โดนขังวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ainteerati, 14 สิงหาคม 2010.

  1. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้จากไปและผู้ยังอยู่
    นั่นเพราะ คนที่ยังอยู่ย่อมเสพความรู้สึกอาทรนั้นใว้ คนที่จากไปก็ยังสภาพอาทรนี้
    ใว้ ย่อมเปรียบเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ ใร้ที่ยึดเหนี่ยว แม้จะซึมซาบความรู้สึกใว้
    ย่อมก่อสภาพความมีตัวตนใว้ทั้งสองภพ

    ทางออกคือ ผู้ที่คงอยู่เมื่อหลับตาเสพสภาพแห่งอารมณ์นั้นใว้ ให้ส่งพลังแห่งความดี
    เติมเข้าไป เพื่อให้ผู้ที่อยู่อีกภพมีที่ยึดเหนี่ยว มีพลังมากระแทกให้พ้นสภาพนั้น สภาพแห่ง
    อารมณ์ที่เสพย่อมได้รับการเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้าไป คนอยู่อีกภพจึงจะพ้นไปด้วย คนที่ยัง
    อยู่ย่อมกลับมามีพลังใจเข้มแข็งต่อไป
     
  2. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    สวัสดีคะ คุณจิ -โป ตรงข้อความตรงทางออก.....นี่ ศิลามณี อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจ...หากไม่เป็นการรบกวน และ ก่อให้เกิดความรำคาณใจ... กรุณาอธิบายขยายความให้ฟังจะได้ไหมคะ.....
     
  3. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    ทางออกคือ ผู้ที่คงอยู่เมื่อหลับตาเสพสภาพแห่งอารมณ์นั้นใว้ ให้ส่งพลังแห่งความดี
    เติมเข้าไป เพื่อให้ผู้ที่อยู่อีกภพมีที่ยึดเหนี่ยว มีพลังมากระแทกให้พ้นสภาพนั้น สภาพแห่ง
    อารมณ์ที่เสพย่อมได้รับการเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้าไป คนอยู่อีกภพจึงจะพ้นไปด้วย คนที่ยัง
    อยู่ย่อมกลับมามีพลังใจเข้มแข็งต่อไป[/QUOTE]

    ทางออกก็คือ EXIT ..ยาวครับอธิบายเรื่องนี้ยาวต้องทำความเข้าใจ

    เมื่อเราระลึกอารมณ์จากสัญญาตามท้องเรื่องที่ท่านainได้แสดงใว้ เราจะหลับ
    ตานึกตาม และเสพรับอารมณ์ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ว่าเกิดในภพชาติใดๆ
    อารมณ์เช่นนี้ย่อมเกิดมีขึ้น จากนาย ก.ไก่ในภพนี้ หรือจากนาง น.หนู ในภพอื่น
    อันอารมณ์นี้ที่เราเสพรับใว้นั้นคือกระแสจิตเราจะสัมพันธ์กันกับผู้ที่ตายไปแล้ว
    อันเกี่ยวเนื่องกับอารมณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นนาย ก. หรือนาง น. หรือใครๆก็ตาม

    เปรียบได้ว่า ชาตินี้เรารัก คนๆนี้ หน้าตายังงี้ ชื่อนี้ แต่ว่า ความรักนั้นในชาติ
    ก่อนเราอาจจะรักคนอื่น หน้าอื่น แต่ความรักอันนี้อารมณ์เดียวกัน ไม่ว่าใครรัก
    ใคร ย่อมเกิดอารมณ์นี้เช่นเดียวกัน

    ทีนี้ อารมณ์ที่ค้างมาจากคนรักก็ดี เพื่อนสนิทก็ดี ตายไปแล้ว เราระลึกและ
    เสพอารมณ์นั้นอยู่ จะก่อให้เกิดสภาพๆหนึ่งขึ้นถ้าผู้ที่ผ่านมามาก ย่อมเห็นว่า
    สภาพนี้มันค้าง ไม่ไปผุดไปเกิด ด้วยยังไม่ละจากอารมณ์นั้น ยังห่วงอาทรอยู่
    ในรูปกายสังขารในภพนั้นๆแม้ว่าเขาเองไปเกิดใหม่เป็นคนอื่นแล้ว จิตวิญญาณ
    นั้นยังคงไม่ละวาง ก็ยังคงยึดสภาพเขาคนนั้นใว้ ไม่ไปไหน

    ทางออกก็คือ เมื่อเราเสพแล้วซึ่งอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ปลงลงสูง
    ไตรลักษณ์ อันจะก่อให้เกิดความดีสายหนึ่งขึ้นเป็นหลัก ก็เติมลงไปในอารมณ์
    ที่เรากำลังเสพนั้น อารมณ์ปลงนี้เอง จะทำให้เราละได้ทีเดียวทั้งสาย ทีละมากๆ
    เช่นเราเกิดอารมณ์ อาทรต่อเพื่อนสนิทที่ตายไป เกิดความเมตตาสงสารญาติ
    ของเขาก็ดี สงสารต่อความรู้สึกเราเองก็ดี เราปลงลงสู่ไตรลักษณ์ด้วยอารมณ์
    ที่เสพนี้ จะละได้ทั้ง นาย ก. นาง น. และเพื่อนเราทั้งหลายที่เราลืมไปแล้ว
    ในหลายๆภพชาติ เขาทั้งหลายย่อมไปสู่สิ่งที่ดีจากการปลงของเรา รวมถึงเรา
    เอง ย่อม"พ้น" จากอารมณ์อันนี้ เป็นการสางออกซึ่งอารมณ์เพื่อความบริสุทธิ์
    ของจิต

    รักโลภโกรธหลงย่อมเช่นเดียวกัน เสพอารมณ์แล้วตัดซึ่งอารมณ์ย่อมละทั้ง
    หมด ต่างจากปลงด้วยชื่อเสียงเรียงนาม หรือเห็นว่าหน้าตามันซื่อๆดี อโหสิให้
    มัน แล้วคนอื่นล่ะต้องรอให้เขามาทวงค่อยปลงหรือเปล่า.
     
  4. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    ว่าไปแล้ว เจ้าอารมย์รักโลภโกรธหลง นี่ ครั้งหนึ่ง ศิลามณี เคยเจอกับตนเอง เมื่อครั้งที่ครูบาอาจารย์ ท่านมีดำริจะออกบวช...ท่านจึงจะจัดพิธีบวรสรวงลา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ เป็นครั้งสุดท้าย..... ก่อนเดินเข้าสู่ร่มกาสาวภักดิ์.....

    ก่อนหน้าทำพิธีบวงสรวงหลายสิบวัน... ศิลามณี เกิดมีความคิดผุดขึ้นมาเสียเฉยๆ เกิดอยากจะรำถวาย.....ใจมันอ้างว่าทำเพื่อครูบาอาจารย์ ...ทำด้วยความรัก..ขอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากลา......ตอนนั้นความนึกคิดของ ศิลามณี ... เหมือนแตกออกเป็นสองฝ่ายคะ ตอนกลางคืนบอกว่าจะรำถวาย..รำๆๆๆ รำนะ .....พอเช้าตื่นนอนขึ้นมา ความคิดแรกบอกไม่รำดีกว่า อายเขา...ไม่ถูกกาละเทศะ... ..หลังจากนั้นอีกสักแวบ.... อีกใจก็บอกรำนะ รำถวาย....สับเปลี่ยน สับเปลี่ยน เช่นนี้ประมาณ ทุกๆ 15 นาที เป็นหยั่งงี้ประมาณอาทิตย์หนึ่งนะคะ....

    จนในที่สุด ศิลามณี ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่รำเพราะไม่ต้องการให้ครูบาอาจารย์ ท่านต้องลำบากใจ และ จะไม่ไปร่วมงานพิธีบวงสรวง แถมท้ายด้วยการลบเบอร์โทรติดต่อของ เพื่อน และ ครูบาอาจารย์ท่านทิ้งไป พร้อมทั้งยกเลิกการจองที่พัก...ท้ายสุดวิ่งเข้าห้องพระ ขอบารมีพระรัตนตรัย และ องค์บารมี ทุกพระองค์เป็นพยาน..เพราะมีเจตนาอันแน่วแน่ว่า ไม่ทำให้ครูบาอาจารย์ ต้องลำบากใจ....อาการหลายใจของ ศิลามณี ถึงได้หายขาด ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย ...พอมาอ่านที่คุณจิ - โป กรุณาอธิบายให้ฟัง เลยเข้าใจมากขึ้นคะ ขอบคุณนะคะ

     
  5. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ทางออกก็คือ EXIT ..ยาวครับอธิบายเรื่องนี้ยาวต้องทำความเข้าใจ

    เมื่อเราระลึกอารมณ์จากสัญญาตามท้องเรื่องที่ท่านainได้แสดงใว้ เราจะหลับ
    ตานึกตาม และเสพรับอารมณ์ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ว่าเกิดในภพชาติใดๆ
    อารมณ์เช่นนี้ย่อมเกิดมีขึ้น จากนาย ก.ไก่ในภพนี้ หรือจากนาง น.หนู ในภพอื่น
    อันอารมณ์นี้ที่เราเสพรับใว้นั้นคือกระแสจิตเราจะสัมพันธ์กันกับผู้ที่ตายไปแล้ว
    อันเกี่ยวเนื่องกับอารมณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นนาย ก. หรือนาง น. หรือใครๆก็ตาม

    เปรียบได้ว่า ชาตินี้เรารัก คนๆนี้ หน้าตายังงี้ ชื่อนี้ แต่ว่า ความรักนั้นในชาติ
    ก่อนเราอาจจะรักคนอื่น หน้าอื่น แต่ความรักอันนี้อารมณ์เดียวกัน ไม่ว่าใครรัก
    ใคร ย่อมเกิดอารมณ์นี้เช่นเดียวกัน

    ทีนี้ อารมณ์ที่ค้างมาจากคนรักก็ดี เพื่อนสนิทก็ดี ตายไปแล้ว เราระลึกและ
    เสพอารมณ์นั้นอยู่ จะก่อให้เกิดสภาพๆหนึ่งขึ้นถ้าผู้ที่ผ่านมามาก ย่อมเห็นว่า
    สภาพนี้มันค้าง ไม่ไปผุดไปเกิด ด้วยยังไม่ละจากอารมณ์นั้น ยังห่วงอาทรอยู่
    ในรูปกายสังขารในภพนั้นๆแม้ว่าเขาเองไปเกิดใหม่เป็นคนอื่นแล้ว จิตวิญญาณ
    นั้นยังคงไม่ละวาง ก็ยังคงยึดสภาพเขาคนนั้นใว้ ไม่ไปไหน

    ทางออกก็คือ เมื่อเราเสพแล้วซึ่งอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ปลงลงสูง
    ไตรลักษณ์ อันจะก่อให้เกิดความดีสายหนึ่งขึ้นเป็นหลัก ก็เติมลงไปในอารมณ์
    ที่เรากำลังเสพนั้น อารมณ์ปลงนี้เอง จะทำให้เราละได้ทีเดียวทั้งสาย ทีละมากๆ
    เช่นเราเกิดอารมณ์ อาทรต่อเพื่อนสนิทที่ตายไป เกิดความเมตตาสงสารญาติ
    ของเขาก็ดี สงสารต่อความรู้สึกเราเองก็ดี เราปลงลงสู่ไตรลักษณ์ด้วยอารมณ์
    ที่เสพนี้ จะละได้ทั้ง นาย ก. นาง น. และเพื่อนเราทั้งหลายที่เราลืมไปแล้ว
    ในหลายๆภพชาติ เขาทั้งหลายย่อมไปสู่สิ่งที่ดีจากการปลงของเรา รวมถึงเรา
    เอง ย่อม"พ้น" จากอารมณ์อันนี้ เป็นการสางออกซึ่งอารมณ์เพื่อความบริสุทธิ์
    ของจิต

    รักโลภโกรธหลงย่อมเช่นเดียวกัน เสพอารมณ์แล้วตัดซึ่งอารมณ์ย่อมละทั้ง
    หมด ต่างจากปลงด้วยชื่อเสียงเรียงนาม หรือเห็นว่าหน้าตามันซื่อๆดี อโหสิให้
    มัน แล้วคนอื่นล่ะต้องรอให้เขามาทวงค่อยปลงหรือเปล่า.[/QUOTE]


    อนุโมทนาด้วยนะครับ ตอบได้ดีมากเลยเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของญาติธรรมคนหนึ่งชึ่งเขาเองก็ได้เข้ามาอ่านคำตอบของคุณจิ-โป แล้วและฝากขอบคุณมาด้วยครับและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเกิดประโยชน์และเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวได้พ้นและมีแรงพลังในการก้าวเดินต่อไปครับ
     
  6. Assarin

    Assarin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +104
    เศร้าจังนะคะคุณ ainteerati ทิพย์เองก็พึ่งได้เจอเรื่องราวแบบนี้ไม่นาน
    เป็นเรื่องของลูกน้องสามีจากวันแต่งต้องเป็นวันตาย ถ้าทิพย์ไม่ได้เจอเหตุการณ์กับสามี
    คงไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เหตุเกิดวันที่ ๑๕ ตุลาคมนี้เองค่ะ วันนั้นเป็นวันศุกร์ได้บอกสามี
    ให้ไปส่งวัดอัมพวันเพราะจะไปปฏิบัติธรรมที่วัด วันนั้นฝนตกทั้งวัน ไปถึงวัดตอนบ่าย ๓
    ฝนตกหนักมากแต่ไม่น่าเชื่อที่วัดมีคนยืนกางร่มรอต่อแถวลงทะเบียนเยอะมากทั้งๆที่ฝนตก
    ทิพย์ก็มุดไปเอาใบลงทะเบียนกรอกเสร็จแล้ว แต่คิดว่าถ้าคนมากขนาดนี้อาจจะเป็นภาระ
    ของทางวัดมากกว่าที่จะจัดเตรียมสถานที่ให้เพียงพอเลยบอกสามีว่ากลับกันเถอะ
    ปลายปีค่อยมาใหม่วันนี้ตอน ๒ ทุ่มสามีต้องไปเป็นผู้ใหญ่ให้ลูกน้องเพื่อทำ
    พิธีนิกะห์ (แต่งงานตามแบบศาสนาอิสลาม)ที่มัสยิดอัลยุซรอ
    ตลอดช่วงบ่ายเห็นสามีโทรศัพท์หาลูกน้องหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับสายก็เลยบอกสามีว่าให้ไปรอที่
    มัสยิดเลยพอเปลี่ยนเสื้อผ้าทานข้าวเสร็จก็ไปถึงประมาณทุ่มนิดๆแต่ที่มัสยิดเงียบมากสามีก็โทรๆๆ
    จนกระทั่งมีปลายสายรับได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงสะอื้น แล้วเสียงสามีก็ทำท่าตกใจ
    พอสามีวางสายบอกว่าลูกน้องเขาตายแล้วก็เลยต้องไปที่บ้านนั้น ทิพย์ก็อึ้งๆเฮ้ยจริงเหรอ อำป่าว
    แล้วสามีก็พาไปบ้านลูกน้องเขา ก็ไปเจอครอบครัวเจ้าสาวและญาติๆฝ่ายหญิงทุกคนดูตกใจ
    และช๊อคกับเหตุการณ์นั้นมาก ศพก็ยังไม่ได้ทำอะไร เจ้าบ่าวยังนอนกอดหมอนอยู่เพียงไม่มีลมหายใจ
    เจ้าสาวก็ยืนร้องไห้ทำอะไรไม่ถูกเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นศพแบบนั้นสงสารเจ้าสาวสุดหัวใจ
    ที่ต้องเป็นหม้ายในวันแต่ง ก็ได้แต่เตือนตัวเองว่าถ้าเราเจอเหตุการณ์เหมือนเจ้าสาวคนนี้เราจะทำยังไง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2010
  7. One fine dayss

    One fine dayss สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +5
    ขอบคุณค่ะ ที่ให้ข้อคิด และขอบคุณที่นำมาโพสต์ค่ะ

    ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อเก็บไว้อ่านคนเดียว กันตัวเองลืมๆอีกครั้ง แต่พอได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่มีประสบการณ์คล้ายกัน เลยลองให้เขาอ่านดู เพื่อเตือนใจ เรื่องความรัก และ การเหนี่ยวรั้ง กันด้วยใจ สุดท้ายก็คือ ต่างคนต่างทุกข์ จนวาระสุดท้าย
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เป็นทางออกที่ดีมากค่ะ และกำลังปฏิบัติอยู่ค่ะ
    อนุโมทนาสาธุ และ ขอบคุณค่ะ
     
  8. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ความรัก..........
    เปรียบประหนึ่งยางเหนียวที่เหนี่ยวรั้งหัวใจ 2 ดวงเข้าด้วยกัน
    รั้งไว้อย่างแนบแน่นจนไม่อาจแยกห่างจากกันได้โดยง่าย
    ชาติหนึ่งๆที่เราเกิดมา
    เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราได้เผลอเหนี่ยวรั้งหัวใจเราไว้กับใครบ้าง
    พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ภรรยา สามี คนรัก เพื่อน สัตว์เลี้ยงแสนรักฯลฯ
    เพียงชาติภพเดียวก็มากมายเกินกว่าจะนับได้ถ้วน
    มนุษย์เราเวียนเกิดเวียนตายมาแล้วมากมาย
    หากเอากระดูกมากองรวมคงสูงเท่ายอดเขาหิมาลัย
    ทุกหยาดน้ำตาที่เสียไปคงมากกว่าน้ำทั้งหมดในทะเล
    กี่ดวงใจที่เราเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย นับตั้งแต่เราได้เวียนว่ายตายเกิดมานี้
    หัวใจของเราจึงติดอยู่ในบ่วงพันธนาการอันแน่นหนาที่เราสร้างมันขึ้นมาเพื่อผูกมัดตัวเอง

    ณ ที่แห่งนี้
    ฉันขอฝากข้อความส่งผ่านไปถึงทุกดวงจิตที่ฉันเคยผูกเอาไว้ไม่ว่าจะระลึกได้หรือไม่ก็ตาม
    ไปเถิดนะ ไปเถิด ขอทุกดวงจิตจงหลุดพ้นจากพันธนาการ
    จงไปตามหนทางที่เหมาะควร
    อย่ามัวห่วงใยอาลัยอาวรณ์ต่อฉันเลย
    เมื่อใดที่เธอได้ก้าวเดินออกไป ฉันและเธอก็ต่างเบาตัว ได้ดำเนินไปตามหนทางที่เลือกเอง
    ขอบคุณเวลาทำนำพาเราให้มาเจอกันจนทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า
    "ความรัก" เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ฉันปรารถนาจะหลุดพ้นจาก"การครอบครอง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 พฤศจิกายน 2010
  9. sorakran2007

    sorakran2007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +945
    สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ^^
     
  10. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า กระดูกของคุณปราญชลีก็สูงเท่าภูเขาหิมาลัยด้วย
    ถ้า 1โครงกระดู=1ความรัก โอ้โห มีคนรักเรา หวังดีกับเราเท่าภูเขาหิมาลัยเชียว
     
  11. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    นั่นแน่ ท่านฤาษีมาเล่นมุขเย้าปราญชลีซะแล้ว
    1 โครงกระดูกมีมากมายกว่า 1 ความรักด้วยอ่ะค่ะ
    ไอ้ตอนรักมันก็น่าชื่นหัวใจน้อ แต่ไอ้ตอนทุกข์นี่น๊า มันละวางได้แสนยากเย็น

    ป.ล.อ่าน EXIT ที่ท่านจิ-โปเขียนไว้ ฟังดูเหมือนการแผ่กระแสพลังงานอย่างมีเจตน์จำนงค์นะเจ้าคะ อธิบายแบบยืดยาวอย่างท่านจิโปนี้ทำให้คิดตามได้มากมายทีเดียวค่ะ

    อ้างอิง

    ทางออกคือ ผู้ที่คงอยู่เมื่อหลับตาเสพสภาพแห่งอารมณ์นั้นใว้ ให้ส่งพลังแห่งความดี
    เติมเข้าไป เพื่อให้ผู้ที่อยู่อีกภพมีที่ยึดเหนี่ยว มีพลังมากระแทกให้พ้นสภาพนั้น สภาพแห่ง
    อารมณ์ที่เสพย่อมได้รับการเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้าไป คนอยู่อีกภพจึงจะพ้นไปด้วย คนที่ยัง
    อยู่ย่อมกลับมามีพลังใจเข้มแข็งต่อไป
     
  12. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    มันก็ทั้งนั้นล่ะ ใครมันจะไปคิดแต่อันไม่ดีด้านเดียวอยู่ได้ พ่อแม่เรามีมาหลายภพชาติ
    ความรักเขาให้เรามามากมาย แค่กระแสพลังนี้ถ้าเราสัมผัสได้ จะรู้ว่าเราไม่โดดเดี่ยว
    เจอผีก็คิดได้ว่ากระดูกพ่อแม่เราข้างหลังเรากองสูงกว่าเขาหิมาลัยอีก จะกลัวอะไรใช่ใหม

    ส่วนเรื่องที่แนะนำก็เรื่องธรรมดาเขาบอกกันแบบนี้ทั้งนั้น เพียงแต่ไม่บอกให้เราไปสัมผัส
    กับอารมณ์ เพราะมันละเอียดมากไป แต่ที่เอามาบอกเพราะคนเวปนี้เก่งๆทั้งนั้น พูดนิดเดียว
    ก็ร้องอ้อเลย แต่ใครจะเข้าใจละเอียดแจกออกไปขนาดไหนก็ตามภูมิธรรมของตัวเองครับ
    นอนดึกไปนะ ระวังจะแก่กองทับท่วมหิมาลัยอีก 1 โครงกระดูก
     
  13. นายแว่น

    นายแว่น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +25
    สวัสดีครับ

    สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกน้องใหม่ครับ เมื่อไม่นานมานี้เข้าร้านหนังสือเห็นหนังสือเกี่ยวกับพระธาตุจึงสนใจอยากได้มาบูชาลองเข้า Google ทำให้พบเว็บนี้และขอรับมอบฟรีครับ จากนั้นก็เริ่มอ่านภัยพิบัติบ้าง และก็พบกระทู้นี้และอ่านคืนเดียว 17 หน้า จะอ่านต่อก็ติดธุระอื่นแต่น่าสนใจมากครับ

    ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้มากครับ และขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบกระทู้นี้

    อาจด้วยความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์(แม้ไม่เคยสัมผัส) แต่เพิ่งรู้ว่าโลกนี้มีอะไรแบบนี้ด้วย สุดยอดจริงๆ มีคำถามมากมายอยากถามได้โปรดอภัยด้วยนะครับ ถ้าอันไหนสะดวกตอบโปรดกรุณาตอบ อันไหนไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2010
  14. นายแว่น

    นายแว่น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +25
    ผมเพิ่งอ่านถึงหน้า 17 นะ ถามถึงแค่ได้อ่านก่อนนะครับ
    1) ที่ท่านประยูรเคยสอบถามและท่านจิโป และท่านจิโปดูผ่านชื่อเล่น อยากเรียนถามว่า ถ้าเจ้าตัวเขามีกรรมก็ดี หรือไม่มีกรรมก็ดี หรือมีวิญญาณติดตามแต่เขาไม่ได้คิดทำร้ายวิญญาณนั้นๆเพราะเขาสำนึกในกรรมก็ดี มีธรรมก็ดี การไปดูจิตเขาจะกระทบไหม ทำให้วิญญาณนั้นเคืองไหม หรือตอบโต้เจ้าตัวเขาไหมครับ เพราะมีคนมารู้ว่าเขาสถิตย์อยู่เลยรีบจัดการ ถามไว้เผื่ออยากดูของตัวเองเลยเอาท่านประยูรเป็นตัวอย่างเคส

    2) ปกติจะสวดมนต์สั้นๆไม่ได้เชิญชุมนุมเทวดา อาจเชิญอาทิตย์ละครั้ง (ไม่ทราบว่ามาไหมเพราะผมไม่มีฌาณ) แต่ทุกครั้งสวดเสร็จจะแผ่บุญให้บิดามารดา ปู่ย่าตายายญาติพี่น้อง ครูอาจารย์ เทวดาทั้งหลาย เปรต เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ (ตามหนังสือสวดมนต์ทั่วไปครับ พวกบท อิทัง เม...ฯ)
    เลยสงสัยว่าบุญจะหมดไหมเพราะดันแผ่นไปเยอะ เห็นท่านจิโปตอบแล้วยังสงสัยอยู่ขอขยายนิดครับ หรือเราควรทำบุญอย่างไรเราควรไม่แผ่เลยเก็บไว้เงียบๆ หรือควรแผ่นิดเดียวอย่าแผ่ตามหนังสือ

    3) ที่บอกว่านับถือท้าวเวสสุวรรณ หรือนับถือเทวดาประมาณว่าเวลาไม่มีเรื่องไม่นึกถึง เวลามีเรื่องนึกถึง ถ้านับถืออยู่แล้วย่อมดีกว่า หมายถึงเราควรบูชาท่านด้วยของไหว้หรืออุทิศบุญให้ครับ

    4) หน้าแรกๆเหมือนเห็นมีสายปราบ มีกี่สายครับ สายปราบ สายรักษา หรือสายอื่นๆครับ

    สิ่งใดถ้าผมเขียนไปไม่เหมาะสมหรือพาดพิงถึงท่านใดขอได้โปรดอภัยให้ด้วยครับ ด้วยความสงสัยจากใจจริง ผมเริ่มสนใจอยากฝึกสมาธิเหมือนกันแต่นั่งเป็นหลับเป็นโยกเยก สงสัยไม่มีบุญด้านนี้ทำอย่างไรจึงจะถึงฝั่งนิพพานได้
     
  15. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    คะ รักที่พิสุทธ์.... ย่อมไม่ต้องการสิ่งใดๆตอบแทน
     
  16. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    การดูแบบพระวิญญาณไม่เดือดร้อน เจ้าตัวไม่เป็นอะไร นั้นคือดูแบบเกิด
    ภาพนิมิต เอาอารมณ์เขามาเป็นตัวกำหนด แล้วภาพเขาจะมาเองก็ดูได้

    แต่การดูอีกแบบ เขาดูรูป เอารูปเป็นตัวเพ่ง แล้วจะเกิดภาพ ตอนเพ่งนี่ล่ะจิต
    คนที่โดนเพ่งจะเหมือนโดนเจาะ อาจมีอาการมึนหัวโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือ
    อาจเบลอไปซักพักจนเขาหยุดเพ่งน่ะล่ะ การเพ่งดูแบบนี้วิญญาณเดือดร้อน
    เจ้าตัวเขาก็เดือดร้อน ก็คราหลังถ้าถามใครเขาถามแค่วันเดือนปีเกิดก็พอได้
    แต่ขอดูรูปอย่าให้เลย เลิกให้เขาดูซะไม่งั้นมึนแน่ๆ

    ปกติการชุมนุมเทวดาเขาไม่ให้สวดกันบ่อยๆ เพราะบางทีบุญน้อย ของเซ่น
    ใหว้ก็ไม่มี ไม่รู้จะเรียกเทวดามาทำไม ครั้นจะให้มารับเอาบุญ เทวดาก็บุญเยอะ
    มากอยู่แล้ว ไม่งั้นก็ไม่ได้เป็นเทวดาหรอก เผลอๆคนเรียกชุมนุมเทวดาศิลไม่
    ครบ เรียกเทวดาไม่มาแต่ได้ผีมาแทน กลายเป็นผีมาแปลงเป็นเทวดาหลอก
    เรา อยากได้โน่นนี่ ให้เราทำแบบนั้นแบบนี้ไปซะอีก
    ถ้าเป็นเทวดาท่าน ถามคำตอบคำบางทีลืมถามเกิดเหตุทีหลังไปตัดพ้อท่านว่า
    ไม่บอกกันเลย ท่านก็ว่าข้อนั้นไม่ได้ถาม(เป็นงี้ตลอด)

    บุญนั้นหมดได้ สังเกตุง่ายๆเช่น บุญที่เราเคยทำแล้วซึ้ง อิ่มในอารมณ์บุญ
    แต่มาวันนี้เราคิดถึงบุญนั้นกลับไม่อิ่ม ไม่ซี้ง นั่นแสดงว่าบุญนั้นเราไปอุทิศให้
    ใครๆจนหมดแล้ว ส่วนบุญใดมี่ทำแล้วแม้เนิ่นนาน เช่น เคยช่วยคน เคยพยุง
    แม่เดิน คิดขึ้นมาแล้วอิ่มเอิบในใจ นั่นคือบุญนั้นยังอยู่กับเราไม่หายไปไหน
    บางคนไปทำบุญมามากมาย แต่มา ณ.เวลานี้คิดถึงบุญไหนๆก็ไม่อิ่มอกอิ่มใจ
    แสดงว่าไปอุทิศให้เขาหมด คือเป็นทางผ่านให้เขา รับเงินมา+ทำงาน+อุทิศ.
    เลยไม่มีของตัวเองเลย เพราะคิดถึงแล้วไม่อิ่มนั่นเอง

    สายปฏิบัติทั้งหลาย กล่าวไม่ได้มีมากมาย แม้สายเดียวต้องแสดงกันเนิ่นนาน
    จึงเข้าใจ ถ้ารู้ทั้งหมดว่ามีกี่สายแต่ไม่เข้าใจเขาก็เกิดวิจิกิจฉา ขัดแย้งเขาอีก

    การนั่งแล้วหลับ ไปหาวัดที่มีระฆังที่เขาอนุญาตให้ตีได้ ก็ไปยืนตีจนหูมีเสียง
    วิ้งๆๆๆๆ นั่นล่ะอาการที่นั่งแล้วหลับก็จะหายไป ที่กล่าวนี้เฉพาะคนนี้นะครับ
    คนอื่นอาจไม่เกิดประโยชน์เพราะหูคนนี้(นายแว่น) เหมือนจะมีเสียงคนมาคอย
    พูดจา กล่อมให้หลับตลอด คนธรรมดาเวลาเงียบๆจะเหมือนเสียงจิ้งหรีดวี๊ดๆ
    แต่คนนี้ไม่ เลยให้ไปเคาะระฆังเอาคลื่นเสียงมาล้างซะหน่อย

    ส่วนนับถือเทวดาองค์ไหนก็ตาม ให้เอาดอกใม้ขึ้นบูชาพระทุกวันโกน
    จุดธูประลึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วพ่อแม่ ครูอาจารย์ เทวดาที่คอยดูแลเรา
    ตามลำดับ แค่นั้นก็พอแล้วครับ ถ้าคนมีกำลังทรัพย์มากก็เพิ่มขันหมากเบง
    อีกหน่อยก็เพียงพอ.
     
  17. นายแว่น

    นายแว่น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +25
    สวัสดีครับทุกท่าน

    1) เมื่อคืนอ่านถึงหน้า17 ติดงาน คืนนี้รีบอ่านถึง 31 แล้วดีใจแต่หน้า 29 เข้าไม่ได้ bitdefendor ไม่ยอมให้เปิด

    2) ท่าน จขกท. น่าเลื่อมใสมาก จากที่อ่านมาตลอดจะเห็นว่าท่านเดินทางไปทำบุญ และหาบทความดีๆมาสอนเสมอๆ


    3) ท่าน จขกท. ดูจะเชี่ยวชาญเรื่องยันต์มากเลยครับ จากรูปต่างๆเขียนยันต์ได้อย่างงามมาก แต่ผมดูด้วยตาเนื้อนะ ผมจะไม่มีความรู้ด้านฌาณกับยันต์


    4) ท่านต่างๆที่เข้ามาตอบกระทู้โดยตลอดมานี่ สุดยอดจัง ถ้าผมนั่งแล้วเห็นใครมาแลบลิ้นบอกตรงๆ ผมคงช็อกแน่ๆ จากประสบการณ์ของท่านคะรุฑากับศิลามณีนั้น สอนว่าถ้าจะนั่งสมาธิผมจะหาไปหาพระเครื่องต่างๆมาคล้องคอกับวางรอบตัวกันไว้ ไม่ใช่คิดทำร้ายนะแต่กลัว
     
  18. นายแว่น

    นายแว่น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +25
    ดีใจจังมีคนตอบคำถามผมด้วย

    อะจ๊าก!! เรื่องนั่งสมาธิแล้วง่วง นี่ท่านจิโปท่านตอบโดยอาศัยประสบการณ์หรือมาแอบดูจิต ผมว่าผมยังไม่ได้บอกชื่อเล่นกับชื่อจริงที่พ่อแม่ตั้งให้นะ

    ปล. แต่สมมติท่านดูด้วยพลังจิต ผมก็ยังงงว่าเสียงที่ว่าจะไม่อยากให้ผมปฏิบัติหรือ? ด้วยเหตุใด? ในเมื่อถ้าปฏิบัติได้น่าจะสามารถแผ่เมตตาให้ผู้อื่นได้มากขึ้นหรือเปล่าไม่รู้ เพราะทุกวันนี้สวดมนต์ยังแผ่เลยถ้าปฏิบัติได้น่าจะแผ่มากกว่าเดิม?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2010
  19. นายแว่น

    นายแว่น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +25
    1) เดิมผมอ่านแล้วเห็นว่าพวกท่านในห้องนี้มีความรู้สูง ผมอยากรู้บ้างว่าอดีตชาติคือใคร ทำกรรมดีชั่วอะไรไว้ จะได้แก้ให้ตรงจุด แต่ก่อนมาทำงานกะดึก นอนเล่นสำนึกได้ว่าถ้ารู้อดีตชาติผมก็คงวนเวียนอยากได้สมบัติชาติก่อน อยากได้คู่ครองชาติก่อน อยากได้ลาภยศชาติก่อน หรือเศร้าใจกับความทุกข์เข็ญในชาติก่อนหรือตามแก้แค้นคนในชาติก่อน สู้ไม่รู้ดีกว่าจะได้ไม่รั้งหนทางนิพพาน สำนึกได้ว่าถ้าจะทำกรรมดีไม่จำเป็นต้องไปรู้ว่าชาติก่อนทำอะไรไว้จึงตามชดใช้หรือสร้างต่อ แต่ให้สำนึกว่าชาตินี้มีโอกาสก็ทำกันไป

    2) เราทั้งหลายต่างก็คงมี จ.ก.น.ว. มากบ้างน้อยบ้าง ผมไม่รู้ว่ามีอะไรตามผมไหมอาจเป็นเจ้าของเสียงที่กล่อมให้หลับ แต่ผมไม่อยากทำร้ายเขา เพราะผมคงทำผิดไว้ก่อน

    3) เวลาจะนั่งสมาธิจะชอบมีน้ำลายให้กลืนใครเป็นบ้างหรือเป็นปกติของคน ให้นึกเสียว่าต้องหายใจ ต้องกลืนน้ำลายอย่าใส่ใจ แต่ให้ไปใส่ใจที่คำภาวนาในใจแทน หรือไม่ก็ยุบหนอพองหนอแทน ช่วยแนะนำที

    4) เรื่องบุญนี่แอบติดใจ ไม่ใช่หรอก ผมเห็นความทุกข์แล้วเบื่ออยากไปนิพพานแต่ถ้าอุทิศหมดเมื่อไรบุญจะมากพอให้ไปได้หนอ ท่านจิโปเวลาทำบุญหรือสวดมนต์ท่านทำอย่างไรเห็นเคยพิมพ์ว่าท่านไม่ให้ใครง่ายๆ ต้องทำให้เห็นว่าดีจริงๆ แล้วท่านถวายสังฆทานกับสวดมนต์เสร็จท่านแผ่หรือไม่แผ่ หรืออย่างไรบ้างครับ

    5) เพิ่งทราบนะเรื่องเชิญชุมนุมเทวดาก็คำที่ปากพูดนั้นเป็นนามพระอริยเจ้าทั้งนั้น แต่บางอย่างกับมาแทนได้ด้วย

    6) ชินบัญชรสมัยเด็กเคยสวดหน้าโต๊ะพระจนท่องจำได้ แต่ไม่สวดเพราะยาว สมัยก่อนถ้าสวดก่อนนอนตอนกราบหมอนคืนไหนคืนนั้นจะฝันเห็นผีหรือวิญญาณเลยไม่สวดก่อนนอนเด็ดขาด แต่ถ้าคืนไหนฝันเห็นผีหมายถึงไม่ได้สวดก่อนนอนนะแต่ตกใจกลัวแล้วนึกถึงคาถานี้แค่บาทแรกเท่านั้นจะรอดพ้นภัยและตื่น แต่โตมาจำไม่ได้แล้วสวดแต่พาหุงแทน

    7) สมัยเด็กชอบฝันเห็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งอยู่ใกล้ๆฝ่าเท้าเต็มไปหมด มีหลายๆขาและตัวไม่ใหญ่มาก เหมือนไม่ใช่สัตว์ในโลกมนุษย์ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ไม่กล้าขยับขาไปไหนเลยกลัวมันโดนเท้า คล้ายหนอนมีหลายขากระดึ๊บๆขยับซ้ายขวา หลายครั้งที่ฝันก็เป็นตัวแบบนี้ แต่โตคงงานยุ่งเลยไม่ฝันเห็นแล้ว
     
  20. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    คนเวปพลังจิตนี่สูงๆทั้งนั้นครับ ขั้นต่ำสุดก็ยอดมะพร้าววิทยาลัย.
    เรื่องอดีตชาติแบ่งเป็นสองแบบที่เราควรเข้าใจ
    1.อยากรู้อดีตเพื่อทางโลก นั่นคืออยากแก้กรรม อยากรู้ว่าเป็นพี่น้องกันเป็นต้น
    ในส่วนนี้อย่าอยากรู้ เพราะไม่ว่าเราจะเป็นอะไรมาเช่นมีเงินมากซื้อของมาแล้ว
    มีความสุขที่ได้ของ(นี่สุข) ยากจนมากแต่ได้กินผลใม้ป่าที่อร่อยมากๆ(นี่ก็สุข)

    คนจนคนรวย เกิดเป็นอะไรก็ตามล้วนไม่พ้นจากอารมณ์ทั้งหลาย เราอยากพ้น
    จากภพก็ต้องมองเห็นทุกข์มัน เช่นบางคนเกิดมาทุกข์ร่างกายไม่ปกติเหมือนคน
    อื่น ก็พิจารณาสังขาร เห็นทุกข์ของสังขาร ก็พ้นด้วยสังขาร

    แต่บางคนเห็นทุกข์ของอารมณ์ ก็ปลงที่อารมณ์ ก็พ้นเหมือนกัน รูป เวทนา
    สัญญาสังขารวิญญาณ ก็เหมือนกัน ท่านเห็นว่ามันทุกข์ตรงไหนก็พิจารณา
    ตรงนั้นจุดเดียว เอาลงไปให้ขาด อย่าอิงตำรามากว่าต้องตัดตรงโน้น ตรงนี้
    ตำราท่านบอกให้ตัดหมด แต่ในความเป็นจริง การเวียนว่ายตายเกิด เราตัดจุด
    เดียวแค่นั้น ก็ขาดหมด วงกลมไม่หมุนต่อ จะตัดตรงไหนของวงกลมก็ได้

    เมื่อเรารู้ว่าเรามีกรรม มีคนคอยมากระซิบหูเรา ฉุดรั้งเราไม่ให้เจริญ แล้วเรา
    สวดพระคาถาเพื่อพ้นจากช่วงเวลาที่เรากลัว แล้วเมื่อไหร่เราจะพ้น เราต้อง
    ทำใจเราใหม่ ตายก็ตายผีตัวไหนอยากหลอกก็มา นั่งสมาธิแล้วรูปกายภายนอก
    เราไม่สง่างาม น้ำลายไหลย้อย โงนเงนโยกเยก นั่นมันรูปภายนอก ให้เราสนใจ
    ที่งานที่เราทำ ท่านให้ดูอารมณ์ก็ดูแค่นั้น ท่านให้เงียบสงบดำรงอยู่เพียงอุเบก
    ขาก็ดำรงอยู่แค่นั้น การเช็ดน้ำลายกลืนน้ำลาย คอยระวังตัวว่าจะโยกเยกพยา
    ยามนั่งให้สง่างามแต่จิตภายในไม่ทำงานก็ไม่มีประโยชน์ เท่แต่กินไม่ได้

    2.การอยากรู้อดีตเพื่อเจริญในธรรม ตรงนี้ท่านบอกทำได้ และถ้าทำได้จะดี
    มากๆ แต่ต้องทำเองรู้เองเพราะเมื่อเรารู้เองบารมีเราจะมาทันทีเช่น
    เราเกิดชาตินั้นทำบุญมากมายไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกาได้แต่มีเศษ
    กรรมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ก่อนเมื่อพ้นแล้วจึงไปเกิดเป็นเทวดาได้ ทีนี้เรา
    ระลึกไม่ได้ เราก็ยังไม่พ้นกรรม เมื่อเรานั่งสมาธิแล้วรู้ นั่นคือพ้นแล้ว รอแค่วัน
    ที่จะละสังขารเท่านั้น แต่ถ้าไม่รู้ก็เวียนว่ายต่อไปจนใช้กรรมพ้น บางคนตกนรก
    ก่อนค่อยเป็นเทวดาใช่ใหมล่ะ

    การระลึกอดีตที่ต้องทำเองก็นั่งสมาธิแล้วย้อนไปเมื่อเช้า เมื่อวาน วานซืน
    ลงไปเรื่อยๆ อายุ10 -9-8-7 ลงไปเรื่อยๆเท่าที่จำความได้ถ้าจำจนถึงว่า
    เราอยู่ในท้องแม่กี่วันมีแขน กี่วันมีขา สภาพภายในครรภ์เป็นยังไงอันนั้นสุด
    ยอดของมนุษย์ ย้อนไปถอยมาแบบนี้ จะรู้อดีตเราได้ บารมีเราทั้งหลายจะมา
    เอง แล้วเมื่อเรามีทุน(บารมี)ที่เราคิดว่าเยอะแล้ว เราสละได้ใหมอันนี้ต้องรู้
    ก่อนนะถึงถามตัวเองว่าสละได้ใหม ไม่ใช่ไม่รู้แล้วบอกสละได้(แล้วยังงี้จะสละ
    อะไรล่ะ) บางคนบอกปลงได้สละได้หมด แต่มันยังระลึกไม่ได้เลยอ่ะ จะสละ
    อะไร เหมือนคนยังไม่ถูกหวยแต่บอกจะซื้อโน่นนี่ถวายเรา พอถูกจริงๆมันเสีย
    ดายเงินที่จะมาซื้อให้เราใหม? เผลอๆบอกถูกน้อยงวยหน้าค่อยถวาย เป็นงั้นไป

    บารมีก็เช่นกัน อิ่มในฌาณ(ผึ้งน้อย)ก็เช่นกัน ขณะที่เสพความอิ่มในฌาณ
    สละได้ใหม เสียดายใหมขณะที่เสพอารมณ์นะไม่ใช่ออกมาแล้วค่อยมาตอบ
    "บางสิ่งเราสละก่อนจะได้บางอย่างมาแทน"

    ส่วนการแผ่บุญของผม ก็แผ่ตามตำราครับ แต่ว่าบุญไหนที่ผมคิดจะทำให้ตัว
    เองก็ตั้งใจแต่แรกๆก่อนทำเลยว่าเราทำเพื่อตัวเอง เวลาแผ่ผมก็แผ่ให้ตัวเอง
    ทั้งในอดีต ปัจจุบันและเพื่ออนาคต โดยมากแผ่ให้ตัวผมเองในอดีต ให้ตัวเอง
    มีความสุขสบายใจ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ทุกข์ใดๆอย่ามาแผ้วพานเถิด แค่นั้นเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...