เป็นสามีภรรยากันจะไปนิพพานด้วยกันเป็นไปได้ไหม ?

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 7 มีนาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. sangying

    sangying เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    266
    ค่าพลัง:
    +345
    ร่วมบูรณะลุมพินีวัน
    สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้าได้ง่าย ๆ

    ด้วยการส่งข้อความว่า --> LUM ไปยังหมายเลข 4596999 ครั้งละ 9 บาท
     
  2. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    น่าเห็นใจค่ะ ยังงัยคุณก็ยังมีลูกอยู่นะคะ ลูกต้องมีคนดูแล อย่าเพิ่งคิดสั้นค่ะ ถ้าคุณเป็นอะไรไปแล้วลูกจะอยู่กับใคร ช่วงนี้น่าจะเก็บรวบรวมหลักฐานแล้วฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากภรรยาน้อยนะคะ หรือถ้าพวกเค้าทำราชการอยู่ก็สามารถทำให้ออกจากราชการได้เหมือนกัน คุณน่าจะลองปรึกษาทนายความดูค่ะ อย่าให้ใครมารังแกเราฝ่ายเดียวนะคะ เราก็คนเหมือนกัน มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ถ้าใครมารังแกเราเราก็ไม่ควรให้เค้ากระทำอยู่ฝ่ายเดียว หาทางตอบโต้บ้างด้วยวิธีที่ถูกต้องตามกฏหมาย ส่วนสามีคุณต้องตัดสินใจเองแล้วค่ะว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไม่ได้สอนให้ใจดำแต่ถ้าเราเฉยเค้าก็จะได้ใจ รังแกเรามากขึ้นค่ะ ชีวิตเรา อย่าให้ใครมารังแกค่ะ รักตัวเรากับลูกให้มากๆค่ะ เอาใจช่วยค่ะ
     
  3. pearl8

    pearl8 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +154
    อนุโมทนาค่ะ....การไม่มีคู่คงเปนลาภอันประเสริฐสำหรับผู้ที่มีรักแล้วมีทุกข์
     
  4. deneta

    deneta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    2,711
    ค่าพลัง:
    +5,720
    นั้นเองนะครับง่ายๆ ตรงไปตรงมา พอเฉลยก็แจ้งเหมือนหงายของที่คว่ำเลย แต่ยังไม่อ่านก็ยังสงสัยอยู่ อุนโมทนาครับ
     
  5. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    พระมหากัสสปะ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ ตระกูลกัสสปะในบ้านมหาติฏฐะ
    แคว้นมคธ ชื่อเดิมของท่านคือ “ปิปผลิ” แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านตามวงศ์ตระกูลว่า
    “กัสสปะ” เมื่อท่านอายุได้ ๒๐ ปี ได้ทำการอาวาหมงคลกับนางภัททกาปิลานี ซึ่งเป็นสาวงาม
    วัย ๑๖ ปี ธิดาของพราหมณ์ตระกูลโกลิยะ ณ เมืองสาคลนคร แคว้นมคธ

    เมื่อปิปผลิมาณพ อายุได้ ๒๐ ปี บิดามารดาได้ปรึกษากันว่าจะหาภรรยาให้แก่บุตรชาย
    จึงได้มอบเงินและทองให้แก่พราหมณ์ ๘ คน เพื่อสืบแสวงหาสาวงานที่มีฐานะเสมอกัน
    พราหมณ์เหล่านั้นเที่ยวสืบแสวงหาไปตามเมืองต่าง ๆ มาจนถึงสาคลนคร ได้พบธิดาของ
    โกลิยพราหมณ์นามว่า “ภัททกาปิลานี” วัย ๑๖ ปี เป็นที่ถูกอกถูกใจยิ่ง จึงสู่ขอกับบิดามารดา
    ของนาง ตกลงแล้วได้มอบสิ่งของเงินและทองหมั้น กำหนดวันอาวาหมงคลแล้วกลับไปแจ้งข่าว
    สารแก่กปิลพราหมณ์
    ปิปผลิมาณพ ได้ทราบข่าวสารนั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เพราะตนไม่มีความปรารถนาจะ
    แต่งงาน จึงหลบเข้าไปในห้อง เขียนจดหมายบรรยายความประสงค์ของตนให้นางทราบว่า
    “ตนไม่ปรารถนาจะแต่งงาน ขอให้นางจงแต่งงานกับชายที่มีชาติตระกูลเสมอกัน และอยู่ครอง
    ชีวิตคู่ด้วยความสุขสำราญเถิด ส่วนข้าพเจ้าจะออกบวช” เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ก็มอบให้คนใช้
    สนิทนำไปส่งให้แก่นางภัททกาปิลานี
    แม้นางภัททกาปิลานีก็มีใจตรงกัน และได้เขียนจดหมายซึ่งมีใจความเหมือนกัน มอบให้
    คนรับใช้นำไปส่งให้แก่ปิปผลิมาณพ บังเอิญคนถือจดหมายทั้งสองฝ่ายมาพบกันระหว่างทาง ทัก
    ทายปราศรัยถามไถ่กิจธุระของกันและกันแล้วนำจดหมายทั้งสองฉบับออกอ่าน ทราบความโดย
    ตลอดแล้วฉีกทำลายทิ้งแล้วเขียนจดหมายขึ้นมาใหม่ บรรยายความรักแก่กันและกันแล้วนำไปส่ง
    ให้แก่เจ้านายของตน การอาวาหมงคลระหว่างคนทั้งสองจึงเกิดขึ้น


    ภายหลังจากแต่งงานกันแล้ว การครองคู่ของคนทั้งสองนั้นไม่เหมือนสามีภรรยาคู่อื่น ๆ
    เพราะสักแต่ว่าอยู่ร่วมห้องกันเท่านั้น ต่างก็ไม่มีจิตคิดจะร่วมสังวาสกัน แม้เวลาจะขึ้นเตียงนอนก็
    ขึ้นกันคนละข้าง มีแจกันดอกไม้ตั้งอยู่ตรงกลางเตียง ตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันนั้น มิ
    ได้สัมผัสถูกต้องกันเลยจึงไม่มีบุตรหรือธิดาสืบสกุล
    เมื่อบิดามารดาถึงแก่กรรมแล้ว ทรัพย์สมบัติและหน้าที่การงานทุกอย่างจึงเป็นภาระของ
    สองสามีภรรยา และเนื่องจากตระกูลทั้งสองเป็นตระกูลมหาเศรษฐีมีทรัพย์มาก เมื่อรวมสอง
    ตระกูลเข้าเป็นตระกูลเดียวกันแล้วทรัพย์สมบัติก็ยิ่งมากมายมหาศาล มีสัตว์เลี้ยงและคนงาน
    จำนวนมาก สองสามีภรรยาต้องบริหารสั่งการทุกอย่าง
    จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่ปิปผลิกำลังตรวจดูทาสและกรรมกรทำงานอยู่ในไร่นา ได้
    เห็นนกกาจิกกินสัตว์น้อยมีไส้เดือนเป็นต้น ก็รู้สึกสงสารและสลดใจที่สัตว์เหล่านั้นต้องตาย
    เพราะตนเป็นเหตุ ส่วนนางภัททกาปิลานี ก็ให้คนนำเมล็ดถั่วงาออกมาตากที่ลานหน้าบ้าน เห็น
    หมู่นกกามาจิกกินตัวหนอนและแมลงต่าง ๆ ก็เกิดความสงสารและสลดใจเช่นกัน เมื่อสองสามี
    ภรรยามีโอกาส อยู่กันตามลำพังได้สนทนาถึงเรื่องความในใจของกันและกันแล้ว จากนั้นทั้งสอง
    ก็มีความคิดตรงกันว่า
    “ผู้อยู่ครองเรือน แม้จะไม่ได้ลงมือทำการงานเอง แต่ก็ต้องคอยรับบาปที่ทาสและ
    กรรมกรทำให้” จึงเกิดความเบื่อหน่ายเพศฆราวาสพร้อมใจกันสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ญาติ
    และบริวาร
    ส่วนทั้งสองสามีภรรยาพากันออกบวช จัดหาผ้ากาสาวพัสตร์และบริขารพากันปลงผม
    แล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์ อธิฐานเพศบรรพชิตบวชอุทิศต่อพระอรหันต์ในโลกแล้วเดินร่วมทาง
    กันไป พอถึงทางสองแพร่งจึงแยกทางกัน ปิปผลิไปทางขวา ส่วนนางภัททกาปิลานี ไปทางซ้าย
    นางเดินทางไปพบสำนักปริพาชกแล้วได้เข้าไปขอบวชในสำนักนั้น เนื่องด้วยขณะนั้น พระผู้มี
    พระภาคยังมิได้ทรงอนุญาตให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา ต่อเมื่อพระนางปชาบดีโคตรมีได้
    บวชแล้ว นางจึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระเถระ ศึกษาพระกรรมฐาน บำเพ็ญ
    วิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล


     
  6. Mrs.Kim

    Mrs.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +2,306


    อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงประ<WBR></WBR>วัติพระมหากัสสัปปะที่แต่งง<WBR></WBR>านแล้วตกลงกับภรรยาว่าจะครอ<WBR></WBR>งเรือนกันแบบเพื่อนแล้วจะออกบวชด้วยกัน คุณมุ่งเต็มใจยกมาให้อ่านทั้งเรื่องพอดีเลย ขอบคุณมากค่ะ (ใจตรงกันพอดี)
    อยากให้กำลังใจสามี<WBR></WBR>ภรรยาที่ตั้งใจจริงทุกคนว่าสามารถเป็น<WBR></WBR>ไปได้แน่นอนค่ะแต่อาจจะช้ากว่าคนโ<WBR></WBR>สดหน่อยเพราะเรามีภาระทางโล<WBR></WBR>กต้องรับผิดชอบเยอะแต่ถ้าตั้ง<WBR></WBR>ใจจริงช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็สามารถทำได<WBR></WBR>้แน่นอนค่ะของแบบนี้มันขึ้น<WBR></WBR>อยู่กับกำลังใจค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนพยายามกันต่อไปนะค่ะจะคอยเอาใจช่วยค่ะ
     
  7. nuilamai

    nuilamai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +8
    คุณเจ้าของกระทู้ ตอบได้กระแทกจิตดีจริงๆ ฮานิดๆ
     
  8. hackyz

    hackyz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2010
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +243
    สาธุ ได้ศึกษากระทู้นี้แล้วทำให้กำลังใจดีขึ้นมากมาย
    เรามีคู่ เรามิได้อยู่คนเดียว เราจะทำตามใจเราฝ่ายเดียวก็มิได้เพราะเรามีเครื่องผูก
    ได้แต่ตามรู้ให้ทันที่เราเองแล้วปล่อยวาง
    แต่มันก็แสนยากเหลือเกิน นี่แหละคือทุกข์ บางครั้งก็สุข ไม่เที่ยงจริงๆ อ่านธรรมแล้วก็พอเข้าใจแต่จะเอาใจเข้าไปในธรรมนั้นยากจริงๆ
    หากผู้ใดเห็นแจ้งแล้ว โปรดชี้แนวให้กระผมด้วยเถิด
     
  9. cmhadtong

    cmhadtong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +2,034
    ก่อนจะเมตตา หรือสงสารใคร
    ขอให้เมตตาและสงสารตัวเองก่อน
    ที่ต้องทนทุกข์เวียนว่ายตายเกิดมานับไม่ถ้วน
    เกิดคนเดียว ตายคนเดียว ไปนิพพานดีกว่า
    ทางของบุคคลผู้เดียวเป็นทางเอก
    นำมาซึ่งความพ้นทุกข์บริสุทธิ์ผุดผ่อง

    โมทนาบุญนะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. Cyan

    Cyan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +54
    หอบกันไป คงจะเป็นไปไม่ได้ ต่างคนต่างบุญต่างบารมี ต่างกรรมต่างวาระ ทำของใครของมันดีที่สุด ชาตินี้ได้แต่งงานไปเสียแล้วก็ให้คิดว่าแต่งชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย คู่ของใครที่พบคนมีคุณธรรมมีศีลเสมอกัน หรือมีจิตมุ่งนิพพานเป็นอารมณ์ก็ถือว่าโชคดี เพราะถึงจุดหนึ่ง ต่างคนต่างก็จะแยกย้ายกันไปปฎิบัติเอง
     
  11. หยดน้ำใส

    หยดน้ำใส สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    อนุโมทนา สาธุครับ
    แค่ว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่เสมอกัน
    โอกาสที่จะไปพบกัน ยิ่งไม่มี

     
  12. namotussa

    namotussa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,470
    พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ ด้วยการฝึกปฏิบัติ สิ่งนี้เราควรที่จะปรึกษาหารือกับคู่ชีวิตของเรา เพื่อให้เข้าใจกันว่า สักวันหนึ่งในเวลาที่เหมาะสม เราจะออกไปเพื่อแสวงหา สิ่งที่จะทำให้หลุดพ้น เราต้องการให้เขาสนับสนุนในความคิดอันนี้ เขาจะไปด้วยหรือไม่ไปด้วยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา แต่ที่สำคัญเราต้องตัดสินใจสำหรับตัวเราเองเสียก่อน หากยังไม่พร้อมในการตัดสินใจ ขอแนะนำว่าควร บวชที่บ้าน ไปก่อน โดยการสวดมนต์ทำสมาธิกรรมฐาน เพื่อให้เกิด ปัญญา สามารถนำไปสู่ความสงบสุข ความมีสติรู้ตัวคอยกำกับ เพื่อทำความดี ทั้งกาย วาจา ใจ (กุสลสฺสูปสมฺปทา) ละเว้นความชั่วทั้งปวง(สพฺพปาปสฺส อรกณํ ) ทำจิตใจให้ผ่องใส (สจิตฺตปริโยทปนํ) แล้วจงห่างไกลจากกิเลส อันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทั้งนี้เพราะกิเลสก็คืออวิชชาที่ทำให้คนเราหลงผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัวและจงเป็นมิตรกับทุกชีวิต คำว่าเป็นมิตรกับทุกชีวิตนั้นก็คือ เราควรแผ่เมตตาให้กับสัตว์โลกที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นเอง ซึ่งจะทำให้เราเกิดปัญญาที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า สัตว์โลกทุกชีวิต(รวมถึงมนุษย์)ต่างก็รักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่ควรที่จะไปเบียดเบียนกันและกัน อยู่ด้วยความมีเมตตากรุณา ซึ่งสิ่งนี้จะนำความปิติสุขให้กับเรา
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...