วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    ถ้าอยากหลับก็ไม่ต้องทำนะครับ น้องรัก+ยม[​IMG]
     
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** คำเตือน...จากฟ้าอากาศ ****

    เสียงคำราม ยามค่ำคืน.......ปลุกให้ตื่น ลุกขึ้นมา
    แสงเสียง สายฟ้าฟาด.......คือคำเตือน ผู้เป็นคน
    อย่ามัว แต่ใช้เขา.......ให้คนเขา ลุกขึ้นมา
    ใช้ปิด หน้าต่างอ้า.......นี้คือคน ไม่พึ่งตน
    ต่อไป จะลำบาก.......หมดเวลา สิ้นสุดลง
    ต้องคง พึ่งด้วยตน.......เพราะครูริบ อำนาจคืน

    วันนี้ พอมีหวัง.......โชคดีจัง ได้รับเตือน
    ทุกวัน อย่าผลัดเลื่อน.......ตั้งสัจจะ ปฏิบัติตน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  3. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,633
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 มิ.ย.2550 ผมนั่งสมาธิที่บ้าน พอจิตนิ่งเป็นสมาธิสงบ ก็มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาว่า"ปฐมฌาญ" พอนั่งไปสักพัก ก็มีอีกประโยคผุดขึ้นมาว่า "นั่งกรรมฐานจะพ้นเคราะห์กรรม" โดยที่ผมไม่ได้คิดหรือตั้งคำถาม อยากทราบพระท่านมาบอกหรือจิตบอกเราให้รู้ถึงระดับและผลที่จะได้รับ
    ตอนกำลังจะเข้าห้องผ่าตัด ผมกำหนดลมหายใจ แต่พอถูกฉีดยาชา มันหลุดลืมกำหนดลมหายใจ เพราะไปพะวงกับอาการเจ็บ ถ้าตอนกำลังจะตาย ถ้าพลาดแบบนี้ก็มีหวังหลุดไปนรกแน่เลย แสดงว่าผมยังสอบไม่ผ่านใช่ไหม
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    โดยมากท่านที่ได้มโนมยิทธิเวลาเกิดทุกขเวทนาก็ดี เจ็บป่วยมากก็ดี หรือต้องมีการวางยาสลบ โดยมาก ท่านจะแยกอาทิสมานกายออกไปปร๋อรออยู่บนพระนิพพานล่วงหน้ากันไว้ก่อนครับ

    หากสิ้นใจไปตอนนั้นก็ถึงนิพพานตอนนั้นด้วยเช่นกันครับ

    ส่วนหากแค่ฉีดยาชาและผ่าตัด ผมเองจะไม่เอาจิตไปรับรู้ที่เจ็บเพราะจะยิ่งเจ็บ แต่จะแยกจิตไม่ไปรับรู้เวทนาแล้วพิจารณา ให้เห็นว่ากายเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์จากที่บนพระนิพพานครับ

    ส่วนใหญ่พวกที่ปฏิบัติมาพอควรจิตจะรวมเองและรู้เองว่าทำเช่นไรโดยเป็นไปอย่างอัตโนมัติตามที่หลวงพ่อท่านได้สอนไว้ครับ ขอยืนยัน

    เพราะอย่างตอนที่มีผ่าตัดใหญ่เราจับลมพ่วงไปด้วย ดูอาการของจิตไปด้วยตอนดมยาสลบว่าจิตดับไปจากสติสัมปชัญญะเมื่อไร และด้วยอาการอย่างไร พร้อมกับตั้งท่าไปนิพพานด้วยหากเกิดหมอวางยาแรงไป
     
  5. s_pantusom

    s_pantusom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +1,333
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็รู้สึกแปลก รู้สึกว่าเรานั่งสมาธิได้สงบขึ้น
    แล้วก็มีนิมิตรมาปรากฎ เห็นเป็นฉพรรณรังสี สว่างขึ้นมาจากความมืด
    แล้วคงอยู่ซักพักค่อยหายไป ก็อธิบายไม่ได้ว่านิมิตรนี้เกิดจากอะไร
    จะเกิดจากนิวรณ์ของเราเอง หรือว่ามีผู้ใดมาสงเคราะห์หรือเปล่า

    ตอนนี้ก็เลยนึกเสียดายอยู่ที่เราฝึกมโนฯ ไม่สำเร็จ ไม่งั้นอาจจะหาคำตอบ
    ให้ตัวเองได้บ้าง
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ที่เห็นนิมิตรเป็นฉัพพรรณรังสีนี้ ไม่ใช่นิวรณ์ครับ แต่ตัวสงสัยเป็นนิวรณ์

    ที่จริงนิมิตรนี้เป็นบาทฐานของการได้มโนมยิทธิแล้วครับ ขอให้ทรงอารมณ์เอาไว้ให้ได้ แต่อย่าไปเกร็งหรืออยากได้เกินไป ให้วางใจกลางๆ สบายๆ

    ขอโมทนาบุญในผลและความก้าวหน้าในการปฏิบัติด้วยครับอันเป็นอานิสงค์ ที่คุณไปซ่อมแซมพระพุทธรูปเมื่อไม่นานมานี้ครับ(พระท่านฝากบอกมา)
     
  7. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,633
    ขอบคุณมากครับ คงจะต้องเพียรพยายามให้มากขึ้น
     
  8. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    อนุโมทนาเป็นอย่างสูง

    เรื่องรวมเล่มไม่ทราบว่าขณะนี้ถึงขั้นตอนไหน ผมขออาสาช่วยนะครับ มีไรให้ทำของให้บอกได้เลย
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอขอบคุณในความตั้งใจอนเป็นกุศลของ คุณพุทธโกมุทด้วยครับ
     
  10. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    มีกิเลสตัวนึงที่อันตรายต่อนักปฏิบัติทั้งหลาย ที่มีโอกาสพบได้สูงเมื่อปฏิบัติธรรมไปถึงระดับหนึ่ง คือ วิปัสสนูปกิเลส ขออนุญาติยกคำสอนของหลวงปู่มั่นมาไว้ที่นี่เพื่อให้เพื่อนๆได้ทราบได้รู้ก่อน เผื่อวันไหนเจอมันเข้าจะได้รู้ทันว่าเป็นแค่กิเลสแบบหนึ่งที่เราต้องผ่านไป

    -----------------------------------------------------------

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้เน้นหนักว่า การแก้ไขสิ่งของที่ดีที่เกิดขึ้นนี้ลำบากกว่าแก้สิ่งของไม่ดี เพราะความไม่ดีรู้กันในหมู่ผู้หวังดี หาทางแก้ไขได้ง่าย ส่วนความดีที่ต้องติดดีนี่แก้ไขยาก ผู้ติดดีจึงต้องใช้ความพยายามหลายอย่าง เพราะขั้นนี้มันเป็นขั้นปัญญา เนื่องจากการเกิดขึ้นภายในนั้นมีพร้อมทั้งเหตุและผล จนทำให้เชื่อเอาจนได้ จะไปว่าอะไรแต่อย่างอื่นที่ไกลจากอริยสัจธรรม แม้แต่วิปัสสนาซึ่งก็เป็นทางไปสู่อริยสัจจ์อยู่แล้ว แต่ผู้ดำเนินไม่มีความรอบรู้พอ กลับกลายเป็นวิปัสสนูปกิเลสไปได้ การเป็นวิปัสสนูปกิเลสนั้นคือ

    โอภาโส แสงสว่างไม่มีประมาณ แสงสว่างที่เกิดจากจิตที่สงบยิ่งเกิดแสงสว่างขึ้น เป็นแสงสว่างที่จะหาสิ่งเปรียบเทียบยาก ผู้บำเพ็ญจิตเบื้องต้น พอจิตสงบแล้วเกิดนิมิต เห็นแสงสว่าง เท่านั้นไม่จัดเข้าในวิปัสสนู เพราะแสงสว่างที่จัดเข้าในวิปัสสนูนี้ เป็นแสงที่เกิดจากการเห็นของธรรมชาติ แม้การเห็นเป็นธรรมชาติ เป็นของจริงก็ตาม การที่จะถือเอาของจริงแม้นั้นก็ผิด เพราะความจริงที่เห็นนี้สำหรับพิจารณาด้วยญาณต่างหาก ไม่ใช่จะให้ติดข้องพัวพัน ถ้าติดข้องก็เกิดเป็นกิเลส ก็เลยยึดเข้าไปหาว่าได้ชั้นนั้นชั้นนี้ เลยยิ่งเหลวไปใหญ่ แสงสว่างที่เห็นของจริงนี้ท่านจึงจัดเป็นวิปัสสนูเพราะไปหลงเข้าแล้วหาว่าดี แม้เพียงเท่านี้ ความจริงมันเป็นเพียงเครื่องมือพิจารณาต่อไป ท่านจึงห้ามติด

    ญาณะ ความรู้ไม่มีประมาณ ความรู้ที่เกิดในขั้นต้น เป็นต้นว่ารู้ว่าจิตสงบ หรือรู้อยู่เฉพาะหน้าบ้าง อย่างนี้ไม่จัดเข้าในขั้นนี้ ความรู้ที่จัดเป็นวิปัสสนูนั้น คือความรู้ที่หยั่งรู้ว่า จิตเรานี้ว่ามีความสว่างจริง เช่นเห็นธาตุ ว่าเป็นธาตุจริง ชนิดนี้เราไม่เคยเห็นไม่เคยรู้มาก่อน แน่ล่ะ ถ้าจะเป็นของจริง เลยเข้าใจว่ารู้นี้เป็นธรรมแท้ จึงเป็นกิเลส เป็นเหตุให้ถือตัว แต่ความจริงแล้วท่านให้ใช้ความรู้นี้พิจารณาให้ยิ่งเท่านั้น มิใช่ให้ถือเอาความรู้ ก็เท่ากับถือเอาเครื่องมือว่าเป็นของจริง ท่านจึงห้ามติด

    ปีติ ความอิ่มใจอันแรงกล้า ความอิ่มใจซาบซ่านในตัวอันเกิดขึ้นแก่ผู้ฝึกสมาธิในขั้นต้น ไม่จัดเข้าในชั้นนี้ ปีติที่จัดเป็นวิปัสสนูปกิเลสนั้น คือความเยือกเย็นอันได้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น เช่นเห็นว่า ธาตุทั้งหลาย สักแต่ว่าธาตุ เป็นธรรมธาตุแห่งสภาพจริงๆ ความปีติเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยพบ ก็จะได้พบ เมื่อพบเข้าเลยเกิดความอิ่มใจอย่างแรงกล้า เข้าใจว่าเป็นของจริงทำให้ติด เกิดกิเลสเป็นเหตุให้ยึดถือว่า เป็นธรรมพิเศษหรืออมตธรรม ก็เลยจะเป็นทางให้ยึดแล้วก็ทำให้เนิ่นช้า ท่านจึงห้ามติด

    ปัสสัทธิ ความสงบยิ่ง การทำจิตสงบชั่วครั้งชั่วคราวของผู้เริ่มความเพียรไม่นับเข้าในชั้นนี้ ปัสสัทธิที่จัดเป็นวิปัสสนูฯ นั้น คือความสงบที่มีกำลังอันอาจจะจำแนกธาตุออกไปได้ว่าธาตุนั้นเป็นดิน เป็นน้ำเป็นต้น เพราะสงบจริง จึงจะเห็นธาตุเป็นธาตุจริง ซึ่งสามารถจะให้จิตหลง เพราะความสงบนี้เยือกเย็นมากขึ้นเป็นกำลัง แม้จะทำให้เกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ แต่ถ้าไปติดเพียงเท่านั้นแล้วก็เข้าใจว่าเป็นของจริง กลับกลายเป็นกิเลส ท่านจึงห้ามติด

    สุขะ ความสุขอันลึกซึ้ง ความสุขเกิดแก่จิตของผู้ฝึกหัดใหม่นั้น แม้ครั้งสองครั้งหรือชั่วครั้งชั่วคราวไม่จัดเข้าในชั้นนี้ สุขะที่จัดเป็นวิปัสสนูฯ นั้นเป็นผลไปจากการเห็นธาตุทั้งหลายว่าเป็นจริง เกิดความสงบสุขยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ความสุขนี้จะมีชั้นสูงขึ้นตามลำดับแห่งการเห็นตามเป็นจริงแห่งธรรมธาตุ ถ้าติดก็เป็นกิเลส เป็นเหตุให้พอใจเพียงแค่นั้น จะไม่ก้าวหน้าต่อไป ท่านจึงห้ามติด

    อธิโมกข์ ความน้อมใจเชื่อ ของจริงเป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นฐิติธรรม อาศัยอวิชชาเป็นเครื่องปิดบังจึงไม่สามารถจะเข้าถึงได้ แต่เมื่อพอแก่ความต้องการแล้วก็เป็นอันว่าถึงได้แน่นอน เมื่อทำไม่พอแก่ความต้องการแล้วก็ถึงไม่ได้ เหมือนกับคนทั้งหลายจะพากันเดินทางจากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพฯ เช่นเขาทั้งหลายอยู่เชียงใหม่ แต่กรุงเทพนั้นน่ะมีจริง พอเขาเดินมาถึงลำปาง เขาก็พากันน้อมใจเชื่อว่า ลำปางนี่แหละคือ กรุงเทพ ฯ เขาเหล่านั้นก็ลงรถไฟโดยถือเอาลำปางเป็นกรุงเทพฯ เมื่อน้อมใจเชื่อเช่นนี้เป็นอันถึงกรุงเทพ ฯ ไม่ได้ กรุงเทพมีจริงแต่ต้องขึ้นรถไฟรถยนต์จากเชียงใหม่ไปให้พอแก่ความต้องการ ก็จะต้องถึงจนได้ อันการบำเพ็ญจิตยิ่งบำเพ็ญยิ่งละเอียดขึ้นเป็นลำดับ น่าทึ่งน่าอัศจรรย์มากมายเหลือจะนับจะประมาณ มีสิ่งประหลาดมากมายทีเดียวจึงเป็นสิ่งที่คล้ายกับธรรมชั้นสูง โดยเหมือนกับมีธรรมผุดขึ้นมาบอกว่า ถึงธรรมชั้นนั้นชั้นนี้บ้าง ได้เห็นอริยสัจจ์บ้าง ได้เห็นจะบรรลุบ้าง อะไรมากมายที่จะเกิดขึ้นน้อมใจเชื่อมันแล้ว เป็นกิเลสตัวใหญ่กางกั้นความดี ที่กำลังจะก้าวหน้าไปอย่างน่าเสียดาย

    ปัคคาหะ ความเพียรอาจหาญ การบำเพ็ญจิตจนเกิดความดี ความงาม ความที่ละเอียดอ่อน โดยอาศัยพลังงานแห่งจิต โดยที่ต้องการให้ถึงเร็ว เป็นการเร่งเกินแก่ความพอดี อย่างไม่คำนึงถึงว่าร่างกายมันจะเป็นอย่างไร เอาใจเป็นใหญ่ หักโหมความเพียรอย่างไม่ปรานีปราสัย นี่ก็เป็นทางเสียหาย เพราะเหตุใด ท่านจึงจัดเป็นอุปกิเลสแห่งวิปัสสนาด้วยเล่า ก็เพราะว่าในที่นี้นับว่าเป็นความปรารถนาอย่างรุนแรงของใจ จนอาจจะเป็นอันตรายได้ โดยขาดมัตตัญญู ความเป็นผู้รู้จักประมาณไป จึงกลายตัวมาเป็นอุปกิเลส ซึ่งทำให้เกิดความมัวหมอง ถึงกับจะกางกั้นความเจริญชั้นสูงต่อไป แต่การจะถือเอาวิปัสสนูฯ ข้อนี้มาทำให้เกิดหย่อนความเพียร เรื่องก็ยิ่งเสียหายกันไปใหญ่อีก ในที่นี้ท่านต้องการความพอดี เหมือนกับการรับประทานอาหาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2007
  11. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,181
    ขั้นติดดีนี่ยังอีกไกล พ่อเอ๊ย
    ไว้บวชแล้วค่อยฝึกเหอะ
     
  12. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    รายงานผลการปฏิบัติ ตามหลักสูตร "วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ"

    จากการที่เข้ามาศึกษาแนวทางปฏิบัติตามกระทู้ที่คุณคณานันท์ตั้งขึ้นนี้ เพิ่งได้ตั้งใจจริงจังที่จะปฏิบัติตาม โดยเริ่มไหว้ครูตามคำแนะนำ เมื่อวันที่ 18 มิย. 2550 โดยตั้งใจที่จะปฏิบัติอย่างจริงจังให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทันต่อเหตุการณ์ที่กำลังกระชั้นเข้ามา และคิดว่าจะรายงานผลที่ได้จากการปฏิบัติ ไว้ที่นี่เพื่อได้บันทึกความก้าวหน้าไว้ และฝากให้ท่านที่ปฏิบัติผ่านแต่ละจุดแล้ว ได้ให้คำแนะนำ และเพื่อนๆสหธรรมิกที่มีความสนใจได้ปฏิบัติไปพร้อมๆกัน ครับ

    18 มิย. 2550 เวลา 24.00

    ไหว้ครู (ตามคำแนะนำของคุณคณานันท์)

    ดอกไม้ 3 สี ธูปเทียน เงิน 9 บาท ว่า นะโม 3 จบครับ วางอารมณ์ใจว่า ขณะนี้ ข้าพเจ้า มีศีลบริสุทธ์ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดปด ไม่ได้ดื่มสุรา ศีลห้าของข้าพเจ้าบริสุทธ์ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้ด้วยจิตเมตตาเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก พรหมวิหารสี่ข้าพเจ้าพร้อมบริบูรณ์ ข้าพเจ้าขอน้อมจิตยึดถือไตรสรณคมถ์เป็นที่พึ่งที่อาศัยตลอดชีวิต ตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน จากนั้น สมาทานพระกรรมฐานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แล้วตั้งจิตอธิฐานต่อไปว่า

    "ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ และบำเพ็ญบารมี ด้วยความจริงใจ หากแม้นข้าพเจ้ามีจิตคิดร้ายนำวิชาไปใช้ในทางที่ผิดต่อ ชาติ ศาสนา พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เรียนวิชานี้สำเร็จ ถึงสำเร็จก็ขอให้วิชาที่ได้มาถูกส่งกลับคืนไปจนหมดสิ้นเมื่อข้าพเจ้าผิดสัจจะ แต่หากข้าพเจ้าใช้วิชาในทางที่ถูกที่ควรขอให้ข้าพเจ้าจงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ "<O:p

    จากนั้น เอนตัวลงนอนสมาธิ ซึ่งเป็นท่าที่ถนัดที่สุด จับลมหายใจโดยใช้วิธี กักลม ตามคำแนะนำ ประมาณ 10 ครั้ง จากนั้นหายใจตามสบาย ใช้คำภาวนา "นะมะ พะธะ" มีสติระลึกตามลมหายใจ จนรู้สึกได้ตลอดสาย จนลมหายใจละเอียดถึงที่สุดเหลือสั้นเพียงเท่าเมล็ดถั่ว คำภาวนาหายไป (ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากทำได้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้มักจะหลับ หายเข้ากลีบเมฆเสมอ)

    หลังจากที่อยู่ในสภาวะนี้ระยะหนึ่ง ถอยออกจากฌาณโดยนับถอยหลัง 4 ... 3 ... 2 ... 1 ... 0 รู้สึกลมหายใจได้ชัดเจนขึ้น จับคำภาวนาต่อ แล้วค่อยๆลืมตาขึ้น คำภาวนา และลมหายใจชัดเจน เข้าสู่ฌาณอีกครั้งในสภาพลืมตา (สังเกตุว่าขณะที่จิตเข้าสู่ฌาณลึกขึ้น ตาพยายามจะหลับเอง เหมือนกับง่วงมาก แต่ก็ภาวนาต่อไป จนคำภาวนาหาย ลมหายใจเบาลงจนเหลือเพียงเล็กน้อย อาการตาจะหลับหายไปเกิดความโพลงขึ้น อารมณ์สบายมาก ทรงอารมณ์อยู่ระยะหนึ่ง (เป็นครั้งแรกที่สามารถเข้าสู่อารมณ์นี้ได้ในสภาวะลืมตาครับ) ถอยออกจากฌาณโดยนับถอยหลัง 4 ... 3 ... 2 ... 1 ... 0 รู้สึกลมหายใจได้ชัดเจนขึ้น จากนั้นพิจารณาวิปัสนาตามคำแนะนำต่อไป ...

    พิจารณาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไปของกายเรา กายคนอื่น และวัตถุธาตุต่างๆ ไม่มีสิ่งใดเหลือ ธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้ สังเกตได้ว่ายิ่งพิจารณาจิตยิ่งมีความละเอียดสบายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พิจารณาสักระยะหนึ่งก็ทำตามคำแนะนำต่อไป

    จับภาพพระสมเด็จองค์ปฐม โดยนึกถึงภาพที่ประดิษฐานที่วิหารวัดท่าซุง จับภาพท่านแล้วพร้อมคำภาวนา (ตรงนี้ค่อนข้างติดปัญหา เนื่องจากภาพมักจะเลือนหายอยู่เสมอๆ ต้องกำหนดภาพใหม่เรื่อยๆ บางครั้งภาพเปลี่ยนเป็นพระองค์อื่นบ้าง เช่น หลวงพ่อไหล พระแก้วมรกต พระประธานศาลา 12 ไร่ พระที่เคยถวายสังฆทานบ้าง) ในที่สุดได้ภาพพระพุทธชินราช จับระยะหนึ่งอารมณ์สบายขึ้น อธิษฐานให้ท่านองค์ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ขยายเป็นหลายองค์บ้าง อธิษฐานให้ท่านครอบกายของเราบ้าง ขณะจับภาพท่านยังไม่เปลี่ยนเป็นแก้วใน หรือประกายพฤกษ์ ทรงอยู่ระยะหนึ่ง จนรู้สึกว่าพอแค่นี้ก่อน จึงถอนออกจากสมาธิ

    ออกจากสมาธิแล้วแผ่เมตตาให้ครูบาอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร แล้วลงไปเข้าห้องน้ำมองนาฬิกาเวลา 1.15 รวมใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2007
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** สัจจะ ****

    วันนี้...ไม่ส่งเสริมอารมณ์ทางเพศ

    พอเห็นสิ่งยั่วยุ สัดส่วน ล่อแหลม เว้าๆ โค้งๆ นูนๆ
    ใจก็คิดว่า...เราไม่ส่งเสริมอารมณ์
    เราก็พอรู้ทันมัน...เมื่อคิดได้...ก็ไม่เกิดอารมณ์กำหนัด อยาก
    เราก็ไม่ส่งเสริมการกระทำ ที่เกี่ยวข้องกับทางเพศ
    เมื่อเห็น ก็เหมือนไม่เห็น...เมื่อได้ยิน ก็เหมือนไม่ได้ยิน
    รูป รส กลิ่น เสียง...มันมาแล้ว มันก็ไป
    เราต้องมี สัจจะ
    วันนี้...เราไม่ส่งเสริมให้ตัวเองสะสม อารมณ์ทางกาม
    พอหมดสิ้นสุดวัน
    เราทำได้....นี้แหละ "สัจจะ" ที่เราทำได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ย่อแผ่นดิน ****

    การแตกแยกของแผ่นดิน

    เคยสังเกต... พื้นดินบ้างไหม !!!!!!!
    เวลาที่ฝนไม่ตกหลายวัน ติดต่อกัน
    ดินจะแห้ง...จะยุบตัว....จะแตกแยกเป็นร่องลึก

    ผืนดิน...เพียงหนึ่งตารางฟุต...ออกมีสิ่งให้ศึกษามากมาย
    ดิน...คือ ธรรมชาติ
    ทราย...คือ ธรรมชาติ
    หิน...คือ ธรรมชาติ
    กรวด...คือ ธรรมชาติ

    เมื่อ...ดินเริ่มแตกแยก เป็นเส้นทางลึก
    รอยแยกของดิน...ค่อยๆ พุ่งเดินหน้าอย่างช้าๆ
    เมื่อรอยแยก...พบหินก้อนหนึ่ง
    รอยแยก....จะหลีกทางซ้าย ขวา...หลบตำแน่งที่หินอยู่
    รู้ไหมเพราะอะไร !!!!!!!

    เพราะ...หิน คือ ธรรมชาติ
    หิน...คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    หิน....มี พลังตามธรรมชาติ
    หิน...คือ หน้าบันทึกประวัติของโลกที่ยาวนาน
    หินบางแห่ง...คือ แท่นตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

    โลกนี้...มีพระพุทธเจ้า มาแล้วมากหลายยุคสมัย
    พระพุทธเจ้า...ธุดงค์ไปแล้วทั่วโลก
    ชั้นหิน...คือ บันทึกเรื่องราว...สัจจะที่พระพุทธเจ้าทำได้
    มนุษย์...มองเห็นความศักดิ์สิทธิ์...ต่างกันไปตามระดับจิตใจ

    ดังนั้น
    "ผู้มี สัจจะ"...ไม่ว่าจะอยู่แห่งใดบนแผ่นดิน หรือแผ่นน้ำ หรือในอากาศ
    ย่อมได้รับความคุ้มครอง...จาก ดินฟ้าอากาศ...จากธรรมชาติ....จากโลก

    รีบ...สะสมบารมี จาก "สัจจะ" ด่วน !!!!!!!
    นี่คือ คำเตือนด้วยความเมตตาสัตว์โลก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    วิชชาที่ถูกต้อง คือ หลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า

    เรา เข้าใจ เข้าถึง จิตใจ กันหรือไม่???อย่างไร???

    วิธีการ ง่ายนิดเดียว เปลี่ยนความคิด??ไง
    ถ้าปรับปรุงจิตใจ ให้มี สังคหวัตถุสี่ คือ

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เมื่อเราคิดดี ก็จะ พูดดี ทำดี ต่อ ตัวเองและผู้อื่น คือ ครอบครัว ลูกเมียผัว พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ คนอื่นๆ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ พระพรหม เทวดา พญายม ภูติผี สัมภเวสีทั้งหลาย

    <o:p></o:p>

    โดย การปลูกฝังจิตใจให้มี พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อสิ่งมีชีวิตและทุกๆสิ่ง หมั่นทำสมำเสมอ ด้วยหลัก อิทธิบาทสี่ มี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็แค่นี้เอง

    <o:p></o:p>

    ในที่สุด จิตใจก็จะใส บริสุทธิ์ และนี่คือ จักรทิพย์ ดวงแก้ว ซึ่งมีอยู่แล้วใน มนุษย์เราทุกๆคน<o:p></o:p>
    <o:p> สุดท้ายขอให้ ร่วมด้วย ช่วยกัน กระทำดีๆต่อกัน รักกัน สมานฉันท์ บ้านเมืองก็จะดีเอง ไปร่วมกันทำง่ายๆได้ที่ เว็บไซต์ คนใจดี.คอม</o:p>
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอกราบโมทนาในผลแห่งการปฏิบัติและความตั้งใจ ของคุณพุทธโกมุทด้วยอย่างยิ่งครับ

    อย่าลืมการอธิฐานเพื่อความเป็นวสีและเป็นการจำอารมณ์ใจในการปฏิบัติครับ

    ขั้นต่อไปก็คือการจับภาพพระทรงเอาไว้ในจิตไม่ว่าลืมตาหลับตา หากยังทรงไม่ได้ตลอดเป็นความรู้สึกก็ยังดีครับว่าพระท่านอยู่เหนือเศียรเกล้าของเราอยู่ตลอดเวลา

    และพิจารณาต่อไปว่า เมื่อพระท่านอยู่กับเราก็ขอให้เราทรงอารมณ์อยู่ในกุศลจิต มีความดี ในทุกระดับไปจนถึงความดีเพื่อการหลุดพ้นเป็นที่สุด

    ก้าวหน้าอย่างไรมาเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติด้วยครับ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    แก่นของใจ


    พระท่านได้เมตตามาสอนเรื่องแก่นของใจ หรือ ดวงจิตที่แท้จริงของอาทิสมานกายของเรา

    ท่านได้บอกว่า "หากเราค้นพบจิตเดิมแท้ของเราได้ และชำระล้างจิตของเราด้วยวิปัสนาญาณ จนดวงจิตของเราใสบริสุทธิ์ ได้เป็นปกติ จากนั้นทำความระลึกรู้ถึงสภาวะที่แท้จริงของจิตของเราเอาไว้ เราก็จะคงความเป็นสัมมาทิษฐิเอาไว้ได้ รักษาแก่นของจิตเราเอาไว้อย่าได้ให้เศร้าหมอง เมื่อพบจิตเดิมของเราแล้วเราก็จะตื่นขึ้น รู้ด้วยปัญญาจากสมาธิเอง ว่าเรานั้นอธิฐานสิ่งใดก่อนลงมาเกิด ตั้งใจที่จะทำหน้าที่ หรือสร้างบารมีอย่างไร

    การที่เราลงมาเกิดในชาตินี้ ช่วงเวลานี้ เป็นมิคสัญญียุค สภาพ สภาวะ จิตของคนก็ดี กระแสสังคมก็ดี สภาพแวดล้อมก็ดี ค่านิยมวัตถุนิยมก็ดี ล้วนแต่ฟอกย้อมห่อหุ้มจิตเดิมของพวกเรา ประดุจเมือกไคล ให้เศร้าหมองขุ่นใจไปบ้าง ให้ไหลไปตามกระแสโลกไปบ้าง เป็นธรรมดา

    แต่เมื่อเราได้ระลึกรู้ และรู้จักจิตเดิมอันเป็นประภัสสรของเรา ตามคำของพระศาสดาแล้ว จิตของเราจะตื่นขึ้น เกิดการชำระล้างจากภายในออกมา ประดุจผีเสื้อแหวกออกจากรังไหมฉันนั้น ไม่ว่าจะเกิดอารมณ์กระทบสักประการใดก็ตาม เกิดวิกฤตต่อเราสักปานใดก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้เราละทิ้งความระลึกรู้ในดวงจิตอันบริสุทธิ์ดวงนี้ไปได้

    จงขัดเกลาดวงจิตจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ทั้งจากภายนอกและภายใน

    หรือแม้แต่การใช้เจโตปริยญาณก็พึงดูเข้าไปให้ถึงแก่นของดวงจิต ว่าเป็นจิตที่บริสุทธิ์แท้หรือไม่ บางบุคคลก็มีดวงจิตเป็นความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง บางบุคคลก็มีเปลือกที่ใสห่อเอาไว้แต่ไส้ในไม่ใช่ก็มี เมื่อไปรู้ไปเห็นแล้วก็จงวางเสีย อย่าไปตัดสิน อย่าไปปรุงแต่ง แต่พึงกำหนดรู้ หากสงเคราะห์ได้ก็จงช่วย หากไม่อยู่ในวิสัยก็พึงหลีกไปเสีย

    รักษาจิตของเราให้บริสุทธิ์เป็นหน้าที่ของเราที่สำคัญที่สุด จะทำการสิ่งใด ก็จงพิจารณาดวงจิตของเราว่า เป็นไปเพื่อส่วนรวม หรือเพื่อคุณประโยชน์อันเป็นกุศลของผู้อื่น เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ วิสุทธิของดวงจิตของตนเองจึงนับว่าเป็นไปเพื่อกุศล"

    แก่นของใจ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหาให้พบครับ

    ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้แค่เพียงใจ รักษาไว้ชั่วนิรันดร์
     
  18. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    ฝึกลมปราณ เพื่อพัฒนาจิต ปัดเป่าหินออกจากใจ(พื้นฐานของการมีสื่อทางจิต)
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ผมนำมาฝาก ลองปฏิบัติดูนะครับ

    <CENTER>ลมหายใจ...
    เป็นลมวิเศษที่ปัดเป่าหินออกจากใจ
    แล้วยังช่วยพัดพาความเย็นมาสู่ใจเรา </CENTER>

    ของที่หนักราวกับก้อนมหึมา แทบจะไม่ขยับเขยื้อนเอาเลย บางทีก็ปลิวไปได้ง่าย ๆ เพราะลมเบา ๆ

    ที่พูดนี้ไม่ได้หมายถึงลมสลาตัน หรือเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ลมที่ว่าอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่านั้นอีก ก็ลมหายใจไงล่ะ


    <DD><DD>ลมหายใจเข้าออกนี้แหละ สามารถพัดพาของหนักออกไปได้ ของหนักที่ว่าไม่ได้อยู่ที่ไหน หากอยู่ในใจเรานั่นเอง ความเครียด ความโกรธ ความวิตกกังวล เกิดขึ้นกับเราเมื่อใด ใจก็จะหนักราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงอยู่ข้างใน

    หินที่หนักเกินกำลัง เพียงแค่เราปล่อยมือ มันก็ตกลงพื้นแล้ว แต่หินในใจนั้น แม้อยากปล่อย ก็ไม่ยอมไปจากเราง่าย ๆ

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]ถ้าทำเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมไป ลองใช้ลมหายใจของเราดีไหม วิธีการก็ง่าย ๆ แค่หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ ลืมตาหรือปิดตาก็ได้ทั้งนั้น ตอนทำใหม่ อย่าปล่อยให้ลมหายใจเดินทางเข้าออกร่างกายของเรา อย่างโดดเดี่ยว ให้ส่งใจไปเป็นเพื่อนร่วมทางกับลมหายใจด้วย การน้อมใจให้จดจ่อ อยู่กับลมที่เคลื่อนเข้าเคลื่อนออก อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ลมหายใจของเรามีพลังมากขึ้น มันเข้มแข็งมั่นคงขึ้น เพราะมีใจเป็นเพื่อนนั่นเอง

    ลองทำแบบนี้อย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบ ติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้งหินที่กองสุมจะค่อย ๆ หล่นไปจากใจทีละก้อน ๒ ก้อน แรก ๆ อาจเป็นแค่ก้อนเล็ก ๆ แต่ถ้าเราทำนานขึ้นและต่อเนื่อง ใจไม่วอกแวกหรือละจากลมหายใจ แอบไปโลดแล่นที่อื่น ทีนี้หินก้อนใหญ่ ๆ ก็ถึงคราวต้องไปบ้าง

    <DD><DD>ใจกับลมหายใจนั้น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น เวลาเราเครียดหรือโกรธ ลมหายใจของเราจะปั่นป่วน แรง ตื้นและถี่ แต่ถ้าเราดูแลลมหายใจของเราให้ดี ๆ อย่างที่ว่ามา ใจของเราจะเริ่มเบาและคลาย

    ลมหายใจ นอกจากจะเป็นลมวิเศษที่สามารถปัดเป่าหินออกจากใจแล้ว ยังช่วยพัดพาความเย็นมาสู่ใจเรา เวลาเกิดโทสะ ถ้าไม่อยากทรมานเพราะไฟโทสะ ก็ลองใช้ลมหายใจของเราระงับดับความร้อนรุ่มดูบ้าง ถ้าทำได้บ่อย ๆ จะรู้ว่าลมหายใจนี้เป็นเพื่อนที่แสนวิเศษ เพราะไม่เพียงแต่จะเก่งในการปลอบใจให้เย็นลง ยังช่วยเตือนไม่ให้ลุแก่โทสะ จนเผลอทำสิ่งที่ไม่ควรทำ

    <DD><DD>เพราะฉะนั้น เวลาโกรธใคร ก่อนจะตอบโต้ ขอให้หายใจลึก ๆ สัก ๑๐ ครั้ง แล้วจึงค่อยพูดหรือทำ คนที่เปิดโอกาสให้ลมหายใจได้เตือนสติตนเองในยามเช่นนั้น มักไม่ค่อยเสียใจภายหลังจากที่ทำอะไรลงไป แต่ปัญหาก็คือ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าลมหายใจเป็นเพื่อนที่ประเสริฐ แต่เราก็มักลืมเพื่อนคนนี้เสมอเวลามีปัญหา
    [/FONT]</DD>​
    </DD>
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    เพื่อไม่ให้ลืมง่าย เราจึงควรระลึกนึกถึง ลมหายใจของเราอยู่เสมอ ด้วยการน้อมใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าและออกทุกครั้งที่มีโอกาส แม้จะมีเวลาประเดี๋ยวเดียวก็ไม่เป็นไร เริ่มแรกทำตอนว่าง ๆ เช่น เวลานั่งรถ รอไฟแดง ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ พักโฆษณา ตอนล้างมือหรือเข้าห้องน้ำก็เป็นโอกาสวิเศษ ที่เราจะได้ทำความคุ้นเคยกับลมหายใจของเราด้วยเช่นกัน

    ต่อไปก็ลองฝึกระหว่างทำงาน เช่น ระหว่างประชุม หรือขณะกำลังครุ่นคิดเรื่องงานการ ตอนที่กำลังเหนื่อยหรือเครียดนั่นแหละ เหมาะดีนัก พักสมองสักครู่ แล้วลองทำดูสักหน่อย ให้รู้สึกสบาย ๆ เหมือนกับว่าทำเล่น ๆ ใจจะวอกแวก ฟุ้งซ่านไปบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้หายใจเข้าออกติดต่อกันอย่างน้อย ๑๐ ครั้ง ถ้าไม่ได้ ลดเหลือ ๕ ครั้งก็ยังดี…เอ้า ต่อเหลือ ๓ ครั้งก็ได้

    เมื่อใจเริ่มแนบแน่นสนิทสนมกับลมหายใจแล้ว ก็ทำให้นานขึ้น เพิ่มเป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ๒๐ นาทีก็ยิ่งดี คราวนี้อาจทำตอนก่อนนอนหรือตื่นนอน

    นอกจากนั้นเรายังอาจยักเยื้องวิธีการให้มีสีสันขึ้น เช่น ระหว่างหายใจเข้าหายใจออก ก็ปิดตานึกภาพดอกไม้กำลังบานสายน้ำฉ่ำเย็น หรือม่านหมอกลอยขึ้นฟ้า ไม่ช้าไม่นานใจเราก็จะกลายเป็นดอกไม้งาม น้ำฉ่ำเย็น หรือหมอกบางเบาตามไปด้วย

    <DD><DD>วันแล้ววันเล่าที่เราหายใจรดทิ้งไปเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่ลมหายใจออกของเรา สามารถระบายความหม่นหมอง ออกจากใจได้เป็นอย่างดี ส่วนลมหายใจเข้าก็เช่นกัน มันไม่เพียงแต่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราเท่านั้น หากยังสามารถพาความสงบมาสู่หัวใจเราด้วย

    <CENTER>ใช้น้ำ ไฟ ให้มีประสิทธิภาพแล้ว
    อย่าลืมใช้ลมหายใจของเราให้คุ้มค่าด้วย
    คัดลอกมาจากที่นี้ครับ
    http://www.khonnaruk.com/html/verandah/happy/happy_17.htm
    </CENTER>
    </DD>
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    สำคัญ...ที่การกระทำของเราในแต่ละวินาที ที่ผ่านไป
    ว่า....เราตั้งใจทำดีถึงที่สุด แล้วหรือยัง

    ขอย้ำว่า...ถึงที่สุด แล้วหรือยัง ???????

    เพราะ...คำว่าที่สุด...ถึงที่สุด
    ก็คือ..."สัจจะ" นั่นเอง

    ก็ขอให้ทุกคน...ตั้งใจทำ ตั้งใจปฏิบัติให้ถึงที่สุด !!!!!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...