{{หลวงพ่อคูณ257}}ศึกษาพระสมเด็จ/เบญจภาคีองค์ครู26ขุนแผนพรายกุมาร4ลพ.พรหม68พ่อท่านคลิ้ง105

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย Amuletism, 2 มกราคม 2012.

  1. vichai-to

    vichai-to Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +44
    ขอบคุณครับ ท่านamuletism
     
  2. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    พระผงสุพรรณยอดพุทธคุณในเบญจภาคี

    พระผงสุพรรณยอดพุทธคุณในเบญจภาคี

        จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นเมืองเก่าแก่มีโบราณสถานและโบราณวัตถุทางพุทธศาสนามากมาย  โดยเฉพาะพระเครื่องและพระบูชาที่บรรพบุรุษได้สร้างบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์และสถานที่สำคัญต่างๆ  เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา
         ต่อมาได้มีการค้นพบ    พระเครื่องและพระบูชามากมายหลายชนิด  หลายยุคสมัย  ตั้งแต่สมัยอมรวดีทวารวดี  ศรีวิชัย  ปาละ  ลพบุรี  อู่ทอง  อยุธยา  ในจำนวนพระที่ค้นพบนั้น  พระผงสุพรรณ  ที่พบจากองค์พระปรางค์ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  ถือว่าเป็นสุดยอดของพระเครื่องที่ค้นพบทั้งหมด  โดยได้รับความนิยมอย่างมากจนจัดให้เป็นหนึ่งในชุดพระเบญจภาคี
         วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  หรือที่ชาวสุพรรณเรียกสั้นๆ  ว่า  วัดพระธาตุ  เป็นพระอารามเก่าแก่เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณ   มาตั้งแต่สมัยอู่ทองและอยุธยา   ตั้งอยู่ในเขตตำบลรั้วใหญ่  เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี  มีองค์พระปรางค์สูงตระหง่านเป็นองค์ประธานตั้งโดดเด่นเป็นสง่า
         พระอารามแห่งนี้ถูกทอดทิ้งรกร้างอยู่เป็นเวลานาน  จนประมาณปี  พ.ศ.๒๔๕๖  มีชาวจีนเข้าไปตั้งบ้านเรือนประกอบอาชีพทำสวนผักในบริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  ได้ลักลอบขุดองค์พระปรางค์ประธาน  พบแก้วแหวนเงินทองสมัยโบราณเป็นจำนวนมาก  จนข่าวกรุแตกแพร่กระจายไป
         นายเจิม  อร่ามเรือง  นักขุดพระชื่อดังในสมัยนั้นได้ลักลอบขุดต่อ  ได้พบพระผงสุพรรณและพระเนื้อชินต่างๆ  อีกหลายพิมพ์  อาทิ  พระกำแพงศอก  พระมเหศวร  พระลีลา  พระท่ามะปราง  พระผงสุพรรณยอดโถ  พระสุพรรณหลังผาน  และพระพุทธรูปสัมฤทธิ์  ศิลปะลพบุรี  อู่ทอง  ๒  และอู่ทอง  ๓  รวมทั้งแผ่นจารึกลานทองหลายแผ่น  ซึ่งนายเจิม  อร่ามเรือง  ได้ทำการหลอมขายจนหมด  จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ต้องสูญเสียหลักฐานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ไป 
         ต่อมาก็ยังมีผู้ที่ลักลอบเข้าไปขุดค้นอีกหลายครั้งได้สิ่งของที่มีค่าไปมากมาย  ข่าวการลักลอบขุดกรุทราบถึงคณะกรรมการเมือง  พระยาสุนทรสงคราม (อี้  กรรณสูต)  เจ้าเมืองสุพรรณบุรีในสมัยนั้น  เห็นว่าปล่อยทิ้งไว้ราษฎรคงจะแห่กันไปสร้างความเสียหายต่อสมบัติของประเทศชาติ  จึงให้เจ้าหน้าที่รีบไปจัดการอุดช่องที่เจาะพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุแล้วจึงเปิดกรุพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุอย่างเป็นทางการในปี  พ.ศ.๒๔๕๖
         หลังจากนั้นได้นำพระเครื่องที่ได้จากการเปิดกรุส่วนหนึ่ง  ขึ้นทูลเกล้าฯ  ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว   รัชกาลที่   ๖  ซึ่งทรงเสด็จฯ  ไปสักการะบูชาเจดีย์ยุทธหัตถี  ณ  ดอนเจดีย์  ในเขตเมืองสุพรรณบุรี  โดยพระยาสุนทรสงคราม  ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี  เป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ  ถวาย      
         เรื่องราวของการเปิดกรุเป็นทางการในครั้งนั้น  ปรากฏในพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ  กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ซึ่งกล่าวถึงการเสด็จฯ  ไปสักการะพระเจดีย์ยุทธหัตถีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  และการนำพระผงสุพรรณ  พระกำแพงศอก  และพระพิมพ์ต่างๆ  ขึ้นทูลเกล้าฯ  ถวายพระองค์ดังความว่า......."เมื่อทรงสักการบูชาพระเจดีย์แล้ว  (พระเจดีย์ยุทธหัตถี)   พระยาสุนทรสงคราม  ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี  นำสิ่งของโบราณต่างๆ  ทูลเกล้าฯ  ถวาย  สิ่งของซึ่งพบที่ดอนเจดีย์เมื่อฉาบดินและแผ้วถางทางรับเสด็จคราวนี้  คือยอดธงชัย  เป็นรูปวชิระทำด้วยทองสัมฤทธิ์ยอด  ๑...นอกจากสิ่งของที่ได้ที่ดอนเจดีย์  พระยาสุนทรสงครามได้นำพระเครื่องซึ่งพบในกรุที่วัดพระธาตุในเมืองสุพรรณบุรี  เมื่อจวนจะเสด็จคราวนี้   ทูลเกล้าฯ  ถวายเป็นพระพุทธลีลาหล่อพิมพ์ด้วยโลหะธาตุอย่างหนึ่ง  พระพุทธรูปมารวิชัย  พิมพ์ด้วยดินเผาอย่างหนึ่ง  อย่างละหลายร้อยองค์  ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  พระราชทานแจกแก่เสือป่า  ลูกเสือ  ทหาร  และตำรวจ  บรรดาที่โดยเสด็จครั้งนี้โดยทั่วกัน"
         ในการเปิดกรุครั้งนี้  ได้พบพระพิมพ์ต่างๆ  เป็นจำนวนมาก  และได้พบแผ่นจารึกลานทองภาษาขอม  ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ทรงแปลไว้  กล่าวถึงการสถาปนาพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  โดยกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา  และได้รับการปฏิสังขรณ์โดยพระราชโอรสซึ่งมีข้อความคล้ายคลึงกับแผ่นลานทอง  ซึ่งพบที่ยอดนพศูลองค์พระปรางค์ซึ่งแปลโดยนายฉ่ำ  ทองคำวรรณ   ซึ่งมีใจความว่า
          "พระราชาผู้ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลายในอโยธยา  ทรงมีพระนามว่าจักรพรรดิ  โปรดให้สร้างสถูปองค์นี้ขึ้นไว้และทรงบรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ภายใน  แต่สถูปของพระองค์ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา  พระโอรสของพระองค์ผู้เป็นราชาเหนือพระราชาทั้งหลายในพื้นแผ่นดินทั้งมวล  และเป็นราชาธิราชผู้ประเสริฐ  โปรดให้ปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนดีและทรงบรรจุพระวรธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ในพระสถูปนั้น  พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระสถูปจึงทรงบูชาด้วยเครื่องบูชา   เครื่องบูชามีทอง  เป็นต้น  แล้วตั้งความปรารถนาว่า  ด้วยบุพกรรมแห่งข้านั้น  ขอให้ข้าพึงเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเทอญ"
        วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  มีองค์พระปรางค์องค์ใหญ่  สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่  ๒  (เจ้าสามพระยา)  หรือสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  แม้ว่าไม่ปรากฏหลักฐานผู้สร้างที่ชัดเจน  แต่มีหลักฐานที่สำคัญต่อการศึกษาของวงการพระเครื่อง  พระบูชา  คือลานทอง  ๓  แผ่น  ซึ่งเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของการสร้างวัด  สร้างพระเครื่องและพระบูชา   โดยเฉพาะแผ่นที่  ๒  ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ทรงแปลไว้ว่า
         "ศุภมัสดุ  ๑๒๖๕  สิทธิการิยะแสดงบอกไว้ให้รู้ว่า  มีฤๅษีทั้งสี่ตน  พระฤๅษีพิมพิลาไลย์เป็นประธาน  เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐ์มีสุวรรณ  เป็นต้น  คือบรมกษัตริย์พระยาศรีธรรมโศกราชเป็นผู้ศรัทธาพระฤๅษีทั้งสี่ตน  จึงพร้อมกันนำเอาแต่ว่านทั้งหลาย  พระฤๅษีจึงอัญเชิญเทพยดามาช่วยกันทำพิธี  ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถาน  ๑  แดง  สถาน  ๑  ดำ  ให้เอาว่านทำเป็นผงก้อนพิมพ์ด้วยลายมือของพระมหาเถระปิยะทัศสะศรีสารีบุตร  คือ  เป็นใหญ่เป็นประธานในที่นั้น  ได้เอาแร่ต่างๆ  ซัดยาสำเร็จแล้วให้นามแร่ว่าสังฆวานร  ได้หล่อเป็นพิมพ์ต่างๆ  มีอานุภาพต่างกัน  เสกด้วยมนต์คาถาครบ  ๓  เดือน  แล้วท่านเอาไปประดิษฐ์สถานไว้ในสถูปใหญ่แห่งหนึ่งที่เมืองพันทูม   (สุพรรณบุรี)  ถ้าผู้ใดพบเห็นให้รีบเอาไปไว้สักการะบูชาเป็นของวิเศษ  แม้จะมีอันตรายประการใดก็ดี  ให้อาราธนาผูกไว้ที่คอ  อาจคุ้มครองภยันตรายได้ทั้งปวง  ถ้าผู้ใดจะออกรณรงค์สงครามประสิทธิ์ด้วยสาทตราวุธทั้งปวง  เอาพระลงสรงน้ำมันหอมแล้วนั่งบริกรรมพุทธคุณ  ธรรมคุณ  สังฆคุณ  ๑๐๘  จบ  พาหุง  ๑๓  จบ  ใส่ขันสัมฤทธิ์นั่งอธิษฐานเอาตามความปรารถนาเถิด  ให้ทาทั้งหน้าและผม  คอ  หน้าอก  ถ้าจะใช้ในทางเมตตาให้มีสง่าเจรจาให้คนทั้งหลายเชื่อฟังยำเกรง  ให้เอาพระไว้ในน้ำมันหอมเสกด้วยคาถาเนาว์หอระคุณ  ๑๓  จบ  พาหุง  ๑๓  จบ  พระพุทธคุณ  ๑๓  จบ  ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนบูชาทำพิธีในวันเสาร์  น้ำมันหอมเก็บไว้ใช้ได้เสมอ  ทาริมฝีปาก  หน้าผาก  และผม  ถ้าผู้ใดพบพระตามที่กล่าวมานี้  พระว่านก็ดี  พระเกษรก็ดี  ทำด้วยแร่สังฆวานรก็ดี  อย่าประมาทเลย  อานุภาพพระทั้ง  ๓  อย่างนี้ดุจกำแพงแก้วกันอันตรายทั้งปวง แล้วให้ว่าคาถาทเยสันตาจนจบ  พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณจนจบ พาหุงไปจนจบ แล้วให้ว่าดังนี้อีก คะเตสิกเก  กะระณังมะกา  ไชยยังมังคะ สังนะมะพะทะ  แล้วให้ว่า กิริมิถิ  กุรุมุธุ  เกเรเมเถ  กะระมะทะ ประสิทธิแล"   
         จากคำแปลนี้ก็ได้มีข้อสังเกตว่าพระผงสุพรรณเป็นพระเนื้อดินที่ไม่ได้ผ่านการเผา เป็นพระดินดิบเพียงแค่ผสมกับว่าน ๑๐๘ ผงเกสรดอกไม้และตัวประสาน แต่เมื่อนำไปบรรจุกรุ ความร้อนอบอ้าวภายในกรุจะค่อยอบจนพระผงสุพรรณแห้งคล้ายกับการเผาไฟ   
         พระผงสุพรรณเป็นพระเครื่องที่พบในกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นพระเนื้อดินเผา จำลองพุทธลักษณะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในรูปแบบพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งบนฐานเขียงชั้นเดียว ศิลปะยุคอู่ทอง พระพักตร์แตกต่างกันออกไปตามพิมพ์  พระเกศคล้ายฝาละมี มีกระจังหน้า พระพักตร์เคร่งขรึม ขึงขัง พระนาสิกหนาใหญ่ พระอุระหนา ส่วนพระกรทอดเรียว แสดงออกถึงศิลปะสกุลช่างอู่ทองที่เน้นความละม้ายคล้ายคลึงกับมนุษย์มากที่สุด 
         ด้านหลังของพระผงสุพรรณปรากฏลายนิ้วมือเป็นค่อนข้างหยาบอย่างชัดเจน สันนิษฐานว่าเป็นลายนิ้วหัวแม่มือโดยกดหนักทางด้านบน  ขนาดขององค์พระมีความกว้าง ความหนาและความสูงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการกดพิมพ์และการตัดขอบ มักจะมีรอยตัดยอดบนขององค์พระออก
          ด้วยเหตุที่เมื่อพบพิมพ์พระ ๓ ประเภทมีลักษณะพระพักตร์เหมือนศิลปะสกุลช่างแห่งพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง ๓ แบบ จึงได้แบ่งพิมพ์พระผงสุพรรณออกเป็น ๓ พิมพ์ตามพระพุทธรูป ได้แก่ ๑.พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่  ๒.พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง ๓.พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าหนุ่ม พระผงสุพรรณ  จัดเป็นหนึ่งในชุดพระเบญจภาคี มีพุทธานุภาพในด้านแคล้วคลาด มหาลาภ เมตตามหานิยม มหาอำนาจ เป็นมงคลยิ่งแก่ผู้สักการบูชา
     
    อ้างอิง ราช รามัญ 
     
  3. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    ประวัติการค้นพบพระผงสุพรรณ

    [​IMG]

    พระผงสุพรรณ เป็นพระที่ค่อนข้างจะหาได้ยากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นพระที่จดจำได้ง่าย เนื่องจากมีเพียง 3 พิมพ์ แต่ละพิมพ์ก็ไม่มีแยกย่อยให้ปวดหัว คือ
    พิมพ์หน้าแก่
    พิมพ์หน้ากลาง
    พิมพ์หน้าหนุ่ม
     
    ประวัติการค้นพบ พ.ศ. 2456 คนจีนซึ่งเป็นชาวไร่บริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัด 
    สุพรรณ ได้ลอบขุดเจดีย์ จึงได้พระชุดนี้มาเป็นครั้งแรก ต่อมาในปลายปีเดียวกัน พระยาสุนทรบุรี(อี้ กรรณสูต) เจ้าเมืองสุพรรณบุรี ได้สั่งให้เปิดกรุเป็นทางการ ก็ได้พระเครื่อง พระพุทธรูป และวัตถุโบราณอื่น ๆ อีกมาก พระเครื่องส่วนหนึ่งได้นำขึ้นทูลเกล้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เมื่อเสด็จประภาสดอนเจดีย์

    ลักษณะโดยสังเขป

    พระผงสุพรรณ เป็นพระเนื้อดินเผา ผสมน้ำว่าน มีด้วยกัน 3 สีคือ เขียว แดง ดำ มีลักษณะ 3 เหลี่ยม ตัดยอดปลายกลายเป็นรูป 5 เหลี่ยม มีขนาดเท่าปลายนิ้วโดยประมาณ ส่วนที่โดดเด่นในองค์พระคือพระอุระ จะนูนออกมา และมีลักษณะของพิมพ์ที่แตกต่างกันคือ

    พิมพ์หน้าแก่ ใบหูขวาจะยาวกว่าใบหูซ้าย แขนซ้ายจะเล็กและลางเลือนกว่าแขนขวา

    พิมพ์หน้ากลาง ใบหูซ้ายจะยาวกว่าใบหูขวา แขนซ้ายและแขนขวาจะเรียวเล็ก และติดชิดเสมอกัน

    พิมพ์หน้าหนุ่ม องค์พระจะสอบเล็ก ลึกและคมชัด แขนทั้ง 2 ข้างอวบและล่ำสัน

    ส่วนด้านหลังค่อนข้างจะมีเอกลักษ์เฉพาะ คือมีลายนิ้วมือเพียงรอยเดียวจากการกดพิมพ์ มีทั้งลายก้นหอยและมัดหวาย แต่ข้อควรจำของลายมือ คือลายมือลางเลือน ไม่ชัดเจน

    วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือที่ชาวสุพรรณเรียกสั้นๆ ว่า วัดพระธาตุ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณ สมัยอู่ทองและอยุธยา ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี มีองค์พระปรางค์สูงตระหง่าน ส่วนใครเป็นผู้สร้างวัดนั้น นักประวัติศาสตร์ไม่กล้ายืนยัน เพียงแต่สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างใน สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) หรือสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

    แม้ว่าไม่ปรากฏหลักฐานผู้สร้างที่ชัดเจน แต่มีหลักฐาน ที่สำคัญต่อ การศึกษาของวงการพระเครื่อง พระบูชา คือ ลานทอง ๓ แผ่น ซึ่งเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของการสร้างวัด สร้างพระเครื่องและพระบูชา โดยเฉพาะแผ่นที่ ๒ ซึ่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแปลไว้ว่า

    "ศุภมัสดุ ๑๒๖๕ สิทธิการิยะ แสดงบอกไว้ให้รู้ว่า ฤาษีทั้งสี่ตน พระฤาษีพิมพิลาไลย์เป็นประธาน เราจะทำด้วยฤทธิ์ ทำด้วยเครื่องประดิษฐ์ มีสุวรรณ เป็นต้น คือบรมกษัตริย์พระยาศรีธรรมโศกราชเป็นผู้ศรัทธา พระฤาษีทั้งสี่ตน จึงพร้อมกันนำเอาแด่ว่านทั้งหลาย พระฤาษีจึงอัญเชิญเทวดามาช่วยกัน ทำพิธีเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่งแดง สถานหนึ่งดำ ให้เอาว่านทำเป็นผงก้อน พิมพ์ด้วยลายมือของมหาเถระปิยะทัสสะสี ศรีสาริบุตร คือ เป็นใหญ่ เป็นประธานในที่นั้น ได้เอาแร่ต่างๆ มีอานุภาพต่างกัน เสกด้วยมนต์คาถาครบ ๓ เดือน แล้วท่านให้เอาไป ประดิษฐ์ไว้ในสถูปแห่งหนึ่งที่เมืองพันทูม (สุพรรณบุรี)

    ถ้าผู้ใดพบเห็นให้รีบเอาไปไว้สักการบูชา เป็นของวิเศษ แม้จะมีอันตรายประการใดก็ดี ให้อาราธนาผูกไว้ที่คอ อาจคุ้มครอง ภยันตรายได้ทั้งปวง ถ้าผู้ใดจะออกรณรงค์สงคราม ประสิทธิ์ด้วยศัสตรา อาวุธทั้งปวง เอาพระลงสรงน้ำมันหอม แล้วนั่งบริกรรมพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๑๐๘ จบ พาหุง ๑๓ จบ ใส่ขันสัมฤทธิ์นั่งอธิษฐาน เอาความปรารถนาเถิด ให้ทาทั้งหน้าและผม คอ หน้าอก

    ถ้าจะใช้ในทางเมตตา ให้มีสง่าเจรจาให้คน ทั้งหลายเชื่อฟัง ยำเกรงให้เอาพระไว้ในน้ำมันหอมเสก ด้วยคาถานวหรคุณ ๑๓ จบ พาหุง ๑๓ จบ พระพุทธคุณ ๑๓ จบ ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนทำพิธีในวันเสาร์ น้ำมันหอมเก็บไว้ใช้ได้เสมอ ทาริมฝีปากหน้าผากและผม ถ้าผู้ใดพบพระตามที่กล่าวมานี้ พระว่านก็ดี พระเกษรก็ดี ทำด้วยแร่ สังฆวานรก็ดี อย่าประมาทเลย

    อานุภาพพระทั้ง ๓ อย่างนี้ ดุจกำแพงแก้วกันอันตรายทั้งปวง แล้วให้ว่าคาถา ทเยสันตาจนจบ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนจบ พาหุงไปจนจบ แล้วให้ว่าดังนี้อีก กะเตสิกเก กะระณังมหาไชยังมังคะ สังนะมะพะทะ แล้วให้ว่า กิริมิติ กุรุมุธุ เกเรเมเถ กะระมะทะ ประสิทธิแล"

    พระผงสุพรรณ ที่พบมีด้วยกัน ๓ พิมพ์ และมีเนื้อสี่สี มี พิมพ์หน้าแก่ พิมพ์หน้าหนุ่ม และ พิมพ์หน้ากลาง

    คนสุพรรณสมัยก่อนเรียก พระผงเกษรสุพรรณ เดิมทีนั้น จะเรียกพิมพ์ทั้ง ๓ ว่า หน้าแก่ หน้าหนุ่ม และหน้าหนู (หรือหน้านาง)

    นอกจากนี้แล้วนักเลงพระรุ่นเก่ายังเรียก พระผงสุพรรณว่า "หน้าแพะ อกหัวช้าง" โดยได้พิจารณาเปรียบเทียบพุทธลักษณะขององค์พระ คือ ดวงพระเนตร พระนาสิก และพระโอษฐ์ ตลอดจนพระกรรณ มีความใกล้เคียงกับแพะอย่างยิ่ง ส่วนพระอุระ (หน้าอก) คล้ายกับหัวช้าง

    พระผงสุพรรณมีส่วนผสมของมวลสารวิเศษ ๓ ชนิด คือ ว่าน มีอิทธิฤทธิ์ประโยชน์ในทางด้านคงกระพัน เกสรดอกไม้ เป็นของหอม ย่อมก่อให้เกิดเสน่หานิยม ดินเหนียว เป็นสิ่งที่ไม่สลายไปจากโลก แต่ในทางตรงกันข้ามทุกสิ่งที่สลายจะกลายเป็นดินหมด

    เหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระผงสุพรรณทั้งสามพิมพ์ มีสีแตกต่างกัน คือ ส่วนผสมของผงเกสร และว่าน ไม่เท่ากัน ถ้าผสมมากเนื้อพระจะออกนุ่ม แต่ถ้ามีส่วนผสม ของดินเหนียวมาก เนื้อพระจะแสดงออกถึง ความแกร่ง ซึ่งตามจารึกของลานทองมีเพียง ๒ สี คือ "สถานหนึ่งดำ สถานหนึ่งแดง" แต่ปัจจุบันนี้มีถึง ๔ สี คือ ดำ แดง เขียว และขาว

    สีขาวและสีเขียวเป็นสีนิยมมากที่สุด รองลงมาคือสีแดง ส่วนสีดำเป็นอันดับสุดท้าย ส่วนเหตุผลที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสุดท้ายน่าจะมากจาก สีดำทำปลอมได้ง่ายกว่าสีอื่น จึงทำให้เซียนพระไม่กล้าเก็บไว้

    สำหรับหลักการพิจารณาพระผงสุพรรณนั้น นอกจากมวลสารแล้ว พุทธลักษณะสำคัญที่ใช้พิจารณาประกอบด้วย รอยเหี่ยวย่น รอยตอกตัด ผนังของลายมือ คราบกรุ เม็ดทราย ว่านดอกมะขาม และสี

    หนังสืออ้างอิง เบญจภาคี สำนักพิมพ์คเณศ์พร

     
     
  4. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    หลัก 18 ประการในการพิจารณาพระผงสุพรรณ

    หลัก 18 ประการในการพิจารณาพระผงสุพรรณ 

    1. รูปทรงของพระผงสุพรรณ มี รูปลักษณะดังนี้
    • รูปทรงสามเหลี่ยม
    • รูปทรงสี่เหลี่ยม
    • รูปทรงห้าเหลี่ยม
    2. ด้านหลังพระผงสุพรณลายมือด้านหลังใหญ่ลงอาคมที่เดียว เป็นลายมือผู้ทรงศีล ( ฤาษี )ถ้าลายมือใหญ่ถือว่า เป็นลายมือคนโบราณ และเป็นพระถึงยุค
    3. ดินในการสร้างพระผงสุพรรณ ว่านส่วนผสม /มวลสารบังคับ เป็นการสร้างโดยฤาษี จะมีสูตร ที่ตรงกัน กับพระสกุลลำพูน เช่นเดียวกับพระรอด พระคง
    4. แร่ดอกมะขาม มักจะปรากฏในกรณี ดินดิบ ( เผา ไม่สุก หรือดินศิลาธิคุณ )
    5.  ด้านหลังพระผงสุพรรณ จะมีรอยพับเข้ามา ประเภทของเนื้อพระ
    6. วรรรสีของพระผงสุพรรณ /สีเขียว/สีดำ/สีใบลานแห้ง/สีดอกพิกุล/สีดอกพิกุลแห้งสีเขียว/สีน้ำตาล/
    7. ร่องศรขอบพระผงสุพรรณ มักจะปรากฏร่องสรด้านข้างองค์ พระแสดงความเหี่ยวย่นของเนื้อพระแสดงถึงอายุพระ ที่มีการหดตัวของมวลสารในองค์พระว่าด้วยทฤษฎี (
    8. ว่านหลุด/แร่หลุด ในกรณี พระที่อยู่ในความชื้นใต้ดิน เนื้อพระจะเป็นรูพรุนเป็นจุดหนึ่งในการพิจารณาพระแท้ทำให้ทราบอายุพระโครงสร้างทางโมเลกุลเริ่มเสื่อสลายทางวิทยาศาสตร์
    9. รอยตอกคัดด้านข้างพระผงสุพรรณ  มีหลายลักษณะ แฉลบ / ตัดแบบเฉลียง/
    10. โซนเนื้อ  หยาบ /ละเอียดแก่ว่าน การแบ่งโซนเนื้อพระผงสุพรรณแบ่งออกเป็น 2โซนเนื้อ 
    • โซนเนื้อหยาบจาการสันนิษฐานเนื้อหยาบเป็นการสร้างยุคแรก
    • โซนเนื้อละเอียดเป็นจากการสันนิษฐานการสร้างยุคที่ 2
    11. สิ่งแวดล้อมที่พบ/ส่วนที่มีความชื้นไม่มีความชื้นน้อย     พระผงสุพรรณที่อยู่ในระดับความชื้นสูงใกล้ระดับน้ำใต้ดินแร่ธาตุในดินกัดผิวพระทำให้เกิดรูพรุน พระชนิดนี้เนื้อพระจะด้าน และสากมือ ส่วนพระที่ค้นพบในระดับดินชั้นบน เนื้อพระจะสวยมีความแห้ง สัมผัสด้วยมือผิวพระจะเกิดความมันวาว เกิดแผ่นฟิลม์ บนผิวพระ
    12. ไข่ปลาในร่องลายมือ oxidation
    13. แผ่นฟิลม์ที่ปรากฏบนผิวพระ เมื่อสัมผัสด้วยมือ และ ปัดด้วยพุ่กันหูวัว
    14. คราบรารัก/ลงรักปิดทอง
    15. มวลสารบังคับที่พบ แร่ดอกมะขาม
    16. ยุตของการสร้าง จากวัตถุพยานที่พบ เนื้อหยาบแก่แร่ดอกมะขามสันนิบายนสร้างยุคแรก เหตุผลพระเนื้อพระนี้ไปตรงกับเนื้อพระลำพูน ซึ่งฤาษีเป็นผู้สร้าง เช่นเดียวกันตรงกับ บันทึก ในแผ่นลานทอง ส่วนเนื้อละเอียดแก่ว่านสันนิฐานสร้างในยุคที่สอง
    17. คราบกรุดินนวล/แคลเซี่ยม
    18. โซนเนื้อพระผงสุพรรณ/แก่ว่าน/แก่แร่ดอกมะขาม

     อ้างอิง ดูพระแท้
     
  5. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    พุทธศิลป์แห่งองค์พระผงสุพรรณ

    พุทธศิลป์แห่งองค์พระผงสุพรรณ     
     จากสำเนาจารึกลานทองที่ค้นพบกล่าวถึงการสร้าง พระผงสุพรรณไว้ ความว่า“ศุภมัสดุ 1265  สิทธิการิยะ แสดงบอกไว้ให้รู้ว่าฤาษีทั้งสี่ตนพระฤาษีพิมพิลาไลย์เป็นประธาน  เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐ์ มีสุวรรณเป็นต้น คือ บรมกษัตริย์พระยาศรีธรรมโศกราช  เป็นผู้มีศรัทธา พระฤาษีทั้งสี่ตนจึงพร้อมกันนำเอาแต่ว่านทั้งหลาย  พระฤาษีจึงอัญเชิญเทวดามาช่วยกันทำพิธีเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่งแดง  สถานหนึ่งดำ  ให้เอาว่านทำเป็นผงก้อน พิมพ์ด้วยลายมือของมหาเถระปิยะทัสสะสี  ศรีสารีบุตร คือ เป็นใหญ่เป็นประธานในที่นั้น  ได้เอาแร่ต่าง ๆ มีอานุภาพต่างกัน  เสกด้วยมนต์คาถาครบ  ๓  เดือน  แล้วท่านให้เอาไปประดิษฐ์ไว้ในสถูปแห่งหนึ่งที่เมืองพันทูม

             ถ้าผู้ใดพบเห็นให้รับเอาไปไว้สักการบูชาเป็นของวิเศษ  แม้จะมีอันตรายประการใดก็ดี  ให้อาราธนาผูกไว้ที่คอ  อาจคุ้มครองภยันตรายได้ทั้งปวง  เอาพระสงสรงน้ำมันหอม  แล้วนั่งบริกรรม พุทธคุณ  ธรรมคุณ  สังฆคุณ  ๑๐๘  จบ  พาหุง  ๑๓  จบ ใส่ชันสัมฤทธิ์  นั่งสันนิษฐานเอาความปรารถนาเถิดให้ทาทั้งหน้าและผม  คอหน้าอก  ถ้าจะใช้ทางเมตตา  ให้มีสง่า  เจรจาให้คนทั้งหลายเชื่อฟังยำเกรง  ให้เอาพระไว้ในน้ำมันหอม  เสกด้วยคาถานวหรคุณ ๑๓  จบ  พาหุง  ๑๓  จบ  พระพุทธคุณ  ๑๓ จบ ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนทำพิธีในวันเสาร์  น้ำมันหอมเก็บไว้ใช้ได้เสมอทาริมฝีปาก  หน้าผาก  และผม  ถ้าผู้ใดพบพระตามที่กล่าวมานี้  พระว่านก็ดี  พระเกสรก็ดี ทำด้วยแร่สังฆวานรก็ดี  อย่างประมาทเลย อานุภาพพระทั้ง  ๓  อย่างนี้ดุจกำแพงแก้วกันอันตรายทั้งปวงแล้วให้ว่าคาถาทแยงแก้วกันอันตรายทั้งปวง แล้วให้ว่าคาถาทแยงสันตาจนจบพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณจนจบพาหุงไปจนจบแล้วให้ว่าดังนี้อีก กะเตสิกเกกะระณังมหาไชยังมังคะ  สังนะมะพะทะ แล้วให้ว่า  กิริมิติ  กุรุมุธุ  เกเรเมเถ  กะระมะทะประสิทธิแล”
            พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  สุพรรณบุรี  นับเป็นพระเครื่องเลื่องชื่อ ถูกบรรจุอยู่ในชุด “เบญจภาคี” ซึ่งมีทั้งเนื้อดินและเนื้อชินเงิน  ที่เรียกว่า  “พระผงสุพรรณยอดโถ” 
            แต่สาเหตุที่เรียกว่า “ผงสุพรรณ” ก็เนื่องจากการค้นพบจารึกลานทองกล่าวถึงการสร้างจากผงว่านเกสรดอก
    ไม้อันศักดิ์สิทธิ์  จึงได้รับการเรียกขานกันว่า “ผงสุพรรณ” เรื่อยมา  โดยสามารถจำแนกออกได้เป็น ๓ พิมพ์
           

            ๑.  พระผงสุพรรณ  พิมพ์หน้าแก่
            ๒.  พระผงสุพรรณ  พิมพ์หน้ากลาง
            ๓.  พระผงสุพรรณ  พิมพ์หน้าหนุ่ม

            ศิลปะพระผงสุพรรณมีความสัมพันธ์กับศิลปะพระพุทธรูปประเภทหนึ่ง ได้แก่  พระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง  เนื่องมาจากแหล่งต้นกำเนิดของพระผงสุพรรณอยู่ในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของศิลปะทางศาสนาที่เรียกว่า ศิลปะอู่ทองประการหนึ่ง  นอกจากนี้ ลักษณะการแบ่งแม่พิมพ์พระผงสุพรรณยังจำแนกและเรียกชื่อแม่พิมพ์ตามพุทธลักษณะของพระพุทธรูปอู่ทอง  ซึ่งได้แก่  พิมพ์หน้าแก่  พิมพ์หน้ากลาง  และพิมพ์หน้าหนุ่ม  อีกด้วย

            ในความเป็นจริงแล้วศิลปะอู่ทองเป็นศิลปะแห่งการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมัยทวาราวดีกับสมัยขอมหรือเขมร  ต่อมาช่วงหลังได้ผสมผสานศิลปะของสุโขทัยเข้าไปด้วย  จนกลายเป็นพุทธศิลปะที่เกิดจากการผสมผสานโดยมีอายุตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖  จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่  ๑๙  กล่าวคือ  เมื่อสิ้นยุคทวาราวดีขอมได้มีอำนาจ  ในดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา  แต่ศิลปกรรมแห่งทวาราวดียังคงสืบทอดต่อเนื่อง โดยผสมผสานศิลปะของขอมเข้าไป ก่อนที่สุโขทัยจะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจรัฐและความเจริญทางด้านพุทธศาสนาต่อเนื่องมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา  ศิลปะอู่ทองเดิมจึงผสมผสานกับศิลปะสุโขทัยอีกชั้นหนึ่ง  ซึ่งเราอาจแยกประเภทศิลปะของอู่ทองได้ดังนี้
            ๑. ศิลปะอู่ทองยุคแรก  มีอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘  ศิลปะจะเป็นแบบผสมผสานระหว่างศิลปะทวาราวดีกับศิลปะขอม สามารถจำแนกออกเป็น
               -  ศิลปะอู่ทอง สกุลช่างลพบุรี  รู้จักกันในชื่อ “อู่ทองเขมร”  “อู่ทอง-ลพบุรี” หรือ “อู่ทอง-ฝาละมี”
               -  ศิลปะอู่ทอง สกุลช่างสุพรรณบุรี รู้จักกันในชื่อ “อู่ทอง-สุวรรณภูมิ” มีลักษณะคล้ายมนุษย์มาก ท่างดงามสุดยอด จะเรียกตามภาษาวงการพระว่า “สันแข้งคางคน”
            ๒. ศิลปะอู่ทองยุคที่สอง มีอายุอยู่ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙  ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ศิลปะจะผสมผสานระหว่างศิลปะอู่ทองยุคแรกกับศิลปะสุโขทัย  ช่างสมัยจะคาบเกี่ยวกันระหว่างศิลปะสุโขทัยจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้น รู้จักกันในชื่อ “อู่ทอง-อยุธยาตอนต้น” 

            ๓.  ศิลปะอู่ทองยุคที่สาม มีอายุอยู่ในราว พ.ศ.๑๙๕๒ - ๑๙๙๑  อยู่ในช่วงสมัยสมเด็จพระนครินทราชา  สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) จนถึงต้นรัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถ  ศิลปะจะได้รับอิทธิพลของอยุธยามากขึ้น (จากการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณข้างศาลาหลวงพ่อเหย ด้านทิศตะวันตกห่างจากองค์ปรางค์ประธาน  ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้  ๓๐ เมตร  พบแม่พิมพ์พระดินเผา  ขนาดกว้าง  ๓  ซ.ม.  สูง  ๔๒  ซ.ม.  เป็นแม่พิมพ์พระผงสุพรรณ  พิมพ์หน้าแก่แต่ท่อนล่างหกชำรุด)


    พุทธเอกลักษณ์พระผงสุพรรณ
     
        พระผงสุพรรณ เป็นพระเครื่องที่พบในกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  จ.สุพรรณบุรี  เป็นพระเครื่องเนื้อดินเผา  จำลองพุทธลักษณะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในลักษณะการปางมารวิชัย  แบ่งแยกแม่พิมพ์ได้เป็นพิมพ์หน้าแก่  พิมพ์หน้ากลาง  และพิมพ์หน้าหนุ่ม  (สมัยโบราณเรียกพิมพ์หน้าหนู)  องค์พระประทับนั่งปางมารวิชัย  บนฐานเชียงชั้นเดียว  พระเกศคล้ายฝาละมี  มีกระจังหน้า  พระพักตร์เคร่งขรึม พระนาสิกหนาใหญ่  พระอุระหนา ส่วนพระการทอดเรียว  แสดงออกถึงศิลปะสกุลช่างอู่ทองที่เน้นความละม้ายคล้ายคลึงกับมนุษย์มากที่สุด  ด้วยเหตุนี้  เมื่อพบพิมพ์พระ  ๓  ประเภท จึงเรียกชื่อตามลักษณะพระพักตร์และตามศิลปะสกุลช่างแห่งพระพุทธรูปที่พระพักตร์เหี่ยวย่นเหมือนคนแก่  เรียกว่า พิมพ์หน้าแก่  ที่พระพักตร์อิ่มเอิบเรียวเล็ก  ปราศจากรอยเหี่ยวย่น  เรียกว่าพิมพ์หน้าหนุ่ม

        พระผงสุพรรณนั้นปรากฏตามจารึกลานทองกล่าวถึงการสร้างว่า  “……..พระฤๅษีทั้งสี่ตนจึงพร้อมกันนำเอาแต่ว่านทั้งหลาย  พระฤๅษีจึงอัญเชิญเทวดามาช่วยกันทำพิธีเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่งแดง สถานหนึ่งดำ ให้เอาว่านทำเป็นผงก้อน พิมพ์ด้วยลายมือของมหาเถระปิยะทัสสะสี  ศรีสารีบุตรคือ  เป็นใหญ่เป็นประธานในที่นั้น ได้เอาแร่ต่าง ๆ  มีอานุภาพต่างกัน  เสกด้วยมนต์คาถาครบ  ๓  เดือน แล้วท่านให้เอาไปประดิษฐ์ไว้ในสถูปแห่งหนึ่งที่เมืองพันทูม… ถ้าผู้ใดพบพระตามที่กล่าวมานี้  พระว่านก็ดี  พระเกสรก็ดี ทำด้วยแร่สังฆวานรก็ดี……”

        ความหมายจากจารึกลานทองได้กล่าวถึงประเภทของพระผงสุพรรณไว้  ๒  ชนิด ได้แก่ พระเนื้อดินที่มีส่วนผสมจากว่านและเกสรต่าง ๆ  โดยเป็นพระเนื้อดินเผาตามกรรมวิธีการสร้างพระพิมพ์สมัยโบราณ สีพระผงสุพรรณจึงเป็น “สถานหนึ่งดำ  สถานหนึ่งแดง”  และอีกชนิดหนึ่งได้แก่  พระผงสุพรรณที่ทำจากแร่ธาตุโลหะซึ่งเรียกตามจารึกว่า “ได้เอาแร่ต่าง ๆ มีอานุภาพต่างกัน….ถ้าผู้ใดพบพระ…..ทำด้วยแร่สังฆวานรก็ดี”  ซึ่งหมายถึงพระผงสุพรรณเนื้อชินที่รู้จักกันในชื่อ  “พระผงสุพรรณยอดโถ”

        สำหรับพระผงสุพรรณเนื้อดินนั้น  เป็นพระเครื่องที่มีส่วนผสมวัสดุมวลสารจากดินละเอียด ว่าน และเกสรต่าง ๆ  คนโบราณเรียกว่า  “พระเกสรสุพรรณ”  จะสังเกตได้ว่าเนื้อดินของพระผงสุพรรณเป็นเนื้อดินค่อนข้างละเอียด  หากเปรียบเทียบกับพระนางพญากรุวัดนางพญา  จ.พิษณุโลก  แล้วจะเห็นว่าเนื้อพระผงสุพรรณจะละเอียดกว่า  แต่ไม่ละเอียดมากเหมือน  พระรอดกรุวัดมหาวัน  จ.ลำพูน  ซึ่งดินที่ใช้เป็นดินในบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี  ซึ่งดินแต่ละที่จะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน  สำหรับปัญหาที่ว่า  หากผสมว่านเมื่อพระผ่านการเผา  มวลสารของว่านจะไม่สามารถทนอุณหภูมิความร้อนได้  ต้องย่อยสลายไปนั้น  หากพิจารณาแล้วในองค์พระผงสุพรรณก็ไม่ปรากฏโพรงอากาศอันเกิดจากการย่อยสลายของเนื้อว่าน  แต่อย่างใดนั้น ต้องพิจารณาถึงกรรมวิธีการสร้างพระของโบราณาจารย์เป็นสำคัญว่า  มีหลายวิธี  วิธีประการหนึ่งซึ่งพบหลักฐานในการนำว่านผงเกสรมงคล  ๑๐๘  มาเป็นวัตถุมงคลในการสร้างพระ  ได้แก่ การนำหัวว่านมงคลต่าง ๆ มาคั้นเอาน้ำว่านเป็นส่วนผสมเข้ากับมวลสารอื่น ๆ ซึ่งจะพบว่าพระผงสุพรรณนั้นมีความหนึกนุ่ม  และซึ้งจัด  หากได้โดนเหงื่อโคลนแล้ว ยิ่งขึ้นเป็นมันเงางามอย่างที่คนโบราณเรียกว่า  “แก่ว่าน”  ซึ่งได้แก่การคั้นน้ำว่านผสมลงไป  ดังนั้น  เมื่อผ่านการเผาจึงมิได้เกิดการย่อย สลายของเนื้อว่าน

        เนื่องจากพระผงสุพรรณเนื้อดินเป็นพระที่ผ่านการเผาไฟ  สีสันขององค์พระจึงเป็นเฉกเช่นเดียว  กับพระเนื้อดินที่ผ่านการเผาประเภทอื่น ๆ คือ มีตั้งแต่สีเขียวที่ถูกเผาในอุณหภูมิสูงและนานที่สุด สีแดง  สีมอย  สีน้ำเงินเข้ม สีเทา  ไปจนถึงสีดำ

        การสร้างพระพิมพ์เนื้อดินเผา  มีมาแต่สมัยโบราณโดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีการสร้างควบคู่มากับเทคนิคการทำเครื่องปั้น  ดินเผา โดยเฉพาะดินแดนประเทศไทยนั้น พบพระพิมพ์ดินเผาตั้งแต่ยุคทวาราวดีเรื่อยมา  ในศิลาจารึกหลักที่  ๒ วัดศรีชุม ซึ่งจารึกโดยพระมหาเถรศรีศรัทธา (พ.ศ. ๑๘๙๐ - ๑๙๑๗)  ได้กล่าวถึงปาฏิหารย์ของพระเกศธาตุโดย  เปรียบเทียบกับการเผาดินโดยแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีในการควบคุมอุณหภูมิดังความว่า “พระเกศ ธาตุเสด็จมี  หมู่หนึ่งซีดัง  สายฟ้าแลบดังแถวน้ำแล่นในกลางหาวอัศจรรย์  สิ่งหนึ่งเห็นตะวันออกเขียวดังสูงเผาหม้อเผาไห”  ซึ่งจากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า  สีของเปลวไฟที่ออกเป็นสีเขียว  จะต้องมอุณหภูมิถึง  ๑,๓๐๐ - ๑,๔๐๐  องศาเซนเซียส  ซึ่งจะกระทำได้เมื่อมีเทคโนโลยีการสร้างเตาเผา การให้ความร้อนและการควบคุมอุณหภูมิอย่างดีเยี่ยม

    การเผาเนื้อดินของพระผงสุพรรณ เป็นการเผาที่ควบคุมอุณหภูมิอย่างสม่ำเสมอและเผาในอุณหภูมิสูงโดย  ใช้เทคโนโลยีในการเผาเช่นเดียวกัน การทำเครื่องปั้นดินเผา  โดยเฉพาะในบริเวณแถบสุพรรณบุรี-สิงห์บุรี  ปรากฏแหล่งเตาเผาที่แสดงถึงเทคโนโลยีชั้นสูงที่บ้านบางปูน สุพรรณบุรีและเตาแม่น้ำน้อยฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน้อยวัดพระปรางค์  อ.ชันสูตร  สิงห์บุรี  ซึ่งมีอายุในช่วงสมัยอยุธยาตอนต้น  จนถึงรัชสมัยพระนครินทราชา
        การเผาโดยวิธีควบคุมอุณหภูมิส่งผลให้พระผงสุพรรณมีสภาพความแกร่งคมชัด  ไม่หักเปราะง่าย  แม้จะผ่านกาลเวลาเป็นนาน คนโบราณ  จะใช้วิธีสังเกตสีของเปลวไฟที่ลุกไหม้  เป็นหลักในการควบคุมอุณหภูมิการเผาจากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า
        -  ไฟที่มีสีแดงจัดจ้า อุณหภูมิประมาณ  ๘๐๐  องศาเซนเซียส
        -  ไฟที่มีสีแดงธรรมดา  อุณหภูมิประมาณ  ๘๘๐  องศาเซนเซียส
        -  ไฟสีส้ม อุณหภูมิประมาณ  ๙๕๐ - ๑๑๐๐  องศาเซนเซียส
        -  ไฟสีนวล  อุณหภูมิประมาณ ๑,๓๐๐  องศาเซนเซียส
        -  ไฟสีเขียว  อุณหภูมิประมาณ  ๑,๓๐๐ - ๑,๔๐๐  องศาเซนเซียส

        พระผงสุพรรณ  จะใช้วิธีการเผา  โดยควบคุมอุณหภูมิที่  ๑๑๐๐ - ๑๓๐๐ องศาเซนเซียส  องพระจะแกร่งส่วนใหญ่จะมีสีแดง  ส่วนสีอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับการถูกความร้อนมาก - น้อย ต่าง ๆ กัน ดังนั้นพระผงสุพรรณจึงเป็นพุทธปฏิมากรดินเผาที่แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นในการเผาพระพิมพ์อย่างมีคุณภาพ

        เอกลักษณ์ประการหนึ่งของพระผงสุพรรณก็คือ  ด้านหลังองค์พระจะมีลอยลายนิ้วมือซึ่งเป็นการกดเมื่อนำดินใส่ลงในแม่พิมพ์ในจารึกลานทองกล่าวไว้ว่า “ให้เอาว่านทำเป็นผงก้อน  พิมพ์ด้วยลายมือของมหาเถระปิยะทัสสะสี  ศรีสารีบุตร  คือ  เป็นใหญ่เป็นประธานในที่นั่น”  ลายมือที่ปรากฏจะเป็นลายนิ้วมือ หัวแม่โป้งแบบ “ก้นหอย”  ขนาดใหญ่  ซึ่งเป็นลักษณะลายมือของคนโบราณ ส่วนการตัดขอบ  นั้นมักจะตัดเป็นรูปตามองค์พระด้านฐานผายกว้าง  ด้านบนสอบเข้า  โดยเฉพาะขอบข้างพระเศียรอาจตัดเป็นเหลี่ยม  มุมทำให้กรอบพระผงสุพรรณมีห้าเหลี่ยมบ้าง  สี่เหลี่ยมบ้าง  ไม่สู้จะเสมอเหมือนกัน

    เอกลักษณ์ในแม่พิมพ์
     
             แม่พิมพ์มีความสำคัญในการพิจารณาพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง  พุทธเอกลักษณ์ของแม่พิมพ์  นอกจากจะแสดงถึงศิลปะของสกุลช่างที่ปรากฏยังเป็นสิ่งพิสูจน์ความแท้-เทียมขององค์พระ  การแกะสลักแม่พิมพ์ไม่ว่าจะเป็นหินสบู่  หินชนวน  หรือแม่พิมพ์ดินเผา  จะเป็น “ต้นแบบ”  ที่ยากจะทำเลียนแบบได้  หากนำองค์พระไปถอดพิมพ์เพื่อทำพิมพ์ใหม่  องค์พระจะมีขนาดเล็กลง  ซึ่งในสายตาผู้ชำนาญการจะสังเกตได้ จุดสังเกตที่ภาษานักสะสมพระเรียกว่า “จุดตาย”  นั้นก็คือเอกลักษณ์หรือตำหนิในแม่พิมพ์  โดยเฉพาะส่วนลึกที่สุดขององค์พระ จะเป็นส่วนสูงที่สุดของแม่พิมพ์ซึ่งไม่คลาดเคลื่อนไม่ว่าพระองค์นั้นจะกดลึกหรือกดตื้น  แต่ตำหนิสำคัญก็จะคงอยู่ สำหรับพระผงสุพรรณนั้น  สามารถแยกแม่พิมพ์ออกเป็น  ๓  แบบด้วยกันคือ  พิมพ์หน้าแก่  พิมพ์หน้ากลาง  และพิมพ์หน้าหนุ่ม
    อ้างอิง อิทธิปาฏิหารย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2012
  6. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่

    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่

    [​IMG]
     
  7. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
        พระผงสุพรรณพิมพ์หน้าแก่ นั้นเป็นพระพิมพ์เนื้อดินเผาศิลปะอู่ทอง ประทับนั่งปางมารวิชัย  บานฐานเชียง  พระพักตร์มีเค้าความเหี่ยวย่น  คล้ายคนชราภาพ  เป็นที่มาของชื่อ  “พิมพ์หน้าแก่”  ซึ่งมีจุดสังเกตดังนี้
        -  พระผงสุพรรณ  พิมพ์หน้าแก่  มีเพียงแม่พิมพ์เดียว  สาเหตุที่ดูเผิน ๆ  แตกต่างกันนั้น  เนื่องมาจากการผ่านการเผา  ทำให้ได้รับความร้อนไม่เท่ากัน  ส่งผลให้ขนาด  สีสัน วรรณะ  การหดตัวไม่เท่ากัน นอกจากนี้การตัด  การบรรจุกรุ  สภาพการใช้ยังส่งผลต่อการพิจารณาพระผงสุพรรณด้วย
        -  พระเนตรด้านซ้ายขององค์พระยาวรีลึก  ปลายพระเนตรตวัดขึ้นสูงกว่าพระเนตรด้านขวา
        -  พระนาสิกหนาใหญ่  สองข้างมีร่องลึกลงมารับพระโอษฐ์ ซึ่งแย้มเล็กน้อย
        -  พระกรรณขวาขององค์พระจะขมวดคล้ายมุ่นมวยผม  ไรพระศกทอดยาวลงมามากกว่าพระกรรณด้านซ้าย
        -  เกือบบนสุดของพระกรรณขวามีร่องลึก เหมือนร่องหู และพระกรรณด้านบนเหนือร่องจะหนาใหญ่โค้งคล้ายใบหูมนุษย์
        -  ด้านในของพระกรรณซ้ายจะมีเม็ดผดคล้ายเมล็ดข้าวสารวางสลับไปสลับมาเรื่อยมาถึงปลายพระกรรณ
        -  พระอุระใหญ่ก่อนจะคอดกิ่วมาทางพระนาภีคล้ายหัวช้าง
        -  ระหว่างพระอุระกับพระอังสะซ้ายขององค์พระเว้าลึกปรากฏเป็นรอยสามเหลี่ยม
        -  มีเส้นบาง ๆ ลากผ่านเหนือพระอังสะซ้ายไปจรดขอบนอกพระอุระด้านซ้ายปลายเส้นปรากฏเม็ดผดเล็ก ๆ ขึ้นเรียงรายได้ราวนมซ้าย
        -  พระหัตถ์ซ้ายหนาใหญ่อยู่กึ่งกลางลำพระองค์  ปลายพระหัตถ์ไม่จรดพระกรขวา  เหมือนพิมพ์หน้ากลาง  มองเห็นร่องพระหัตถ์ชัดเจน
        -  ข้อพระกรขวาขององค์พระด้านในเว้าลึก
     
  8. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี

    พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี

    พระผงสุพรรณ เป็นพระองค์หนึ่งที่อยู่ในพระชุดเบญจภาคี อันได้แก่ :
    1. พระสมเด็จฯ วัดระฆังโฆษิตาราม กรุงเทพฯ
    2. พระนางพญา วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก
    3. พระรอด วัดมหาวัน จังหวัดลำพูน
    4. พระซุ้มกอ จังหวัดกำแพงเพชร
    5. พระผงสุพรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี
    ผู้จัดตั้งพระชุดเบญจภาคีนี้ก็คือ “ตรียัมปวาย” อันเป็นนามปากกาของ พ.อ.(พิเศษ) ประจน กิติประวัติ ผู้เขียนตำราและสารคดีพระเครื่องที่มีคุณค่าหลายเล่ม ท่านได้จัดพระชุดเบญจภาคีนี้มาตั้งแต่ พ.ศ.2495 เดิมจัดแค่ 3 องค์ คือชุด “ไตรภาคี” ขึ้นก่อน (พระสมเด็จฯ พระนางพญา และพระรอด) ต่อมาในปีเดียวกันก็เพิ่มขึ้น เข้าชุดอีก 2 องค์ คือ พระผงสุพรรณ กับ พระซุ้มกอ รวมเป็นชุด “เบญจภาคี” ซึ่งนับว่าเป็นเวลานานร่วม 60 ปีแล้ว ความนิยมพระชุดนี้เป็นที่ยอมรับของวงการ พระทั่วไป ใครมีพระชุดนี้ถือว่ามีรสนิยมสูงและแน่นอน ต้องเป็นผู้มีฐานะ ขั้นเศรษฐีจึงสามารถมีไว้ครอบครองได้ ในบทความนี้จะขอเสนอรายละเอียดเรื่อง พระผงสุพรรณ หนึ่งในพระชุดเบญจภาคีที่ว่านี้
         
    ประวัติการค้นพบ

    พระผงสุพรรณเป็นพระสมัยอู่ทอง หรืออยุธยาตอนต้น บรรจุอยู่ในพระปรางค์ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี การค้นพบหรือการเปิดกรุเกิดขึ้น ในปีพุทธศักราช 2456 ในรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จมื่นอมรดรุณารักษ์ ซึ่งเป็นเสือป่าตามเสด็จ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งนั้นได้บันทึกว่า “พระยาสุนทรสงคราม (อี้ กรรณสูต) ได้นำพระเครื่องซึ่งเพิ่งพบในกรุที่พระมหาธาตุเมืองสุพรรณบุรี เมื่อจวนจะเสด็จคราวนี้เป็นพระพุทธรูปลีลาหล่อ พิมพ์ด้วยโลหะธาตุ อย่าง ๑ (หมายถึงเนื้อชิน) พระพุทธรูปมารวิไชย พิมพ์ด้วยดินเผาอย่าง ๑ (พระผงสุพรรณ) อย่างละหลายร้อยองค์ ได้ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแจกแก่เสือป่า ลูกเสือ ทหารและตำรวจภูธร บรรดาที่ได้เสด็จคราวนี้โดยทั่วกัน”
    (จากหนังสือเสือป่าและลูกเสือในประวัติศาสตร์รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จมื่นอมรดรุณารักษ์ แจ่ม สุนทรเวช)
    ข้อความข้างต้นให้รายละเอียดว่า พระนั้นมีทั้งเนื้อโลหะและเนื้อดิน จำนวน อย่างละหลายร้อยองค์ ซึ่งนับว่าเป็นจำนวน ไม่มากนัก แต่คงจะมีอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ ทูลเกล้าฯ ถวาย อาจจะนับเป็นพันๆ องค์ก็ได้ พระเนื้อโลหะคงเป็นพระลีลา พระมเหศวร พระนาคปรก พระซุ้มระฆัง ฯลฯ ส่วน “พระพุทธรูปมารวิไชยพิมพ์ด้วยดินเผา” ก็คือพระผงสุพรรณ หนึ่งในพระชุด เบญจภาคีนี้เอง
         
    อายุการสร้าง

    ศาสตราจารย์ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ นักโบราณคดี ได้ให้ความเห็นว่า พระปรางค์ที่บรรจุพระผงสุพรรณนี้สร้างในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา โดยพิจารณา จากองค์พระปรางค์และจารึกลานทองอักษรขอมภาษามคธบรรจุไว้ที่ยอดนพพระศูล มีคำแปลว่า “พระราชาผู้ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลายในอโยธยา ทรงพระนามว่า จักรพรรดิ โปรดให้สร้างสถูปองค์นี้ขึ้นไว้ และทรงบรรจุพระบรมธาตุ ของพระพุทธเจ้าไว้ภายใน แต่พระสถูปของพระองค์ชำรุดทรุดโทรมไปโดยกาลเวลา พระราชโอรสของพระองค์ผู้เป็นพระราชาเหนือพระราชาทั้งหลายในแผ่นดินทั้งหมด และเป็นพระราชาธิราชผู้ประเสริฐ โปรดให้ปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนดี.....” สรุปได้ว่าพระปรางค์นี้สร้างโดยพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ แต่ชำรุดทรุดโทรมลง พระราชโอรสผู้เป็นกษัตริย์ประเสริฐอีกองค์หนึ่ง เป็นผู้บูรณะและทรงเขียนจารึก ลงแผ่นทองบรรจุไว้หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ท่านสันนิษฐานว่าพระมหากษัตริย์ทั้งสองคู่นี้น่าจะเป็น พระนครินทราธิราช ผู้สร้าง (ครองราช พ.ศ.1952 ถึง พ.ศ.1967) กับ เจ้าสามพระยา ผู้ซ่อม (ครองราชย์ พ.ศ.1967 ถึง พ.ศ.1991) หรือไม่ก็เป็น เจ้าสามพระยา ผู้สร้าง กับ พระบรมไตรโลกนาถ ผู้ซ่อม (ครองราชย์ พ.ศ.1991 ถึง พ.ศ.2031) โดยเหตุผลที่ว่าทั้งสองพระองค์คู่นี้เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐ อีกทั้งกษัตริย์ 3 พระองค์นี้เป็นกษัตริย์ในราชวงศ์อู่ทอง/สุพรรณบุรี และองค์พระปรางค์นี้คล้ายกับพระปรางค์ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก
    อนึ่ง สำหรับผู้นิยมในพระเครื่องแล้ว ยังมีจารึกแผ่นจานทองอีกแผ่นหนึ่ง ที่น่าสนใจ กล่าวกันว่าพบในพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุนี้เช่นกัน ในจารึกนี้มีรายละเอียดเป็นคำแปลเกี่ยวกับพระพิมพ์ที่บรรจุว่า “ศุภมัสดุ 1265 (ตรงกับ พ.ศ.1886) สิทธิการิยะแสดงบอกให้รู้ มีฤาษีทั้ง 4 ตน พระฤาษีพิลาไลยเป็นประธาน เราจะทำด้วยฤทธิ์...จึงพร้อมกับนำว่านทั้งหลาย ทำเป็นพระพิมพ์ไว้ สถานหนึ่งแดง สถานหนึ่งดำ....พิมพ์ด้วยลายมือของ พระมหาเถรปิยะทัสสี ศรีสาริบุตรถือเป็นประธานฝ่ายสงฆ์....เสกด้วยมนต์ คาถาทั้งปวงครบ 3 เดือน แล้วเอาไปประดิษฐานไว้ในสถูปใหญ่....ผู้ใดได้พบเห็นให้รับเอาไว้สักการะบูชาเป็นของวิเศษ....ให้อาราธนาผูกไว้ที่คออาจคุ้มครอง ภยันตรายได้ทั้งปวง.... ฯลฯ” น่าสังเกตว่านักโบราณคดีไม่ให้ความสำคัญในจารึกข้างต้นนัก อีกทั้งคำจารึก “ศุภมัสดุ 1265” ก็มีการถกเถียงว่าน่าจะมีความคลาดเคลื่อนในตอนคัดลอก โดยเวลาผิดไปร่วม 100 ปี ผู้เขียน (ม.ร.ว.อภิเดช) มีความเชื่อถือในหลักฐาน และการวิเคราะห์ของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์มากกว่า ท่านผู้ใดสนใจในเรื่องนี้ คงจะต้องศึกษาหาข้อเท็จจริงกันต่อไป
         
    พุทธศิลป

    พระเครื่องที่พบในพระปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุเป็นพระศิลปสมัยอู่ทองกับ สมัยสุโขทัย มีทั้งเนื้อดินและเนื้อชิน การที่มีพระทั้งศิลปอู่ทอง (มเหศวร พระผงสุพรรณ) และสมัยสุโขทัย (พระลีลา กำแพงศอก) แสดงว่ากษัตริย์ในสมัยนั้น คือกษัตรยิ์ของกรุงสุโขทัยและกรุงอยุธยาตอนต้น มีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี คงมีการอภิเษกสมรสระหว่างพระราชโอรสกับพระราชธิดาของทั้งสองเมือง ได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ศิลปการช่าง จึงมีศิลปวัตถุทั้งสองแบบ บรรจุในพระปรางค์องค์เดียวกัน
    พระผงสุพรรณแบ่งออกได้เป็น 3 พิมพ์คือ “พิมพ์หน้าแก่” “พิมพ์หน้ากลาง” และ “พิมพ์หน้าหนุ่ม” เป็นพระเนื้อดินละเอียด ผสมว่านแบบพระรอด หรือพระเมืองกำแพงเพชร ไม่ปรากฏก้อนแร่น้ำตาลเม็ดใหญ่ ๆ แบบพระคง
    แม่พิมพ์ทั้ง 3 แบบ มีความคล้ายกันมาก สรุปพุทธลักษณะโดยรวมได้ดังนี้ :
    ด้านหน้า เป็นทรงรูปสามเหลี่ยมตัดมุมด้านบน หรือตัดปลายสอบเข้าหากัน มีองค์พระประทับนั่งมารวิชัยบนฐานชั้นเดียวหรือที่เรียกว่า ฐานเขียง พระพักตร์แบบผลมะตูมหรือรูปไข่มีเกศ องค์ที่ติดชัดจะเห็นพระเนตร พระนาสิก และพระโอษฐ์ (ตา จมูก ปาก) ชัด พระพักตร์แสดงความเครียดแบบพระพุทธรูปอู่ทอง โดยเฉพาะพิมพ์หน้าแก่
    ส่วนพระพิมพ์หน้ากลางและหน้าหนุ่มจะมีความผ่อนคลายลงมา
    พระอุระเป็นรูปคล้ายตัววีหรือศีรษะช้าง พระพาหาจากไหล่ทอดห้าเหลี่ยมเป็น 3 จังหวะ คือจากไหล่ถึงศอก จากศอกถึงข้อมือ และจากข้อมือถึงปลายนิ้ว พระพาหาด้านขวาขององค์พระพาดบนพระชานุ (เข่า) พระหัตถ์แบแยกเห็นปลายนิ้วหัวแม่มือ พระหัตถ์ข้างซ้ายวางพาดเหนือพระเพลา ส่วนล่างเป็นฐานชั้นเดียวไม่มีลวดลายอะไร
    ด้านหลัง หลังเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย มีลายนิ้วมือเกิดจากการกดพิมพ์พระเมื่อเนื้อพระยังเปียกอยู่
    เนื้อ ดินผสมว่าน มีสีแดง เหลือง เขียว และสีดำ มีแร่ดอกมะขามและรารัก
    ข้าง มีรอยตัดเฉียงจากด้านหน้าไปด้านหลัง
    ขนาด สูงประมาณ 2 ซ.ม. ฐานกว้างประมาณ 1 ซ.ม. ความใหญ่เล็กของพระอาจขึ้นอยู่กับการติดปีกหรือขอบขององค์พระ ขนาดหนาบางไม่เท่ากัน
         
    บทสรุป
    พระผงสุพรรณเป็นพระยอดนิยม หนึ่งในชุดเบญจภาคี เป็นพระที่สร้างโดยพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อเกือบ 600 ปีมาแล้ว จึงนับว่าเป็นโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง มีพุทธศิลปงดงามแบบพระพุทธรูปบูชาสมัยอู่ทอง
    ในด้านพระพุทธคุณก็เป็นที่เลื่องลือกันมานาน โดยเฉพาะเรื่องที่โจษจันกันมากก็คือมีนักธุรกิจท่านหนึ่งเคยถูกดักยิงด้วยปืนลูกซองในระยะเผาขน ในขณะออกจากบ้านหรือกลับบ้าน แต่กระสุนมิถูกต้องผู้ถูกยิงแต่อย่างใด เนื่องจากท่านผู้นี้มีชื่อเสียงในวงการพระเครื่องในสมัยนั้น (หรือแม้ในสมัยนี้) จึงได้สอบถามว่าท่านมีพระอะไรติดตัวในวันนั้น ปรากฏว่าเป็นพระผงสุพรรณสีดำ หน้าแก่ เคยประกวดติดที่ 1 ในงานประกวดพระที่วัดโพธิ เมื่อสามสิบปีเศษมาแล้ว
    เรื่องที่ประมวลมาโดยสังเขปนี้ เชื่อว่าพระผงสุพรรณคงเป็นพระยอดนิยมตลอดไป ปัจจุบันหาได้ยาก แต่หากท่านมีศรัทธาจริง และถ้ามีโอกาสจะได้ครอบครองแล้ว ไม่ควรปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป

    อ้างอิง นิตยสารพระท่าพระจันทร์
    [/FONT
     
  9. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง

    [​IMG]
     
  10. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
        พระผงสุพรรณพิมพ์หน้ากลาง  มีพุทธลักษณะเนื้อหาทรวดทรงสัณฐานเช่นเดียวกับพระผงสุพรรณ  พิมพ์หน้าแก่แต่เค้าพระพักตร์จะไม่เคร่งขรึมเหี่ยวย่นเหมือนพิมพ์หน้าแก่  ดูอิ่มเอิบสดใส  คล้ายหน้าหนุ่มที่ไม่สูงวัยมาก  และจะมีแม่พิมพ์เพียงพิมพ์เดียว  มีลักษณะที่น่าสังเกตดังนี้
        -  พระพักตร์อิ่มเอิบ  ไม่เหี่ยวย่นชราภาพเหมือนพิมพ์หน้าแก่
        -  พระเนตรทั้งสองข้างไม่จมลึกเท่าพิมพ์หน้าแก่  ปลายพระเนตรด้านซ้ายขององค์พระตวัดเฉียงขึ้นเล็กน้อย  หากพิจารณาให้ดีจะเห็นได้ว่ารูปพระพักตร์ระหว่างพระเนตรทั้งสองข้างวางได้ระดับเท่ากันทั้งสองข้างไม่เอียงเหมือนพิมพ์หน้าแก่
        -  พระกรรณทั้งสองข้างจะเป็นเส้นเอียงลงตามเค้าพระพักตร์และมีความยาวเกือบเท่ากันทั้งสองข้าง
        -ในองค์ที่ติดพิมพ์ชัด  ปลายพระกรรณขวาขององค์พระจะเรียวยาวคล้ายจงอยที่ปลายงอเข้าหาด้านในเล็กน้อย  ส่วนปลายพระกรรณซ้ายขององค์พระจะแตกเป็นหางแซงแซว
        -  พระอุระผายกว้างและสอบเพรียวตรงพระนาภีดูคล้ายหัวช้าง
        -  พระหัตถ์ซ้ายวางที่หน้าตัก  แต่ให้สังเกตปลายพระหัตถ์ก็จะยาวยื่นไปเกือบชนลำพระกรขวาขององค์พระ  ซึ่งจะแตกต่างจากพิมพ์หน้าแก่และพิมพ์หน้าหนุ่ม
        -  ข้อพระกรขวาเว้าลึกอย่างเห็นได้ชัด
        -  ในองค์ที่ติดชัดข้างฝ่าพระหัตถ์ขวามีติ่ง  เนื้อเกินเล็ก ๆ วิ่งจากโคนนิ้วขึ้นด้านบน

     
  11. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่

    พอดีมีภาพจากหนังสือเก่าๆ ที่เชื่อถือได้
    ก็เลยนำมาลงประกอบด้วย

    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    กายวิภาคของพระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่

    กายวิภาคของพระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่
    น่าจะทำให้เข้าใจ และดูให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้นครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่

    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่
    องค์จริงยังไม่มีวาสนาได้ครอบครอง
    ลงภาพพระแท้ประกอบศรัทธาไปก่อน
    น่าจะทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านั้นล่ะครับ<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าหนุ่ม

    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าหนุ่ม

    [​IMG]
     
  15. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
       พระผงสุพรรณพิมพ์หน้าหนุ่ม เป็นพิมพ์ที่มีความลึก  คมชัดเป็นอย่างยิ่ง  ดูจากสภาพองค์พระที่ปรากฏจะเห็นลักษณะการถอดออกจากแม่พิมพ์ค่อนข้างยากกว่าพระผงสุพรรณพิมพ์อื่น  เหตุเพราะแม่พิมพ์มีความลึกมากเป็นพิเศษ ดังนั้น  จึงพบองค์สภาพสมบูรณ์น้อยมาก  พระพักตร์จะดูอ่อนเยาว์  สดใสและเรียวเล็กกว่าพิมพ์อื่น สมัยโบราณเรียกว่า “พิมพ์หน้าหนู”  ซึ่งพระผงสุพรรณ  พิมพ์หน้าหนุ่มนี้มีแม่พิมพ์เดียว มีข้อสังเกตดังนี้
        -  พระพักตร์ดูอ่อนเยาว์  สดใส แตกต่างจากพิมพ์หน้าแก่และพิมพ์หน้ากลางอย่างเห็นได้ชัด
        -  พระเนตรทั้งสอข้างอยู่ในระนาบเดียวกัน  ปลายพระเนตรซ้ายขององค์พระ  ยกเฉียงขึ้นเล็กน้อย
        -  พระนาสิกหนาใหญ่ตั้งเป็นสัน
        -  ริมพระโอษฐ์หนา
        -  พระกรรณจะแตกต่างจากพิมพ์หน้าแก่และพิมพ์หน้ากลาง  กล่าวคือ  ตั้งขึ้นเป็นสันแนบชิดกับพระพักตร์และยาวลงมาเกือบจรดพระอังสะทั้งสองข้าง



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2012
  16. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าหนุ่ม

    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าหนุ่ม

    [​IMG]
     
  17. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง

    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง

    [​IMG]
     
  18. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง

    พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    กายวิภาคของพระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง

    กายวิภาคของพระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. กาโน

    กาโน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2010
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +152
    ขอรบกวนทุกท่านครับ เกศไชโย 6 ชั้น อกตันซัก 1 องค์ เต็มที่เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.5 KB
      เปิดดู:
      185
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.2 KB
      เปิดดู:
      177
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.5 KB
      เปิดดู:
      158

แชร์หน้านี้

Loading...