ไม่มีพุทธ แต่มีผีกับไสย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย newhatyai, 15 ตุลาคม 2007.

  1. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    สิ่งที่น่าแปลกใจในทุกวันนี้ของสังคมไทยก็คือ ท่ามกลางความสับสนอลหม่านในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น มีบุคคลพวกหนึ่งทั้งห่มผ้าเหลืองและไม่ห่มออกมาเรียกร้องให้มีการกำหนดให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในกฎหมายทางราชการ เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมา ทั้งอีกผิดเพี้ยนและขัดแย้งกับสถาบันกษัตริย์ที่มีมาแต่อดีต

    นั่นก็คือพระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกที่ต้องทรงให้ความเป็นธรรมแก่ไพร่บ่าวพลเมืองที่มาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์และนับถือศาสนาต่างกัน ทั้งๆ ที่องค์พระมหากษัตริย์เองทรงเป็นพุทธมามกะ อันเป็นสิ่งที่บ่งแสดงอยู่แล้วว่านับถือพุทธศาสนาโดยพฤตินัย และถือเป็นพระศาสนาสำคัญที่เป็นหลักของบ้านเมืองอยู่แล้ว

    โดยประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยามที่มีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ศูนย์กลางนั้นได้อุบัติขึ้นตั้งแต่รัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ได้มีการสร้างและขยายพื้นที่พระราชวังเดิมให้เป็นพระบรมมหาราชวังที่มีวัดพระศรีสรรเพชญดาญาณอยู่ภายในกำแพง เพื่อเป็นที่ทำพระราชประเพณีพิธีกรรมของราชอาณาจักร โดยเฉพาะพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในพระวิหารหลวงของวัด ซึ่งพระพุทธรูปศรีสรรเพชญเป็นพระประธานอยู่ท่ามกลางบรรดาพระพุทธรูปใหญ่น้อยที่ศักดิ์สิทธิ์ของราชอาณาจักร ท้ายจรนัมของพระมหาวิหารก็เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของอดีตพระมหากษัตริย์ของพระนคร พระมหาสถูปเจดีย์สามองค์อันเป็นอัตลักษณ์ของวัดก็ล้วนเป็นพระบรมธาตุเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วทั้งสิ้น

    สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นสถานภาพของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี หรือถ้าหากไม่จุใจก็อาจมองกว้างลงไปเบื้องล่าง ยังชุมชนในระดับเมืองและบ้านก็ได้ที่มีทั้งวัดมหาธาตุประจำเมืองสำคัญและมีวัดประจำหมู่บ้านแทบทุกแห่ง ซึ่งบ้านและนามวัดก็ล้วนแต่เป็นชื่อเดียวกัน

    บ้านพุทธและวัดพุทธมีมากมายแทบทุกหนแห่ง มีมากในขณะที่บ้านของคนคริสต์และคนมุสลิมก็มีโบสถ์และมัสยิดเป็นศูนย์กลาง แต่มีจำนวนน้อย ซึ่งวัดและบ้านเหล่านั้นก็คือสิ่งที่พระมหากษัตริย์ที่เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกโปรดให้สร้างหรือสร้างให้เพื่ออยู่รวมกันในประเทศชาติอย่างเป็นสมานฉันท์

    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เห็นว่าไม่มีความจำเป็นอันใดเลย ที่จะต้องเรียกร้องให้ตราใช้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

    สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าบรรดาผู้เรียกร้องทั้งที่เป็นสงฆ์และฆราวาส ควรไตร่ตรองและทบทวนก็คือ เมืองไทยทุกวันนี้ยังเป็นเมืองพุทธที่มีคนไทย นับถือพุทธจริยหรือเพราะข้าพเจ้าเคยได้ยินท่านพุทธทาสเคยเทศน์ในวิทยุว่า "สังคมไทยเดี๋ยวนี้มีแต่ไสยไม่เห็นพุทธ" ซึ่งข้าพเจ้าใคร่เสริมท่านต่อไปอีกในที่นี้ว่า "มีแต่ผีด้วย"

    ที่ว่ามีแต่ไสยนั้น เห็นได้ชัดจากการที่วัดวาอารามเป็นจำนวนมากทั้งในเมืองและหมู่บ้านตามชนบท ต่างพากันหาเงินเข้าวัดด้วยการสร้างวัตถุมงคลที่เป็นเครื่องรางของขลังทางไสยศาสตร์ โดยผู้ประกอบพิธีกรรมก็คือบรรดาพระสงฆ์ใหญ่น้อยนั่นเอง

    วัดใดที่มีพระสงฆ์เป็นเกจิอาจารย์ก็จะมีคนอื่นมาบริจาคมาก จนความสำคัญของวัดแทบหมดไป กลับไปอยู่ที่พระเกจิอาจารย์แทน ทำให้เกิดความร่ำรวยในส่วนตัวของพระรูปนั้นและพี่น้อง รวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาด้วย พระเกจิอาจารย์บางคนถึงกับต้องมีผู้จัดการดูแลทรัพย์สินและผลประโยชน์ คล้ายๆ กับผู้จัดการนักมวยโลกก็มี

    ความมั่งคั่งทางทรัพย์สินและวัดทำให้สังฆาวาสใหญ่โตนำหน้าพุทธาวาส ก็แยะ โดยเฉพาะกุฏิสงฆ์ที่เป็นที่พำนักของพระเจ้าอาวาสหรือพระเกจิอาจารย์ดูโอ่โถง มีทีวี มีเครื่องประดับ และรถยนต์ราคาแพงรวมอยู่ด้วย ดูไม่ต่างกับคฤหาสน์ของพวกพ่อค้าคหบดีอะไรทำนองนั้น

    แล้วไปวัดจะเห็นพุทธศาสนาได้อย่างไร

    กระแสของไสยศาสตร์ที่มาแรงในขณะนี้ ก็คือการสร้าง จตุคามรามเทพ ที่แพร่หลายมาจากวัดมหาธาตุนครศรีธรรมราช เป็นเหตุให้บรรดาวัดใหญ่น้อยแทบทุกภาคของราชอาณาจักรปลุกเสกจตุคามรามเทพกันเป็นเบือไป

    อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสของไสยศาสตร์ที่เชี่ยวกราก ก็ยังมีสิ่งที่เป็นศาสนาอยู่ ไม่ใช่พุทธแต่เป็นผี คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะคนในเมืองไม่รู้จักพุทธและไม่เอาพุทธ เพราะพุทธเป็นเรื่องของโลกหน้า แต่ผีสามารถตอบสนองความเป็นความตายและยากดีมีจนในโลกนี้ ได้ ผีจึงเกิดขึ้นเต็มเมืองมากกว่าตามหมู่บ้านในชนบท คนกราบไหว้และสวดอ้อนวอนผี บนบานผีมากกว่าพุทธ

    การนับถือผีไม่มีพระแต่มีคนทรงแทน และคนทรงเป็นจำนวนมากก็เป็นหญิงมากกว่าชาย เลยเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นหญิงมีอำนาจเหนือชายในปัจจุบัน จุดอ่อนของศาสนาผีต่างกับพุทธก็คือ ผีสามารถติดสินบนได้ คนจึงพากันไปบนขอหวยขอโชคลาภกัน แต่พุทธทำไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของโลกหน้าและกฎแห่งกรรม

    สังคมไทยสมัยก่อน แม้ว่าผีกับพุทธจะอยู่ด้วยกันในพื้นที่ของวัด แต่ก็มีกาลเทศะ เช่น ศาลผีจะเข้าไปอยู่ในพุทธาวาสและสังฆาวาสไม่ได้ เป็นต้น อีกทั้งพุทธก็ทำให้ผีกลายเป็นสาวก รักษาพุทธศาสนา และดูแลทุกข์สุขทางโลกของผู้คน

    แต่ปัจจุบันผีมีน้ำยากว่าพุทธ เพราะนอกจากทำให้พระสงฆ์บางรูปกลายเป็นหมอผีหรือทำให้คนกราบไหว้พระพุทธรูปขอลาภขอยศได้เยี่ยงผีแล้ว ยังสามารถทำให้ศาสนาอื่นทั้งฮินดูและพุทธมหายานกลายเป็นผีไปด้วย ซึ่งเห็นได้จากการสร้างศาลขึ้นกราบไหว้บูชา กระจายกันไปตามถนนหนทาง และที่ต่างๆ แทนการสร้างตามสถานเทวาลัย ปราสาท ขึ้นตามบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของพื้นที่ต่างๆ ในชุมชน อีกทั้งเป็นศาลที่ใครๆ ก็สร้างได้

    ศาลเหล่านี้มีการสร้างรูปพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ หรือพระพิฆเนศ แต่มีการกราบไหว้บนบานแบบที่ทำกับผี รวมทั้งมีคนทรงหมีแดง หมีเขียว หมีขาว ทำหน้าที่สื่อกับพระเป็นเจ้าเยี่ยงเดียวกับสื่อกับผี

    แต่ที่น่าตกใจทางราชการก็เอากับเขาด้วย ที่ตามโรงเรียนหรือสถานที่ราชการดัดจริตสร้างหอพระขึ้นมาอย่างโดดๆ ให้คนกราบไหว้ ซึ่งดูไม่ต่างอะไรกับคนผีและไหว้ผีเลย

    อันพระเป็นเจ้าและเทพที่ใหญ่และสูงสุดทั้งฮินดูและพุทธมหายานนั้น กล่าวตามประเพณีการเคารพบูชาแล้ว การจะติดต่อสื่อสารก็ด้วยการกราบไหว้ อ้อนวอน และบำเพ็ญตบะบารมีต้องใช้เวลานานกว่าจะมีปรากฏการณ์ออกมา หาใช่สื่อกันกับผีเช่นนี้ไม่

    เพราะฉะนั้น เมื่อมองภาพรวมแล้วก็จะแลเห็นว่า ปัจจุบันในเขตเมืองเล็กและใหญ่ ทั้งราชอาณาจักร ล้วนมีคนผีกระจายกันอยู่แทบทุกระแหง มีทั้งคนใหญ่ คนเล็ก มีทั้งมีที่สร้างขึ้นใหม่และนำเข้ามาจากภายนอก

    ข้าพเจ้าคิดว่า เหตุใหญ่ที่ทำให้ศาสนาผีครองเมืองนั้น อยู่ที่การดำเนินงานของรัฐเอง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา มีการเคลื่อนไหวที่ทำให้พระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ ด้วยการเน้นการสอนและเผยแผ่ไปในทางที่เป็นปรัชญาจนเกินไป จนบดบังความสำคัญของศาสนา อันเป็นเรื่องของความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ

    การเน้นพุทธในทำนองที่เป็นปรัชญานั้น จะเป็นผลสำเร็จได้ก็เฉพาะกลุ่มชนที่มีการศึกษาและมีปัญญาเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ในสังคมของประเทศ เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังมองพุทธเป็นเรื่องของความเชื่อที่เกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติอยู่ จึงเข้าทางของศาสนาผีที่ไม่เน้นในเรื่องปรัชญา แต่เน้นความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติในทางประเพณีพิธีกรรมที่มักเป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ เลยทำให้ผีกับไสยศาสตร์ไปกันได้ แต่พุทธไปไม่ได้

    ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของศาสนาผีที่ติดอันดับอยู่ในขณะนี้ก็คือ จตุคามรามเทพ ที่อาจเป็นได้ทั้งศาสนาและไสยศาสตร์ในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเอารูปจตุคามรามเทพมาบูชาหรือมาห้อยคอ ในความเชื่อที่ว่า "มีกูมึงไม่จน" แล้ว ก็คือไสยศาสตร์ เพราะเป็นการสนองตัณหาความอยากที่เป็นปัจเจกบุคคลนิยม แต่ถ้าหาก "มีกูมึงไม่โกง" แล้ว ก็คือความเชื่อทางศาสนา เพราะอ้างอิงอำนาจเหนือธรรมชาติให้มาดูแลในเรื่องทางศีลธรรม เพื่อการอยู่ร่วมกันของคนที่เป็นหมู่เหล่าในชุมชน

    จตุคามรามเทพเป็นปรากฏการณ์ของศาสนาผีที่แพร่หลายไปทั่วประเทศ แต่ในกรุงเทพฯมีปรากฏการณ์อีกมากมายหลายผีเกิดขึ้นอย่างซับซ้อน เช่น กรณีการบูชาและบนบาน หลวงปู่จันดี มีมากับการขยายตัวของถนนหนทางที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุและภัยบนท้องถนนเป็นประจำ ชาวบ้านชาวเมืองจึงพากันสร้างศาลหลวงปู่จันดีขึ้นในหลายๆ แห่ง แล้วพากันถวาย ม้าลาย ให้เป็นพาหนะ เพื่อใช้สอยในการแก้บน

    ม้าลายกลายเป็นสัญลักษณ์ของความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะถ้าจะปลอดภัยก็ต้องข้ามถนนที่ทางม้าลาย ม้าลายเลยกลายเป็นสัตว์สัญลักษณ์เพื่อการแก้บนในมิติใหม่ แทนการใช้รูปสัตว์ที่เป็นช้าง ม้า หรือสัตว์อื่นๆ ที่เคยมีแต่เดิม ศาลหลวงปู่จันดีแต่ละแห่ง มีรูปปั้นม้าลายเป็นบริวารและสัตว์เลี้ยงเป็นร้อยเป็นพันก็มี

    เมื่อพูดถึงม้าลายแล้วก็ขอเลยเถิดไปยังสัตว์สัญลักษณ์อื่นในระบบความเชื่อที่เป็นศาสนาผีต่อ คือ ไก่ชน ที่มีการทำรูปปั้นทั้งขนาดใหญ่และเล็กไปเซ่น หรือแก้บนตามศาลเจ้าที่สำคัญ โดยเฉพาะศาลสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเจ้าตากสิน

    เริ่มตั้งแต่ศาลสมเด็จพระนเรศวรที่เมืองพิษณุโลกก่อน ไก่ชนมีอยู่ในพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวร เมื่อครั้งเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดี ทำให้เกิดตำราไก่ชนสมเด็จพระนเรศวรขึ้น แล้วต่อมาก็มีนายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้คิดและสนับสนุนให้ทำรูปไก่ชนไปแก้บนที่ศาล ภายหลังจึงแพร่หลายไปทั่วถึงศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน และศาลเจ้าสำคัญอื่นๆ

    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าในสังคมไทยปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่มองทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแต่โลกนี้ ความมั่นคงในชีวิตอยู่เพียงแค่โลกนี้ โลกหน้าเป็นเรื่องไร้สาระ พุทธจึงสู้ผีไม่ได้

    ผีเป็นศาสนาคู่บ้านคู่เมืองมาก่อนพุทธ แล้วทำไมไม่มีการเสนอให้ผีเป็นศาสนาหลักในกฎหมายรัฐธรรมนูญบ้างล่ะ ทุกวันนี้ก็มีพุทธอยู่บ้าง แต่เป็นการเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ของคนกลุ่มน้อยมากกว่า คือ บรรดาคนแก่หญิงและเด็กที่เข้าหาสำนักวิปัสสนากรรมฐานที่มีอยู่ในวัดพุทธเพียงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ตามเอกเทศ พุทธศาสนาเถรวาทจะสืบเนื่องต่อไปได้ก็เพียงการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละ
     
  2. ชั

    ชั Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2011
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +48
    สะใจ ....ครับ ตรงเผง ผมขออนุโมทนา ด้วยคน (ชาวพุทธไทยไปกันใหญ่แล้ว) ตอนนี้ได้ข่าวว่าเทพต่างๆที่อยู่ประเทศอินเดียได้อพยพ มาประเทศไทยหมดแล้วครับ รายงาน
     
  3. thainongkhai

    thainongkhai สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +2
    พุทธกับไสยไปด้วยกัน ได้ยินคนพูดกันหนาหูครับ ถึงอย่างไรบางสิ่งก็เหมือนกาฝาก เราต้องยอมรับ ไม่ใช่นั้นเราก็จะไม่มีความสุข
     

แชร์หน้านี้

Loading...