ถอดรหัสลับพระสูตร คิริมานนทสูตร พระยาธรรมมิกราช

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย moondark999, 7 พฤษภาคม 2012.

  1. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    .....ก้อนหินรอยพระพุทธบาทพลวง.....

    ผมได้พบเห็นและได้ฟังพระสูตรคิริมานนทสูตร เป็นแบบม้วนเทปสามม้วนบนหิ้งพระบ้านของพี่ชาย เมื่อได้เปิดฟังม้วนแรกถึงช่วงที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงถึงโครงสร้างโลก ถึงกับสะดุดฉุดคิดสงสัย ต้องทวนเทปฟังใหม่อยู่หลายรอบ จนเกิดความมั่นใจว่า..

    อ้าว..นี่โลกมันคนละใบกับโลกในตำราเรียนนี่น่า

    ผมเปิดฟังอยู่หลายรอบจนต้องหยิบกระดาษปากกามาจด แล้วก็วาดภาพตามโครงสร้างที่พระพุทธเจ้าแสดงมา จนมั่นใจว่าโครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมา มันคนละใบกับโครงสร้างโลกที่แพร่หลายอยู่ในตำราเรียน..ชัดเจน

    มันคนละใบกับโครงสร้างโลกที่คุณครูทั้งสั่งสอนและบีบบังคับต้องรู้ให้ได้ ต้องจำให้ได้และต้องเข้าใจโครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานของโลกในตำราเรียนให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะถูกลงโทษ

    ผมจึงสงสัยว่า แล้วโลกใบไหนล่ะที่ผิด โลกใบไหนล่ะที่ถูก เรากำลังอาศัยอยู่โลกใบไหนกันแน่

    จากนั้นผมก็เริ่มตั้งใจฟังพระสูตรอย่างจริงจังตั้งอกตั้งใจ เผื่อว่าพระพุทธเจ้าอาจจะมีเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครง สร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมาในพระสูตร แล้วก็ต้องสะดุดฉุดสงสัยกับพระธรรมเทศนาบางประโยคในหลายๆประโยค จนต้องแสวงหาสมุดปากกามาเขียนคัดลอกพระสูตรจากม้วนเทปเป็นตัวหนังสือทั้งพระสูตร ด้วยความมั่นใจว่าพระสูตรคิริมานนทสูตรนี้ จะต้องมีอะไรที่แตกต่างซุกซ่อนแอบแฝงอยู่ดั่งที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้..แน่นอน

    ตั้งแต่นั้นผมก็ตั้งใจศึกษาพระสูตรด้วยมุมมองและแนวคิดใหม่ ถอดแกะปริศนาธรรมพระสูตรต่างๆแต่ละคำแต่ละประโยคเอามาปะติดปะต่อกันเหมือนถอดโค้ดถอดรหัสลับยังไงยังงั้น จนได้ค้นพบความลับบางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้อยู่ภายในพระสูตร ดั่งที่พระพุทธเจ้าระบุว่า..เทศนาโดยพิสดารอัศจรรย์..และพระสูตรคิริมานนทสูตรนี้ พระพุทธเจ้ายังระบุอีกว่าเป็น..พระยาธรรมมิกราช..เป็นพระธรรมเทศนาสูงสุดเหนือกว่าธรรมทั้งปวงของพระพุทธเจ้าอีกด้วย

    ผมศึกษาค้นคว้าอยู่ประมาณสองถึงสามปีจนเริ่มเกิดความมั่นใจกับโครงสร้างองค์ประกอบของโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมา ว่ามันสามารถอธิบายสรรพสิ่งต่างๆของโลกด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้ และมันสามารถให้คำตอบกับปริศนาต่างๆนาๆของโลกได้ แม้กระทั้ง ปริศนาความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเราที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้

    ผมอยู่จังหวัดจันทบุรีมาหลายปีตั้งแต่เป็นเด็ก หลังจบ ม.6 ก็โยกย้ายไปทำงานต่างจังหวัดรวมทั้งกรุงเทพอยู่หลายปี จนได้ย้อนกลับมายึดอาชีพเปิดร้านตัดผมที่เมืองจันทร์ใหม่อีกครั้ง ในปี พ.ศ.2547 และเป็นปีที่ผมได้พบกับพระสูตร

    ตลอดเวลาที่ผมใช้ชีวิตอยู่เมืองจันทบุรี ผมไม่เคยได้ไปสัมผัสกับก้อนหินรอยพระบาทพลวงบนเทือกเขาคิชชกูฎเลย ทั้งๆที่อยู่ไม่ไกลเท่าไร เพราะไม่รู้สึกอย่างจะไป ได้แต่รับฟังเขาเล่าขานบอกต่อกันมาถึงความอัศจรรย์ของตัวก้อนหิน
    แต่หลังจากศึกษาโครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมา จนมองเห็นรูปแบบโครงสร้างของตัวพลังงานขับเคลื่อนโลกที่มันสามารถอธิบายได้ตั้งแต่ตัวพลังงานขับเคลื่อนสุริยะจักรวาล จนกระทั้งความเป็นสิ่งมีชีวิตของพืชและสัตว์ชัดเจน

    เพื่อทำให้ตนเองเกิดความเชื่อมั่น และมั่นใจกับสิ่งที่ตนเองได้พากเพียรศึกษาค้นคว้ามานานหลายปี ผมจึงแสวงหาโอกาสเพื่อพิสูจน์เหตุผลทางทฤษฎีของตัวพลังงานขับเคลื่อนโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมา มันเป็นไปได้หรือไม่

    เมื่อโอกาสมาถึง ผมจึงเดินทางไปศึกษาก้อนหินรอยพระบาทพลวง เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเองทันที

    ด้วยเพราะมีแนวคิดและเป้าหมายที่แตกต่าง ผมจึงเริ่มสำรวจเก็บข้อมูลตั้งแต่ตีนเขาขึ้นไป จนถึงยอดเขาพระบาทพลวง ออกเดินตระเวนสำรวจยอดเขาและที่ตั้งของก้อนหินต่างๆทั้งที่กองทับถมและกระจัดกระจายอยู่บริเวณยอดเขาจนทั่ว ตามที่เจ้าหน้าที่ของวนอุทยานได้กำหนดเส้นทางเอาไว้ แล้วผมก็มาเพ่งพิจารณาก้อนหินสองก้อนที่ซ้อนกันโดยที่ก้อนล่างมีรอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากับความคิดที่ตั้งคำถามอยู่ในใจว่า..พระพุทธเจ้ากำลังพยายามจะบอกอะไรเรา

    สองวันหนึ่งคืน ที่ผมใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขานั้น จนเกิดความเชื่อมั่นด้วยเหตุผลดังนี้

    หนึ่ง..เป็นไปไม่ได้ ที่ก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามหาศาลมากมายเหล่านี้ จะถือกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับเทือกเขา เหตุเพราะเทือกเขาคิชชกูฏเป็นเทือกเขาแบบกองดิน ไม่ใช่เทือกเขาแบบกองหิน เทือกเขาคิชชกูฏจึงเป็นวนอุทยาน เป็นป่าทึบเป็นป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์พืชและสรรพสัตว์ต่างๆนาๆหลากหลายชนิดมากมาย

    จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ก้อนหินรอยพระบาทพลวงก้อนหินก้อนใหญ่มหึมาที่ทับถมและกระจัดกระจายอยู่บนเทือกเขามากมายเหล่านี้ จะถือกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับตัวเทือกเขา แล้วจำเพาะเจาะจงขึ้นไปอยู่บนปลายยอดเขา

    สอง..เป็นไปไม่ได้ ที่ก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามากมายเหล่านี้ จะมีลักษณะของการล่วงหล่นหรือพุ่งหล่นลงมาจากที่สูงด้วยความเร็วและแรง เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น เทือกเขาคิชชกูฏจะต้องเกิดร่องรอยแบบแอ่งกระทะ ที่เกิดจากการแรงกระแทกของก้อนหิน หรือแบบที่เรามักเรียกว่า..ราบ..เป็นหน้ากลองไปแล้ว

    ลักษณะของก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามากมายเหล่านี้ มันมีลักษณะเหมือนเคยลอยตัวอยู่นิ่งๆอยู่บนท้องฟ้าแล้วจึงค่อยๆเคลื่อนตัวต่ำลงมาสู่ปลายยอดเขาช้าๆ ก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามากมายเหล่านี้จึงมีลักษณะค่อยๆถูกวางทับซ้อนกันอยู่บนปลายยอดเขาช้าๆ

    ข้อมูลความเชื่อเกี่ยวกับตัวก้อนหินรอยพระบาทพลวงมีความเชื่อว่า ก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามากมายเหล่านี้ อดีตเคยเป็นบาตรสำหรับใส่อาหารของพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์มาก่อน ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้บาตรของพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ที่เหาะผ่านมาแล้วทิ้งเอาไว้ จะแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นก้อนหินก้อนใหญ่มหึมาในปัจจุบัน

    แต่..ชาวพุทธก็ระบุบอกว่า หลักการของพระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยเหตุและผล..ไม่ใช่งมงาย

    เหตุนี้ ผมจึงพยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้กับตัวเองใหม่ ด้วยมุมมองและแนวคิดใหม่ว่า

    ถ้าพระพุทธเจ้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ พระพุทธเจ้ากำลังพยายามจะสื่อสารบอกอะไรเรา?

    ข้อมูลความเชื่อมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ในอดีตเคยมีคนเอาเชือกหรือเส้นด้ายสายสินเส้นเล็กๆไปสอดรอดใต้ก้อนหินก้อนลูกตรงช่องว่างระหว่างก้อนหินทั้งสองก้อน
    แล้วก็พบว่าเชือกหรือเส้นด้ายสามารถรอดผ่านใต้ก้อนหินก้อนลูกได้

    และจากร่องรอยตรงบริเวณปากขอบของก้อนหินก้อนแม่ที่ถูกก้อนหินก้อนลูกวางซ้อนทับ เกิดร่องรอยเหมือนถูกแรงกดทับ จนตัวก้อนหินก้อนแม่ยุบตัวเป็นแอ่งเว้ารองรับน้ำหนักของหินก้อนลูก ร่องรอยและหลักฐานชัดเจนมาก จึงทำให้เชื่อได้ว่า อดีตก้อนหินทั้งสองก้อนนี้จะต้องไม่เคยสัมผัสกันมาก่อน..ชัวร์แน่นอน

    ความสงสัยมันจึงสงสัยว่า นี่มันก้อนหินนะ มันไม่ใช่ก้อนดินเหนียวหรือก้อนดินน้ำมัน ที่เมื่อถูกของแข็งมีน้ำหนักมากกว่าวางกดทับ ก้อนดินเหนียวหรือก้อนดินน้ำมันจะยุบตัวเป็นแอ่งเว้ารองรับน้ำหนักของสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่ากดทับด้านบน เพราะความยืดหยุ่นของก้อนดินเหนียวและก้อนดินน้ำมัน

    แต่นี้มันก้อนหินชัดๆไม่ใช่ก้อนดินเหนียวหรือก้อนดินน้ำมัน ความหนาแน่นอัดแน่นของมวลของก้อนหินทำให้ตัวก้อนหินมีทั้งความแข็งและความแกร่ง จึงเป็นเรื่องยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ก้อนหินจะยุบตัวเกิดร่องแอ่งเว้าลึกลงไปรองรับน้ำหนักกดทับจากด้านบน นอกเสียจากก้อนหินจะแตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย

    ความสงสัยมันจึงสงสัยว่า ก้อนหินรอยพระบาทก้อนแม่ มันยุบตัวเป็นแอ่งเว้ารองรับหินก้อนลูก..ได้ไง

    ถ้าหากเราจะอธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เราก็สามารถอธิบายได้อย่างง่ายดายว่าทำไมก้อนหินสองก้อนนี้จึงไม่สัมผัสกันมาก่อน ก็เพราะก้อนหินแม่ลูกทั้งสองก้อนนี้มันมีพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แล้วก้อนหินสองก้อนนี้ก็หันขั้วพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขั้วเดียวกันเข้าหากัน จึงทำให้เกิดแรงดันขั้วสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดขึ้นขั้นกลางก้อนหินแม่ลูกสองก้อนนี้ไม่ให้สัมผัสกัน

    และด้วยเหตุผลของทางวิทยาศาสตร์นี่เองจึงทำให้เรารู้ว่า มวลโมเลกุลของก้อนหินขนาดเล็กละเอียดมากมายมหาศาลที่ก่อตัวเป็นตัวก้อนหิน จะต้องถูก..ตัวคลื่น..พลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวสร้างก้อนหิน ด้วยการเป็นตัวเชื่อมตัวยึดมวลโมเลกุลขนาดเล็กละเอียดต่างๆจนอัดแน่นหนาแน่นก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเป็นตัวก้อนหินที่มีขนาดใหญ่มหึมา

    กาลเวลา เมื่อแรงกดทับของพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ทำให้ตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของก้อนหินก้อนแม่ยุบตัว เกิดแอ่งเว้ารองรับแรงกดทับของตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของหินก้อนลูกที่อยู่ด้านบน มวลโมเลกุลของก้อนหินที่เล็กละเอียดที่ก่อตัวเป็นก้อนหิน จึงเกิดการเคลื่อนตัวเป็นแอ่งเว้าตามตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เหตุเพราะตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวเชื่อมตัวยึดมวลโมเลกุลจนก่อตัวเป็นก้อนหิน นั้นเอง

    ปัจจุบันเราจึงเห็นก้อนหินก้อนแม่เกิดร่องแอ่งเว้ารองรับหินก้อนลูกที่อยู่ด้านบน
    ร่องแอ่งเว้า ที่มีคนหลายๆคนมักชอบเอากระจกเงาไปส่องหาดู..ตัวเลข..กันนั้นไง

    กาลเวลา เมื่อพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกเกิดแรงดึงดูดเพิ่มมากขึ้น หรือพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของตัวก้อนหินลดลง ปัจจุบันเราจึงเห็นก้อนหินทั้งสองก้อนแนบชิดติดกัน

    เหตุนี้ ความสงสัยมันจึงสงสัยว่า ก้อนหินพิศวงอัศจรรย์ก้อนใหญ่มหึมามากมายเหล่านี้ มันคืออะไรและมันมาจากไหน ในเมื่อร่องรอยเบาะแสทั้งจากด้านภูมิศาสตร์ และทั้งจากหลักฐานของตัวก้อนหินเอง มันไม่ใช่ก้อนหินที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาบนผิวเปลือกโลกดั่งเช่นก้อนหินทั่วๆไปบนผิวเปลือกโลก..แน่นอน

    ก้อนหินรอยพระบาทพลวง ก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามากมายเหล่านี้มันมีพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า..ได้ไง

    แหล่ะที่สำคัญ มันมีลักษณะลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าแล้วค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆลงมาวางบนผิวเปลือกโลก..ได้ไง

    เหตุผลมีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อที่บอกต่อๆกันมาที่สังคมของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรารู้ๆกันอยู่ว่า อย่าได้ไปคิดโต้แย้งว่าไม่จริงเด็ดขาด ส่วนเหตุผลของทางวิทยาศาสตร์อีกด้านหนึ่งนั้น ณ.ปัจจุบัน ยังไม่มี

    สองวันหนึ่งคืนที่ผมพยายามแสวงหาคำตอบวิสัชนา กับปุจฉาของตนเองที่ตั้งขึ้นมา เพื่อแสวงหาความเป็นไปได้ทางทฤษฎีของตัวพลังงานขับเคลื่อนโลก ตามโครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ในพระสูตร

    เหตุผลทางทฤษฎีของตัวพลังงานขับเคลื่อนโลกทำให้ผมเห็นชัดเจนว่า ก้อนหินรอยพระบาทพลวง ก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามากมายเหล่านี้ อดีตก็คือ ก้อนหินวงแหวนรอบโลก ดั่งเช่น ดาวเสาร์ ในปัจจุบันนั้นเอง

    แหล่ะด้วยเหตุผลทางทฤษฎีของตัวพลังงาน ทำให้ผมมองเห็นและเข้าใจได้อย่างง่ายดาย เหตุก็เพราะดวงดาวต่างๆที่เราเห็นมันมีรูปแบบโครงสร้างของตัวพลังงานขับเคลื่อนรูปแบบเดียวกันหมดรวมทั้งสุริยะ ดั่งเช่นกับรูปร่างกายสังขารของมนุษย์คนเราที่มีทั้งสูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม ชาย หญิง ที่แตกต่างกัน แต่เราก็มีต้นแบบของแหล่งกำเนิดพลังงานชีวิตและมีวิวัฒนาการที่เหมือนๆกัน

    ความแตกต่างของดวงดาวจึงแตกต่างกันที่วิวัฒนาการของ..เวลา..เท่านั้น

    กาลเวลากับการหดตัวและขยายตัวของโลก จึงทำให้ก้อนหินวงแหวนรอบโลกมากมายมหาศาลค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาวางบนผิวเปลือกโลกจนมาถึงปัจจุบัน เหตุนี้ ดาวเสาร์ จึงน่าจะมีอายุที่ใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด

    ด้วยเพราะก้อนหินรอยพระบาทพลวง ก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามากมายเหล่านี้ อดีตก็คือก้อนหินวงแหวนสนาม แม่เหล็กไฟฟ้ารอบโลก ก้อนหินเหล่านี้จึงมีพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อก้อนหินวงแหวนเคลื่อนตัวลงมาบนผิวเปลือกโลก จึงเกิดปฏิกิริยาสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก สร้างปริศนาพิศวงแปลกประหลาดอัศจรรย์ให้กับชาวโลก..ฮา..กันเล่นๆ มันเป็นไปได้ไง

    หลังจากที่ผมได้ไปสัมผัสกับก้อนหินรอยพระบาทพลวงแล้ว ต่อมาชีวิตผมก็ได้มีโอกาสขี่มอเตอร์ไซค์ไปสำรวจท่องเที่ยวทางภาคเหนือ กระเป๋าใบเต็นคันขี่มอเตอร์ไซค์ไปเพียงลำพังคนเดียวแบบค่ำไหนนอนนั้นด้วยงบที่ประหยัด ออกสำรวจท่องเที่ยวลัดเลาะไปตามตะเข็บชายแดนและตามตัวจังหวัดต่างๆตั้งแต่อำเภอแม่สอด แม่ฮ่องสอน แม่อาย แม่สาย เชียงแสน เชียงของ เชียงคำ บ่อเกลือ ไปจนกระทั้งถึงอำเภอด้านซ้ายจึงคอยย้อนกลับ เพราะงบมีจำกัด

    ด้วยเพราะเกิดความสงสัยกับข้อมูลข่าวสารตามสื่อต่างๆเกี่ยวกับมนุษย์บางกลุ่มบางจำพวก ที่มีความเชื่อว่าอีกไม่นานเท่าไรน้ำก็จะท่วมโลก จึงแห่พากันไปจับจองพื้นที่ตามเขาตามดอยตามภูตามที่สูงต่างๆเพื่อต้องการจะหนีน้ำท่วมโลก

    ถ้าหากพิจารณาภูมิศาสตร์ทางภาคเหนือเราจะพบว่า ความสูงของทางภาคเหนือมันเกิดจากกองหิน ไม่ใช่กองดิน

    บางแห่งบางพื้นที่ในหลายๆพื้นที่ของทางภาคเหนือ เราจะสังเกตเห็นก้อนหินก้อนสูงใหญ่มหึมาตั้งเด่นตระหง่านโดดเด่นอยู่ก้อนเดียว มันจึงสงสัยว่า ก้อนหินโดดเด่นลักษณะเช่นนี้มันถูกผลักดันให้ผลุดโผล่มาจากใต้แผ่นดิน หรือมันถูกวางลงมาจากฟากฟ้ากันแน่

    ใช่เลย ดอยทั้งดอย ภูทั้งภู ที่สูงชันและสูงใหญ่หลากหลายมากมายมหาศาลทางภาคเหนือ ล้วนแล้วอดีตก็คือก้อนหินวงแหวนรอบโลกเช่นเดียวกับก้อนหินรอยพระบาทพลวงมาแล้วทั้งสิ้น เพราะมันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามหาศาลมากมายเหล่านี้จะถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมๆกับแผ่นดินหรือผลุดๆโผล่ๆขึ้นมาจากใต้แผ่นดิน

    เหตุนี้ ผิวเปลือกโลกของเราจึงเต็มไปด้วยก้อนหินวงแหวนห่อหุ้มล้อมรอบเป็นผิวเปลือกโลก

    นักวิทยาศาสตร์จึงเรียกโลกเราว่า..ดาวก้อนหิน

    หากท่านผู้อ่านเคยดูหนังเรื่อง..อวตาร..แล้วถ้าท่านสังเกตฉากทิวทัศน์ของหนังอยู่ฉากหนึ่งก็คือ ฉากก้อนหินก้อนขนาดใหญ่มหึมาเทียบเท่ากับภูเขาลูกใหญ่ๆ กำลังลอยตัวนิ่งๆอยู่บนท้องฟ้าไม่เคลื่อนไหว

    ใช่เลย ฉากนี้นี่แหล่ะ อธิบายการเคลื่อนตัวเข้าสู่จุดศูนย์กลางของก้อนหินวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าด้วยภาพได้อย่างชัดเจน ก่อนที่ก้อนหินวงแหวนเหล่านี้จะถูกวางทับถมจนเป็นดอยเป็นภูที่สูงใหญ่ และตั้งเด่นตระหง่านจนถึงปัจจุบัน

    ฉะนั้น ท่านที่คิดไปยื้อไปแย่งจับจองพื้นที่บนดอยบนภูสูง เพื่อหนีปรากฏการณ์น้ำท่วมโลกตามที่ท่านเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงนั้น ผมมีข้อมูลมีเหตุมีผลใหม่ให้ท่านพิจารณา เกี่ยวกับปรากฏการณ์น้ำท่วมโลกที่ท่านเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงในระยะเวลาอันใกล้นี้แน่นอน เพื่อให้ท่านได้มีข้อมูลพิจารณาใหม่ว่าท่านกำลังคิดถูก หรือ คิดผิด

    โลกมีคำพยากรณ์ของพระพุทธศาสนาว่า...ยักษ์หินจะถูกปลุกให้ตื่น...
    เป็นไปได้หรือไม่ ..ยักษ์หิน..ในคำพยากรณ์นั้นก็คือ ก้อนหินวงแหวนที่ห่อหุ้มล้อมรอบโลก ก้อนหินที่กองทับถมกันเป็นแผ่นดินผิวเปลือกอยู่นี่เอง

    โลกมีข้อมูลหนึ่ง เป็นข้อมูลความเชื่อเรื่องคำพยากรณ์ของสองฝั่งฝากของโลกที่น่าสนใจ ดั่งนี้
    - คำพยากรณ์ของฝั่งฝากตะวันตก มีคำทำนายไว้ว่า..น้ำจะท่วมในที่สูง ไม่ท่วมในที่ต่ำ
    - คำพยากรณ์ของฝั่งฝากตะวันออก มีคำทำนายไว้ว่า..น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว

    ลองพิจารณาคำพยากรณ์สองฝั่งฝากของโลกให้ดีๆ น้ำมันท่วมฟ้า ท่วมในที่สูงนะ ไม่ได้ท่วม..แผ่นดิน..ชัดเจน

    โลกมีข้อมูลจากทางด้านธรณีวิทยาว่า มีการค้นพบซากฟอกซิสสัตว์ทะเลจำนวนมากบริเวณยอดเขาหิมาลัย ยอดเทือกเขาที่ถือว่าสูงมากๆที่สุดของโลก ที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้ ที่ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสัตว์ทะเลชนิดต่างๆเคยมาอาศัยอยู่บนปลายยอดเทือกเขาที่สูงมากๆเช่นนี้มาก่อน

    แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ได้วิเคราะห์และสรุปไว้ว่า เทือกเขาหิมาลัย ในอดีตกาลเคยเป็นแผ่นดินอยู่ใต้ท้องทะเลลึกมาก่อน แล้วกาลเวลาก็ทำให้แผ่นดินใต้ทะเลเกิดแรงดัน ผลักดันแผ่นดินใต้ทะเลให้ยกตัวพ้นผิวน้ำทะเลขึ้นมา จนเป็นเทือกเขาหิมาลัยที่สูงใหญ่ในปัจจุบัน จึงเป็นเหตุทำให้มีการพบเห็นซากฟอกซิสสัตว์ทะเลบนยอดเขาหิมาลัยในปัจจุบัน

    ข้อมูลสมมติฐานที่เป็นเหตุเป็นผลของนักวิทยาศาสตร์นี้นี่เอง ที่ทำให้มนุษย์ผู้ชาญฉลาด..เชื่อ..หมดทั้งโลก

    แม้กระทั้ง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์หรือก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันที่โด่งดัง ยากแสนยากที่จะหาอะไรมาต่อกร

    สู้ๆกันหน่อยแล้วสิเรา หนึ่งเดียวต่อคนทั้งโลก ลองดูซักตั้งหน่อยเป็นไง
    ขนาดก้อนหินก้อนใหญ่มหึมาเทียบเท่าเทือกเขาหรือภูเขาลูกใหญ่ๆ มันยังลอยตัวนิ่งๆอยู่บนฟากฟ้าได้

    แล้วทำไม แผ่นน้ำแผ่นใหญ่ๆมหึมามีความหนาแน่นของมวลพลังงานมหาศาล มีปริมาณครอบคลุมกว่าสามในสี่ของผิวเปลือกโลกจะแยกชั้นกับแผ่นดิน เกิดแรงดันขั้วสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขั้นกลางระหว่างแผ่นน้ำกับแผ่นดิน แล้วยกตัวลอยตัวขึ้นไปลอยนิ่งๆอยู่บนฟากฟ้าอย่างก้อนหินวงแหวน..ไม่ได้

    เพราะถ้าแผ่นน้ำไม่มีพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า มันจะเกิดแรงดึงดูดกับดวงจันทร์ยกตัวลอยตัวสูงขึ้น จนทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง..ได้ไง

    แผ่นน้ำมันจึงลอยขึ้นไปท่วมฟ้าท่วมในที่สูง ไม่ได้ท่วมแผ่นดินอย่างที่คนทั้งโลกเข้าใจ อย่างหนัง 2012

    เหตุนี้ คำพยากรณ์ทั้งสองฝั่งฝากของโลก จึงต้องระบุเป็นปริศนา เพราะมันยากแสนยากที่จะอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจ

    ผมมีอาชีพเป็นช่างตัดผม ตรงข้ามกับร้านของผมมีร้านขายข้าวแกงร้านหนึ่งที่ผมต้องเฝ้ามองอยู่เสมอตั้งแต่เริ่มย้ายเขามาอยู่ที่นี่ใหม่ๆผมสังเกตเห็นแม่ค้าเริ่มเอาอาหารมาวางขายประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง แล้วปิดร้านไล่เลี่ยกับผมประมาณทุ่มกว่าถึงสองทุ่ม เจ็ดปีให้หลัง ผมเห็นแก่เริ่มวางของขายตอนบ่ายสอง ทั้งๆที่อาหารทุกอย่างที่แก่ทำขายและขายได้ ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างตั้งแต่เจ็ดปีที่แล้ว

    มีใครสังเกตเห็นเหมือนผมบ้างไหมว่า ภายในระยะเจ็ดปีที่ผ่านมา..เวลา..มันหดหายไปเป็น..ชั่วโมง

    อาชีพผมต้องพบปะกับลูกค้าที่หลากหลาย ต่างชนชั้น ต่างมุมมอง ต่างแนวคิดที่หลากหลาย ผมจึงต้องมีข้อมูลที่หลากหลายมาสนทนาพูดคุยกับลูกค้าที่หลากหลายอยู่เสมอทั้งมีสาระและไร้สาระ ส่วนตัวผมก็มักทดสอบข้อมูลความรู้สึกและความคิดเห็นของลูกค้าอยู่เสมอ ด้วยความเชื่ออะไรบางอย่างเกี่ยวกับสัญชาติญาณของความเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อย่างเราๆท่านๆกับสถานการณ์ของโลกที่กำลังเกิดวิกฤตแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วอยู่ขณะนี้

    เมื่อสอบถามถึงความรู้สึกของลูกค้าเกี่ยวกับเรื่องเวลา ลูกค้าส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะมีคำตอบบอกความรู้สึกที่เหมือนๆกันก็คือ เวลามันหดตัวสั้นลง

    เวลาในแต่ละวันหมดไปเร็วมากทำอะไรแทบไม่ทันแป๊บๆปะเดี๋ยวปะด๋าวก็หมดวันแล้ว พ่อค้าแม่ขายที่อาศัยความเคยชินของตนเอง พอทำของขายเสร็จ..เวลา..ของการขายของก็เกือบหมดซะแล้ว จึงต้องปรับ เปลี่ยนเวลาทำงานของตนเองใหม่ มิเช่นนั้นจะขายของไม่ทัน..เวลา

    ครั้นพอสอบถามถึงเรื่องความน่าจะเป็น เป็นไปได้ไหม เวลามันหดตัวสั้นลงจริงๆ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะมีคำตอบและมีความเชื่อไปในแนวอุปาทานเหมือนๆกัน แบบคิดไปเองหรือรู้สึกไปเองเท่านั้น เวลามันไม่ได้หดตัวสั้นลงจริงๆหรอก

    ความน่าจะเป็น มันน่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมันหาเหตุผลอธิบายไม่ได้ว่า เวลามันจะหดตัวสั้นลงได้ยังไง

    ผมจึงได้เสนอแนวคิดของตนเองกับลูกค้าไปว่า..วงล้อแห่งเวลา..หรือวงรอบของโลกนั้นไง เป็นไปได้ไหม

    เหล็ก..โลหะที่มีทั้งความแข็งและความแกร่ง มันยังหดตัวขยายตัวได้เลย

    แล้วทำไมล่ะ โลกใบใหญ่มหึมาใบนี้มันจะหดตัวและขยายตัว..ไม่ได้
    การหดตัวของโลกนี่ไง ที่ทำให้เวลาบนผิวเปลือกโลก หรือวงรอบของเวลา มันสั้นลง

    เมื่อลองสอบถามเรื่องความร้อนของโลกในปัจจุบัน ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะบอกความรู้สึกที่เหมือนๆกันว่า ความร้อนในปัจจุบันนี้มันร้อนแปลกๆ มันร้อนแบบแสบๆไหม้ๆปวดแสบปวดร้อน ไม่ร้อนเหมือนแต่ก่อนที่ร้อนแบบถอดเสื้อสู้แดดได้อย่างสบายๆ ผิวหนังไม่ปวดแสบปวดร้อนจนไหม้เหมือนปัจจุบัน

    และเมื่อลองสอบถามถึงความน่าจะเป็น อะไรน่าจะเป็นเหตุทำให้โลกร้อนขึ้น และทำไมคลื่นความร้อนของโลกจึงแปรเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่ก็จะตอบแบบที่คนทั้งโลกตอบกัน เป็นเพราะมนุษย์ตัดไม้ทำลายป่าและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์มากเกินไป โลกจึงร้อนมากขึ้นและจะร้อนขึ้นเรื่อยๆถ้าไม่หยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและทำลายป่า จะมีน้อยมากที่ลองให้ผมวิเคราะห์และฟังเหตุผลของผม แต่ผมก็ดีใจที่อย่างน้อยยังมีคนที่รับฟังแนวคิดของผม ดั่งนี้

    คลื่นความร้อนมีอยู่ด้วยกันสองชนิด คือ
    - หนึ่ง..คลื่นความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ด้วย..ธาตุหรือก๊าซ
    - สอง..คลื่นความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ด้วย..กระแสไฟฟ้า

    หากเราสังเกตคลื่นความร้อนในปัจจุบันให้ดีๆเราจะพบว่า คลื่นความร้อนในปัจจุบันมีความแตกต่างจากอดีตเมื่อยี่สิบสามสิบที่แล้วมาก เพราะอดีตเราถอดเสื้อสู้แดดร้อนจ้าได้อย่างสบายๆ แต่ปัจจุบันเรารู้สึกว่ามันมีความร้อนแบบแสบๆไหม้ๆปวดแสบปวดร้อนตามผิวหนังเข้ามาปะปนกับคลื่นความร้อนในปัจจุบัน

    ความน่าจะเป็น ก็คือ ตัวที่ทำให้เรารู้สึกแสบๆไหม้ๆปวดแสบปวดร้อนนี่ไงที่แทรกเข้ามา สาเหตุก็เพราะร่างกายของเรามีกระแสไฟฟ้าสถิต ผิวหนังของเราจึงเกิดปฏิกิริยาเผาไหม้กับกระแสไฟฟ้าที่ปะปนเข้ามากับคลื่นความร้อน เราจึงรู้สึกแสบๆไหม้ๆปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนังของเรา

    ความสงสัยมันจึงสงสัยว่า คลื่นความร้อนจากการเผาไหม้ด้วยกระแสไฟฟ้าที่ปะปนเข้ามา มันมาจากไหน

    กระแสไฟฟ้าที่เราทั้งโลกใช้แล้ว แล้ววิ่งลงดินไปนั้นมันไปไหนต่อ มันไปมีกิจกรรมต่อรึไม่ และความร้อนเผาไหม้หลอมละลายสูงมหาศาลใต้ฝ่าเท้าของเรามันเผาไหม้ด้วยอะไร ทำไมมันจึงไม่ดับไม่มอดทั้งๆที่มีแผ่นดินแผ่นน้ำแผ่นใหญ่มหึมามหาศาลกลบทับอัดแน่นจนมิดชิด มันก็ไม่ดับสูญ แถมยังครุกรุ่นระบายความร้อนออกมาให้เห็น

    จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า ความร้อนหลอมเหลวหลอมละลายสูงมหาศาลใต้ฝ่าเท้าของเรา มันเป็นความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ด้วยกระแสไฟฟ้า จึงไม่ว่าจะมีแผ่นดินและแผ่นน้ำมหาศาลกลบทับมิดชิดเท่าไร การเผาไหม้ด้วยกระแสไฟฟ้ามันก็ไม่ดับ โลกจึงมีแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้า มีปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่เกิดจากพลังงานไฟฟ้าวิ่งจากท้องฟ้าลงไปใต้แผ่นดิน และพฤติกรรมการวิ่งลงดินของกระแสไฟฟ้า ที่เรายังไม่รู้ว่า มันวิ่งลงไปทำกิจกรรมอะไรต่อ

    ความน่าจะเป็น กระแสไฟฟ้าที่เราทั้งโลกใช้แล้ววิ่งลงดินหายไปนั้น น่าจะเป็นตัวไปช่วยส่งเสริมเพิ่มเติมการเผาไหม้ที่กำลังเผาไหม้ด้วยกระแสไฟฟ้าหลอมละลายสูงมหาศาลใต้ฝ่าเท้าของเรา เมื่อบวกกับการหดตัวของโลก คลื่นความร้อนจึงแผ่รัศมีขึ้นมาบนผิวเปลือกโลก เราจึงรู้สึกแสบๆไหม้ๆปวดแสบปวดร้อนกับคลื่นความร้อนของไฟฟ้าที่มาปะปน

    ผมดีใจมากที่เห็นลูกค้าหลายท่านทึ่งกับเหตุผลของผม และมีบางท่านถึงกับให้ทิฟสนับสนุนแนวคิดของผม

    โลกมีข้อมูลพิศวงข้อมูลหนึ่ง ก็คือ การแห่ขึ้นมาเกยตื้นตายของเหล่าฝูงปลาโลมา ปลาวาฬ สัตว์ทะเลตัวใหญ่ต่างๆ เป็นข่าวที่มีลูกค้าหลายคนให้ความสนใจไม่น้อย และส่วนใหญ่จะมีแนวคิดไปทิศทางเดียวกัน ก็คือ ไอ้นักวิทยาศาสตร์มันปัญญาอ่อน มันสรุปออกมาโง่ๆได้ไงว่าปลาเหล่านี้มันหลงทิศหลงทางมาเกยตื้นตาย ทั้งๆที่เห็นชัดๆว่าปลามันมีดวงตา ปลามันเป็นสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตมีความรู้สึกรับรู้ มันไม่โง่เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่มันไม่รู้ว่าอันไหนคือแผ่นดิน อันไหนคือแผ่นน้ำ อันไหนคือสิ่งที่ทำให้มันเกิดสุข และอันไหนคือสิ่งที่ทำให้มันเกิดทุกข์ สัตว์ตาบอดมันยังไม่หลงทิศหลงทางในถิ่นฐานบ้านเกิดของมัน ปลาเล็กปลาน้อยที่ติดเบ็ดติดแหยังรู้จักกระเสือกกระสนดิ้นรนลงน้ำ ลูกเต่าทะเลตัวเล็กๆที่พึ่งฟักออกจากไข่ ไม่ว่าเราจะจับหัวมันหันไปทิศทางไหน มันก็ยังเดินลงทะเลถูก ลูกหมาลูกแมวตัวเล็กๆมันยังรู้จักแสวงหาใบหญ้าอ่อนกิน มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ฝูงปลาเหล่านี้จะหลงทิศหลงทางในถิ่นฐานบ้านเกิดของๆมันเอง เห็นชัดๆว่ามันจงใจหนีขึ้นมาตายบนบก เหมือนกำลังหนีอะไรบางสิ่งบางอย่างในถิ่นฐานบ้านเกิดของมัน บ้านของพวกมันกำลังเกิดอะไรขึ้น มันจึงหนีตายขึ้นมา..ตาย

    ข้อมูลแนวคิดของลูกค้าส่วนใหญ่ ล้วนไม่เชื่อการวิเคราะห์หรือการวินิจฉัยของนักวิทยาศาสตร์เลย

    ลูกค้าของผมส่วนใหญ่จะเกิดความรู้สึกและความเชื่อที่เหมือนๆคล้ายๆกัน กับปรากฏการณ์ต่างๆของโลกที่กำลังเกิดขึ้น ก็คือ โลกหรือธรรมชาติกำลังพยายามสื่อสารจะบอกจะเตือนอะไรบางสิ่งบางอย่างกับเรา ด้วยชีวิตของเหล่าฝูงปลาเหล่านั้น แผ่นน้ำทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลมหึมา ที่อยู่ที่อาศัยที่ทำกินที่หลับที่นอนบ้านของๆพวกมันกำลังเกิดอะไรขึ้น

    อะไร? ทำให้มนุษย์ในอดีตกาลตั้งแต่ยุคเริ่มต้นมีความเชื่อว่า..ธรรมชาติ..จะเตือนล่วงหน้า

    เมื่อเราเห็นมดย้ายรัง เราก็รู้ทันทีว่าฝนกำลังจะตกหรือฤดูฝนกำลังจะมา เหล่าฝูงสัตว์ต่างๆมากมายหลากหลายของโลก พวกเขาเหล่านั้นรู้สถานการณ์ของโลกล่วงหน้าได้อย่างไร อย่างเช่น ภัยพิบัติสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เราจะพบข้อมูลพิศวงข้อมูลหนึ่งก็คือ เหล่าฝูงสัตว์รอดตายอย่างเหลือเชื่อ ลูกช้างน้อยตัวหนึ่งช่วยหนูน้อยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรอดพ้นภัยพิบัติสึนามิ สร้างความพิศวงอัศจรรย์โด่งดังไปทั่วโลก

    ปรากฏการณ์ลักษณะเช่นนี้มีมากมายหลากหลายอยู่ทั่วทั้งโลก เป็นหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนว่า เหล่าฝูงสัตว์เขารู้เขาเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าภัยพิบัติกำลังมา จึงพากันหนีขึ้นที่สูงก่อนคลื่นน้ำทะเลยักษ์จะมาถึง

    แต่มนุษย์ผู้มีสติปัญญาที่เรียกตนเองว่า..สัตว์ประเสริฐ..กลับตายเป็นเบือนับหมื่นนับแสน เป็นไปได้ไง

    ผมจึงเสนอแนวคิดให้ลูกค้าลองพิจารณา ก็คือ ถ้าหากจะเปรียบเทียบพฤติกรรมของเหล่าฝูงปลา ที่แผ่นน้ำคือบ้านของมันกับพฤติกรรมของมนุษย์อย่างเราๆท่านๆก็จะเปรียบได้ดั่ง คนที่อาศัยอยู่ตึกสูง แล้วตึกถูกไฟไหม้จากชั้นล่างขึ้นไป

    อยู่..ก็ถูกไฟเผา..ตาย
    หนี..ก็ตกตึก..ตาย
    เป็นท่าน ท่านจะเลือกทางไหน ?

    จึงเป็นไปได้หรือไม่ แผ่นน้ำแผ่นใหญ่มหึมาบ้านของเหล่าฝูงปลา กำลังเกิดไฟไหม้จากด้านล่างขึ้นมาจริงๆ
    แล้ว..ไฟ..อะไรล่ะ ที่สามารถเผาไหม้อานุภาคพลังงานของแผ่นน้ำจากด้านล่างขึ้นมาได้ ถ้าไม่ใช่..ไฟฟ้า

    ข้อมูลของโลกข้อมูลหนึ่ง เป็นข้อมูลความเชื่อของมนุษย์โบราณในอดีตกาลที่ยาวไกลของโลก ได้บันทึกข้อมูลความเชื่อของนักปราชญ์โบราณในสมัยนั้นเอาไว้ว่า ทุกๆสรรพสิ่งทั้งพืชและสัตว์รวมทั้งมนุษย์คนเราล้วนมีจุดเริ่มต้นถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจาก..ไข่..เหมือนกันทั้งหมดทั้งสิ้น

    ข้อมูลความเชื่อของมนุษย์โบราณในอดีตกาลที่ผมได้พบเจอนี้ทำให้ผมสงสัยว่า..อะไร?..ทำให้นักปราชญ์โบราณในอดีตกาลสมัยนั้น มีความเชื่อเช่นนั้น มันจะเป็นไปได้ไงที่ทุกๆสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์คนเราจะมีจุดเริ่มต้นถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจากไข่เหมือนกันหมดทั้ง..โลก

    ผมฉุดคิดสงสัยกับข้อมูลนี้มาก เมื่อเอามาพิจารณากับคำถามๆหนึ่งที่มักได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก เหมือนพวกเขาเหล่านั้นมักเอาคำถามนี้มาเพื่ออวดรู้อวดฉลาดกัน แล้วก็มักจบด้วยเหตุผลว่ามันเป็นคำถามโลกแตก ไม่มีใครตอบได้

    คำถามนั้นก็คือ..ไก่กับไข่..อะไรเกิดก่อนกัน ?

    เหตุที่ผมฉุดคิดสงสัยก็เพราะผมมั่นใจว่า ไก่กับไข่มันเป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กันและกัน เป็นสิ่งที่ขาดกันและกันไม่ได้ เปรียบดั่งเช่น สุขกับทุกข์ ความมืดมิดกับแสงสว่าง ชายและหญิง เป็นต้น

    เวลาที่ผมได้ยินใครตั้งคำถามนี้ ผมมักจะคิดอยู่ในใจเสมอว่า..ไอ้ปัญญาอ่อน ตั้งคำถามโง่ๆทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองก็ตอบไม่ได้ ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเพื่อโอ้อวดอะไรกัน

    แต่หลังจากที่ได้ยินคำถามนี้ ผมก็มักฉุดคิดสงสัยอยู่ในใจเสมอ เรากำลังค้นหาอะไร เรากำลังแสวงหาอะไร แล้วเรากำลังพยายามค้นหาแสวงไปทำไม เพราะอะไร และเพื่ออะไร

    นั้นก็คือ ความรู้สึกค้นหาแสวงหาที่ผลุดๆโผล่ๆขึ้นมาเหมือนตอกย้ำอยู่ในใจเสมอ เพื่อให้ผมค้นหาแสวงหามันให้เจอให้ได้ และต้องหาให้เจอให้ได้

    จนผมต้องตั้งสมมติกับตัวเองว่า ถ้าเราคือ..ไก่..ล่ะ เรากำลังค้นหาแสวงหา..อะไร?
    เป็นไปได้หรือไม่ ไก่กับไข่ จะค้นหาแสวงหากันและกัน

    ร่องรอยก้อนหินรอยพระบาทพลวงในปัจจุบัน เป็นร่องรอยหลักฐานที่บ่งบอกชัดเจนว่า ก้อนหินก้อนใหญ่มหึมามากมายเหล่านี้เคยลอยตัวนิ่งๆอยู่บนฟากฟ้ามาก่อน แต่..ก่อนที่ก้อนหินรอยพระบาทพลวงจะมาเป็นก้อนหินวงแหวนนั้น ก้อนหินเหล่านี้เคยเป็นอะไรมาก่อน อยู่ดีๆก้อนหินเหล่านี้จะมาก่อตัวกันเป็นก้อนหินวงแหวนรอบโลกได้ไง

    มันจึงสงสัยว่า ก้อนหินรอยพระบาทพลวง ก้อนหินวงแหวนเหล่านี้มันมาจากไหน มันถือกำเนิดเกิดจากอะไร และพวกมันเคยเป็นอะไรมาก่อน ก่อนที่จะมาเป็นก้อนหินวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบโลก

    ร่องรอยหลักฐานของตัวก้อนหินบ่งบอกชัดเจนว่า ก้อนหินเหล่านี้จะต้องถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจากแหล่งกำเนิดพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มหาศาลแน่นอน ก็คือ ตัวคลื่นพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าต่างหากคือตัวสร้างก้อนหิน ตัวก้อนหินไม่ได้เป็นตัวสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้า

    การยุบตัวเป็นแอ่งเว้าของก้อนหินเป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนว่า ตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจะต้องเป็นตัวสร้างก้อนหินวงแหวนเหล่านี้ขึ้นมา ตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจึงเป็นตัวเชื่อมตัวยึดมวลโมเลกุลจนก่อตัวเป็นตัวก้อนหิน

    เมื่อตัวคลื่นสนามเหล็กไฟฟ้าก้อนแม่ถูกแรงกดทับจนยุบตัวเป็นร่องแอ่งเว้า มวลโมเลกุลของก้อนหินก้อนแม่ จึงเกิดการเคลื่อนตัวตามรอยตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นตัวเชื่อมตัวยึดและเป็นตัวสร้างก้อนหินขึ้นมา

    ความสงสัยมันจึงอยู่ที่ดาวเสาร์ ก้อนหินวงแหวนล้อมรอบดาวเสาร์มันมาจากไหน ทำไมมันจึงมีเฉพาะดาวเสาร์ ดวงดาวอื่นๆของสุริยะทำไมมันจึงไม่มี ถ้าก้อนหินวงแหวนล้อมรอบดาวเสาร์ไม่ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมๆตัวดาวเสาร์ มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่มันจะไปจำเพาะเกาะกลุ่มกันที่ดาวเสาร์ดวงเดียว นอกเสียจากมันจะเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับตัวดาวเสาร์

    เหตุนี้ จึงเป็นไปได้ไหมว่า จุดเริ่มต้นของก้อนหินวงแหวนล้อมรอบดาวเสาร์นั้นก็คือ..เปลือกไข่

    เปลือกไข่ที่ห่อหุ้มล้อมรอบดาวเสาร์จนมิดชิด ก่อนที่เปลือกไข่จะปริแตกกระจัดกระจายเป็นก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อยไปจนก้อนใหญ่โตมหึมามหาศาล แล้วเปลือกไข่ที่ปริแตกกระจัดกระจายก็ค่อยๆเคลื่อนตัวไปเกาะไปยึดติดกับตัวคลื่นแผ่นวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่นเล็กๆบางๆที่แผ่กระจายรัศมีออกมาจากจุดศูนย์กลางของดาวเสาร์

    เหตุก็เพราะ ตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าคือตัวสร้างก้อนหิน ตัวก้อนหินไม่ได้เป็นตัวสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ตัวก้อนหินจึงมีพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าไปดึงดูดยึดติดกับตัวแผ่นวงแหวนเล็กๆบางๆที่แผ่รัศมีออกมาจากจุดศูนย์กลาง

    เพราะฉะนั้น ถ้าพระพุทธเจ้าจงใจทิ้งร่องรอยไว้บนก้อนหิน พระพุทธเจ้ากำลังพยายามจะบอกอะไรเรา

    อันชื่อว่าเมืองพระนิพพาน ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใดพระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดนั้น
    พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้


    จะมีสถาน ณ.ที่แห่งใดในหล้า ที่จะสุขบรมสุขเท่ากับ..บ้าน..บ้านของตนเอง

    ผมพบไข่ เห็นบ้านที่แท้จริงของๆผมเองแล้ว
    แล้วท่านล่ะพบไข่ เจอบ้านที่แท้จริงของๆตัวท่านเองแล้วรึยัง

    .......................................................................................

    ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
     
  2. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    ...กำเนิดโลก...

    ทำไมโลกใบนี้ เมื่อมีพืชและสัตว์ จึงต้องมี..วิญญาณหรือผี..ของพืชและสัตว์ด้วย
    จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า แม้แต่ตัวโลกใบใหญ่มหึมาใบนี้ ก็มี..วิญญาณหรือผี ..ของโลกด้วย เช่นกัน

    พระสูตร คิริมานนทสูตร
    ดูก่อนอานนท์ อันชื่อว่าเมืองพระนิพพาน ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใดพระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้ คำว่าที่สุดแห่งโลกนั้น จะถือเอาอากาศโลกหรือจักรวาลโลก เป็นประมาณนั้นหามิได้ อากาศโลกแลจักรวาลโลกนั้น มีที่สุดเบื้องต่ำก็เพียงใต้แผ่นดิน แผ่นดินนี้มีน้ำรอง ใต้น้ำก็มีลม ลมนั้นหนาได้เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์ สำหรับรองน้ำเอาไว้ ใต้ลมนั้นลงไปก็เป็นอากาศหาที่สุดไม่ได้ ที่สุดโลกเบื้องต่ำก็เพียงลมเท่านั้น อันว่าที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องขวางนั้น มีอนันตจักรวาลเป็นเขต นอกอนันตจักรวาลออกไปก็เป็นอากาศว่างๆอยู่ จึงว่าโดยขวางมีอนันตจักรวาลเป็นที่สุด อันว่าที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบนนั้นมีอรูปพรหมเป็นเขต เพราะอรูปพรหมสี่ชั้นนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนิพพานพรหมหรือนิพพานโลก นิพพานโลกนี้เป็นที่ไม่สิ้นสุด ส่วนว่านิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าโลกุตระนิพพานเป็นนิพพานที่สุดที่แล้ว ต่ออรูปพรหมสี่ชั้นขึ้นไปก็เป็นแต่อากาศว่างๆอยู่ จึงว่าที่สุดเบื้องบนเพียงอรูปพรหมเท่านั้น จะเข้าใจเอาเองว่าลมรองน้ำ แลอนันตจักรวาลและอรูปพรหมเป็นที่สุดของโลกเมืองพระนิพพานคงตั้งอยู่ในที่สุดของโลกเหล่านั้นดั่งนี้ พระพุทธเจ้าห้ามเสียว่า อย่าพึงเข้าใจอย่างนั้นเลย ที่ทั้งหลายเหล่านั้นใครๆก็ไม่สามารถจะไปถึงด้วยกำลังกายหรือด้วยกำลังพาหนะ มียานช้างยานม้าได้ อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพานตั้งอยู่ที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือตั้งอยู่ในที่แห่งนั้นแห่งนี้ อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย แต่ว่าพระนิพพานนั้น หากมีอยู่ในที่สุดของโลกเป็นของจริง ไม่ตรงสงสัย ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลก รู้โลกเสียให้ชัดเจนก็จะเห็นพระนิพพาน พระนิพพานก็หากตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก นั่นเอง

    แล้วเราจะศึกษาโลกใบไหนดีล่ะ เราจึงจะพบ ณ.ที่สุดแห่งโลก เราจึงจะเห็น ณ.ที่สุดแห่งคำตอบของทุกๆปริศนาคำถามต่างๆมากมายของชีวิตและของสรรพสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาบนผิวเปลือกโลก และ..ตัวตน..ที่แท้จริงของโลก

    แหล่ะที่สำคัญ ณ.ประตูแห่งพระนิพพาน ประตูเส้นทางสายกลางสู่การหลุดพ้น..วัฏจักรสงสาร..มันคืออะไร

    โลกในตำราเรียน เกิดจากสมมติฐานความน่าจะเป็น ด้วยเหตุผลตามหลักการของทางวิทยาศาสตร์
    แต่..โลกในพระสูตร เออ เกิดจากอะไรดีล่ะ ผมก็ไม่รู้ไม่เข้าใจเหมือนกันพระพุทธเจ้ารู้ได้ไง เพราะรู้เหลือเชื่อ
    พระพุทธเจ้ารู้จนกล้าที่จะส่งปริศนาธรรมข้ามกาลแห่งเวลา มาท้าทายนักคิดของโลกในปัจจุบัน
    พระพุทธเจ้าบอกว่าพระองค์ตรัสรู้แล้ว แล้วพระพุทธเจ้ากำลังพยายามจะถ่ายทอดสิ่งที่รู้ บอกอะไรให้กับเรารึ
    ทุกๆสรรพสิ่งล้วนมีสองด้าน เมื่อมี..โปรแกรมเมอร์..มันก็ย่อมต้องมี..แฮกเกอร์..ฉันใดก็ฉันนั้น

    บ่อยครั้งช่วงขณะที่ผมใจจดใจจ่อพิจารณาโครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมา ความทรงจำเก่าๆเมื่อครั้งประถมของผมถูกกระตุ้นขึ้นมาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับโครงสร้างองค์ประกอบและระบบทำงานของโลกในตำราเรียน ที่คุณครูทั้งสั่งทั้งสอนและทั้งบังคับต้องรู้ให้ได้ ต้องจำให้ได้ และต้องเข้าใจให้ได้

    คุณครูบอกว่า แรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงของโลกเกิดจากการที่โลกหมุนวนรอบตัวเอง โลกจึงมีแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วง สิ่งต่างๆจึงตกจากที่สูงลงล่างเพราะแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงของโลก..ผมจำได้แม่น

    เมื่อกลับถึงบ้าน ผมลองเอาลูกฟุตบอลมาหมุนแล้วโรยกรวดทรายลงไปที่ฟุตบอลที่กำลังหมุน ก็ไม่เห็นกรวดทรายที่โรยไปมันดึงดูดยึดติดกับลูกฟุตบอลเลย จึงเข้าใจว่าลูกฟุตบอลมันอาจหมุนช้าไปและไม่คงที่ จึงไม่เกิดแรงดึงดูด

    ข้างบ้านผมมีอาชีพเจียระไนพลอย มีมอเตอร์และจักรเอาไว้เจียระไนพลอย จักรและมอเตอร์หมุนเร็วมากผมคิดว่ามันน่าจะหมุนแรงพอ จึงเอากรวดทรายไปโรยที่มอเตอร์ดู ก็ไม่เห็นมอเตอร์มันดึงดูดกับเม็ดกรวดเม็ดทรายเลย มีแต่กระเด็นออก จนคนข้างบ้านที่กำลังเจียระไนพลอยอยู่สงสัยถามผมกำลังเล่นอะไร ผมจึงอธิบายถึงเรื่องที่คุณครูสอนมา และของทดลองกับจักรเจียระไนพลอยหน่อยได้มั้ย เขาก็เรียกผมไปดูแล้วอธิบายให้ฟังว่า เองเห็นขี้ยามันโดนเหวี่ยงกระเด็นออกมั้ย มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันมีแต่กระเด็นออกไม่มีแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงอะไรนั้นหรอก เองลองไปถามครูใหม่

    เมื่อมีโอกาสผมจึงอธิบายผลการทดลองให้คุณครูฟัง ไม่เห็นจริงอย่างที่ครูบอกเลย ผมโดนครูและเพื่อนๆในห้องเรียนหัวเราะเยาะ ตั้งแต่นั้นมาผมไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรในห้องเรียนอีกเลย มีแต่อดทนอดกลั้นต้องทนไปเรียนหนังสือจนจบ ม.6 ที่มีผลการเรียนที่ย่ำแย่ จนถึงแย่ที่สุดแทบทุกวิชา

    แต่ตลอดชีวิตที่เติบโตมาผมก็ยังคงมั่นใจกับสิ่งที่ผมได้ทดสอบทดลองด้วยตัวเองอยู่เสมอ แม้ผมจะรู้ว่าผมบ้าอยู่คนเดียวก็ตาม จนชีวิตผมบ่อยครั้งผมมักสงสัยตัวเองอยู่เสมอ ทำไมผมละสายตาหรืออดใจไม่ให้เพ่งมองสิ่งที่หมุนวนรอบตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะเปิดพัดลมผมก็มักชอบเพ่งมองใบพัดที่หมุนรอบตัวเอง นั่งรอรถเมล์ก็มักชอบเพ่งมองวงล้อรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมาตามท้องถนน กับความสงสัยที่มักสงสัยอยู่เสมอว่า..วงล้อจริงมันหายไปไหนของๆมันวะ

    แม้กระทั้งล้างจานผมก็มักชอบเพ่งมองเกลียวน้ำที่กำลังหมุนรอบตัวเอง ขณะที่มันถูกระบายทิ้งลงช่องระบายน้ำ

    จวดจนกระทั้งปัจจุบันผมถึงได้เข้าใจหายหมดสิ้นซึ่งความสงสัย ได้แต่บอกกับตัวเองว่า ถึงเวลาของเราแล้วสินะ มันคงถึงเวลาของผมแล้วที่ผมจะเรียกร้องประกาศบอกกล่าวให้คนทั้งโลกได้รู้ได้เห็น และได้เข้าใจว่า

    โครงสร้างโลกที่แผ่หลายอยู่ในตำราเรียนทั่วทั้งโลก..มันผิด

    แรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงไม่ได้เกิดจากการที่โลกหมุนรอบตัวเอง แต่เป็นเพราะแรงดึงดูดและแรงผลักดันของตัวพลังงานขับเคลื่อนโลกต่างหากล่ะ ที่ทำให้โลกหมุนวนรอบตัวเอง และโคจรวนรอบจุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะ

    โครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมา ถ้ามองผิวเผินก็อาจดูเหมือนว่าโลกมันแบนหรือโลกอยู่บนหลังเต่า อย่างที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของโลก โครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมาจึงเหมือนถูกมองข้ามมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

    แต่สำหรับผมตั้งแต่ได้สัมผัสเป็นครั้งแรกผมไม่ได้คิดเช่นนั้น เพราะถ้าหากผมคิดเช่นนั้น ผมก็เหมือนกำลังดูถูกสิ่งที่ผมเคารพศรัทรามาตลอดชีวิต แหละนี้ก็คือสิ่งที่ผมกล้าท้าทายกับคนทั้งโลกกับสิ่งที่ผมมุมานะพากเพียรมากว่าแปดปี

    ผมตั้งประเด็นไว้สองเหตุผลกับโครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมา
    ประเด็นแรก พระพุทธเจ้าตรัสแสดงมาตรงๆง่ายๆเพื่อให้พระอานนท์ไปบอกพระคิริมานนท์ที่กำลังนอนป่วยอยู่
    ประเด็นที่สอง ด้วยเหตุเพราะมันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากแสนยาก มันจึงไม่สามารถที่จะอธิบายให้ผู้อื่นได้เข้าใจอย่างง่ายๆในช่วงระยะเวลาอันสั้น บวกกับช่วงยุคสมัยของพระพุทธเจ้าก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าต้องคำนึง

    เหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสแสดงออกมาเป็นปริศนาธรรมหรือเป็น..ปริศนาคำใบ้

    พระสูตร คิริมานนทสูตร
    ดูก่อนอานนท์ เราตถาคตเทศนาไว้โดยอเนกปริยายนั้น ก็เพื่อจะให้หมู่บุถุชนคนเขลาเห็นเป็นอัศจรรย์ และเพื่อ ให้ได้รับความเชื่อความเลื่อมใส เมื่อพาลชนทั้งหลายไม่เห็นเป็นอัศจรรย์แล้ว ก็จะไม่มีความเชื่อ ความเลื่อมใสในคุณของพระตถาคต ถ้ากล่าวแต่น้อยพอเป็นสังเขป ก็ไม่เข้าใจ ไม่เหมือนผู้มีบุญวาสนา แม้จะกล่าวแต่เพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้หลายอย่างหลายนัย ธรรมชาติผู้ที่มีปัญญาแท้ไม่ต้องกล่าวอะไรเลย ก็รู้ได้ด้วยปัญญาของตนเอง ไม่ต้องให้กล่าวเป็นการลำบาก เราตถาคตได้รับความลำบาก ก็เพราะพาลบุถุชนเท่านั้น ว่ากล่าวสั่งสอนแต่เพียงเล็กน้อยก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาถือเสียว่าเขาดีเสียแล้ว แท้ที่จริงความรู้ของเหล่าพาลชน จะรู้ดีซักเท่าใด ก็ดีอยู่แต่เพียงมีลมปัสสาสะปะสาสะเท่านั้น ถ้าลมปัสสาสะ ปะสาสะขาดเสียแล้ว ก็มีแต่เน่าเป็นเหยื่อหนอนนอนกลิ้งเหนือแผ่นดิน จะหาสาระสิ่งใดไม่มีเลย มีแต่เครื่องอสุจิเต็มไปสิ้นทั้งนั้น จะถือว่าตัวมีความรู้ความดี เมื่อมีความรู้ความดีแล้วจะไม่ตายรึ จะมีความรู้มากรู้มายเท่าใดก็คงไม่พ้นตายไปได้ จะมีความรู้ดีวิเศษไปเท่าใดก็รู้ไปหาตายทั้งสิ้น จะมีความรู้ความดีไปเท่าใดก็รู้อยู่บนแผ่นดิน จะรู้จะดีให้พ้นแผ่นดินไปไม่ได้ เมื่อลมยังมีก็อยู่เหนือแผ่นดิน เมื่อลมออกแล้วก็คงอยู่เหนือแผ่นดินนั้นเอง จะพ้นจากแผ่นดินไปไม่ได้ แล้วจะมาถือตัวว่าตนรู้ตนดีอยู่นั้นเพื่อประโยชน์อะไร ส่วนของเน่าของเหม็นมีอยู่เต็มตัวก็ไม่รู้ไม่เห็น เห็นแต่ว่าตัวรู้ตัวดีถือเนื้อถือตัวอยู่ เราตถาคตเบื่อหน่ายความรู้ความดีของผาลบุถุชนมากนัก

    แหละนี้ก็คือเหตุผลหนึ่งของประเด็นที่สอง ที่ผมต้องตั้งหลักทบทวนพิจารณาใหม่อยู่หลายครั้ง บางที่เราคิดมากเกินไป เกรงอกเกรงใจหรือมั่วเอาแต่แห่ตามเขามากเกินไป มันก็อาจทำให้เราไขว่เขวขาดความเชื่อมั่นหลงทิศหลงทางให้ห่างไกลจากจุดหมายของตนเอง ผมจึงต้องคอยดึงสติตั้งหลักตั้งต้นใหม่จนต้องปฏิญาณให้กับตัวเองว่า..กูจะไม่แคร่ กูจะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว กูจะต้องมุ่งเป้าไปยังจุดๆหมายของๆตัวกูเองให้ได้ และต้องให้ได้

    ถ้าหากพระพุทธเจ้าตรัสแสดงเป็นลักษณะปริศนาธรรมคำใบ้ เราก็ต้องแก้หรือไขปริศนาธรรมคำใบ้นั้น อย่างเกมปริศนาคำใบ้แบบเด็กๆงงๆง่ายๆที่เรามักชอบเล่นกัน เพราะปริศนาของเกมย่อมอยู่ภายในเกม ไม่ได้อยู่ภายนอกเกม
    เหตุนี้ ปริศนาของธรรมจึงย่อมอยู่ภายในธรรม ไม่ได้อยู่ภายนอกธรรม แน่นอน ฉันใดก็ฉันนั้น

    อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพาน..ตั้ง..อยู่ที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือ..ตั้ง..อยู่ในที่แห่งนั้นแห่งนี้
    อย่าเข้าใจว่า..ตั้ง..อยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย
    แต่ว่าพระนิพพานนั้นหากมีอยู่ใน..ที่สุดของโลก..เป็นของจริง ไม่ตรงสงสัย

    เป็นไปได้มั้ยว่า ตัวตนที่แท้จริง ตัวตนอมตะไม่ตายของๆเรานั้นก็คือ..ตัวที่สุดโลก..นั้นเอง

    ประเด็นแรก ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสแสดงโครงสร้างโลกมาตรงๆง่ายๆ ผมจึงตั้งสมมติฐานแบ่งส่วนประกอบต่างๆของโลกออกเป็นส่วนๆก็จะได้ 4 ส่วน ดั่งนี้
    1.แผ่นดิน
    2.น้ำรองแผ่นดิน
    3.ลมรองน้ำ (ลมเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์)
    4.อากาศหาที่สุดไม่ได้ (ที่สุดเบื้องต่ำก็เพียงลมเท่านั้น)
    เมื่อได้โครงสร้างส่วนต่างๆแล้ว ก็มาวิเคราะห์หน้าที่ระบบทำงานของแต่ละส่วนนั้นเป็นเช่นไร ดั่งนี้

    1. แผ่นดิน..เราไม่รู้ว่าแผ่นดินที่เรากำลังยืนเยียบอยู่นี้มันมีความหนาและลึกลงไปเท่าไร แต่เรารู้ว่าใต้แผ่นดินลงไปมันมีพลังงานความร้อนหลอมเหลวหลอมละลายสูงมหาศาลอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา ซึ่งปัจจุบันเราก็ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ว่าพลัง งานความร้อนใต้ฝ่าเท้าของเรามันคือความร้อนที่เกิดจากอะไร มีแต่สมมติฐานของทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวเท่านั้น

    2. น้ำรองแผ่นดิน..น้ำเป็นส่วนที่อยู่ด้านล่างของแผ่นดินและคำว่า รองแผ่นดิน นั้นย่อมหมายความว่า ตัวแผ่นน้ำจะต้องมีแรงพลังงานผลักดันแผ่นดินขึ้นมาสู่ด้านบนของผิวเปลือกโลก พระพุทธเจ้าจึงใช้คำว่า..รอง

    3. ลมรองน้ำ ลมนั้นหนาได้เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์..พระพุทธเจ้าระบุตัวเลขขึ้นมาเหมือนกับว่าได้เห็นและสัมผัสกับลมรองน้ำด้วยตัวเอง แล้วก็คงคำนวณตัวเลขของลมรองน้ำจึงสามารถระบุตัวเลขขึ้นมาได้ แล้วปริศนาตัวเลขเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์นี้ มันคือตัวเลขของอะไร เพราะเมื่อเอาตัวเลขเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์มาเทียบกับมาตราวัดในปัจจุบันเป็นกิโลเมตร ก็จะเท่ากับ สิบห้าล้านสี่หมื่นกิโลเมตร ( 15,040,000 ก.ม.) 1 โยชน์ เท่ากับ 16 ก.ม. ตัวเลขมากมายมหาศาลขนาดนี้พระพุทธเจ้าหมายถึงตัวเลขอะไรของลมรองน้ำ
    เพื่อคลี่คลายปริศนาธรรมตัวเลขลมรองน้ำนี้ ผมจึงได้ตั้งประเด็นไว้สามประเด็น ดั่งนี้

    ประเด็นแรก คือ ระยะทางหรือพื้นที่ ถ้าหากปริศนาตัวเลขเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์เป็นตัวเลขของระยะทางหรือพื้นที่ ของลมรองน้ำ โลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมาก็จะมีขนาดใหญ่มหาศาล ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์หลายเท่านัก เพราะดวงอาทิตย์ที่เราเห็นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งล้านสามแสนกว่ากิโลเมตรเท่านั้น เล็กกว่าเฉพาะพื้นที่ของลมรองน้ำซะอีก

    เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ปริศนาธรรมตัวเลขนี้ จะเป็นตัวเลขของระยะทางหรือพื้นที่ของลมรองน้ำ

    ประเด็นที่สอง คือ ความหนาแน่นของมวล สารหรือสสาร หรือแร่ธาตุต่างๆองค์ประกอบของลมรองน้ำ

    ซึ่งประเด็นที่สองนี้ผมตัดทิ้งเลย เหตุเพราะผมไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ราว ไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ จึงตัดทิ้ง

    และมั่นใจว่า พระพุทธเจ้าคงไม่มานั่งนับตัวเลขของสิ่งที่เล็กละเอียดมหาศาลเหล่านี้ให้ปวดหัวกันเปล่าๆหรอก

    ประเด็นที่สาม ก็คือ ความเร็วลมหรือความเร็วรอบ ความเร็วของลมรองน้ำ ถ้าหากปริศนาธรรมตัวเลขคือความเร็วลมและเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับเวลาเป็นวินาที ลมรองน้ำก็จะมีความเร็วเหนือกว่าความเร็วแสงมากมายมหาศาลกว่าห้าสิบเท่า เพราะความเร็วแสงวัดได้ในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ สามแสนกิโลเมตรต่อวินาทีเท่านั้น และถ้าเป็นความเร็วรอบเราก็อาจได้ระยะทางของเส้นรอบวงของลมรองน้ำ แต่มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตัวเลขมันก็ยังเวอร์อยู่ดี

    ทั้งสามประเด็นนี้ประเด็นที่สามน่าสนใจมากที่สุด ก็คือค่าของความเร็วของลมรองน้ำ เพราะผมมีเหตุผลความเชื่อว่าในจักรวาลเอกภพที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ มันน่าจะยังมีค่าของความเร็วอยู่อีกค่าหนึ่งก็คือ..ค่าคงที่..ค่าของความเร็วที่ไม่ใช่ความเร็ว ค่าของการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะค่าคงที่นี้มันจึงทำให้ชีวิตของเราเกิดความรู้สึก..หยุดนิ่งอยู่กับที่..ทั้งๆที่องค์ประกอบภายในร่างกายสังขารของเราและสรรพสิ่งต่างๆที่ห่อหุ้มล้อมรอบตัวเรา ทั้งภายนอกและภายในร่างกายสังขารของเรามันมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมเราจึงไม่เกิดความรู้สึกของการเคลื่อนไหวของเวลาทั้งสองด้านนั้น มีแต่รู้สึกนิ่งๆอยู่กับที่เหมือนไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย

    ค่าคงที่..ค่าความเร็วที่ไม่ใช่ความเร็ว หรือค่าเคลื่อนไหวที่ไม่ได้เคลื่อนไหวในความเข้าใจของผม เปรียบดั่งเช่น เมื่อใบพัดหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วมหาศาลจนถึงจุดๆหนึ่ง ความเร็วจุดๆนั้นก็คือค่าคงที่ ค่าคงที่จะทำให้ตัวใบพัดจริงสูญหายไป แล้วใบพัดเทียมที่เกิดใหม่ขึ้นมาจะมีความชัดเจนดั่งใบพัดจริงที่แยกไม่ออก แล้วใบพัดเทียมก็เคลื่อนไหวสวนทิศทางกับใบพัดจริงแบบนิ่งๆช้าๆเป็นระเบียบเป็นระบบเป็นรูปแบบที่ตายตัว ดั่งเช่นการเคลื่อนไหวของเกลียวสุริยะ การเคลื่อนไหวหมุนรอบตัวเองของดวงดาว และการเคลื่อนไหวของ..เวลา..หรือเข็มนาฬิกาที่เคลื่อนไหวเป็นรูปแบบที่ตายตัว

    หรือค่าคงที่ก็คือ ค่าที่มีจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดเป็นจุดๆเดียวกัน เกิดขึ้นพร้อมๆกัน และใน..เวลา..เดียวกัน มันจึงเป็นค่าความเร็วที่ไม่ใช่ความเร็ว มันจึงเป็นค่าการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะมันเกิดขึ้นพร้อมๆกันทั้งสองจุด

    ผมจึงสรุปว่า ปริศนาธรรมตัวเลขเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์นั้นก็คือ ค่าคงที่ หรือค่าความเร็วเหนือแสงกว่าห้าสิบเท่า

    ไอน์สไตน์ได้ท้าทายกับชาวโลกไว้ว่า ไม่มีอะไรในหล้าจะสามารถเดินทางเร็วกว่าแสง

    ลองดูหน่อยเป็นไง ดูสิว่า การล่องหนหายตัวหรือการเคลื่อนย้ายโมเลกุลหรือการเดินทางด้วยคลื่น อย่างหนังสตาร์เทร็ก เราจะใช้ความเร็วไหน เพราะถ้าหากเราต้องการเคลื่อนย้ายโมเลกุลหรือเดินทางด้วยคลื่น เราก็ต้องสลายโมเลกุลที่ถูกเชื่อมถูกยึด ถูกจัดระเบียบจัดระบบการไหลเวียนพลังงาน ที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างกายสังขารของเราให้ได้เสียก่อน

    ฉะนั้น สิ่งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ควรรู้แจ้งชัดให้ได้เสียก่อน ก็คือ ตัวพลังงาน ตัวพลังงานที่เป็นตัวเชื่อมตัวยึด ตัวจัดระเบียบจัดระบบโมเลกุลของร่างกาย มิเช่นนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีทางที่จะสลายโมเลกุลของร่างกายได้..ผมขอท้า

    ตัวเชื่อมตัวยึดโมเลกุลก็คือ ตัวพลังงานที่ก่อให้เกิดคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แล้วตัวคลื่นพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าก็คือตัวเชื่อมตัวยึดตัวจัดระเบียบจัดระบบของโมเลกุล ดั่งเช่น ตัวคลื่นพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นตัวเชื่อมตัวยึดโมเลกุลของตัวก้อนหินรอยพระบาทพลวง นั้นไง

    เมื่อได้สมมติฐานของปริศนาตัวเลขแล้ว ลมรองน้ำจะต้องไม่ได้อยู่ในสภาพหรือสถานะอย่างเช่นลมบนผิวเปลือกโลกแน่ๆ มันจึงสงสัยว่าลมรองน้ำน่าจะอยู่ในสภาพหรือสถานะอะไร แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ลมรองน้ำเกิดแรงพลังงานหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงมหาศาล จนลมเกิดแรงรองน้ำและส่งผลให้น้ำมีแรงพลังงานผลักดันรองแผ่นดินขึ้นมา

    อยู่ดีๆลมรองน้ำจะมีแรงพลังงานมหาศาลขึ้นมาเองไม่น่าจะเป็นไปได้ หรืออาจจะเป็นไปได้ถ้าลมรองน้ำคือ ประตูอุโมงค์ แล้วอากาศหาที่สุดไม่ได้คือ ปลายอุโมงค์ของอีกฝั่งฟากด้านหนึ่ง แล้วทั้งประตูและปลายอุโมงค์อยู่ในรูปแผ่นม่านมิติแผ่นเล็กๆบางๆแผ่นเดียวกัน มันก็เป็นไปได้ที่ลมรองน้ำจะเกิดพลังงานขึ้นมาเองพร้อมๆกับอากาศหาที่สุดไม่ได้ เพราะมิติอีกด้านหนึ่งของลมรองน้ำกับอากาศหาที่สุดไม่ได้ก็คือ แท่งอุโมงค์ทรงกระบอก นั้นเอง อันนี้ลองสมมติเล่นๆนะเพราะมันยังมีข้อมูลของคนตายแล้วฟื้นที่น่าสนใจของทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่ในช่วง..บทส่งท้าย

    4. อากาศหาที่สุดไม่ได้..ปริศนาพระธรรมเทศนาคำนี้ จะเป็นเพียงแค่ใจกลางจุดศูนย์กลางของลมรองน้ำเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะความเร็วมหาศาลของลมรองน้ำคือเหตุผล อากาศหาที่สุดไม่ได้ อาจเป็นคำตอบได้ว่าเพราะอะไร ลมรองน้ำจึงมีความเร็วสูงมหาศาลเช่นนั้นขึ้นมาได้

    ในช่วงเกริ่นเรื่อง จุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะและจุดศูนย์กลางเกลียวขวัญ ผมได้อธิบายไปบ้างแล้วว่า ปริศนาธรรมคำว่า อากาศหาที่สุดไม่ได้ ที่สุดโลก และประตูพระนิพพาน ในความหมายของพระพุทธเจ้าน่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน และสิ่งๆเดียวกันนั้นก็คือ ตัวหลุมดำกับหลุมขาว ที่มีขนาดเล็กมหาศาล แต่มีมวลพลังงานมหึมามหาศาล จึงส่งผลให้ลมรองน้ำมีแรงพลังงานมหาศาล แล้วส่งต่อแรงพลังงานให้น้ำมีแรงรองแผ่นดิน แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าของเราจึงมีน้ำผลุดๆโผล่ๆขึ้นมา

    เมื่อได้หน้าที่การทำงานขององค์ประกอบแต่ละส่วนทั้งสี่ส่วนแล้ว คราวนี้ก็มาวิเคราะห์ระบบทำงานของโลกจากองค์ประกอบทั้งสี่ส่วนดูสิว่า เราจะได้คำตอบของปริศนาต่างๆบนผิวเปลือกโลกได้หรือไม่

    ความน่าจะเป็น ลมรองน้ำน่าจะมีลักษณะเป็นแท่งพลังงานทรงกลมมน อัดแน่นหนาแน่นไปด้วยมวลพลังงานมืดหรือพลังงานดำ ปกปิดห่อหุ้มล้อมรอบอากาศหาที่สุดไม่ได้หรือตัวหลุมดำที่มีขนาดเล็กมหาศาล ตั้งอยู่ ณ.ที่สุดโลก หรือจุดศูนย์กลางใจกลางของลมรองน้ำที่มีลักษณะเป็นแท่งพลังงานทรงกลมมน

    ถ้าเปรียบตัวหลุมดำกับหลุมขาวกับเหรียญบาทที่มีสองด้านหัวกับก้อย ความน่าจะเป็นเส้นสันขอบของเหรียญก็คือแหล่งกำเนิดพลังงานวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แผ่กระจายรัศมีวงแหวนผ่ากลางลมรองน้ำกว้างไกลออกไปเป็นชั้นๆดั่งเช่นดาวเสาร์ จนเป็นเหตุให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2545

    ถ้าลมรองน้ำคือพื้นที่ของมวลพลังงานมืดหรือพลังงานดำที่อัดแน่นซุกซ่อนอยู่ภายในมิติของหลุมดำเล็กๆ

    แล้วหลุมขาวล่ะ เมื่อมีทางเข้ามันก็ต้องมีทางออก ขืนไม่มีทางออกมันเข้าได้ไม่นานก็เข้าไม่ได้

    ความน่าจะเป็น พื้นที่ของมวลพลังงานที่อัดแน่นซุกซ่อนอยู่ภายในมิติหลุมขาว ก็คือ แผ่นดินหรืออากาศที่ห่อหุ้มล้อมรอบตัวเรา ห่อหุ้มล้อมรอบน้ำรองแผ่นดินและลมรองน้ำอีกชั้นหนึ่ง พื้นที่ของมวลหลุมดำกับหลุมขาวจึงมีลักษณะเช่น ไข่แดงกับไข่ขาวทรงกลมมน พื้นที่ของมวลหลุมดำก็คือไข่แดง ส่วนพื้นที่ของมวลหลุมขาวก็คือไข่ขาว แล้ววงแหวนสนาม แม่เหล็กไฟฟ้าก็แผ่กระจายรัศมีผ่ากลางไข่แดงกับไข่ขาว จนเป็นเหตุให้เกิดรูปร่างหน้าตาของดาวเสาร์กับดาวพฤหัส

    แล้วมวลของไข่แดงกับไข่ขาวจะเคลื่อนตัวสวนทิศทางกัน หรือแผ่นดินกับลมรองน้ำจะเคลื่อนตัวสวนทิศทางกัน โดยมีน้ำรองแผ่นดินเป็นตัวหล่อลื่นหล่อเย็นขั้นกลางการเคลื่อนตัวสวนทิศทางกัน เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่แผ่นดินกับลมรองน้ำที่หมุนรอบตัวเองจะเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน เหตุผลเพราะความเฉื่อยของน้ำรองแผ่นดินที่ขั้นกลางนั้นไง

    ส่วนเหตุผลทำไม แผ่นดินกับลมรองน้ำจึงเคลื่อนตัวสวนทิศทางกัน ความน่าจะเป็นก็เพราะตัวหลุมดำกับหลุมขาว น่าจะมีมิติลักษณะดั่งเช่นอุโมงค์ทรงกระบอกที่ยาวไกลแสนไกล แต่ปลายอุโมงค์ทั้งสองด้านดึงดูดบีบอัดเข้าหากันจนปลายและอุโมงค์ที่ยาวไกลมีลักษณะดั่งเช่นเหรียญสองด้านที่เล็กและบางแสนบาง

    เมื่อมีแรงดึงดูดก็ต้องมีแรงดัน เมื่อปลายอุโมงค์ทั้งสองด้านหดตัวดึงดูดเข้าหากัน ตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งสองด้านจึงเกิดแรงพลังงานผลักดันกันและกัน แล้วตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของปลายทั้งสองด้านก็อัดแน่นไปด้วยมวลพลังงานจนพองตัวขยายตัวเป็นก้อนพลังงานทรงกลมซ้อนชั้นกันดั่งไข่แดงกับไข่ขาว แล้วมวลทั้งสองด้านที่มีตัวคลื่นสนาม แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวห่อหุ้ม ไข่แดงกับไข่ขาวหรือแผ่นดินกับลมรองน้ำจึงเคลื่อนตัวสวนทิศทางกันอย่างเป็นระเบียบเป็นระบบเป็นรูปแบบที่ตายตัว โดยมีตัวเส้นขอบแหล่งกำเนิดวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีค่าคงที่ เป็นตัวกลางขั้นกลางระหว่าง..การเคลื่อนไหวที่คงที่..สวนทิศทางกันของเกลียวแรงพลังงานสองด้านหลุมดำกับหลุมขาว

    ท่านผู้อ่านคิดว่าไง เป็นไปได้หรือไม่กับประเด็นแรก ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสแสดงโครงสร้างโลกมาแบบตรงๆง่ายๆ มุมมองและแนวคิดของผมก็จะได้โครงสร้างระบบทำงานของโลกลักษณะเช่นนี้

    ทุกๆสรรพสิ่งล้วนมีสองด้านโลกจะมีแต่แรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงเพียงอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้ เห็นๆอยู่ว่าไฟและควันไฟ ฝุ่นละอองอากาศต่างๆมันถูกผลักดันให้ลอยขึ้นไปด้านบน จะมามัวให้เหตุผลว่าเป็นเพราะมันเบาอีกต่อไปไม่ได้ หมดยุดสมัยโลกอยู่บนหลังเต่าแล้ว

    โครงสร้างโลกที่ผมอธิบายมานี้ถึงจะมีเหตุมีผลเท่าไร แต่มันก็ทำให้ผมเจอทางตัน ไม่สามารถอธิบายต่อไปได้ว่าความร้อนหลอมละลายสูงมหาศาลใต้ฝ่าเท้าของเรามันเกิดจากอะไร และมันอยู่ตรงส่วนไหนของแผ่นดิน ถ้าไฟมันอยู่ตรงส่วนกลางของแผ่นดิน มันก็เจอกับน้ำทั้งข้างบนและข้างล่าง ไฟมันอยู่ไม่ได้นานแน่ๆ

    หากท่านสังเกตโครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมาจะประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ และธาตุลม แต่ไม่มีธาตุไฟ

    แล้วพระพุทธเจ้าก็บอกกับเราว่า โลกและสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งความเป็นสิ่งมีชีวิตของพืชและสัตว์ ล้วนประกอบด้วยโลกธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แม้กระทั้งองค์ประกอบของรูปร่างกายสังขารของเรานักวิทยาศาสตร์ก็เจอแหล่งกำเนิดธาตุไฟแล้ว ฉะนั้น โครงสร้างโลกที่สมบูรณ์จะต้องประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ที่สมบูรณ์

    บนผิวเปลือกโลกเราเห็นๆว่ามันมีปริศนามากมายมหาศาลที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย เช่น สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เมืองลับแล มิติพิศวงต่างๆ แม้กระทั้งความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเราเองก็แทบไม่รู้เรื่องไม่ราวอะไรเลย ตั้งแต่กำเนิดมาเราก็ไม่รู้ว่าวิวัฒนาการของชีวิตเรามันเกิดมาได้อย่างไรตั้งแต่เมื่อไร ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจิตทั้งโลกก็ตอบอธิบายไม่ได้ว่าจิตของเราคืออะไร มีโครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานอย่างไร และมันอยู่ที่ไหนในความเป็นสิ่งมีชีวิตของเรา ภาพนึกคิดที่เราเฝ้ามองเหม่อมองและเพ่งมองเราก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมันเลย ทำไมตัวภาพมันจึงมีความละเอียดคมชัดเสมือนจริงกับโลกปัจจุบัน เรานอนหลับตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เกิดขึ้นมาก็นอนหลับทุกวันจนกระทั้งตาย เราก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าเรานอนหลับทำไม แล้วทำไมตลอดชีวิตของเราจึงมีภาพเหตุการณ์ความฝันที่ไม่ซ้ำ ภาพความฝันของเราถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากอะไรทำไมมันจึงละเอียดคมชัดเหมือนกับโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินแผ่นน้ำ แผ่นฟ้าอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า สิ่งที่เป็นธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้าง คนรู้จักและคนที่ไม่รู้จัก คนเป็นและคนที่ตายไปแล้ว ไปยันอวกาศจักรวาลที่กว้างไกลล้วนถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเหมือนโลกปัจจุบันจนแยกไม่ออก จนบ่อยครั้งที่ผมสงสัยว่า สิ่งที่เรากำลังเป็น กำลังเห็น และกำลังสัมผัสอยู่นี้ อาจล้วนถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเช่นเดียวกับภาพเหตุการณ์..ความฝัน

    นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเชื่อมั่นว่า ความเป็นจริงแล้วผมไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับชีวิตของผมเองเลย มันจึงเกิดสัญชาติญาณของการค้นหาแสวงหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นสิ่งมีชีวิตของตัวผมเอง นั้นเอง

    เพราะฉะนั้น โครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานของโลกที่ถูกต้องสมบูรณ์ มันจะต้องสามารถให้คำตอบอธิบายได้ แม้กระทั้ง จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของตัวโลกเอง เพราะถ้าโลกไม่มีชีวิต มันจะสร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตขึ้นมา..ได้ไง

    เหตุนี้ ผมจึงตั้งประเด็นที่สองขึ้นมาอย่างไม่คิดแคร่และไม่แห่ตามใคร ไม่สนใจเหตุผลต่างๆในตำราเรียนทั้งหลายที่มีทั้งหมดทั้งโลกทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนา มุ่งเป้าไปที่มันจะต้องอธิบายชีวิตของผมที่โผล่ขึ้นมาบนโลกใบนี้ให้ได้

    หากท่านพิจารณาโครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมาเป็นปริศนาธรรมคำใบ้ หรือปริศนาคำใบ้แบบงงๆง่ายๆ สังเกตให้ดีๆท่านก็จะเห็นชัดเจนว่า โลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมามันเป็นโลกสองด้านกลับหัวกลับหางกัน เท่านั้นเอง

    โลกฝั่งฟากที่เราอยู่นี้ แผ่นดินมันรองน้ำ แต่โลกฝั่งฟากใต้ฝ่าเท้าเราลงไป น้ำมันรองแผ่นดิน

    โลกฝั่งฟากที่เราอยู่นี้ น้ำมันรองลม แต่โลกฝั่งฟากใต้ฝ่าเท้าเราลงไป ลมมันรองน้ำ

    เหนือศีรษะเราขึ้นไป ต่ออรูปพรหมสี่ชั้นขึ้นไปก็เป็นแต่อากาศว่างๆอยู่ ที่ๆมันก็เป็น อากาศหาที่สุดไม่ได้ เช่นกัน

    แล้วมิติโลกสองด้านโลกวงนอกกับโลกวงใน หรือโลกไข่แดงกับโลกไข่ขาวก็ถูกปิดกั้นขวางกั้นด้วยธาตุไฟ เผาไหม้ด้วยกระแสไฟฟ้าระหว่างพลังงานของมิติโลกสองด้าน มิติโลกสองด้านจึงต่างกันเพียงแค่การม้วนขึ้นกับม้วนลงสลับด้านไปมาของจุดศูนย์กลางตัวพลังงานขับเคลื่อนโลก เท่านั้น

    แต่มิติโครงสร้างของโลกสองด้านกลับหัวกลับหางกันนี้ เราจะไม่เห็นจุดศูนย์กลางของตัวพลังงานขับเคลื่อนโลก ว่ามันอยู่ต้องส่วนไหนของมิติโลกสองด้าน เพราะไม่ว่าเราจะกลับหัวกลับหางโลกไปๆมาๆด้านไหนของโลก มิติโลกทั้งสองด้านก็จะมีความเสมอเหมือนกันไม่มีความแตกต่างกัน แยกกันไม่ออกดั่งเช่น..ความจริงกับความฝัน..ของเรานั้นไง

    มันจึงสงสัยว่า แล้วจุดศูนย์กลางของตัวพลังงานขับเคลื่อนโลก หรือ ที่สุดโลก ประตูพระนิพพาน หรือตัวพลังงานหลุมดำกับหลุมขาว จุดศูนย์กลางของตัวพลังงานขับเคลื่อนโลกที่โคตรเล็กมหาศาลนั้นล่ะ..ตั้ง..อยู่ที่แห่งหนไหนของโลก

    อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพานตั้งอยู่ที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือตั้งอยู่ในที่แห่งนั้นแห่งนี้
    อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย
    แต่ว่าพระนิพพานนั้นหากมีอยู่ในที่สุดของโลกเป็นของจริง ไม่ตรงสงสัย
    ให้ท่านทั้งหลาย ศึกษาให้เห็นโลก รู้โลกเสียให้ชัดเจน ก็จะเห็นพระนิพพาน
    พระนิพพานก็หากตั้งอยู่ใน..ที่สุดแห่งโลก..นั่นเอง


    แหละคราวนี้มาลองพิจารณาเหตุผลประเด็นที่สอง เหตุผลที่ผมมีความเชื่อว่าโครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมามันเป็นปริศนาธรรมคำใบ้แบบงงๆง่ายๆที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แล้วลองดูสิว่ามิติโครงสร้างโลกสองด้านกลับหัวกลับหางกันนี้ มันจะอธิบายให้คำตอบอะไรกับเราได้บ้าง

    เนื่องจากผมด้อยการศึกษา ไม่ได้เป็นผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญอะไรกับเขา แค่ช่างตัดผมธรรมดาๆคนหนึ่ง จึงอย่างจะขอร้องท่านผู้อ่าน โปรดใช้ดุลพินิจใช้วิจารณญาณพิจารณาเหตุผลและ..จินตนาการ..ของผมด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

    ทฤษฎีบิ๊กแบงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ทำให้เราเชื่อได้ว่า จักรวาลเอกภพที่ใหญ่มหึมามหาศาลที่สุดนี้ ถือกำเนิดเกิดจากวัตถุพลังงานเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วเมล็ดงาเท่านั้น แต่วัตถุเล็กๆนั้นกลับสามารถปลดปล่อยพลังงานมหึมามหาศาลออกมาได้รอบทิศทาง จนก่อให้เกิดจักรวาลเอกภพที่ใหญ่มหึมามหาศาล

    แต่ปัจจุบันแม้แต่เจ้าของทฤษฎีบิ๊กแบงเองก็ยังไม่รู้ว่า วัตถุพลังงานเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วเมล็ดงานั้น มันคืออะไร และทำไมมันถึงสามารถปลดปล่อยพลังงานออกมามากมายมหาศาลรอบทิศทางได้

    เหตุนี้ เมื่อแรกเริ่มเอกภพจึงเต็มไปด้วยพลังงานและฝุ่นละอองแร่ธาตุชนิดและขนาดต่างๆมากมายมหาศาล ที่แตกกระจัดกระจายออกมาอย่างไม่เป็นระเบียบไม่เป็นระบบปราศจากรูปแบบ และหนึ่งในพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมาก็มีตัวหลุมดำกับหลุมขาวถือกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับเอกภพด้วย

    เมื่อพลังงานถูกปลดปล่อยออกมาจากวัตถุพลังงานเล็กๆจนหมดสิ้น ตัวหลุมดำก็เริ่มทำหน้าที่ดึงดูดเก็บกวาดมวลฝุ่นละอองแร่ธาตุต่างๆที่กระจัดกระจายออกมาอย่างไม่เป็นระเบียบ เพื่อให้เกิดการก่อตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนอย่างมีระเบียบมีระบบและมีรูปแบบให้เกิดขึ้น เอกภพจึงเกิดความโล่งโปร่งใสเราจึงมองเห็นฟากฟ้าได้ไกลแสนไกลด้วยตาเปล่า

    ข้อมูลเกี่ยวกับตัวหลุมดำที่มีทั้งหมดทั้งโลกในปัจจุบัน เป็นแต่เพียงข้อมูลสมมติฐานหรือสันนิษฐานถึงความน่าจะเป็นของนักวิทยาศาสตร์อย่างเดียวเท่านั้น เพราะความเป็นจริงผมเชื่อมั่นว่ายังไม่มีมนุษย์คนใดได้เห็นและสัมผัสกับตัวหลุมดำจริงๆแน่นอน เป็นเพียงข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายระยะไกลแสนไกลกับข้อสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น

    ผมจึงวิเคราะห์หาเหตุผลตัวหลุมดำด้วยตัวผมเอง ไม่คิดปักหลักเชื่อข้อมูลใดๆและก็ไม่เคยคิดลบหลู่ข้อมูลใดๆ อาศัยการสังเกตและความขี้สงสัยของตนเองจากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว ดั่งเช่นที่ผมมักมีพฤติกรรมชอบสังเกตเพ่งมองใบพัดและวงล้อรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามท้องถนน กับความสงสัยต่างๆนาๆมันเป็นไปได้ไง

    เช่น ฝุ่นละออง มันไปเกาะยึดติดกับสันขอบของใบพัดได้ไง ทั้งๆที่ตรงสันขอบใบพัดมันเป็นตัวฉีกแยกอากาศ

    แล้วผมก็อธิบายให้กับตัวเองว่า เมื่อใบพัดเคลื่อนตัวหมุนรอบตัวเองก็จะเกิดแรงพลังงานขึ้นมาสองด้าน แรงดึงดูดหมุนวนเป็นเกลียวกับแรงดันหมุนวนเป็นเกลียว โดยตัวใบพัดเป็นตัวทำให้เกิดขึ้น และตัวใบพัดก็เป็นตัวกลางระหว่างแรงพลังงานทั้งสองด้าน ตัวสันขอบของใบพัดจึงเป็นตัวสร้างคลื่นวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แผ่กระจายรัศมีบางๆขั้นกลางระหว่างแรงพลังงานทั้งสองด้าน ตัวสันขอบของใบพัดจึงเกิดแรงพลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้าต่างขั้วกับตัวคลื่นวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่กระจายรัศมีกว้างไกลออกไปในอากาศ

    ตัวคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่รัศมีวงแหวนบางๆกว้างไกลออกไปนี่เอง คือ ตัวไปจับไปยึดติดกับฝุ่นละอองที่เล็กละเอียดกระจัดกระจายอยู่ในอากาศ ฝุ่นละอองในอากาศจึงเกิดพลังงานสนามเหล็กไฟฟ้าขั้วเดียวกับตัวคลื่น แต่ต่างขั้วกับตัวสันขอบของใบพัด จึงทำให้ตัวสันขอบของใบพัดเกิดแรงดึงดูดกันกับฝุ่นละอองในอากาศ เมื่อปิดพัดลมเราจึงสังเกต เห็นฝุ่นละอองมาเกาะยึดติดกับตัวสันขอบตรงส่วนที่เป็นตัวฉีกแยกอากาศ เราจึงต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ เพราะไม่งั้นฝุ่นละอองก็จะมาเกาะยึดติดกับตัวสันขอบหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆจนลามไปทั่วตัวใบพัด

    .......................................................................................

    โปรดติดตามตอนต่อไปในวันหน้านะครับ เนื่องจากงบผมมีจำกัด
    ดีใจครับที่มีผู้ติดตามอ่าน ขอบคุณที่สละเวลา
     
  3. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    เล่นที่ร้านจริง อะ กี่ชั่วโมงนี่ พิมพ์ได้ขนาดนี้5555555555
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะธรรม ****

    ตัวตนที่แท้จริง คือ ตัวกระทำ
    เพราะ ตัวกระทำไม่ตาย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. ทะเลลึก

    ทะเลลึก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +80
    วิธีคิด และจินตนาการ ก้าวล้ำมากๆ ลงให้อ่านเรื่อยๆน่ะครับ จะติดตาม
     
  6. ลุงจิ๋ว

    ลุงจิ๋ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +990
    มีจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัดจริงๆ...สุดยอดครับ...ขอชม...รออ่านต่อครับ
     
  7. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    เนื่องจากช่วงต่อไปของหนังสือ ผมได้ถ่ายทอดจินตนาการออกมาเป็นภาพวาด พร้อมๆกับอธิบายเหตุผล เพื่อท่านผู้อ่านจะได้เข้าใจง่ายๆ

    แต่ผมไม่สามารถเอาภาพที่วาดไว้ในหนังสือมาลงได้
    จนปัญญา พยายามเท่าไรก็ทำไม่ได้

    ผมจึงลองเอาต้นฉบับที่เซฟไว้ในอีเมลมาลงให้ท่านลองกดดู ไม่รู้จะใช้ได้หรือไม่

    https://docs.google.com/viewer?a=v&...874&zw&sig=AHIEtbR4UXmh1v8BESIbLy_gDOilw4Rn4g

    ยังไงๆก็แจ้งให้ทราบบางนะครับ อ่านได้มั้ย มีภาพวาดชัดเจนมั้ย
    ถ้ามีวิธีไหนที่ดีกว่า แนะนำบ้างนะครับ
    ผมอยากให้ท่านได้อ่านต้นฉบับจริงๆ

    และถ้าอ่านได้ เห็นภาพชัดเจน อย่าลืมติชม แนะนำกันด้วยนะครับ
    จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

    .....พระจันทร์มืด999.....
     
  8. mind stone

    mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +1,296
    คำว่า เมืองพระนิพพานตั้งอยู่ที่สุดแห่งโลก ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั้น..ตามความคิดของผม โลกที่พระพุทธองค์ทรงหมายถึงก็คือ โลกที่พวกเราจินตนาการยึดติดเป็นอวิชชา..เป็นตัวตนของเรา..คิดว่าขันธ์ห้าเป็นของๆเรา..เมื่อเราทำลายอวิชชาเหล่านี้แล้ว..เราก็เข้าใจพระนิพพานว่าอยู่ตรงไหน..ไม่ใช่โลกตามจินตนาการที่เป็นกายภาพตามที่คุณ moondark9999 คิดแต่อย่างใด..
     
  9. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +301
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ถอดรหัสพุทธทำนาย[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ถอดรหัส พุทธทำนาย อยู่หลายปี[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คือสิ่งที่ พุทธองค์ ทรงสั่งสอน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]อาตมา ถอดมา เป็นบทกลอน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]รหัสซ้อน ซ่อนเงื่อน ให้เพื่อนฟัง[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นเรื่องจริง เป็นสิ่งที่ ทรงสอน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นบทกลอน จงจำไว้ ใช่สอนสั่ง[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นแนวทาง ส่งเสริม เพิ่มพลัง[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คือความหวัง ในนี้ มีอุบาย[FONT=05_ZZ Death Note 1.0].<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ทรงตรัสบอก กับอานนท์ คนสนิท[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]บอกให้คิด ดูเถิดหนา ว่าควรไหม<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ผู้บวชเข้า อาศัย รัตนตรัย[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]แต่กลับไม่ หาหนทาง ล้างมลทิน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]บวชเข้ามา ก็สักว่า จะเอาบุญ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]หรือแทนคุณ มารดา บิดาสิ้น[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]บ้างก็บวช มาอาศัย ใช้หากิน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]บ้างถือศีล เคร่งครัด รัดคอตัว.[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]พุทธองค์ ทรงตรัสบอก ไม่หรอกเลย[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เพราะว่าเคย ค้นดู จึงรู้ว่า[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]การถือศีล อย่างโง่เง่า คืออัตตา[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]จึงบอกมา ให้รู้ สู่บทกลอน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]การถือศีล เพื่อดับ บริโภค[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นประโยค ที่พระองค์ ทรงสั่งสอน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]บริโภค คือสุดโต่ง สองแน่นอน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มันจะย้อน มาทำลาย ฉิบหายเอง.[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]บวชอย่างไร ถึงจะถูก ใจพระพุทธ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ไม่สะดุด พระธรรม ในคำสอน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นพระสงฆ์ อย่างไร ไร้อาวรณ์[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]พระองค์สอน เอาไว้ ใช้เป็นครู[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นพระสงฆ์ ทรงศักดิ์ มีหลักว่า[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คือพระยา ธรรมิก ราชสูตร[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นใหญ่กว่า ธรรมใด ในมนุษย์[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นที่สุด แห่งธรรม ล้ำเลิศคุณ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0].<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]พระสูตรนี้ พระองค์ ทรงแสดง[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]แลทรงแจ้ง อานนท์ คนชิดใกฃ้[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มีชื่อว่า คิริมานนท์ นี้อย่างไร[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]จริงหรือไม่ ใครอยากรู้ ศึกษาดู<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]อานนท์ แจ้งข่าวนี้ ให้สดับ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ในระดับ เถระ ชั้นผู้ใหญ่[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คือมหา กัสสปะ จงแน่ใจ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มีบอกไว้ ในวันสัง คายนา[FONT=05_ZZ Death Note 1.0].<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ต่อไปนี้ เป็นแนวคิด ทฤษฎีใหม่[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ที่ถอดได้ มาขายฟรี ยินดีให้[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ขอเถิดหนา จงตั้งอก และตั้งใจ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เพื่อให้ได้ อรรถรส บทกวี[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เรื่องพระยา ธรรมิก ราชไซร้[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มันเหลวไหล จงเข้าใจ ในที่นี่[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มีแต่เรื่อง คิริมานนท์ สิของดี[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ถึงเวลา วาที ต้องชี้แจง.[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เรื่องพระยา ธรรมิก ราชไซร้[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ไม่ใช้เรื่อง อื่นใด เข้าใจด้วย[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คือพระธรรม นำทาง สร้างความรวย[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นการช่วย สร้างสังคม อุดมการณ์[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]พูดไป พูดมา ว่าปากพร่อย[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คนเป็นร้อย คงเห็น เป็นอื่นสิ้น[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]พูดไป คงไม่พ้น รอยมลทิน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ยังไม่สิ้น หนทาง อย่าคลางแคลง.[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ในพุทธะ พยากรณ์ ซ่อนความใน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คืออะไร ในที่นี่ มีคำตอบ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]พุทธะ พยากรณ์ ได้ความชอบ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เพราะคำตอบ ในนั้นมี เสรีไทย[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คือหัวใจ เด็ดเดี่ยว ไม่เลี้ยวลด[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คือไม่คด งอในไส้ นั้นใช่ไหม[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คือความจริง สถาบัน อันชาวไทย[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]หวังพึ่งได้ ร่มเย็น เป็นร่มโพธิ์[FONT=05_ZZ Death Note 1.0].<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]สิ่งนั้นคือ ร่มโพธิ์แก้ว แนวคิดใหม่[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ที่ไม่ใช่ หนึ่งใด ในใต้หล้า[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]สิ่งนี้คือ สามญาติมิตร สนิทมา[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มีชื่อว่า บวร ซ่อนมานาน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]อัญญาสิทธิ์ อัญญาธรรม นำชีวิต[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]คือลิขิต โลกใหม่ ใช่ไหมหนอ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ใครเห็นความ ตามแจ้งมา อย่ารีรอ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]และไม่ขอ ความเห็น เป็นอื่นใด[FONT=05_ZZ Death Note 1.0].<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]พระอาทิตย์ มีชีวิต ที่ไร้พ่อ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มีแต่ ด. กับหัวใจ ที่กล้าหาญ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ผ่านโลกร้อน หนาวเย็น มานมนาน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]แทบล้มคลาน แดดิ้น สิ้นชีวา[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ไม่อยากให้ ใครๆ ได้พานพบ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ต้องประสบ ชะตากรรม ระยำหนา[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มาแก้กรรม ทำงานนี้ ชี้ธัมมา[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]แบบประสา โลกใหม่ ดีไหมเธอ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0].<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ด้วยบวร สอนสั่ง ยังความรู้[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]แบบคุณครู ผู้ให้ โดยไม่หวัง[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:personName w:st="on" ProductID="บ้าน ช่วยงาน">บ้าน ช่วยงาน</st1:personName> ใช้กำลัง[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ลูกบ้านยัง อยู่เย็น เป็นร่มโพธิ์[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นพระสอน ป้อนธรรม นำพาสัตว์[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ให้รู้ชัด หลักธรรม ในคำสอน[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นบวร ก่อนมา ภราดร[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ควรจะย้อน กลับไป ใช้ของเดิม[FONT=05_ZZ Death Note 1.0].<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มีขั้นตอน สอนสั่ง อย่างโปร่งใส[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]อ่านดูได้ ในเล่มนี้ มีทั้งหมด[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เป็นความจริง ทำง่าย ไม่เลี้ยวลด[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]มีทั้งหมด ในนี้ ที่เพียงพอ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]สุดท้ายนี้ มีข้อคิด สะกิดให้[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ด้วยดวงใจ เริ่มหมดหวัง ระกำหนอ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]เพราะไม่มี ผู้ที่ สนใจพอ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]ที่จะก่อ สร้างโลกใหม่ ในใบเดิมฯ[FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p></o:p>[/FONT][/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=05_ZZ Death Note 1.0]โดย. บ.ก.โลกใหม่<o:p></o:p>[/FONT]
     
  10. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    โลกที่พวกเราจินตนาการยึดติดเป็นอวิชชา..เป็นตัวตนของเรา..คิดว่าขันธ์ห้าเป็นของๆเรา

    แล้วโลกที่เราจินตนาการขึ้นมา มันเห็นได้อย่างไรครับ เราใช้อะไรมอง มันจึงเห็น
    แล้วโลกที่เราจินตนาการขึ้นมา มันถูกสร้างสรรค์ด้วยอะไร ทำไมตัวภาพโลกจินตนาการของๆเราจึงมีความละเอียดคมชัดเสมือนจริง เหมือนกับภาพเหตุการณ์จริงของโลกปัจจุบัน

    เมื่อเราทำลายอวิชชาเหล่านี้แล้ว..เราก็เข้าใจพระนิพพานว่าอยู่ตรงไหน

    คุณจะทำลายได้ไง ในเมื่อคุณยังไม่รู้จักสิ่งที่จะทำลายเลย
    โลกจินตนาการของเราถูกสร้างสรรค์ด้วยอะไร
    และเรามองเห็น และรู้สึกคล้อยตามกับโลกจินตนาการไปได้อย่างไร
    ถ้ามันไม่มีตัวตน

    เราก็เข้าใจพระนิพพานว่าอยู่ตรงไหน
    แล้วมันอยู่ตรงไหนละ และเมื่อถ้าพระนิพพานแล้ว แล้วไงต่อ ต่อจากนั้นแล้วไงต่อ
    จะดีใจมากถ้าได้รับคำอธิบายที่ชัดเจน

    ถือเสียว่าสนทนาธรรมเพื่อค้นหาแสวงหา..ปริศนาความเป็นสิ่งมีชีวิต..ของๆตัวเราเองนะครับ

    ........................................

    ......พระจันทร์มืด999......
     
  11. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    ที่สุดของโลก ในความหมายที่ผมเข้าใจคือ ที่สุดของโลก ไม่มีมีอะไรมั่นคงถาวร ทีีสุดของโลกคือการพิจารณา ถึงการที่สภาวะนั้น เกิดอยู่ อยู่เป็นโลก และสลายไปจากความเป็นโลก เรียกว่าพิจารณา ด้วย การเกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป ( นิจจัง ทุกขขัง อนัตตา ) นั่นเอง ดังนั่น เมื่อมั่นไม่คงที่ไม่เสถียร จึง เกิดคำว่า ทุกข์ สถาพทุกข์คือการไม่สามารถคงสภาพนั่นได้ถาวร เกิดขึ้นทั้งเป็นรูปธรรม และ นามธรรม ทีี่สุดของโลกคือสถาวะ ทุกข์ นั่นเอง หากพิจารณา แล้วน้อมมาสู่ใจ ประกอบกับ การกำหนดทุกข์ และวิธีออกจากทุกข์ ( อริยสัจ 4 ) ย่อมจะรู้ว่า ภาวะนิพพาน เกิดจากไหน เกิดที่ใด ท่านถึงได้กล่าวไว้ ว่า กล่าวเป็นอัศจรรย์แก่คนเขล่า เพราะผู้ไม่ปฏิบัติ ไม่ทดลองย่อมไม่เกิดผล จึงเห็นเป็นแค่ ความอัศจรรย์ของคนเขล่าเท่านั้น พื้นฐานทาน ไม่ทราบ ศีล ไม่ทราบ แล้วนิพพานจะทราบได้อย่างไร สำหรับผู้ที่เข้าใจแล้ว ก็จะเข้าใจ ไม่แสวงหาที่มาที่ไป ไปตีความในเชิงอ้างอิง วิทยาศาสตร์ หรือ มิติภพในปัจจุบัน เหมือนที่กล่าวว่า จะไปด้วยกำลังยานช้างยานม้า ก็ไม่สามารถเดินทางไปถึง ถึงแม้ พรหมที่มีฤทธิ์มาก ก้าวข้ามจักรวาลเพียง 1 ก้าว ต่อให้เดินไปจนจบอายุพรหม หรือ ตราบเวลาที่พรหมรูปเวียนว่ายตายเกิด จนเข้าสู่แดนพระนิพพาน ระยะทางที่เดินของพรหมก็ไม่มีที่สุด เป็นเพียงอนัตจักรวาล ว่างเปล่าหาที่สุดมิได้ เปรียบดุจผู้ที่แสวงหา พระนิพพานต่อให้หาไปจนตายเวียนว่ายตายเกิด แล้วๆเล่า ก็ไม่สามารถพบพระนิพพาน ในคิริมานนท์สูตรยังกล่าววิธีปฏิบัติให้รู้ถึงพระนิพพาน คือ การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้รู้จักทาน รู้จักศีล รู้จักภาวนา จึงชื่อว่า เข้าเค้าทางพระนิพพาน

    นี้คือความเห็นส่วนตัวของผม ที่ชอบคิริมานนท์สูตร มาก ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2012
  12. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    "
    อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพาน..ตั้ง..อยู่ที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือ..ตั้ง..อยู่ในที่แห่งนั้นแห่งนี้
    อย่าเข้าใจว่า..ตั้ง..อยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย
    แต่ว่าพระนิพพานนั้นหากมีอยู่ใน..ที่สุดของโลก..เป็นของจริง ไม่ตรงสงสัย "

    ธรรมชาติของสรรพสัตว์สรรพวิญญาณ มีการเวียนว่ายตายเกิด เพราะ อวิชชา ( ความไม่รู้เป็นปัจจัย * มีต่อเป็นวงจรเรียกปฏิจสมุปบาท ได้ดูเองนะคับ ) ) ไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่า ตนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ไม่รู่วาอะไรคือบุญ อะไรคือบาป อะไรคือ ทุกข์ อะไรคือสุข เมื่อไม่ทราบ ก็ใช้ชีวิตไปตามสิ่งที่ตนต้องการ เกิดเป็นการเบียดเบียน เดือดร้อน แก่ตนเองและผู้อื่น เพราะเห็นว่าสิ่งนั้น นำความสุข ใจจึงมีความต้องการ เมื่อไม่ได้ที่ต้องการจึงเกิดโทสะ เบียดเบียนกันและกัน เป็นวงจรให้ได้มาสิ่งเสพย์ เป็นความหลง เพราะใจไปให้ค่าไปยึดติดกับความสุขที่ตนคิดว่าใช่ คิดว่าเป็นของตัวของตน ไอ้ความคิดอันนี้ละ ส่งผลให้ เมื่อตายไป ใจที่ยังยึดติดกับความสุขอันนั้น พาให้ใจสร้างรูปเกิดเป็นบุคคลต่างๆ ในภพภูมิต่างๆ ตามการกระทำของตนที่สร้างมาเมื่อยังมีชีวิต ทำดี ได้ไปอยู่ ภพเรียกว่า สวรรค์ ทำกรรมชั่วเกิดเปนภพ เสวยทุกข์ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกายและเดรัจฉาน เมื่อกรรมเหล่านั้นส่งผลหมดตามธรรม ก็บันดาลให้เปลี่ยนภพภูมิ เป็นมนุษย์ มาทำกรรมดีกรรมชั่ว และต้องเวียนว่ายตายเกิด อีกไม่จบไม่สิ้น เป็นอนัตตา ไม่มีทีสุด หาประมาณไม่ได้ นี้ละ คือ อวิชา เป็นปัจจัย ความไม่รู้เป็นปัจจัย นี้ละเรียกที่สุดของโลก เป็นความทุกข์ แม้ในโลกสวรรค์ หรือ นรก ก็ไม่เสถียรมีการเปลี่ยนแปลงตามวงจร กุศลกรรม และ อกุศลกรรม เป็นวงจรเวียนว่ายตายเกิด ไม่จบไม่สิ้น พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ ค้นพบว่า การเกิด เป็นทุกข์ ท่านจึงพิจารณาหาสถานที่ซึ่งไม่มีความทุกข์ คือ พระนิพพาน พระนิพพานเป็นแดนนครอันบรมสุข อยู่นอกวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และไม่มีการตาย เมื่อไม่มีการตาย จึงไม่มีการเิกิดนั้นเอง พระนิพพานสูญว่าง คือ ว่างจากกิเลศตัณหา จึงมีความว่างเป็นอารมณ์ ว่างจากอารมณ์ โลภ โกรธ หลง กิเลศทั้งพันห้า ตัณหาทั้งร้อยแปด เพราะมีความว่างจากอวิชาเป็นอารมณ์ จิตจึงไม่จับอารมณ์อันเป็นทุกข์โทษ สิ้นเชื้อ สิ้นทุกข์ในจิตทั้งปวง เมื่อจิตสิ้นเชื้อทุกข์ ก็เป็นอิสระ ไม่ยึดติดในภพภูมิต่างๆ เกิดเป็นความรู้ด้วยตนเอง ( ปัจจัตตัง ) ว่า เราจะไม่มีเิกิดอีกต่อไป ( เพราะรู้แล้วว่า การเกิดเป็นทุกข์ ) นั้นเอง นี้คือภาวะนิพพาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านรู้ได้ด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าท่านให้แนวทางไว้ ทาน ศีล ภาวนา พระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านก็ปฏิบัติ ได้ผล ตามๆกันมา และการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ เรียกว่า ทางสายเอก มีสายเดียวทางเดียว ที่จะรู้ว่า พระนิพพาน คืออะไร แนวทางคำสอนของบุคคลอื่นใด ไม่เรียกว่าเข้าทางพระนิพพานเลย เพราะ เป็นเหตุอันเนินช้า ต้องใช้เวลาพิสูจน์ หลักการเหตุผล อีกนาน พระพุทธเจ้าของเรา กว่าจะค้นพบก็พิสูจน์ หาคำตอบของชีวิต มามากมายหลายภพชาติสิ้นเป็นอันมาก เราเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ซึ่งมีคำตอบรอให้เราไปแสวงหาแล้ว จะไปค้นหาคำตอบเองหรือ ไม่สนใจในคำสอนของพระพุทธองค์ให้เนินช้าเสียเวลาไปทำไม เสียทีที่เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา แบบนี้พระพุทธองค์ เรียกว่า เป็นคนเปล่า เกิดมาสูญ หาประโยชน์ หาคำตอบกับชีวิตไม่ได้เลยทีเดียว


    ด้วยความเคารพครับ

     
  13. mind stone

    mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +1,296
    ผมขออธิบายเพิ่มเติมอย่างนี้นะครับ..คำว่าเมืองนิพพานอยู่ในที่สุดของโลก..มิได้หมายความว่าให้เราเดินทางไปจนสุดขอบโลก.สุดขอบจักรวาลแล้วจะเห็นหรือถึงเมืองพระนิพพานนะ๊ครับ..ความหมายที่แท้จริงก็คือ..โลกก็คือตัวเรา.เราก็คือโลก..เป็นความรู้สึกที่ปุถุชนคนทั่วไปยึดติดอยู่..เป็นอัตตา.เป็นเหตุแห่งทุกข์..เมื่อเราปฏิบัติธรรม..เดินตามมรรค 8 ที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้แล้ว.บรรลุธรรม.ทำลายอวิชชาลงได้แล้วก็จะเข้าใจเมืองพระนิพพานหรือถึงเมืองพระนิพพาน
    ตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงครับ...
     
  14. ขุนบรม

    ขุนบรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +35
    ประทับใจคุณจริงๆ

    ไงก็ ผมขอเสนอแนะ ในฐานะ ผู้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักเขียนในช่วงนี้เหมือนกัน คือมีจุดที่จะแนะนำว่า เวลานำเสนอ น่าจะใช้คำพูดแบบนี้ อาจจะละเอียดไปนิดนึงนะครับ

    เช่น "เพราะรีบเร่งเขียนหนังสือ แม้จะแขนพิการมาหนึ่งปี จึงพยายามถ่ายทอด..."

    ให้สังเกตว่า จัดเรียงประโยคใหม่ เอาถ้อยคำที่เราต้องการเน้นขึ้นก่อน ซึ่งมันจะเป็นหลักการทางโหราศาสตร์ (ที่ผมค้นพบและนำเสนอไว้ในงานเขียนอีกชุดหนึ่งเกี่ยวกับการไขปริศนาเหมือนกันครับ) จึงต้องให้ความสำคัญกับประโยคแรกกับประโยคสุดท้าย มากกว่าประโยคอื่นๆ

    แล้วก็บอกว่า ไขปริศนาอะไร (พอคนอ่านสงสัยล่ะ เค้าก็จะอยากรู้)

    แล้วอีกเรื่องผมก็อ่านแล้วรู้สึกผู้เขียนให้ความเป็นกันเองได้ดี แต่การใช้ชื่อนั้นน่าจะมีชื่อที่เป็นมงคล เช่น พระจันทร์ผู้ไขปริศนาในสิ่งลี้ลับ หรือ สว่างใจแม้ในคืนเดือนมืด อะไรยังงี้นะครับ คนโบราณเค้าถือ

    ส่วนรายละเอียด พอเป็นเชิงวิชาการแล้ว มันไม่ค่อยน่าอ่าน เท่ากับตรงที่คุณบอกว่า ได้ไปค้นหาเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาท จนกระทั่ง พยามยามเดินทางไปในสถานที่หลายแห่ง คือผมลองคิดดูนะครับ ถ้าบอกข้อมูล หลังจากได้เกริ่นไปแล้วถึงเรื่องราวที่ว่าทำไมถึงมาสนใจอันนี้แบบเป็นเรื่องเป็นราว ก็จะชวนให้อยากรู้มากเลย

    เท่าที่ผมอ่านดูผมว่า ตรงที่คุณเจ้าของกระทู้ บอกเรื่อง รอยพระพุทธบาทพลวง และ ความสนใจค้นหาคำตอบ เป็นจุดที่น่าสนใจกว่าข้อมูลทางวิชาการที่ยาวเป็นพืดๆและไม่มีสีสัน

    ในแต่ละบท เราสามารถยกข้อความอย่างอื่น จากกลางเนื้อเรื่องมาเกริ่นนำขึ้นก่อนได้ครับ

    เออไงก็ อยากให้ทำตามที่คุณถนัด สิ่งที่ผมกล่าวมานี้เป็นข้อเสนอแนะเฉยๆ ครับ
     
  15. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณ..ขุนบรม..มากๆครับ
    ผมพอมีแววกับเขาบ้างมั้ยครับ ทุกวันนี้พยายามสุดๆ
    เพื่อที่ตนเองจะได้ทำงานที่ตนชอบและมีรายได้พื่งพาตนเองได้สักที

    ผมมีความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับความว่า..ที่สุดของโลก

    อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพาน..ตั้ง..อยู่ที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือ..ตั้ง..อยู่ในที่แห่งนั้นแห่งนี้
    อย่าเข้าใจว่า..ตั้ง..อยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย
    แต่ว่าพระนิพพานนั้นหากมีอยู่ใน..ที่สุดของโลก..เป็นของจริง ไม่ตรงสงสัย

    มันเป็นแนวคิดใหม่ ลองพิจารณาดูนะครับ


    ดูก่อนอานนท์ เมื่ออยากรู้จักนรก และสวรรค์ และพระนิพพาน ก็ควรให้รู้เสียในเวลาก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่ออยากพ้นทุกข์ในนรกก็รีบออกให้พ้นเสียตั้งแต่ยังไม่ตาย เมื่ออยากได้สุขในมนุษย์ หรือในสวรรค์ หรือในนิพพาน ก็รีบขวนขวายหาความสุขเหล่านั้นไว้แต่เมื่อยังไม่ตาย จะถือว่าตายแล้ว จึงจะพ้นทุกข์ในนรก ตายแล้วจึงจะไปสวรรค์ไปพระนิพพาน ดั่งนี้ เป็นอันใช้ไม่ได้ เสียประโยชน์เปล่า อย่าเข้าใจว่าเมื่อมีชีวิตอยู่สุขอย่างหนึ่ง เมื่อตายไปแล้วมีสุขอีกอย่างหนึ่ง เช่นนี้เป็นความที่เข้าใจผิดโดยแท้ เพราะจิตมีดวงเดียว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จิตดวงนี้ เมื่อตายไปแล้วก็จิตดวงนี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้รับทุกข์ฉันใด แม้เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับทุกข์ฉันนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่มีความสุขฉันใด เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับความสุขฉันนั้น ไม่ต้องสงสัย เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่รู้ไม่เห็นซึ่งความทุกข์และความสุข มีสภาวะปานดั่งนี้ เมื่อตายไปแล้วยิ่งจะซ้ำร้าย จะมีทางรู้ ทางเห็น ด้วยอาการอย่างไร

    ดูก่อนอานนท์ คำที่ว่าให้ปล่อยวางจิตใจนั้น คือว่า ให้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ปลงเสียซึ่งการร้ายและการดีที่บุคคลนำมากล่าว มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญ สุขทุกข์ อย่ายินดีอย่ายินร้าย แม้ปัจจัยเครื่องบริโภคเป็นต้นว่า อาหารการกิน ผ้าผ่อนเครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่ที่นอน เภสัชสำหรับแก่โรค ก็ให้ละความโลภ ความโกรธ ในปัจจัยเหล่านี้เสีย ให้มีความมักน้อยในปัจจัย แต่มิใช่ว่าจะห้ามเสียว่า ไม่ให้กิน ไม่ให้นุ่งห่ม ไม่ให้อาศัยสถานที่ ไม่ให้กินยูกกินยา เช่นนั้นก็หามิได้ คือ ให้ละความโลเลในปัจจัยเท่านั้น คือว่า เมื่อได้อย่างดีอย่างประณีต ก็ให้บริโภคอย่างดีอย่างประณีต ได้อย่างเลวอย่างต่ำช้า ก็ให้บริโภคอย่างเลวทรามต่ำช้า ตามมีตามได้ ไม่ให้ใจขุ่นมัวด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างนี้แลชื่อว่าปล่อยวางใจเสียได้ ถ้ายังเลือกปัจจัยอยู่ คือ ปล่อยให้ความโลภความโกรธความหลง เข้าครอบงำเพราะเหตุปัจจัยสี่ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ชื่อว่า ยังถือจิตถือใจอยู่ ยังไม่ถึงพระนิพพานได้เลย ถ้าละความโลภ โกรธ หลง ในปัจจัยนั้นได้แล้ว จึงชื่อว่าทำตัวให้เหมือนดั่งแผ่นดิน เป็นอันถึงพระนิพพานได้โดยแท้ มีคำสอดเข้ามาในที่นี้ว่าเหตุไฉนจึงไม่ให้ถือใจ เมื่อไม่ให้ถือเช่นนั้น จะให้เอาใจไปไว้ที่ไหน เพราะว่าไม่ใช่ของคนอื่น เป็นใจของตัวแท้ๆที่จะเป็นอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีใจนี้เอง ถ้าไม่มีใจนี้แล้วก็ตายเท่านั้น จะให้วางใจเสียแล้วจะรู้จะเห็นอะไร มีคำวิสัชนาไว้ว่า ผู้ที่เข้าใจว่าใจนั้นเป็นของๆตัวจริง ผู้นั้นก็เป็นคนหลง ความจริงมีใช่จิตของเราแท้ ถ้าหากเป็นจิตของเราแท้ก็คงบังคับได้ตามประสงค์ว่า อย่าให้แก่อย่าให้ตาย ก็คงจะได้สักอย่างเพราะเป็นของตัว อันที่แท้จิตใจนั้น หากเป็น ลม อันเกิดอยู่สำหรับโลก ไม่ใช่จิตใจของเรา โลกเขาตั้งแต่งไว้ก่อนเรา เราจึงเข้ามาอาศัยอยู่กับด้วยลมจิตใจ ณ[FONT=Times New Roman, serif][FONT=Angsana New, serif]. [/FONT][/FONT]กาลภายหลังถ้าหากว่าเป็นจิตใจของเรา เราพาเอามาเกิด ครั้นเกิดขึ้นแล้วจิตใจนั้นก็หมดไป ใครจะเกิดขึ้นมาได้อีก นี่ไม่ใช่จิตใจของใครสักคน เป็นของมีอยู่สำหรับโลก ผู้ใดจะเกิดก็ถือเอา ลม นั้นเกิดขึ้น ครั้นได้แล้วก็เป็นจิตของตน ที่จริงเป็นของสำหรับโลกทั้งสิ้น ที่ว่าจิตใจของตนนั้น ก็เพียงให้รู้ซึ่งการบุญการกุศล การบาป การอกุศล และเพียงให้รู้ ทุกข์ สุข สวรรค์ และพระนิพพาน ถือไว้ให้ถึงที่สุดเพียงพระนิพพานเท่านั้น ถ้าถึงพระนิพพานแล้ว ต้องวางจิตใจคืนไว้แก่โลกตามเดิมเสียก่อน ถ้าวางไม่ได้เป็นโทษ ไม่อาจถึงพระนิพพานได้ มีคำแก้ไว้อย่างนี้

    ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเรียกจิตใจของสัตว์เป็นสองลักษณะ
    ก็คือ หนึ่ง..เป็น..ดวง..เป็นวัตถุพลังงานทรงกลม
    สอง..เป็น..ลม..ลมจิตใจ

    โลกเขาตั้งแต่งไว้ก่อนเรา เราจึงเข้ามาอาศัยอยู่กับด้วยลมจิตใจ ณ[FONT=Times New Roman, serif][FONT=Angsana New, serif]. [/FONT][/FONT]กาลภายหลัง
    แล้วตัวตนที่แท้จริงของเราคืออะไร อาศัยอยู่กับลมจิตใจแบบไหนกัน

    นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มต้นค้นหาร่องรอย..ลายเส้น..ของลมจิตใจบนร่างกายสังขารของเราดั่งที่พระพุทธเจ้าแสดงมา ว่ามันจะต้องเป็นลมคนละตัวกับลมหายใจเข้าออก ชัวร์ๆ

    ถ้าดวงจิตและลมจิตใจของเรามีโครงสร้างระบบทำงานเช่นเดียวกับโลก
    นั้นย่อมหมายความว่า ลมจิตใจของเราในความหมายของพระพุทธเจ้าจะต้องเป็นลมชนิดเดียวหรือลมรูปแบบเดียวกับ..ลมเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์
    แล้วก็มีวัตถุพลังงานทรงกลมที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า..ดวงจิต..ห่อหุ้มล้อมรอบ ลมเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์ นั้นไว้

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังอาศัยอยู่ร่วมกับลมจิตใจนั้นก็คือ..อากาศหาที่สุดไม่ได้

    โลกเขาตั้งแต่งไว้ก่อนเรา เราจึงเข้ามาอาศัยอยู่กับด้วยลมจิตใจ ณ[FONT=Times New Roman, serif][FONT=Angsana New, serif]. [/FONT][/FONT]กาลภายหลัง
    เพราะฉะนั้น คำว่า..เรา..ในความหมายของพระพุทธเจ้าก็คือ อากาศหาที่สุดไม่ได้ นั้นเอง

    เหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงเรียกจิตใจของสัตว์เป็นสองลักษณะ เป็นดวงเป็นวัตถุพลังงานทรงกลม และเป็นลมหมุนรอบตัวเองภายในวัตถุพลังงานนั้น




    ความสงสัยมันจึงอยู่ที่ปริศนาธรรม..อากาศหาที่สุดไม่ได้
    ในความหมายของพระพุทธเจ้า มันคืออะไรกันแน่
    เพราะมันจะนำพาเราไปสู่ความรู้ที่เราจะได้รู้ว่า เรามองเห็นภาพนึกคิดและภาพความฝันเมื่อยามนอนหลับ ด้วยอะไร

    เป็นไปได้มั้ยว่า เรามองเห็นภาพนึกคิด ภาพโลกจินตนาการ และภาพความฝันด้วย..อากาศหาที่สุดไม่ได้ หรือประตูพระนิพพานที่เล็กมหาศาลโคตรๆ
    หรือคำว่า..ที่สุดโลก..นั้นเอง

    และสิ่งใดละที่อยู่คู่หรืออยู่ร่วมกับ..ตาหรือดวงตา..ที่เฝ้ามองเหม่อมอง และเพ่งมองภาพจินตนาการนั้นอยู่

    ถ้าไม่ใช่..ตัวภาพจินตนาการ หรือตัวสร้างภาพนึกคิดจินตนาการ นั้นเอง
     
  16. ทะเลลึก

    ทะเลลึก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +80
    ในทฤษฎีสัมพัทธภาพ ขนาด ระยะทาง ความเร็ว เวลา ล้วนเป็นสิ่งเปรียบเทียบ ไม่มีอะไรใหญ่ อะไรเล็ก อะไรช้า อะไรเร็ว อะไรใกล้ อะไรไกล

    พุทธศาสนาอาจเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า สมมุติสัจจะ หรือมายา ตกอยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ และมนุษย์เราก็ล้วนตกอยู่ในภาวะนั้นด้วยเช่นกัน จิตจะเสพสิ่งต่างๆด้วยความรู้สึกเข้มข้น ว่ามันคือความจริง ทั้งที่ความจริง มันไม่จริงเลยสักนิดเดียว ทำไมจิตของเราจึงเป็นแบบนั้น และอะไรทำให้จิตเป็นเช่นนั้น
     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ในพุทธทำนาย ในพระปริตร" อภยปริตร" มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของพระยาธรรมิกราช ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้น พระยาธรรม คือผู้รู้และเห็นธรรมเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงตรัสรู้เห็น แต่ไม่มีทศพลณญาน10 และมหาปุริลักษณะ บารมีก็ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับพระพุทธทั้งหลายได้ พระยาธรรมิกราชเป็นผู้มีปฎิสัมภิทาญานอย่างไม่ต้องสงสัย ชัดเจนเด็ดขาด เป็นผู้มีฤทธานุภาพ ชี้แจงแก้ไขพระไตรปิฎกที่ถูกตีพิมพ์และจารึกเขียนขึ้นได้อย่างชัดเจนตามแบบพระธรรมแม่บทฉบับทิพย์ เป็นผู้ลงทัณฑ์สงฆ์ผู้ล่วงละเมิดสิกขาบททั้งหลาย โดยฐานะกรรมบันดาล เป็นผู้รู้ทิพย์ภาษาเป็นผู้ประกาศธรรมเหนือโลก เหนือลัทธิความเชื่อมายาคติต่างๆจะพีงพินาศเป็นผู้รวบรวมจักรวรรดิธรรม จากแตกแยกนิกายเป็นหนึ่งเดียว เป็นผู้ช่วยบอกทางและสรรเสริญในพระธรรมอย่างที่สุด แม้มีใครชื่นชมท่าน ท่านก็จะชี้แนะให้สรรเสริญแด่พระธรรม พระพุทธ และพระสงฆ์ผู้อยู่ในสารคุณเพียงเท่านั้น! ตราบใดที่ยังไม่ปรากฎปาติหาริ์ย3 ตราบนั้น พระยาธรรมิกราชก็จะยังไม่ปรากฎ ผู้ใดที่แสดงปาติหาริ์ย3ในพระธรรมได้ พึงสำเหนียกไว้ว่าเป็นผู้เข้าใกล้ชิดพระยาธรรม กิจต่างๆย่อมเกิดขึ้นตามการ ภาระเป็นไปตามกรรม เมื่อพระธรรมิกราชปรากฎ. อวิชาและอาสวะกิเลสทั้งมวลจะสิ้นไปในผู้ที่สั่งสมบุญบารมีมาดีแล้ว. พึงเข้าใจเถิดว่า. ในยุคนี้ ผู้ที่แสดงพุทธภาษิต แค่เพียงภาษิตเดียว ก็ยังไม่สามารถแสดงได้เทียบเทียมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสพและพระอรหันต์ผู้ที่อยู่ในสารคุณ ให้ผู้รับฟังได้เข้าใจแจ่มแจ้งเข้าถึงวิมุติได้เลยแม้สักผู้เดียว (เมื่อผู้เสวยวิมุติแสดงธรรม ธรรมนั้นย่อมเป็นวิมุติ). ผู้ไม่รู้จริงไม่ควรแก้อรรถที่เราแสดง เหล่าสหชาติของพระยาธรรมเป็นผู้มีบุญรู้ธรรมตามกาลเป็นอย่างยิ่ง. สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญ ขอจงเจริญในภาวะธรรมตามกาล
     
  18. ใบโพริ์

    ใบโพริ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +212
    . รักษาโรคตามสูตร. หลงสูตรโรคไม่หาย
     
  19. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +301
    ของผมอ่านจบไปหลายรอบแล้ว ทั้งของแท้ของเทียม ดีครับที่เอามาลงแต่ผมยังไม่ได้อ่านนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...