) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ซึ่งที่บริเวณโถงชั้นล่างอาคารเฉลิมพระเกียรติ มีประชาชนจำนวนมากมารอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ

    เวลา 17.24 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ทรงรับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะทรงเป็นอาคันตุกะของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน ถึง 2 กรกฎาคม 2555

    สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 29 แห่งบรูไนดารุสซาลาม และทรงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 1 ถึง 4 พฤศจิกายน 2531 และวันที่ 26 ถึง 28 สิงหาคม 2546 และเคยเสด็จพระราชดำเนินมาทรงร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ระหว่างวันที่ 11 ถึง 14 มิถุนายน 2549 อีกทั้ง ยังได้เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยเพื่อทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในโอกาสต่างๆ อีกหลายวาระ อาทิ การประชุมสุดยอดอาเซียน สหประชาชาติการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมสุดยอดอาเซียน
    ข่าวในพระราชสำนัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล BBTV channel 7 Bangkok Broadcasting
     
  13. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ประวัติหลวงพ่อโอภาสี(ตอน ๓)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงพ่อโอภาสีออกจากวัดบวรนิเวศ เมื่อการประพฤติไม่เหมือนกับพระในวัด จึงตัดสินใจออกจากวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อจะไปหาสถานที่ในการปฏิบัติตามแนวทางของท่าน เพื่อจะขจัดกิเลสให้หมดไปจากใจกายด้วยพระเพลิง ก่อนออกจากวัดบวรนิเวศวิหาร ท่านได้ไปหา องค์พจนสุนทร บ๋าวเอิง เจ้าอาวาสวัดญวณ แถวสะพานขาว ที่ท่านเคารพนับถือกันมา เพื่อปรึกษาหารือว่า ท่านควรจะไปอยู่ ณ ที่ใดดี หลวงพ่อบ๋าวเอิง ได้แนะนำไปว่าที่บางมดมีศาลเจ้าจีนแห่งหนึ่ง ห่างไกลความเจริญมาก มีความสงบเหมาะแก่การที่หลวงพ่อโอภาสี จะปฏิบัติธรรมตามแบบของท่านได้ดี หลังจากนั้น ท่านก็ได้เดินทางกลับมา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร มาเก็บของเครื่องอัฐบริขารตามพระวินัยที่บัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์พึงมีไว้ใช้ได้ กับวัตถุสิ่งหนึ่งที่ท่านเคารพบูชาเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใด คือ องค์หล่อพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ และรูปในแบบต่างๆของพระองค์ท่าน นำติดตัวไปด้วย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงพ่อโอภาสีมุ่งหน้าสู่ศาลเจ้าบางมด และปักกรดที่ในสวนแห่งหนึ่งตามคำแนะนำของ หลวงพ่อบ๋าวเอิงเป็นสวนมะพร้าวเหมาะสมที่จะแวะพักชั่วคราวได้ (จากนั้นท่านก็เดินไปศาลเจ้าโกมินทร์ โกเมศ-โกมล) เพื่อบอกกล่าวขออนุญาตเทพเทวดาเจ้าของสถานที่นั้นก่อน เมื่อกลับมาแล้วท่านจึงเข้าพักในกลดที่ท่านปักรอไว้ เจ้าของสวนดีใจมาก ที่ทีพระมาปักกลดในสวนของตน จึงได้นำน้ำมะตูมมาถวายและชาวบ้านละแวกนั้นต่างพากันมาสนทนากับหลวงพ่อ ครั้นรู้ว่าหลวงพ่อมาจากวัดในกรุงเทพฯก็ยิ่งเกิดความศรัทธามากขึ้นอีก เจ้าของสวนอนุญาตให้ท่านอยู่นานๆเพื่อโปรดธรรมะแก่ชาวบ้านแถวนั้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คืนนั้นหลวงพ่อท่านได้เดินไปหาเศษไม้แห้งแถวๆบริเวณที่พักนั้นมาสุมกองไฟไว้ตรงหน้ากลด ตัวท่านเองนั่งสมาธิในท่าพนมมือสวดมนต์ตลอดทั้งคืน เจ้าของสวนแถวนั้นและชาวบ้านต่างมองดูท่านตลอดจนสว่างก็เห็นหลวงพ่อโอภาสีลุกขึ้นไปถ่ายหนักถ่ายเบาบ้างเป็นครั้งคราว ตามปกติของมนุษย์ทั่วไป และท่านก็กลับมาสุมไฟลุกโซนต่อไปอีก พอใกล้ตอนเช้าตรู่ก็แต่งตัวห่มผ้าออกบิณฑบาตตามปกติ แต่ไม่ได้ฉันข้าวเช้า พอสายๆ ก็มีชาวบ้านนำอาหารหวานคาวมาถวายท่านเสมอ<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ประวัติหลวงพ่อโอภาสี(ตอน ๔)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงพ่อโอภาสี ท่านเมตตาสัตว์ ฉันอาหารน้อย แต่สุ่มไฟตลอดทั้งวันทั้งคืน หลวงพ่อเอาข้าวมาปั้นเป็นก้อน แล้วจิ้มกับน้ำพริกแล้วนำเข้าปากครึ่งก้อน ท่านก็มองเห็นบนท้องฟ้ามีฝูงอีกาดำ ส่งเสียงร้องบินกันมา หลวงพ่อพูดว่าเขาหิวกันมากนะ จึงพากันบินมาแล้ว จากนั้นจึงนำข้าวที่เหลือครึ่งก้อนโยนให้ฝูงกากินกัน หลวงพ่อจะทำเช่นนี้ตลอด พอท่านฉันเสร็จท่านก็เอาข้าวโปรยให้นกกากินกันจนหมด ทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวันเลย เมื่อฝูงกากินอิ่มแล้วมันก็บินกลับรังไปเอง บรรดาชาวบ้านในสวนบางมด พอเห็นเช่นนั้นก็เกิดความศรัทธานับถือในความมีเมตตาของหลวงพ่อโอภาสี กันมากขึ้น จึงต่างพากันนำอาหารมาถวายหลวงพ่อกันมากมายทุกวัน หลังที่หลวงพ่อฉันข้าวเพลแล้ว ท่านก็จะสนทนาธรรมกับชาวบ้านประมาณวันละ ๓๐นาที เป็นแบบนี้ปกติทุกวัน เมื่อหมดเวลาแล้ว ท่านก็จะนั่งสุมไฟปฎิบัติสมาธิตามแบบของท่านต่อไปเป็นประจำทุกวัน แสงไฟ ควันไฟ จะสว่างตรงหน้ากลดของท่านตลอดเวลา มีอยู่วันหนึ่ง ลมแรงมากไฟที่หลวงพ่อก่อเอาไว้เกิดลุกไหม้เป็นกองใหญ่มาก หลวงพ่อก็จะค่อยๆเป่าด้วยคาถาของท่าน ไฟก็ค่อยๆโทรมลงเป็นกองไฟเล็ก ในขณะเดียวกันหลวงพ่อจะนั่งหลับตาภาวนาคาถาตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดเลยเป็นประจำทุกวัน ชาวบ้านบางคนก็แปลกใจในการปฏิบัติธรรมแบบของหลวงพ่อนี้กันมาก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฉันน้อยทำความเพียรมาก ขัดเกลากิเลสออกจากจิตใจ ไม่คำนึงถึงลาภสักการะยศฐาบรรดาศักดิ์ ขอกำจัดพญามาร และเสนามารน้อยใหญ่ ที่คอยมารบเร้าจิตใจ ให้ราบคาบไปเท่านั้น”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ระหว่างการสนทนาธรรมเป็นประจำทุกวัน ชาวบ้านคนหนึ่งได้ถาม หลวงพ่อครับ การสุมไฟตลอดวันตลอดคืนมีดีอย่างไรบ้างครับ หลวงพ่อตอบไปว่า ดีซิโยม พระเพลิงเป็นธาตุไฟ เร่าร้อน เปรียบได้ดังจิตใจของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา การจุดไฟตลอดเวลาแล้วพิจารณาแบบเตโชกสิณนั้นก็เป็นการทำความเพียรอย่างหนึ่ง ชาวบ้านที่ไปก็เริ่มเข้าใจแนวทางการปฏิบัติธรรมของท่าน แล้วต่างพูดกันปากต่อปากไปทั้งสวนบางมด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อชาวบ้านได้ถวายดอกไม้ ธูปเทียน ท่านก็โยนเข้ากองไฟหมด ต่อมาชาวบ้านเห็นว่า หลวงพ่อนั่งสมาธิตากแดด ตากลม ตากน้ำค้าง ตลอดวันตลอดคืนมานานแล้ว ทำให้หลวงพ่อท่านได้รับความทุกข์ทรมานในสังขารของท่านมากมาย จึงได้ร่วมใจกันปลูกอาศรมน้อยๆขึ้นมา ๑หลัง มีเสายกพื้นสูงจากพื้นดินราว ๑ เมตร ฝาและหลังคามุงด้วยจาก มีห้อง ๒ ห้อง ห้องนอน ๑ห้อง ห้องน้ำ ๑ห้อง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็นิมนต์หลวงพ่อขึ้นอาศรมหลังน้อยนี้ ส่วนบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายก็มาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านกันมาก และเข้าใจในการปฏิบัติของท่านดี เจ้าของที่ดินจึงอุทิศถวายที่ดินผืนนั้นให้กับหลวงพ่อโอภาสี เพื่อที่จะได้ดำเนินการสร้างสำนักอาศรมหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมตามแบบของท่าน หรือการสร้างเป็นวัดต่อไปในวันหน้า เจ้าของที่ดิน คือ นายเหลือ และ นางพัน บุญบันเทิง ผู้ถวายที่ดินให้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่ ๖ไร่ ๓งาน ๘๐ตารางวา ซึ่งก็คือที่ตั้งของ วัดหลวงพ่อโอภาสี ในปัจจุบันนี้เอง เมื่อหลวงพ่อได้รับถวายที่ดินแล้ว ท่านก็อยู่ปฏิบัติธรรมในสวนนั้นเรื่อยมา ตอนแรกๆท่านไม่ยอมขึ้นไปอยู่บนอาศรมที่ชาวบ้านและลูกศิษย์ปลุกสร้างไว้ให้ และเมื่อหลวงพ่อได้ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่สวนบางมดนี้แน่แล้วท่านก็ขึ้นไปอยู่บนอาศรมนั้น และเร่งบำเพ็ญเพียรอย่างหนักมากกว่าเดิม มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ บำเพ็ญภาวนา ตลอดวันตลอดคืน ว่ากันแล้วเวลาท่านฉันอาหาร ท่านก็ฉันเพียงเล้กน้อยเท่านั้น ตลอดเวลาที่ปฏิบัติเร่งความเพียรอยู่นั้น ท่านให้ลูกศิษย์เข้าเวรกันก่อไฟไว้ตลอด เหมือนกับเป็นปริษนาธรรมของท่าน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ท่านบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชาตลอด เมื่อญาติโยมนำอะไรมาถวายให้ท่าน ท่านก็จะใช้สอยเท่าที่จำเป็น ที่เหลือก็เอาไปเผาไฟหมด แม้จะเผาของที่ญาติโยมนำมาถวายมากแค่ไหน แทนที่ยาติโยมจะรู้สึกเสียดายหรือไม่พอใจท่าน กลับตรงกันข้าม ญาติโยมกลับนำของมาถวายอีก โดยเฉพาะคนจีนแถวๆบางมด และคนจีนในสถานที่ต่างๆ หลวงพ่อยิ่งเผามากเท่าไหร่ คนก็ยิ่งมาถวายของให้เผามากขึ้นเท่านั้น ทุกวันประชาชนจากทั่วสารทิศ ทั้งศิษย์เก่าจากวัดบวรนิเวศ และศิษย์ใหม่จากสถานที่ต่างๆ ต่างคนต่างเดินทางกันมามากมายขึ้นทุกวัน เพื่อมากราบหลวงพ่อโอภาสี มาชมบารมีของท่านกันบ้าง มาสนทนาธรรมตามแบบของท่านกันบ้าง มาให้ท่านช่วยในเรื่องต่างๆ กันบ้าง ท่านเผาเสียจนไม่มีอะไรที่มีค่าเหลืออยู่บนอาศรมของท่านเลย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงพ่อโอภาสีท่านได้พูดในเวลาต่อมาอีกว่า การที่อาตมาได้นำเอาวัตถุปัจจัยทั้งหลายที่คนนำนำมาถวายให้นี้ มาเผาไฟนั้น มิได้เป็นการกระทำอย่างที่ไม่มีเหตุผลอะไร แต่เป็นการบูชาสักการะแด่อำนาจพุทธานุภาพที่ได้เป็นการสักการะบูชาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายกันมาแล้วในอดีด จงดลบันดาลให้อนุภาพเหล่านั้นมาช่วยดับร้อน และผ่อนคลายจิตใจของมนุษย์บนโลกนี้ให้บรรเทาเบาบางลงจากอำนาจแห่งความมืดมนของ โลภะ โทสะ โมหะ ราคะ อวิชชาต่างๆ วึ่งเป็นการดับกิเลสให้หมดสิ้นไป จากปากต่อปาก คำต่อคำ จากคนเก่าแก่ที่ได้ฟังคำท่านเล่ากันต่อๆมาว่า หลวงพ่อโอภาสี ท่านเผาของทุกอย่างทำไมนั้น ก็คือปริศนาธรรมของท่านนั่นเอง ผู้คนต่างมุ่งหน้าเดินทางกันมาสู่สำนักพุทธญาณโอภาสี ทั้งแขก ไทย จีน ฝรั่ง ญวน และคนทั่วๆไป ก็จะหาโอกาสมาสนทนาธรรมกับท่านบ้าง ถวายของให้ท่านเผาบ้าง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การเดินทางของคนทั่วไป ส่วนใหญ่จะเหมารถ เหมาเรือกันไปเป็นกลุ่มๆ เพราะการเดินทางไปสำนักพุทธญาณโอภาสีในสมัยนั้นจะต้องเดินทางกันมาทางรถไฟ โดยลงรถที่ถนนตกแล้วเดินผ่านสวนชาวบ้านไป บางกลุ่มก็มาทางเรือกันบ้าง เพราะสำนักพุทธญาณโอภาสีนั้นตั้งอยู่ริมคลองบางมด ใครจะไปจะมาก็ลำบากมากเหมือนกัน <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงพ่อโอภาสี ท่านต้อนรับญาติโยมที่ไปเฝ้ารอท่าน ท่านจะยิ้มตลอดเวลา หลังจากเสร็จธุระของท่านแล้ว ท่านก็จะเทศนาธรรม สั่งสอนชี้แนะอบรมไปเรื่อยๆ คำพูดของหลวงพ่อมักจะแฝงไปด้วยปริศนาธรรมให้กลับไปคิดที่บ้านกันเสมอ ในหลายแง่หลายมุม เมื่อต้อนรับญาติโยมพอสมควรแล้ว ท่านก็จะเข้าไปปฏิบัติธรรมบำเพ็ญภาวนาอยู่ในอาศรมของท่านต่อไป เหตุการณ์แบบนี้มีให้เห็นกันทุกวันเสมอ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ประชาชนบางท่าน ก็นำเอาพระพุทธรูปและปูชนียวัตถุต่างๆมาถวายท่ามากมาย ท่านไม่เผาไฟ แต่ท่านให้ลูกศิษย์นำไปฝั่งดิน ภายในอาณาเขตพุทธญาณโอภาสีทั้งหมด ประชาชนก็ถามหลวงพ่ออีกว่า ทำไมต้องฝั่งดินด้วย ท่านอธิบายไว้ว่า ที่ต้องฝั่งของเหล่านั้น ก็เพราะว่าท่านไม่ต้องการที่จะให้สร้างที่เก็บ ท่านบอกว่าฝากแม่ธรณีไว้ดีกว่าให้ท่านเก็บรักษาเอาไว้ และท่านก็ทำพิธีในการฝั่งพระพุทธรูป เวลาฝังท่านให้เอาเศียรพระพุทธรูปเอาลงดินไปก่อนเสมอ ท่านอธิบายไว้ว่า ในอนาคตต่อไปในวันข้างหน้า ที่ดินตรงนี้จะมีคนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย หากว่าเอาฐานลงก่อน โผล่เศียรพระขึ้นมา ก็เกรงว่าคนรุ่นหลังไม่ทราบ เดินผ่านแล้วจะเป็นบาปกันได้ในอนาคต ไม่ว่าจะทำอะไรหลวงพ่อจะมีเหตุและผลเสมอ เลยมีคนสงสัยกันว่า ทำไมหลวงพ่อสั่งไม่ให้สร้างศาสนสถานใดๆ ขึ้นในอาณาเขตสำนักพุทธญาณเลย ท่านอธิบายไว้ว่า การที่เราสร้างอะไรก็เหมือนการสะสมกิเลสให้เพิ่มมากขึ้นมาอีก สร้างแล้วเราก็มาดูแลรักษา จะทำให้จิตใจไปติดกับวัตถุที่สร้างขึ้นเสียมากกว่า ซึ่งนั่นจะเป็นอุปสรรคในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมได้ ด้วยเหตุผลนี้เอง ในยุคสมัยของหลวงพ่อโอภาสีมีชีวิตอยู่ จึงไม่มีการสร้างอะไรเลย<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 64.jpg
      64.jpg
      ขนาดไฟล์:
      204.9 KB
      เปิดดู:
      93
  15. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    ประวัติหลวงพ่อโอภาสี(ตอนจบ)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพ ตั้งแต่หลวงพ่อโอภาสีได้ตัดสินใจอยู่ที่สวนบางมดแห่งนี้แล้ว ท่านก็ไม่เคยย้ายไปอยู่ที่ไหนอีกเลย ท่านได้ตั้งสำนักขึ้นที่นั่น ซึ่งเป็นลักษณะที่พักของสงฆ์เท่านั้น ไม่ได้จดทะเบียนเป็นวัดแต่อย่างไร จวบจน พ.. ๒๔๙๘ ซึ่งตอนนั้นท่านมีอายุได้ ๕๘ปี ในเดือนตุลาคมของปีนั้น ทางพุทธสมาคมของประเทศอินเดีย ก็ได้นิมนต์ให้ท่านไปประชุมพระสงฆ์โลก ที่ประเทศอินเดีย ท่านก็รับนิมนต์<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตามหมายกำหนดการ การเดินทางไปอินเดีย คือ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๙๘ แต่หลวงพ่อโอภาสี ขอเลื่อนไปในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ แต่ท่านให้ลูกศิษย์ ๒คน ของท่านเดินทางล่วงหน้าไปก่อน คือ นาย สนิท วชิรสาร และ นาย ยี.อี.เอริ์ด ส่วนตัวท่านจะเดินทางตามไปในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ครั้นเวลาเดินทาง ได้ใกล้เข้ามาถึง พอดี หลวงพ่อบ่าวเอิ๋ง พระวัดญวนสะพานขาว ซึ่งเป็นสหายธรรมของหลวงพ่อโอภาสี ได้ยินข่าวว่าหลวงพ่อจะไปอินเดีย ประชุมสงฆ์โลก ท่านก็มาหาหลวงพ่อที่อาศรมบางมด จะขอเดินทางไปด้วยในครั้งนี้ แต่หลวงพ่อโอภาสีท่านพูดขึ้นมาว่า ตอนนี้ท่านบ่างเอิ๋งยังมีธุระอีกมากมาย อย่าเพิ่งเดินทางติดตามท่านไปเลย คราวนี้ท่านบ่างเอิ๋งไปกับอาตมายังไมได้หรอก ตอนนั้นหลวงพ่อบ่างเอิ๋งก็ไม่ได้แปลกใจอะไรในคำพูดนั้นหรอก การเดินทางในครั้งนี้อาตมาไม่ได้ใช้พาสปอร์ตเดินทางไปหรอกนะ เอาไว้ให้ท่านบ่าวเอิ๋งเสร็จธุระก่อน แล้วค่อยเดินทางตามไปทีหลังก็แล้วกัน แต่พอหลวงพ่อท่านมรณภาพลง หลวงพ่อบ่าวเอิ๋งก็มานั่งคิดลำดับคำพูดของหลวงพ่อดูก็รู้แจ้งว่า การเดินทางไปอินเดียของท่านในครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปแบบพิเศษมากๆ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ก่อนจะถึงกำหนดการเดินทาง ๑วัน คือ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ซึ่งเป็นวันทอดกฐินประจำปีของสำนักพุทธญาณ ปีนั้นก็มีการจัดงานเหมือนเดิมทุกปี หลวงพ่อท่านก็ได้รับกฐิน เมื่อรับเสร็จท่านก็เอาทุกอย่างเผาลงไปในกองไฟหมด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    และในวันนั้น ท่านก็จัดให้หลานชายของท่านที่เคยรับใช้ท่านมาตลอดไปอุปสมบทที่วัดอนงคาราม ธนบุรี ด้วยหวังจะให้เป็นพระอยู่เฝ้าสำนักพุทธญาณแห่งนี้แทนท่าน ตอนท่านไปอินเดีย เพราะตามปกติแล้วในสำนักพุทธญาณโอภาสีแห่งนี้ ก็มีพระสงฆ์อยู่เพียงรูปเดียว คือ หลวงพ่อโอภาสี นั่นเอง หลานชายท่านคือนาย อุดร มะลิพันธุ์ ก็ได้ไปอุปสมบทมาเรียบร้อยพอดี และคืนนั้นก็ได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่อาศรม หลานท่านเล่าว่า ในคืนนั้นหลวงพ่อโอภาสีได้แสดงอาการอาพาธเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าไปจำวัด ก่อนจำวัดก็ได้เรียกลูกศิษย์ใกล้ชิดของท่านเข้ามาสั่งสอนอะไรมากมายหลายอย่าง แบบที่ท่านไม่เคยพูดมาก่อนเลย และท่านก็พูดถึงการเดินทางไปอินเดียในวันพรุ่งนี้ของท่านว่า ท่านเดินทางไปแล้วก็จะกลับมาอีก และในขณะที่ท่านไปนั้น ของทุกอย่างของท่าน อยู่อย่างไรก็ให้อยู่อย่างนั้น ห้ามใครแตะต้องเด็ดขาด จนกว่าท่านจะเดินทางกลับมา ท่านพูดแค่นี้ก็ให้ทุกคนออกไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    ในเรื่องการห้ามแตะต้องข้าวของทุกอย่างของท่านนี้ ท่านได้กำชับมากๆ คืนนั้นหลวงพ่อท่านก็เข้าจำวัดปกติ ลูกศิษย์ที่เข้าเวรคอยเติมไฟ ก็ทำกันตามปกติ หลวงพ่อโอภาสี โดยปกติแล้วท่านจะวางเวรยามเอาไว้ ตอนเผาไฟในบาตรไฟที่ท่านก่อไว้หน้ากุฏิท่านทุกสองชั่วโมงเป็นประจำเสมอ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คืนนั้นท่านเข้าจำวัดแล้ว ท่านก็ยังถามลูกศิษย์ที่เฝ้าเวรเผาไฟในบาตรว่าเที่ยงคืนหรือยัง ลูกศิษย์ก็ตะโกนบอกเวลาหลวงพ่ออยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาเที่ยงคืนสิบสองนาที ๒๔.๑๒ น. เสียงของหลวงพ่อก็เงียบหายไปเลย ตอนนั้นพระอุดร มะลิพันธุ์ หลานชายของท่าน ซึ่งมานั่งเฝ้าเวรรออยู่ด้วย ได้เห็นความปกติที่เตียงแคร่ของท่าน คือเห็นร่างของท่านลอยขึ้นมาจากที่นอน <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เห็นแบบนั้นแล้ว พระอุดรก็เกิดแปลกใจ จึงออกไปตามศิษย์หน้ากุฏิมาดูหลวงพ่อกันซิว่า เกิดอะไรขึ้นกับหลวงพ่อกันแน่ หลวงพ่อเป็นอะไรไปหรือเปล่า พอศิษย์ขึ้นมาก็เห็นหลวงพ่อนอนสงบนิ่งในท่าจำวัดแบบปกติแบบนี้ทุกวัน จึงได้ปลดมุ้งกางลงให้ท่าน แล้วก็ปล่อยให้ท่านจำวัดต่อไป ไม่ได้แปลกใจอะไรกัน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จวบจนรุ่งเช้าของ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ซึ่งเป็นวันที่หลวงพ่อจะเดินทางไปประเทศอินเดียตามกำหนดการ ลูกศิษย์ก็เข้าไปปลุกหลวงพ่อ ตรวจข้างมุ้งท่าน ปรากฏว่าหลวงพ่อนอนจำวัดท่าปกติ แต่ไม่ได้โต้ตอบอะไรออกมา เลยปลดมุ้งขึ้นแล้วจับตัวท่านดู ตัวเย็นมาก แล้วเอามือลองอังดูลมหายใจตรงจมูกดูซิ ปรากฏว่าไม่มีลมหายใจเข้าออกมาเลย <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทุกคนที่อยู่ในอาศรม และแถวบริเวณอาศรมที่เป็นโยมอุปัฎฐากของหลวงพ่อ ต่างคนก็รีบมาดูหลวงพ่อกัน แล้วศิษย์คนหนึ่งก็พูดออกมาว่า หลวงพ่อโอภาสีของพวกเรา ท่านมรณภาพลงเสียแล้ว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ข่าวคราวนั้นได้รับแจ้งไปยังลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ๒คน ที่ได้เดินทางไปประเทศอินเดียก่อนหน้านี้ และลูกศิษย์ใกล้ไกลทั่วไปมากมายของหลวงพ่อโอภาสี เพียงไม่นานทุกคนที่ทราบข่าว ต่างก็ได้มาเคารพศพของหลวงพ่อ และปรึกษาหารือกันว่าจะจัดเตรียมงานกันอย่างไรดี ต่างฝ่ายต่างแบ่งหน้าที่กันไปต่างๆกัน แล้วแต่ความถนัด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนทางเจ้าหน้าที่อำเภอและจังหวัดเขตบางมด ก็ได้ทำเรื่องรายงานไปยังสำนักพระราชวังให้ทราบเป็นลำดับขั้นตอน ทางสำนักพระราชวังก็ได้จัดส่งผ้าห่อศพพระราชทานมาให้ห่อหนึ่ง ทางลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งก็ได้จัดการเปลี่ยนจีวรใหม่กัน แล้วก็เอาผ้าพระราชทานห่อศพอีกครั้ง แล้วก็บรรจุลงในโลงไม้ จากนั้นก็เคลื่อนย้ายศพของท่าน ไปไว้ที่อาศรมกลางน้ำ และได้นิมนต์สหายธรรมของท่าน มาร่วมกันทำพิธีตามประเพณีไทย เพียงแต่ไม่ได้เผาศพของท่านเท่านั้นเอง นอกนั้นทำตามประเพณีหมด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ปัจจุบันศพของหลวงพ่อโอภาสีนี้ ก็ยังคงวางอยู่ในโลงในอาศรมศาลากลางน้ำที่สวนบางมดอยู่ตลอด ซึ่งต่อมาประมาณ พ..๒๕๑๔ ทางคณะศิษย์ของหลวงพ่อ และประชาชนที่เคารพหลวงพ่อทั่วสารทิศก็ได้รวบรวมกำลังทรัพย์กันต่างๆ เพื่อสร้างพระเจดีย์ครอบศาลาเก็บศพกลางน้ำของหลวงพ่อเอาไว้ โดยใช้ชื่อว่า พระเจดีย์จุฬามณี<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สำหรับการมรณภาพของหลวงพ่อโอภาสีนี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่ศิษย์เก่าใหม่ และบุคคลทั่วไปกันอยู่ถึงปัจจุบันนี้ เพราะทุกท่านก็ควรประจักษ์กันดีว่า ปาฏิหาริย์ต่างๆ ของหลวงพ่อนั้นมีมากมายหลายด้านเลยทีเดียว ดังนั้นความจริงแล้วหลวงพ่อนั้นอาจจะยังไม่มรณภาพก็ได้ เพียงแต่ท่านถอดจิตวิญญาณออกไปประเทศอินเดียเท่านั้นเอง ถ้าทุกคนเชื่อท่านเสียหน่อยว่า หลังจากท่านไปแล้ว อย่าแตะต้องของทุกอย่างของท่านเด็ดขาด แต่ศิษย์บางคนไม่ทราบคำสั่งนี้ หรือทราบแต่ไม่เชื่อท่าน จึงได้จัดการเคลื่อนย้ายศพและข้าวของท่านหลายอย่างออกไป จึงทำให้ดวงจิตวิญญาณของท่านกลับเข้าร่างไม่ได้อีก และคณะศิษย์ใกล้ชิดอีกกลุ่มหนึ่งยังยืนยันกันว่า หลังจากท่านมรณภาพได้ ๗วัน ท่านก็ได้กลับมาที่สำนักพุทธญาณอาศรมของท่านอีกจริงๆ สังเกตได้จากสัตว์เลี้ยงของท่านที่อาศรมทุกตัวร้องไห้ เห่าหอนกันผิดปกติ ท่านกลับมาเที่ยวนั้น คงจะกลับเข้าร่างท่านไม่ได้ เพราะร่างของท่านถูกเคลื่อนย้ายแตะต้องห่อศพเสียแล้ว ใส่โลงศพสนิทเลย (แต่ไม่ได้ฉีดยาศพเท่านั้น)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    เพราะไม่มีเหตุการณ์ใด ไม่ได้เจ็บป่วยหนัก ด้วยโรคร้ายอะไรเลย ในตอนนั้นที่จะเป็นสาเหตุทำให้ท่านมรณภาพลงได้ อีกทั้งร่างกายของท่านก็ยังแข็งแรงอยู่ ยังทำกิจกรรมทางศาสนาของท่านเป็นประจำทุกวันได้ดีอยู่ ท่านยังไม่ชราภาพเลย<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. แก้มแดง

    แก้มแดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +794
    เรื่องปาฎิหาริย์ของหลวงพ่อโอภาสี<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ยังมีเรื่องปาฏิหาริย์ ของหลวงพ่อโอภาสี อยู่อีกมากมายหลายเรื่องที่จะได้นำมาเล่าสู่กันฟัง หลวงพ่อโอภาสีท่านไม่ได้จะถือตนเป็นผู้วิเศษใดๆทั้งสิ้น ท่านพูดเสมอว่า โอภาสีไม่ใช่ผู้วิเศษใดๆทั้งสิ้น ท่านเป็นเพียงพระสงฆ์รูปหนึ่งเท่านั้น ที่ต้องการจะเผยแผ่หลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแนวทางของท่านเท่านั้นเอง สิ่งที่หลวงพ่อได้ทำปริศนาต่างๆ เอาไว้นั่นแหละ คือหลักธรรมในแนวทางของท่าน (มีต่อ)<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 64.jpg
      64.jpg
      ขนาดไฟล์:
      204.9 KB
      เปิดดู:
      88
  17. อธิฎฐาน

    อธิฎฐาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,610


    [​IMG]

    “ในหลวง”เสด็จชลมารค
    เปิดประตูน้ำ
    เขื่อนแควน้อยพิษณุโลก
    พร้อม4จังหวัดทั่วประเทศ
    เจ้าหน้าที่เตรียมแปรอักษร
    “ทรงพระเจริญ”ร่วมถวาย
    เมื่อวันที่ 2กรกฎาคม นายสมหวัง ปานสุขสาร หัวหน้าโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ต.คันโช้ง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังจัดเตรียมสถานที่บริเวณหัวเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ใช้สำหรับร่วมการพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพยุหยาตราทางชลมารค จากท่าน้ำ รพ.ศิริราช กรุงเทพมหานคร เพื่อทำพิธีเปิดเขื่อนทั้ง 5เขื่อนพร้อมกันในระดับภูมิภาคทั่วประเทศ
    สำหรับเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ถือเป็นเขื่อนเดียวในภาคเหนือที่ได้รับเลือกให้แปรอักษรขึ้นต้นด้วย “ทร”ที่จะประกอบเป็นคำถวายพระพร“ทรงพระเจริญ” โดย ผวจ.พิษณุโลก จะทำพิธีที่เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ส่วนอักษรที่เหลือก็จะดำเนินการพร้อมๆ กันที่อุโมงค์เขื่อน จ.กาฬสินธุ์ และประตูระบายน้ำขนาดใหญ่ที่ จ.นครพนม จ.นครนายกและจ.นครราชสีมา

    นายสมหวัง กล่าว่า โดยหมายกำหนดการจากสำนักพระราชวัง ระบุว่า เวลา 17.30น.วันที่ 7กรกฎาคมนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จทางชลมาครจากท่าน้ำศิริราช มาตามลำน้ำเจ้าพระยาเพื่อมาทำพิธีเปิดยังเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จากนั้น เวลา 20.00น.จะเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพมหานคร ดังนั้น วันที่2กรกฎาคมนี้ จึงจัดเตรียมและซักซ้อมการแปรอักษร เพื่อไม่ให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น

    ทั้งนี้ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ขณะนี้มีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ24.35 หรือ228ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ยังสามารถรับน้ำได้อีก 710ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 75.65 ปริมาณฝนเหนือเขื่อนยังมีน้อย ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนวันละ 0.12 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็น 1.39 ลบ.ม.ต่อวินาที โดยที่เขื่อนแควน้อยฯ ระบายน้ำออกวันละ 50ล้าน ลบ.ม.คิดเป็น 4.32ลบ.ม.ต่อวินาที เหตุที่ต้องระบายออกมากว่าปริมาณน้ำเข้าก็เพื่อช่วยพื้นที่การเกษตรกว่า 1แสนไร่

    - "ในหลวง" เสด็จชลมารค เปิดประตูน้ำ เขื่อนแควน้อยพิษณุโลก

    <!-- End text detail display -->
     
  18. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368
    น้ำแดนไกลกำลังจะลงมา .....ใช่ไหมคะ
     
  19. อธิฎฐาน

    อธิฎฐาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,610
    [​IMG]

    หมายกำหนดการ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโครงการชลประทาน
    อันเนื่องมาจากพระราชดำริ 5 โครงการ
    ณ บริเวณท่าเรือ กรมชลประทาน ถนนสามเสน
    เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
    วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พุทธศักราช 2555


    เวลา 16.30 น.

    -พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ไปยังท่าเทียบเรือสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช
    -ผู้บัญชาการทหารเรือ กราบบังคมทูลรายงาน
    -เสด็จฯ ไปประทับเรืออังสนาที่กองทัพเรือจัดถวายเป็นเรือพระที่นั่ง ทอดพระเนตรริมแม่น้ำเจ้าพระยาจากบริเวณท่าเทียบเรือสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราชไปยังบริเวณเกาะเกร็ดจ.นนทบุรี และกลับมายังบริเวณท่าเรือ กรมชลประทาน ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร​
    เวลา 18.45 น.

    -ถึงบริเวณท่าเรือ กรมชลประทาน ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร (บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี)​
    เวลา 18.55 น.

    -นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลรายงาน​
    เวลา 19.05 น.

    -พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรการแสดงสื่อผสม "น้ำสร้างชีวิต"
    -ผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัด เปิดกรวยดอกไม้ธูปเทียนแพ​
    เวลา 19.40 น.

    -นายกรัฐมนตรีกล่าวนำประชาชนถวายพระพร​
    เวลา 19.50 น.

    -พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางพระหัตถ์บนแท่นตราสัญลักษณ์โครงการฯ
    -ทอดพระเนตรวีดิทัศน์บรรยากาศสดจาก 5 จังหวัดที่ร่วมกันแปรอักษร เป็นคำว่า "ทรงพระเจริญ

    - หมายกำหนดการ เสด็จฯ เปิดโครงการชลประทาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ 7 ก.ค.55


    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
     
  20. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    07-07-2012 | 20:33 l
    เวลา 16.26 น. วันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดำเนินลงจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าเทียบเรือสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช โรงพยาบาลศิริราช โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ในฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดขาวน้อย ซึ่งตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินมีพสกนิกรเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งกล่าวคำถวายพระพร "ทรงพระเจริญ" กันอย่างกึกก้องด้วยความจงรักภักดี และปลื้มปิติที่เห็นว่าทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง

    จากนั้น ประทับเรือพระที่นั่งอังสนา ซึ่งกองทัพเรือจัดถวาย เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ไปทรงเยี่ยมและพระราชทานขวัญกำลังใจแก่ราษฎรที่อาศัยอยู่บริเวณริม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งประสบอุทกภัยเมื่อปีที่ผ่านมา รวมถึงทอดพระเนตรแม่น้ำเจ้าพระยา ตามเส้นทางจากท่าเทียบเรือสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช ไปยังบริเวณเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินกลับมายังบริเวณหน้ากรมชลประทานสามเสน เพื่อทรงเปิดโครงการชลประทานอันเนื่องจากพระราชดำริ ซึ่งตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินพสกนิกรที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือนริมแม่น้ำ ตลอดจนสถานที่ราชการ ต่างตกแต่งประดับธงสัญลักษณ์และพระบรมฉายาลักษณ์ และรอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น โดยต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียงถวายพระพรทรงพระเจริญดังกึกก้องลำน้ำเจ้าพระยา เพื่อแสดงความจงรักภักดี และปลื้มปิติที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งประทับ ณ บริเวณด้านหน้าของเรือพระที่นั่งอังสนา ส่วนศาสนสถานบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ถวายพระชัยมงคล รวมถึงอิหม่ามตามมัสยิดต่างๆ สวดถวายพระพรเช่นกัน และแม้จะมีฝนตกหนักในบางช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินผ่าน แต่ประชาชนก็ต่างรอเฝ้ารับเสด็จกันอย่างไม่ย่อท้อ

    เวลา 19.42 น. เสด็จพระราชดำเนินถึงยังบริเวณหน้ากรมชลประทาน สามเสน ทรงเปิด 5 โครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมชลประทาน และข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ในการนี้ทอดพระเนตรการแสดงสื่อผสม "น้ำสร้างชีวิต" ซึ่งแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้พระราชทานแนวทางพระราชดำริ กว่า 2,500 โครงการ ให้กรมชลประทานดำเนินงานพัฒนาแหล่งน้ำทั่วทุกภูมิภาค เพื่อให้พสกนิกรมีน้ำเพียงพอต่อการดำรงชีพ ทั้งอุปโภค บริโภค และเกษตรกรรม รวมถึงการกักเก็บน้ำสำหรับการใช้พลังงาน บรรเทาปัญหาอุทกภัย แก้ปัญหาน้ำเค็ม น้ำเน่าเสีย อันเป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อน สร้างความอุดมสมบูรณ์แก่พื้นที่และส่งผลให้พสกนิกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี

    จากนั้นพระราชทานพระราชวโรกาสให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 5 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดกาฬสินธุ์, นครพนม, นครศรีธรรมราช, นครนายก และพิษณุโลก ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตั้งของโครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้ง 5 โครงการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายราชสักการะและกล่าวนำถวายพระพรชัยมงคล

    ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางพระหัตถ์บนแท่นตราสัญลักษณ์ฯ ทรงเปิด 5 โครงการชลประทาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ประกอบด้วยโครงการอุโมงค์ผันน้ำลำพะยังภูมิพัฒน์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งได้พระราชทานนามมีความหมายว่า "อุโมงค์ผันน้ำที่นำความเจริญมาสู่แผ่นดินลุ่มน้ำลำพะยัง", โครงการประตูระบายน้ำธรณิศนฤมิต จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นประตูระบายน้ำที่สำคัญที่สุดในประตูระบายน้ำทั้ง 7 แห่งของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำก่ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ได้พระราชทานนามซึ่งมีความหมายว่า "ประตูระบายน้ำที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชดำริสร้างขึ้น", โครงการประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทำหน้าที่แยกน้ำเค็มและน้ำจืดออกจากกัน เพื่อเก็บกักน้ำจืดให้ราษฎรและบรรเทาอุทกภัย ซึ่งได้พระราชทานนามมีความหมายว่า "ประตูน้ำที่ให้ประสบความสำเร็จในการแยกน้ำ", โครงการเขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำนครนายก เพื่อกักเก็บน้ำสำหรับทำการเกษตร อุปโภคบริโภค การอุตสาหกรรม แก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวและบรรเทาอุทกภัย โดยได้พระราชทานนามมีความหมายว่า "เขื่อนขุนด่านที่เป็นกำแพงกั้นน้ำ", และโครงการเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นโครงการเขื่อนเก็บกักน้ำที่ก่อสร้างขึ้นในแม่น้ำแควน้อย ที่พระราชทานนามมีความหมายว่า "เขื่อนแควน้อยที่ทำให้มีความเจริญขึ้นในเขตพื้นที่"

    ในการนี้ทอดพระเนตรภาพบรรยากาศสดของพสกนิกร 5 จังหวัดที่ร่วมกันแปรอักษรถวายพระพร "ทรงพระเจริญ" ซึ่งกรมชลประทานได้ดำเนินงานด้วยระบบการสื่อสารสนเทศที่ทันสมัย จากพื้นที่โครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง 5 โครงการ ก่อนจะประทับเรือพระที่นั่งอังสนาที่กองทัพเรือจัดถวาย เสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังโรงพยาบาลศิริราช
    ข่าวในพระราชสำนัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งอังสนา ไปทรงเปิดโครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 5 แห่ง BBTV channel 7 Bangkok Broadcasting
     

แชร์หน้านี้

Loading...