กิเลสทั้งหลายของมนุษย์เรานี้ เกิดจากจิตแต่ผู้เดียว (เทสก์ เทสรังสี)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 9 พฤศจิกายน 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    กิเลสทั้งหลายของมนุษย์เรานี้
    เ กิ ด จ า ก จิ ต แ ต่ ผู้ เ ดี ย ว


    พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี)

    วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย


    นักปฏิบัติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเรียนมาก หรือน้อย
    หรือเรียนเฉพาะกรรมฐานที่ตนจะต้องพิจารณาก็ตาม


    เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วจะต้องทอดทิ้งสิ่งทั้งปวงหมด
    เพ่งพิจารณาแต่เฉพาะกรรมฐานที่ตนพิจารณาอยู่นั้นเฉพาะอย่างเดียว
    จึงจะรวมลงเป็นเอกัคคตารมณ์ได้
    จะเรียนมาก หรือเรียนเอาแต่เฉพาะกรรมฐานที่ตนพิจารณาอยู่นั้นก็ตาม
    ก็เพื่อทำจิตให้เป็นสมาธิ เอกัคคตารมณ์อันเดียว

    ดังท่านที่เจริญวิปัสสนา
    ถึงแม้จิตจะแส่ส่ายตามสภาพวิสัยของมันซึ่งบุคคลยังมีชีวิตอยู่
    แต่ก็รู้เท่าทันเห็นตามพระไตรลักษณ์ไม่หลงใหลตามมัน


    อารมณ์ที่พบผ่านมาไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กายแลใจก็ตาม
    ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคของการทำฌาน สมาธิ ทั้งนั้น
    ตกลงว่า อายตนะที่เราได้มาในตัวของเรานี้
    เป็นภัยแก่การทำฌาน -สมาธิ ของเราทั้งนั้น

    ผู้พิจารณาเห็นโทษดังนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในอารมณ์นั้นๆ
    เห็นจิตที่สงบจากอารมณ์นั้นแล้ว
    จิตจะรวมเข้าเป็นเอกัคคตารมณ์สงบนิ่งเฉยอยู่ คนเดียว


    เมื่อจิตถอนออกมาแล้ว ก็จะวิ่งตามวิสัยของมันอีก
    แล้วเห็นโทษของมัน สละถอนออกจากอารมณ์นั้นอีก
    ทำจิตให้เข้าสู่เอกัคคตารมณ์อีก ทำอย่างนี้จนจิตคล่องแคล่วชำนิชำนาญ
    จนเห็นว่าอารมณ์ทั้งปวงสักแต่ว่าอารมณ์เกิดขึ้นมา
    แล้วก็ดับไปตามสภาพของมัน

    จิตก็อยู่พอจิตต่างหาก
    จิตไม่ใช่อารมณ์ อารมณ์ไม่ใช่จิต
    แต่อาศัยจิตเข้าไปยึดเอา อารมณ์จึงเกิด


    เมื่อขาดตอนกันอย่างนี้ จิตก็จะอยู่วิเวกคนเดียว
    กลายเป็นใจ ขึ้นมาทันที

    ความรู้ในทางพระพุทธศาสนา
    ถ้าพูดว่าลึกแลกว้างก็ลึกแลกว้าง
    เพราะผู้นั้นทำตนไม่ให้เข้าถึงใจ


    เมื่อจะพูดก็พูดแค่อาการของใจ (คือจิต) จิต
    คิดนึกปรุงแต่งอย่างไร ก็พูดไปตามอาการอย่างนั้น
    แต่จับตัว ใจ (คือผู้เป็นกลางนิ่งเฉย) ไม่ได้

    อุปมาเหมือนกับคนตามรอยโค ตามไปเถิด ตามไปวันค่ำคืนรุ่ง
    เมื่อยังไม่เห็นตัวของมันแลจับตัวมันยังไม่ได้ ก็ตามอยู่นั้นแหละ
    ถ้าตามไปถึงตัวมันแลจับตัวมันได้แล้ว ไม่ต้องไปแกะรอยมันอีก


    ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน
    ที่ว่าลึกซึ้งแลกว้างขวางนั้น

    เพราะเราไม่ทำ จิต ให้เข้าถึง ใจ
    ตามแต่อาการของใจ (คือจิต) จึงไม่มีที่สิ้นสุดได้


    ดังท่านแสดงไว้ในอภิธรรมว่าจิตเป็นกามาพจร
    จิตเป็นรูปาพจร จิตเป็นอรูปาพจร แลจิตเป็นโลกุตร
    มีเท่านั้นดวง เท่านี้ดวง

    ท่านจำแนกแจกอาการของจิตไว้เป็นอเนกประการ
    เพื่อให้รู้แลเข้าใจว่า อาการของจิตมันเป็นอาการอย่างนั้นๆ
    เพื่อให้ผู้ปฏิบัติไม่หลงตามอาการของมันต่างหาก


    แต่ผู้ท่องบ่นจดจำได้แล้ว เลยไปติดอยู่เพียงแค่นั้น
    จึงไม่เข้าถึงตัว ใจสักที มันก็เลยเป็นของลึกซึ้งแลกว้างขวาง
    เรียนเท่าไรก็ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที


    ดูเหมือนพระพุทธเจ้าจะสอนพวกเราว่า

    "เราได้เคยตามรอยโคมาแล้วนับเป็นอเนกชาติ
    ถึงแม้ในชาติปัจจุบันเราได้เกิดมาเป็นสิทธัตถะ
    เราก็ตามอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้พบตัวโค (คือใจ)"


    ถ้าจะพูดว่าแคบก็แคบ

    แคบในที่นี้มิได้หมายความว่าที่มันไม่มี แลของมันไม่มี
    ของกว้างๆ นั้นแหละ จับแต่หัวใจของมัน
    หรือข้อสำคัญของมัน จึงเรียกว่าแคบ


    เช่น จิตของคนเรา
    มันคือวุ่นวายไปตามอารมณ์ของตน แลของตัวเราเอง
    ไม่รู้จักหยุดจักยั้งสักทีเรียกว่ากว้าง

    ผู้มาเห็นโทษของจิตว่าวุ่นวายส่งส่าย
    มันเป็นทุกข์แล้วมาพิจารณาเรื่องอารมณ์มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    เรื่องของจิตผู้คิดนึกไปตามอารมณ์มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    แล้วเรามาแยกออกจากกันเสีย


    เอาอารมณ์ออกไปไว้ส่วนหนึ่ง เอาจิตออกไปไว้ส่วนหนึ่ง
    จิตก็จะอยู่คนเดียว แล้วมาเป็นใจ อารมณ์ก็หายสูญไปโดยไม่รู้ตัว

    คราวนี้จะเห็นได้ชัดเลยทีเดียวว่า

    สรรพกิเลสทั้งปวงและโทษทุกข์ทั้งหลาย
    ที่มนุษย์คนเราได้พากันเสวยอยู่นี้
    ล้วนแต่จิตผู้เดียวเป็นผู้หามาใส่

    ถ้าจิตไม่ไปหามาใส่แล้ว
    จิตก็จะกลายเป็นใจไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง
    อยู่เป็นสุขโดยส่วนเดียว


    เหมือนต้นกล้วยไม่มีแก่น
    แกะกาบไปๆ ผลที่สุดเลยหาแก่นไม่ได้
    มีแต่กาบอย่างเดียว


    ผู้ภาวนาทั้งหลายล้วนแต่แกะกาบหาแก่นแท้ของธรรมทั้งนั้น
    ผู้หาแก่นของธรรมแต่แกะกาบไม่หมดจึงไม่เห็นธรรม....



    คัดดลอกจาก กุหลาบสีชา ลานธรรมจักร
    แสดงกระทู้ - กิเลสทั้งหลายของมนุษย์เรานี้เกิดจากจิตแต่ผู้เดียว • ลานธรรมจักร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2010
  2. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    อนุโมทนาบุญจากการให้ธรรมเป็นทานนี้ด้วยครับ

    จิตเรานั้นมันวุ้นวานมาหลายภพหลายชาติ นับไม่ถูกเลยว่านานแค่ไหน

    จะให้สะงบเอาเสียทีเดียวในหนึ่งวัน หนึ่งเดือนหรือหนึ่งปี

    เห็นที่จะยาก แต่ก็ไม่ควรละความพยายาม เพียนปฏิบัติเถิด จะเกิดผล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.2 KB
      เปิดดู:
      174
  3. SPARTANS

    SPARTANS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    3,380
    ค่าพลัง:
    +2,986
    "เราได้เคยตามรอยโคมาแล้วนับเป็นอเนกชาติ
    ถึงแม้ในชาติปัจจุบันเราได้เกิดมาเป็นสิทธัตถะ
    เราก็ตามอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้พบตัวโค (คือใจ)"

    สาธุครับ.......
     
  4. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ขอน้อมอนุโมทนาบุญเป็นอย่างสูงครับ
     
  5. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044

    กิเลสทั้งหลายของมนุษย์นี้....เกิดจากจิตแต่ผู้เดียว


    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  6. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    สาธุ ด้วยผลบุญที่บริบรูณ์แล้ว ขอข้าพเจ้าบรรลุธรรม ที่ท่านบรรลู แล้ว ด้วย เทอญ
     
  7. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    อนุโมทนาสาธุครับ ...

    " จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิต อย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ "

    หลวงปู่ดุลย์ อัตโล
     
  8. love_song_music

    love_song_music เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2009
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +907
    อนุโมทนาสาธุ จิตเป็นตัวสำคัญ เราวุ่นวาย เพราะจิตนำพาไป
     
  9. junthet

    junthet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +139
    อนุโมทนาค่ะ การให้ธรรมะเป็นทานเป็นการให้ที่ประเสริฐ
     
  10. ่่jomthailand

    ่่jomthailand Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +83
    ฟังแล้วสดชื่นใจในดวงจิตคิดพินิจจิงแท้ว่าจิตสงบพบความสงบในใจเราได้ด้วยตัวของเราเอง​
     
  11. ล้างใจ

    ล้างใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    7,268
    ค่าพลัง:
    +24,819
     
  12. misty

    misty Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +57
    "..ผู้มาเห็นโทษของจิตว่าวุ่นวายส่งส่าย
    มันเป็นทุกข์แล้วมาพิจารณาเรื่องอารมณ์มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    เรื่องของจิตผู้คิดนึกไปตามอารมณ์มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    แล้วเรามาแยกออกจากกันเสีย

    เอาอารมณ์ออกไปไว้ส่วนหนึ่ง เอาจิตออกไปไว้ส่วนหนึ่ง
    จิตก็จะอยู่คนเดียว แล้วมาเป็นใจ อารมณ์ก็หายสูญไปโดยไม่รู้ตัว..."

    สาธุ กราบบูชาธรรมองค์หลวงปู่ค่ะ จะพยายามปฏิบัติให้ได้ค่ะ
     
  13. จำนนกรรม

    จำนนกรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +54
    ขออนุโมทนาบุญค่ะ เห็นด้วยค่ะ จะให้สงบภายในหนึ่งวัน หนึ่งเดือนหรือหนึ่งปี ยากยิ่งนัก ต้องพยายามค่ะ เป็นข้อคิดที่ดี
     
  14. rose2009

    rose2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +653
    อารมณ์ทั้งปวงสักแต่ว่าอารมณ์เกิดขึ้นมา แล้วก็ดับไปตามสภาพของมัน
    ผู้พิจารณาเห็นโทษดังนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในอารมณ์นั้นๆ

    catt13
     
  15. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ท่านจำแนกแจกอาการของจิตไว้เป็นอเนกประการ
    เพื่อให้รู้แลเข้าใจว่า อาการของจิตมันเป็นอาการอย่างนั้นๆ
    เพื่อให้ผู้ปฏิบัติไม่หลงตามอาการของมันต่างหาก


    แต่ผู้ท่องบ่นจดจำได้แล้ว เลยไปติดอยู่เพียงแค่นั้น
    จึงไม่เข้าถึงตัว ใจสักที มันก็เลยเป็นของลึกซึ้งแลกว้างขวาง
    เรียนเท่าไรก็ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที


    อนุโมทนาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...