พอใจรูม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ppojai, 3 ตุลาคม 2010.

  1. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สุปราณะ [​IMG]
    ปุจฉา

    จะอยู่กับความทุกข์อย่างไร โดยไม่ทุกข์

    จะทำอย่างไรเมื่อหมดแรงเพลี่ยงพล้ำ กับการภาวนา

    ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยล้า แทบจะหมดแรง จนไม่สามารทำใจให้เด็ดเดี่ยวที่จะตามรู้ อยู่กับปัจจุบัน โดยไม่คลุกกับอารมณ์ได้แล้ว :'(
    </TD></TR></TBODY></TABLE>วิสัชชนา[​IMG]

    ถามแล้วต้องอ่านให้จบ ต้องค่อยอ่านๆ คิดตามไปเรื่อยๆ

    ก่อนอื่นจะต้องรู้ว่าอยู่กับทุกข์อย่างไรจึงจะไม่ทุกข์ จึงจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักทุกข์เสียก่อน
    ทุกข์ใหญ่ๆ นั้นมี 2 ประเภทคคือ

    1. ทุกข์ในอริยะสัจจ์ 4 คือ ทุกข์. สมุทัย. นิโรธ. มัคค์
    2. ทุกข์ในไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง. ทุกขัง. อนัตตา

    1. ทุกข์ในอริยสัจจ์ คือ ทุกขเวทนา หรือความรู้สึกเป็นทุกข์ ยังแบ่งได้อีก 2 อย่างคือ ทุกข์กาย กับ ทุกข์ใจ

    ทุกข์ทางกาย

    มีกายเป็นต้นเหตุ อันเกิดจากความร้อน ความหนาว ป่วยไข้ บาดเจ็บ ความหิวกระหาย ความไม่สะอาดต่อร่างกาย อุจจาระ ปัสสาวะ
    และอื่นๆอีกมากมาย ตราบใดที่เรายังมีร่างกายก็ยังไม่มีวันที่จะหนีทุกข์นี้ได้
    แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่สร้างสมบารมีมาอย่างมากมายที่ยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
    ก็ยังต้องทุกข์ทางกายนี้จนกระทั่งถึงวันเข้าปรินิพพาน
    สมกับคำว่า การเกิดทุกครา เป็นทุกข์ทุกคราอยู่ร่ำไป อันเกิดจากที่มีร่างกายเป็นต้นเหตุ

    ทุกข์ทางใจ

    หมายถึงทุกข์ที่เกิดจากการปรุงแต่งของสังขารคือเจตสิกที่ปรุงแต่งจิต
    ทุกข์ทางใจนี้บางครั้งมีทางกายเป็นที่เร้าให้เกิดทุกข์ทางใจ เช่น
    ได้รับบาดเจ็บทางกาย หรือป่วยไข้ทางกาย ใจก็พลอยได้รับทุกข์ไปด้วยกลัวว่าจะรักษาหายไหมกลัวจะเสียอวัยยะไป
    กลัวอีกมากมายในส่วนที่ร่างกายเป็นต้นเหตุจะก่อให้เกิดความทุกข์ให้ถึงใจขึ้นมา
    ทีนี้ความทุกข์ทางใจก็อีกส่วนหนึ่งที่มิได้มีร่างกายเป็นต้นเหตุเลย

    เช่นความทุกข์เกิดจากความกลัว ๆ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจและที่ปรารถนา คับแค้นใจ กังวลใจ เป็นห่วงคนที่รัก
    กลัวไม่มีกินมีใช้ กลัวสมบัติที่มีอยู่จะหมดไป กลัวความลำบากที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า
    กลัวไม่ได้ลาภ กลัวไม่ได้ยศ ได้มาแล้วก็กลัวเสื่อมลาภ กลัวเสื่อมยศ และอีกนับไม่ถ้วนล้วนแล้วที่เกิดทางใจ

    สรุปแล้ว ทุกข์ทางใจทั้งหมดเกิดมาจาก ความโลภ ความโกรธ ความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
    ในพระอภิธรรมนั้นความโลภจะไม่ประกอบด้วยทุกข์ เพราะความโลภเกิดพร้อมกับความดีใจ หรือรู้สึกเฉยๆเท่านั้น
    ที่จะกล่าวนี้ความทุกข์ที่มีเหตุมาจากความโลภ ไม่ได้หมายความว่าความทุกข์เกิดพร้อมกับความโลภ

    แต่หมายความว่าความทุกข์มีความโลภเป็นเบื้องต้น เช่นอยากได้แต่กลัวไม่ได้ อยากได้แต่ไม่ได้ จึงต้องดิ้นรนแสวงหาที่ตนอยากได้
    เพื่อจะให้มาซึ่งความอยากนั้นจะด้วยวิธิใดวิธีหนึ่งจะผิดศีลหรือไม่ผิดศีลก็แล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น
    อันมีความโลภเป็นเบื้องต้นมีทุกข์เป็นเบื้องปลาย

    ทุกข์ทางใจเกิดจากความโกรธ ความโกรธเกิดขึ้นครั้งใดจะนำความทุกข์มาให้ทุกครั้งจะทำให้จิตใจเศร้าหมอง
    ความโกรธเกิดขึ้นจะเป็นผู้ที่ผลักไสอารมณ์ ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรู้กลิ่น ไม่อยากลิ้มรส ไม่อยากสัมผัส
    ไม่อยากนึกคิดในอารมณ์นั้นๆ เรียกว่าผลักไสอารมณ์

    ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมถ้ายึดถือว่าเป็นของเรา เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา
    เช่นว่าของเรา ญาติเรา พ่อเรา แม่เรา ครูบาอาจารย์เรา ศัตรูเรา เคยให้ร้ายเราและญาติเรา เคยทำความเสียให้กับเราและญาติเรา
    และบุคคลที่กำลังจะนำทุกข์มาให้เราและญาติเรา และยังจะมีที่เป็นนายเรา เป็นเพื่อนเรา เป็นบ่าวเรา ฯลฯ

    ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยึดมั่นถือมั่นนั้นจะไม่เป็นทุกข์ ถึงแม้ยึดมั่นใน ศีล สมาธิ ฌาน อภิญญา ก็เป็นทุกข์
    กลัวศีลจะด่างพล้อย กลัวสามธิ ฌาน อภิญญาจะเสื่อมล้วนแล้วยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวทุกข์
    ถ้าจะกล่าวโดยสรุป คือยึดสิ่งใดสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่นสิ่งใดสิ่งนั้นไม่เป็นทุกข์ รวมความว่าความยึดมั่นถือมั่นนำทุกข์มาให้

    ทุกข์ในไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์เป็นสามัญญลักษณะมี 3 ประการคือ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
    หมายถึงสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ยกเว้นพระนิพพาน ล้วนอยู่ในสภาวะที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งบีบคั้นให้แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา
    ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามกฎแห่งธรรมชาติ
    หรือเป็นไปตามสามัญญลักษณะ เพราะสิ่งทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ทั้งสิ้นจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน

    ทุกข์ในอริยสัจจ์ 4 ก็ยังจัดอยู่ในสภาวะทุกข์ของกฎไตรลักษณ์ด้วย เช่นสุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง อุเบกขาก็ไม่เที่ยง
    เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งสิ้น

    ที่กล่าวมานี้เป็นสภาวะของทุกข์ทั้งสิ้น และที่กล่าวมานี้เพื่อที่จะให้เห็นโดยปริยัติเท่านั้น
    ความทุกข์ที่จะเห็นจริงรู้จริงนั้นต้องอยู่ในภาคปฏิบัติ

    แต่การรู้ในภาคปฏิบัติต้องเริ่มต้นที่ปริยัติจึงจะรู้จริง เมื่อรู้แล้วอย่างนี้เราจะอยู่กับทุกข์อย่างมีความสุข
    และบุคคลที่เป็นทุกข์นั้นเพราะเขาไม่จักทุกข์นั่นเอง เรียกว่า นอนกับทุกข์ กินกับทุกข์ อยู่กับทุกข์ แต่ไม่รู้จักทุกข์

    ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยล้า แทบจะหมดแรง จนไม่สามารทำใจให้เด็ดเดี่ยวที่จะตามรู้ อยู่กับปัจจุบัน โดยไม่คลุกกับอารมณ์ได้แล้ว :'(

    ก็ทำดียังไม่ถึงดีแล้วจะรู้ว่ามันมีดีได้ยังไง
    ก็ไปยังไม่ถึงที่หมายแล้วจะรู้ไหมว่าที่หมายมันมี

    จิตนั้นมีหน้าที่รู้ได้ทั้ง 3 กาล คือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน แล้วจะไปห้ามยังไงให้มันรู้อยู่แต่ปัจจุบัน จิตนั้นก็ตกอยู่ในสภาพแห่งไตรลักษณ์
    แล้วจะไปบังคับบัญชาได้ยังไง ผิดวิสัยหน้าที่ของจิต

    จะให้จิตรู้แต่ที่ปัจจุบันนั้น แล้วจิตไปรู้ที่ตา จิตไปรู้ที่หู จิตไปรู้ที่จมูก จิตไปรู้ที่ลิ้น จิตไปรู้ที่กาย สลับสับเปลี่ยนอย่างนี้จะรู้ที่ปัจจุบันได้ยังไง
    บางท่านบอกว่าไม่ให้เอาจิตส่องออกนอก ให้ส่องในอย่างเดียว แล้วถ้าเกิดตายังต้องเห็นอยู่ แล้วไม่ให้ส่องนอกจะเห็นได้ยังไง
    นอกเสียจากตาบอดเท่านั้นเพราะไม่มีทวารตาที่ส่งไปออกนอกได้

    แล้วถ้าเราเห็นสิ่งใหม่อีก เห็นตรงนี้เป็นปัจจุบัน
    เห็นที่ผ่านมาเมื่อกี้ดับไปแล้วเป็นอดีต
    พอปัจจุบันก็จะดับอีกและจะเห็นใหม่อีกก็ต้องเป็นอนาคต
    แล้วทั้งหมดนี้จะห้ามได้ไหมว่าให้เห็นแต่ปัจจุบัน

    แล้วทวารอื่นอีกต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องรู้รส ต้องสัมผัส อีกมากมาย ก็เช่นเดียวกัน
    แล้วจะต้องถามหาให้มันเป็นปัจจุบันอยู่ไหม

    จะถามหาปัจจุบันทำไม เพียงขอให้รู้ทัน ตามที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่นเป็นต้น เท่านั้นน่าเพียงพอ
    เรียกว่าไปไหนไปด้วย ถ้าเห็นก็ไปรู้ที่เห็น ถ้าได้ยินก็ให้ไปรู้ที่ได้ยิน ถ้าได้กลิ่นก็ไปรู้ที่กลิ่น
    เรียกว่าให้ปัญญาตามไปรู้ทุกขณะที่จิตเกิดทางทวารใดทางทวารหนึ่งที่จิตเกิดอยู่......


    จิตจะต้องอาศัยอารมณ์คลุกเคล้าอยู่ตลอดเวลา เพราะอารมณ์เป็นตัวทำให้จิตเกิด ถ้าขาดอารมณ์เสียแล้วจิตจะเกิดไม่ได้<!-- google_ad_section_end -->
     
  2. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    การปฏิบัติตน เพื่อความพ้นทุกข์ แบบย่อๆ
    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าคะ อยากจะเรียนถามว่า การปฏิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์แบบย่อๆ มีบ้างไหมเจ้าคะ...

    หลวงพ่อ ต้องการแบบย่อหรือ...ต้องไม่ยืนตรง

    ผู้ถาม อ้าว...ทำไมละครับหลวงพ่อ...

    หลวงพ่อ งอเข่ามานิด...แล้วก็ย่อตัวลงมา ก็ความจริงอันดับแรกจับ พุทธานุสสติ ให้ทรงตัว

    หลังจากนั้นก็พิจารณากายคตานุสสติ ร่างกายนี้มันไม่ดีเต็มไปด้วยความสกปรก ร่างกายเป็นชิ้นเป็นตอนเป็นท่อน่ใช่ไหม...ไม่เป็นแท่งทึบมีอาการ ๓๒ คือ ผม...เล็บ...และฟัน เป็นต้น นี่เขาถือเป็น กายคตานุสสติ

    เห็นว่าทุกส่วนของร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกอันนี้เป็น อสุภกรรมฐาน เห็นว่ามันไม่ดีมันก็เป็นทุกข์ แล้วก็ สลายตัวไปในที่สุด หลังจากนั้นก็ตั้งจิตใจไว้เฉพาะ พระนิพพานเป็นอารมณ์ และก็พยายามตั้งตนตั้งใจทำตามนี้คือ

    ตัดโลภะ ความโลภ ด้วย จาคานุสสติกรรมฐาน ด้วยการให้ทาน

    ตัดโทสะ ความโกรธ ด้วยการรักษาศีล มีพรหมวิหาร ๔ เป็นเบื้องหน้า

    ตัดโมหะ ความหลง ด้วยการเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ร่างกายมันไม่ดี เราไมต้องการมัน ต้องการนิพพาน แค่นี้ง่ายๆ

    ผู้ถาม แค่นี้ไปได้แน่ๆ เลย

    หลวงพ่อ จะไปก็ได้จะอยู่ก็ได้

    ผู้ถาม ไม่ขัดข้องเลย

    หลวงพ่อ ไม่ขัดข้อง คำว่าไป...หมายถึงนิพพาน ยังไม่นิพพานก็ยังไม่ไป เนื้อแท้จริงๆ ต้องตัด โลภะ โทสะ โมหะ ๓ ตัวเท่านั้น แต่ว่าถ้าเราไม่ยึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ มันจะไม่มีการทรงตัวนะ

    ผู้ถาม ครับ...

    หลวงพ่อ เอาง่ายๆ ดีกว่า ถือบันไดขั้นแรกไว้ก่อน ถืออารมณ์พระโสดาบันไว้ก่อน ง่ายดี อารมณ์พระโสดาบันนี้ก็คือ

    1. เคารพพระพุทธเจ้า
    2. เคารพพระธรรม
    3. เคารพพระอริยสงฆ์
    4. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    5. ตั้งจิตไว้เฉพาะพระนิพพาน

    อันนี้ง่ายๆ ถ้าอันนี้ได้แล้ว...ไอ้เรื่องมรรคผลก็กลายเป็นของไม่ยาก

    <O:p</O:p


    (หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้า ๑๒๐-๑๒๑)<O:p</O:p
    <!-- google_ad_section_end -->__________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  3. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    ทุกข์ที่สุด หลุดได้อย่างไร<!-- google_ad_section_end -->
    อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป... อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข... หนทางที่เร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์... ท่านใดมีทุกข์ ขอให้มันผ่านไปโดยไวครับ.....

    เมื่อเราเกิดมาย่อมได้รับ ทั้งสุขและทุกข์ ปะปนกันไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกข์ที่สุดเราควรจะทำอย่างไร ปัจจุบันเราได้ยินข่าวเรื่อง การฆ่าตัวตายบ่อยมาก

    ในชีวิตของความเป็นหมอ ก็เจอคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยมาก ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หมอได้พูดได้คุยกับคนเหล่านี้มากมาย คำถามที่น่ารู้ก็คือ...

    บทความนี้จะไม่สนใจว่าการกระทำอย่างนั้นจะมีผลในอนาคตอย่างไร ทำลายตนเองจะบาปมากแค่ไหน ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายใช้กรรมอีก 500 ชาติจริงหรือ

    เพราะถ้าบอกไป ต้องใช้ความเชื่อและศรัทธาในตัวศาสนามาพูดคุยกัน แต่ต้องการจะบอกว่า การทำลายตนเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก เสียดายโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอีกมากที่จะตามมา และเสียดายแทนญาติมิตรที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบกายและใจตลอดไป



    [​IMG]

    ในเรื่องความทุกข์ที่สุดนี้ ธรรมะในพระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้เรื่องนี้ได้ทันที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่เราไตร่ตรองเองได้ และด้วยประสบการณ์ในอดีตของเราทุกคน

    ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ

    การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน

    เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ

    หนึ่ง อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป เพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป

    สอง อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น

    สาม อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน

    และสุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา



    [​IMG]

    เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา

    ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน

    อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน

    บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคือดื่มสุรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ควรหันไปดื่มเหล้าเบียร์

    เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม

    และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป

    ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่าจะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่


    [​IMG]

    ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของเรายอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของเราจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ

    ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนว่า โดยสรุปรวมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาจสรุปเป็นแบบหนึ่งได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่

    นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา


    สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยเพียงใด อำนาจล้นฟ้าขนาดไหน ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น
    เมื่อคนคนหนึ่งประสพอุบัติเหตุขาขาดสองข้าง เขาจะรู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว


    แต่ผ่านไปสักสองปี ไปดูอีกทีกำลังหัวเราะอยู่เพราะดูละคร ส่วนเรื่องขาขาดก็นั่งรถเข็นเอา และก็ชินเสียแล้ว ไม่เสียใจมากเหมือนตอนขาขาดใหม่ๆ

    บางคนแฟนตายไปเสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน

    ทุกข์ที่สุดจะเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นที่สุด สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด

    ถ้าเรารักความสวยงาม เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักลูก ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด


    ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด


    [​IMG]

    แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน

    หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป


    เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่ เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย

    ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น



    พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว

    ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด

    เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน



    ขอขอบคุณเจ้าของบทความจาก

    http://www.rimnam.com
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  4. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    เหนือทุกข์
    อันความทุกข์ สอนธรรม มีน้ำหนัก
    เห็นทายทัก ความทุกข์ สนุกหรือ
    เธอก็ทุกข์ ฉันก็ทุกข์ สนุกฤา
    เราต่างคือ คนทุกข์ สนุกอะไร

    ทุกข์ให้เป็น จะมองเห็น ความก้าวหน้า
    เอาทุกข์มา ฝึกฝน อดทนได้
    โลกถูกทุกข์ กระแทกกระทำ อยู่ร่ำไป
    แต่ดวงใจ เราเหนือทุกข์ ไม่ถูกกระทำ

    ด้วยปล่อยวาง ว่างเบา มิเศร้าหมอง
    ทุกข์ก่ายกอง กระซ่านกระเซ็น ไม่เป็นส่ำ
    ขอพวกเรา จงยอมรับ และกลับลำ
    ทิ้งความทุกข์ อันมืดดำ แล้วทำดี

    จากหนังสือ " เจ็บ...แต่ก็...โอเค "
    จากเวบ...
    www.prajan.com
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  5. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    [​IMG][​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    [​IMG][​IMG]


    [​IMG][​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  6. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
  7. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    มีแต่น่าหม่ำ น่ากินทั้งนั้นเลย
    กินแล้วคงผอมน่าดูเยย นู่พิมพ์เอ๊ย
    ขอบคุณที่เป็นห่วงพี่ใจ่ใจ๋ กลัวพี่ผอมเหรอจ้า ๆ ๆ ที่ร๊ากกกก
     
  8. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
    <TABLE><TBODY><TR><TD>"วิธีสร้างมงคลประจำวัน ด้วยการกราบ ๕ ครั้ง" ดังนี้

    สร้างมงคลให้ชีวิตประจำวัน
    (กราบที่หมอน ๕ ครั้ง)

    ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า แล้วว่า
    พุทธัง วันทามิ (กราบหนที่ ๑)

    ระลึกถึงคุณของพระธรรม แล้วว่า
    ธัมมัง วันทามิ (กราบหนที่ ๒)

    ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ แล้วว่า
    สังฆัง วันทามิ (กราบหนที่ ๓)

    ระลึกถึงคุณของพ่อและแม่ แล้วว่า
    มาตาปิตะโร วันทามิ (กราบหนที่ ๔)

    ระลึกถึงคุณของครูอาจารย์และผู้มีพระคุณ แล้วว่า
    คุณูปะการี วันทามิ (กราบหนที่ ๕)

    เมื่อล้มตัวลงนอนแล้ว ก็ไม่ควรที่จะปล่อยจิต ให้มันคิดฟุ้งซ่านไร้สาระ ควรจะเจริญสติ สมาธิหรือวิปัสสนา ไปจนกว่าจะหลับ เพราะนอกจากจะเป็นการประกอบยอดบุญแล้ว ยังจะได้ความสุขเป็นของแถม เพราะจิตใจสงบอีกด้วย

    ...........................
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    [​IMG]
     
  9. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    ขอบคุณน้องนู่พิมพ์ที่ค้น และคว้ามาให้พี่ใจ่ใจ๋อ่านนะ
    ลดทุกข์กระวนกระวาย ไปได้เหมือนกัลลล์ ล่ะจ้า ๆ ๆ ๆ
     
  10. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    [​IMG]


    มาดูพี่ใจ่ใจ๋ตอนสาวๆ สวยประมาณนี่ล่ะจ๊าาาาาาาา
     
  11. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ขอบคุณทุกท่าน ที่แวะมาเยี่ยมชมห้องหรรษา ของพี่ใจ่ใจ๋ค่ะ
     
  12. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    ยามเย็นในแต่ละวัน เตือนให้ระลึกถึงความตายว่า ชาติหน้า

    อาจจะเป็นเช้าของวันต่อไปก็ได้

    กิจที่ท่านควรกระทำ ได้กระทำถึงไปไหนแล้ว

    จากบ้านธัมมะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2011
  13. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    (k) ดูแล้วสวยใส สดชื่นเนอะ นู่พิมพ์ อยากหายาสาว 2 พันปีมากินจังเยยยยนิ (k)
     
  14. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    (k) ขอบคุณนู่พิมพ์เน้อ ๆ ๆ ๆ คงมีเรา 2 คนแหละที่มาเป็นหลัก ๆ บางทีเจ้าของห้องยังเง็ง ๆ ๆ ๆ ตะละเม็ง เข้าห้องม่ายถูกเยยย คะ ขอบคุณที่นู่พิมพ์มาช่วยโพสให้มันอยู่หน้า 1 ทุกวัน จะได้ค้นหาง่ายจ้า ๆ ขอบจาย ขอบจาย ขอบจาย จุฟ จุฟ จุฟ คนดีที่ชื่อพิมพ์อภิญญา...เก็บความรู้ไปถึงไหนแย๊ววววววววววว ที่รู้ ๆ ๆ ได้สาระบันเทิงครบครัน ช่ายหมายคะ ที่ร๊ากกกกกกกกกกกกกกก (k)
     
  15. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    ยังมิได้ทำกิจใด ๆ เลยน้องจั่นเอ๊ย
    วัน ๆ ทำแต่งาน ๆ ๆ ๆ แล้วก็ร้องเพลงอ่ะ เวลามันน้อยเนอะ คิดว่าอยู่บนโลกนี้..ได้อีกระยะหนึ่งแล้วก็เศร้าจาย ๆ ๆ ๆ

     
  16. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    "เราเกิดมาทำไม?"
    การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยาก ต้องมีบุญมาก ... อุปมา เหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ 100 ปี เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ... เหนือผิวน้ำมีห่วงเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าเล็กน้อยลอยอยู่ 1 ห่วง ... โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วสวมหัวเข้ากับห่วงพอดีนั้น .. ยากเพียงไร โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์
    มนุษย์ เราไม่ว่าเกิดมาเป็นใครก็ตาม ต่างก็มีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ... ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์ ... การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่ได้สิ่งที่หวังเป็นทุกข์ ความโศกเศร้า ไม่สบายกาย ไม่สบายใจก็เป็นทุกข์
    แต่ไม่ ว่าจะมีความทุกข์มากเพียงใด เคยทำบาปกรรมไว้มากแค่ไหนก็ตาม หากหยุดทำชั่วได้ ตั้งมั่นอยู่ในศีล 5 ปฏิบัติภาวนาจนเกิดวิปัสสนาญาณแล้ว ก็มีโอกาสไปที่สูงขึ้น การเจริญวิปัสสนาจึงเปรียบเสมือนระเบิดนิวเคลียร์ล้างบาปได้ทั้งหมด
    มนุษย์ ทุกคนย่อมอยากเกิดมาสบาย สุขภาพสมบูรณ์ สติปัญญาดี ฐานะดี ครอบครัวอบอุ่น ... แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน ... บางครั้งเมื่อเราประสบปัญหา มีทุกข์ เรามักน้อยใจ ท้อใจ ... บางคนสรุปเอาว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ซึ่งข้อสรุปแบบนี้เป็นการเข้าใจกฎแห่งกรรมในแง่ลบ ... หากเราพิจารณากฎแห่งกรรมด้วยปัญญาแล้ว จะเข้าใจว่า

    อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล
    ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผล
    ปัจจุบันเป็นเวลาที่สำคัญที่สุด
    เราต้องยอมรับความจริงว่า อดีตผ่านไปแล้ว เราไม่อาจแก้ไขอะไรได้ ไม่ต้องไปคิดถึง ...
    อนาคตก็ยังมาไม่ถึง การวิตกกังวลถึงอนาคตจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลย ...
    ปัจจุบันจึงเป็นเวลาที่สำคัญที่สุด เริ่ม ต้นทำสิ่งที่ดี รักษาใจเป็นปกติ ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจเป็นศีล ไม่เบียดเบียน ตั้งเจตนาถูกต้อง มีเมตตากรุณาต่อตนเองและผู้อื่น
    แก้ปัญหาชีวิตด้วยทาน ศีล ภาวนา
    การแก้ปัญหาทุกอย่าง ต้องเริ่มที่ "ตัวเราเอง" ก่อน ...
    นัก ธุรกิจชื่อดังของเมืองไทยคนหนึ่ง หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็ทำงานสร้างฐานะจนมั่งคั่งแล้ว ก็ชอบเที่ยวเหมือนผู้ชายทั่วไป กินเหล้าเมายา มีเพื่อนผู้หญิง เที่ยวกลางคืน ใช้ชีวิตแบบหนุ่มเจ้าสำราญ แต่แล้ววันหนึ่งธุรกิจเกิดปัญหา มีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นทุกข์ จนได้รับคำแนะนำวิธีแก้ปัญหา 3 ข้อ
    1. ให้ทาน เขากำลังมีปัญหาเรื่องหนี้สินอยู่หลายล้าน แต่ก็ได้รับคำแนะนำให้ทำบุญให้ทาน เป็นข้อแรก
    2. รักษาศีล ต้องหยุดเที่ยวกลางคืน เลิกอบายมุข หยุดกินเหล้าเมายา ตั้งใจรักษาศีล 5
    3. เจิรญเมตตาภาวนา ให้ฝึกทำสมาธิเพื่อให้ใจสงบ มีความสุขใจ
    ปราฏว่าไม่นานชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป แก้ปัญหาได้ ภาระหนี้สินค่อยๆ หมดไป จนในที่สุดก็สามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยด้วยดี
    การให้ทาน ไม่จำกัดอยู่เฉพาะการทำบุญกับวัดเท่านั้น ... ไม่ว่าจะให้แก่พ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อน ให้แก้ผู้ที่ขาดแคลนหรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็เรียกว่าให้ทานทั้งสิ้น จะให้มากน้อยก็แล้วแต่กำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ของผู้ให้

    [​IMG]
    กล่าวได้ว่า มนุษย์ เราเกิดมาเพื่อพัฒนาชีวิต จิตใจและสติปัญญา ... อันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเพื่อความดับแห่งทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนสามารถบรรลุได้นั่นเอง
    ==============================================
    จากหนังสือ "เราเกิดมาทำไม"
    โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
     
  17. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044


    [​IMG]




    สุขสันต์วันเด็ก ขอสวัสดีวันเด็กแด่ทุก ๆคน [​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG][​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2011
  18. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    เด็กวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า..
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย...แหง่ม ๆ ๆ ๆ ๆ

    มนุษย์ เราเกิดมาเพื่อพัฒนาชีวิต จิตใจและสติปัญญา ... อันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเพื่อความดับแห่งทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนสามารถบรรลุได้นั่นเอง
     
  19. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    กัลยาณมิตร...
    [​IMG]
    ไม่มีใครไม่มีกัลยาณมิตร
    ก็สายลมอ่อนละมุนที่ลูบไล้ยามรุ่มร้อน
    ก็สายน้ำที่รินหลั่งในยามกระหาย
    ก็พื้นดินที่ได้เหยียบย่ำโดยไม่ว่ากล่าว
    ก็แสงแดดที่ช่วยขับไล่ความหนาวเย็น
    ก็ต้นไม้ที่ให้ความร่มเย็นโดยไม่เรียกร้อง
    ก็นกกาที่ขับร้องกล่อมโลกให้คลายเหงา
    สิ่งเหล่านี้หรือมิใช่
    ที่เป็นกัลยาณมิตรของมนุษย์ทั้งหลาย
    ในยามชีวิตผิดหวัง ว้าเหว่
    หากแม้มีผู้รู้ใจ
    ย่อมได้รับกำลังใจ และคำปลอบโยน
    ชีวิตที่มีตนเอง เป็นผู้รู้ใจ
    พลาดผิด เผลอไปย่อมสามารถให้อภัย
    และตักเตือนตนได้ด้วยดี

    ขอขอบคุณ(หาชื่อเจ้าของไม่เจอ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2011
  20. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    [​IMG]
    ทุกทุกวัน ไม่หวั่น เมื่อมีรัก
    เรื่องราว มากมายนัก มาเวียนว่าย
    อยากให้รัก นั้นอยู่ เคียงคู่กาย
    ไม่มีหน่าย ในรัก จากใจเรา

    ไม่ว่ารัก นั้นเป็น เช่นอะไร
    แต่สายใย โยงเกี่ยว ไม่เปลี่ยวเหงา
    จะให้รัก นั้นเป็น เช่นดังเงา
    คู่ใจเรา เท่านั้น ไม่หวั่นกลัว

    อยากมีรัก ทุกวัน ไม่เว้นว่าง
    รักอยู่ข้าง เคียงใจ ไม่สลัว
    คืออะไร ไม่ท้อ พ้อหรือกลัว
    มาเย้ายั่ว หยอกเอิน เดินข้างกัน


    โดย...คุณปลายฟ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...