ประสบการณ์ หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kea.99999, 17 ตุลาคม 2010.

  1. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    คอลัมน์ "อาถรรพณ์ ปาฏิหาริย์" ก็กลับมาพบกับท่านผู้อ่านอีกครั้งในนิตยสาร "ชีวิตต้องสู้" ฉบับต้อนรับเดือนแห่งความรัก โดยมีผม "หงสา ราชาวดี" คอยนำเรื่องราวลี้ลับที่เกิดขึ้นจริงทั้งกับตัวของผู้เขียนเอง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุคคลรอบข้างนำมาเล่าสู่กันฟังโดยไม่มีการเสริมแต่งให้เกินจากความเป็นจริง...!
    รื่องลี้ลับที้จะนำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตัวผู้เขียนเองตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของ "หลวงปู่ทวด" วัดช้างไห้ จังหวัดปัตตานี ที่เกิดปาฏิหาริย์อยู่หลายครั้งจนทำให้ผู้เขียนเกิดความเคารพศรัทธามาจนถึงทุกวันนี้ ดังตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนจะหยิบยกมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเหตุบังเอิญ หรือด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของ "หลวงปู่ทวด" กันแน่ "นะโม โพธิสัตโต อะคันติมายะ อิติภะคะวา" ท่านผู้อ่านที่มีความเคารพเลื่อมใสและศรัทธาในองค์ "หลวงปู่ทวด" คงจะคุ้นเคยกับคาถามงคลนี้กันเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับตัวผู้เขียนเองที่สามารถท่องคาถาบทนี้ได้อย่างขึ้นใจมาตั้งแต่อายุแค่เพียง 4 ขวบ...!
    และเป็นเวลา 50 กว่าปีมาแล้วที่ผู้เขียนได้สวดมนต์บทนี้ทุกวันไม่เคยขาด ทั้งก่อนที่จะเดินทางออกจากบ้าน และทุกค่ำคืนก่อนที่จะเข้านอน ซึ่งจำได้ว่าสมัยที่ยังเป็นเด็กคุณแม่ได้ให้พระมาคล้องคอเราเพื่อความเป็นสิริมงคล และคุ้มครองตัวเราให้พ้นภัยอันตรายทั้งปวง พระที่คุณแม่ให้มา 2 องค์นั้นเป็นพระ "หลวงปู่ทวด" องค์แรกนั้นเป็นเหรียญรูปไข่ด้านหน้าจะเป็นรูปหลวงปู่ทวด ส่วนด้านหลังจะเป็นรูป " หลวงปู่ทิม" ส่วนองค์ที่สองจะเป็นรุ่นที่เขาเรียกกันว่า "รุ่นหลังเตารีด" เป็นพิมพ์นูนทำจากทองเหลืองรูปร่างคล้ายเตารีด สร้างและปลุกเสกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500

    ตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้พบกับอิทธิปาฏิหาริย์ขององค์หลวงปู่ทวดอยู่หลายครั้ง จึงทำให้บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น และทำให้ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งลี้ลับที่ยากจะพิสูจน์ได้ในโลกนี้ยังมีอยู่จริง เพราะได้ประสบเหตุการณ์มากับตัวเราเอง ซึ่งก็เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะอธิบายหรือบอกเล่าให้คนที่ไม่มีความเชื่อถือในเรื่องนี้ได้รับทราบ ดีไม่ดีเขาอาจจะหาว่าเรางมงายไร้สาระไปก็เป็นได้
    ปาฏิหาริย์ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2507 ซึ่งในขณะนั้นตัวผู้เขียนเองกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนสันติราษฎร์บำรุง (ปัจจุบันคือโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย) ถนนศรีอยุธยา กทม. และเหตุการณ์ที่ยากจะลืมเลือนนี้ก็ได้เกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ในเย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน เด็กๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะพากันเล่นอย่างสนุกสนานเพื่อรอเวลาที่ผู้ปกครองจะมารับ ตัวผู้เขียนเองก็มักจะชอบเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ อย่างเพลิดเพลินในบริเวณสนามฟุตบอลของโรงเรียน จนกระทั่งใกล้ค่ำจึงพากันแยกย้ายกลับบ้าน ซึ่งก็เป็นกิจวัตรประจำวันที่เรามักจะทำกันอยู่เสมอ
    ขณะที่เตรียมตัวจะกลับบ้านนั้น ผู้เขียนต้องใจหายวาบเมื่อรู้ตัวว่าพระหลวงปู่ทวดที่เราคล้องคอมาตั้งแต่เริ่มจำความได้นั้นได้ล่วงหล่นหายไปแล้ว และหายไปตั้งแต่เมื่อไรนั้นก็สุดที่คาดเดา ผู้เขียนพยายามนึกทบทวนว่าพระได้หล่นหายไปตอนไหน และมั่นใจว่าจะต้องหล่นไปขณะที่กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ที่สนาม จึงได้เดินค้นหาไปจนทั่วสนามฟุตบอลด้วยใจที่กระวนกระวายและเสียดายเป็นอย่างมาก พยายามค้นหาเท่าไรก็ไม่พบจวบจนแสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้าความมืดมิดเข้ามาปกคลุมจึงได้ตัดสินใจกลับบ้าน ตลอดทางที่เดินกลับบ้านนั้นในใจก็ครุ่นคิดไปตลอดทางว่าจะทำอย่างไรดี นี่ถ้าแม่รู้เข้าก็คงจะดุว่าเราแน่ๆ เพราะพระเป็นของเก่าและคล้องคอเรามาตลอดชีวิต
    เมื่อย่างกรายเข้าประตูบ้านคำถามแรกที่ได้ยินจากแม่ก็คือ "ไปไหนมาถึงได้กลับบ้านค่ำมืดอย่างนี้" ผู้เขียนคิดอยู่ในใจว่าจะบอกแม่ดีหรือไม่ แต่ถ้าไม่บอกสักวันแม่ก็จะต้องรู้จึงตัดสินใจเล่าความจริงให้แม่ฟัง ซึ่งก็ผิดคาดที่คุณแม่ไม่ได้ดุว่าอะไรแล้วยังบอกอีกว่า "ไม่เป็นไรหรอกลูก...พระท่านคงไม่อยากอยู่กับเราถึงได้มีอันเป็นไป" ค่ำคืนวันนั้นผู้เขียนนอนครุ่นคิดอยู่นานจนกระทั่งเผลอนอนหลับไป และคืนนั้นเองจะด้วยความวิตกกังวลที่พระหายไปจนทำให้เกิดฝันประหลาดขึ้นมา ซึ่งแม้กระทั่งความฝันนั้นจะล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ยังจำได้ติดตามาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในฝันนั้นผู้เขียนฝันไปว่าได้เดินอยู่คนเดียวในบริเวณโรงเรียน พลันก็มีชายแก่คนหนึ่งปรากฏร่างขึ้นมา ในฝันยังจำได้ว่าชายแก่คนนั้นมีรูปร่างผอมสูงนุ่งโจงกระเบนและใส่เสื้อสีขาวมีผ้าขาวพาดบ่า ผมยาวมีเคราสีขาววาววับท่าทางเป็นคนใจดี ชายคนนั้นเดินเข้ามาถามผู้เขียนว่า "หนูกำลังหาพระอยู่ใช่ไหม" ผู้เขียนพยักหน้า
    ชายแก่คนนั้นพูดต่อไปอีกว่า "มา...มากับลุง...ลุงจะพาหนูไปหาพระ" พูดแล้วชายแก่คนนั้นก็จูงมือผู้เขียนเดินไปที่สนามฟุตบอลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เรายืนอยู่นัก พอมาถึงบริเวณใกล้กับเสาประตูฟุตบอล ชายแก่คนนั้นก็ชี้ไปที่กอหญ้าข้างเสาประตูแล้วพูดว่า "หนูแหวกกอหญ้านี่ดู...พระหล่นอยู่ตรงนี้" ในความฝันผู้เขียนได้แหวกกอหญ้าออกตามที่ชายแก่บอก ก็เห็นพระหลวงปู่ทวดที่หล่นหายอยู่ในกอหญ้า แล้วความฝันก็จบลงเพียงแค่นั้น พอรุ่งเช้าผู้เขียนรีบตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่แล้วรีบแต่งตัวไปโรงเรียน ในจิตสำนึกยังจำภาพของความฝันได้อย่างแม่นยำ ก่อนจะออกจากบ้านคุณแม่ได้ถามด้วยความแปลกใจว่า ทำไมวันนี้ถึงรีบไปโรงเรียนแต่เช้า ผู้เขียนจึงได้เล่าความฝันให้คุณแม่ฟังแล้วจึงรีบออกจากบ้านเพื่อไปให้ถึงโรงเรียนโดยเร็ว เพราะในใจนั้นมีความต้องการที่จะพิสูจน์ความฝันว่าจะเป็นจริงตามที่เราได้ฝันไปหรือเปล่า
    พอถึงโรงเรียนสิ่งแรกที่ผู้เขียนทำก็คือ รีบตรงดิ่งไปที่สนามฟุตบอลทันที และยืนเพ่งมองตามภาพแห่งความฝันเพื่อทบทวนความทรงจำ ซึ่งลักษณะของพื้นที่และภาพที่เห็นนั้นตรงกับในความฝันทุกอย่าง ผู้เขียนพยายามมองหาจนพบกอหญ้าที่มีลักษณะเหมือนในความฝันไม่มีผิด ไม่รอช้าจึงใช้มือแหวกกอหญ้านั้นออกดู สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา และทำให้เป็นที่แปลกประหลาดใจมากก็คือ เหรียญ "หลวงปู่ทวด" องค์ที่หล่นหายตกอยู่ตรงนี้จริงๆ ผู้เขียนมีความรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ไม่นึกไม่ฝันว่าความฝันของเราจะเป็นจริงไปได้
    เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนพอกลับถึงบ้าน ผู้เขียนได้นำพระหลวงปู่ทวดมาให้คุณแม่ดู แล้วบอกว่าทุกอย่างเป็นไปจริงๆ ตามที่เราฝัน ซึ่งคุณแม่บอกว่าคงจะเป็นบุญของเราจึงได้พระกลับคืนมา และจากนั้นมาผู้เขียนจะเก็บพระหลวงปู่ทวดไว้บูชาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ แม้จะมีใครหลายคนมาขอเช่าให้ราคาสูงมากขนาดไหนผู้เขียนก็จะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปอย่างเด็ดขาด....!
    ปาฏิหาริย์ "หลวงปู่ทวด" เรื่องที่สอง เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวผู้เขียนโดยตรง แต่เกิดขึ้นจริงกับเพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งซึ่งเขาเป็นทหารพรานชื่อว่า "น้อย" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2526 สงครามทางความคิดที่แตกต่างกันทางลัทธิของพรรคคอมมิวนิสต์กำลังแผ่ขยายไปทั่วโลก ประเทศไทยก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังประสบกับปัญหาการแทรกซึม และบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติจากคอมมิวนิสต์ ทั่วทุกภาคของประเทศไทยจะมีการสู้รบกันอย่างหนักระหว่างทหารและพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
    สมรภูมิห้วยโกร๋นจังหวัดน่านในขณะนั้นก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีการสู้รบกันอย่างหนัก "น้อย" ทหารพรานหนุ่มในขณะนั้นก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกส่งเข้าร่วมรบเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย ทหารและตำรวจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องรางของขลังติดตัวเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ทหารพรานน้อยก็เช่นเดียวกัน เขามีพระ "หลวงปู่ทวด" ห้อยคอติดตัวอยู่เพียงองค์เดียว ซึ่งเป็นพระที่เขาเช่ามาในราคาเพียงองค์ละ 1 บาท จากแผงพระริมรั้ววัดมหาธาตุก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวเข้าสู่สมรภูมิเลือด
    วันหนึ่งขณะที่เขากำลังออกลาดตระเวนกับเพื่อนทหารพรานในป่าลึกของจังหวัดน่าน สิ่งที่ไม่ทันได้ระวังตัวก็เกิดขึ้น เมื่อเขาถูกซุ่มโจมตีอย่างหนักจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เสียงปืนดังก้องกังวานสนั่นป่าถี่ยิบ สลับกับเสียงระเบิดเป็นระยะๆ ทหารพรานน้อยถูกคมกระสุนปืน เอ็ม.16 กระหน่ำยิงเข้าใส่เต็มแผ่นหลังหลายสิบนัด เขารู้สึกได้ถึงความรุนแรงของหัวกระสุนปืนที่กระทบร่างของเขาจนเสื้อชุดทหารพรานขาดกระจุย ร่างของทหารพรานน้อยกระเด็นล้มลงกับพื้นดิน เขารู้สึกเจ็บและเสียววาบไปทั่วแผ่นหลัง ในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนอยู่นั้นสิ่งที่เขานึกถึงเป็นอันดับแรกก็คือ "หลวงปู่ทวด" ที่เขาห้อยคอติดตัวอยู่เป็นประจำ
    ทหารพราน "น้อย" กำเหรียญหลวงปู่ทวดไว้แน่นอยู่ในมือ พร้อมอาราธนาให้หลวงปู่ทวดช่วยคุ้มครอง และท่องบทสวดมนต์อยู่ในใจ พอฝ่ายผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ล่าถอยไป เพื่อนทหารต่างพากันกรูเข้ามาช่วยเหลือเขาทันที ภาพที่เห็นกับตาตอนแรกของการยิงต่อสู้กันนั้น ทุกคนคิดว่าเขาต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน แต่ทุกคนก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมากที่คมกระสุนไม่สามารถระคายผิวของทหารพรานหนุ่มคนนี้แม้แต่น้อย ซึ่งตัวเขาเองได้กล่าวอย่างมั่นใจว่าเป็นเพราะพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวด ที่มาปกป้องคุ้มครองจึงทำให้เขารอดชีวิตมาได้อย่างน่าทึ่งนี่ก็เป็นปาฏิหาริย์อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงกับทหารพรานน้อยเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้พระหลวงปู่ทวดที่เขาห้อยคออยู่นั้นจะไม่ได้ผ่านพิธีปลุกเสกมาก่อน และเช่ามาเพียงแค่องค์ละ 1 บาท จากแผงพระริมรั้ววัดมหาธาตุ แต่เมื่อเรามีความเคารพและศรัทธาอย่างแรงกล้าในองค์ท่านแล้ว พุทธานุภาพของท่านก็ย่อมที่จะช่วยปกปักรักษาให้เรารอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง..!<!-- google_ad_section_end -->
     
  2. amar

    amar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +606
    ขอกราบสมเด็จเจ้าพะโค๊ะ
    หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
     
  3. จงอาง

    จงอาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +7,799
    เข้ามาเยี่ยม ครับผม

    มาร่วมติดตาม ฟังบารมี หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ปัตตานี


    จากเด็กปัตตานี
    จงอาง
    โครงการ แจกเหรียญเม็ดแตง หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ปัตตานี ในพลังจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2010
  4. tomlucky

    tomlucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +166
    ศัทธาสร้างปฏิหารย์ ผมเชื่อเลยหละครับ กราบท่านหลวงพ่อทวดด้วยครับ สาธุ
     
  5. Krungchai

    Krungchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +115
    ผมนับถือหลวงปู่ทวดครับ ขอบารมีท่านโปรดเมตตา
     
  6. kungfudarkteam

    kungfudarkteam สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +4
    กลัวพระเสียเลยเจ็บตัว

    พระเครื่องหลวงปู่ทวดเป็นพระเครื่องที่ติดตัวผมเป็นประจำเลยครับ แต่เรื่องดันเกิดตอนที่ไม่ได้แขวนนี่แหละครับ คือเมื่อปี 2553 วันสงกรานต์วันแรกเลยครับ ผมแขวนหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน หลังลายนิ้วมือ ใส่กรอบสแตนเลสธรรมดา ดูทีวีรอเวลาที่จะไปเล่นน้ำ และช่วงสายๆ จะมีรายการ ศึก 12 ราศี ที่หมอลักษณ์ชอบฟันธงอ่ะครับ มีอยู่ช่วงหนึ่งแกบอกว่า ดวงราศีกันย์ช่วงนี้ควรระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุ ให้แขวนหลวงปู่ทวดติดตัวไว้ แต่ผมกำลังจะไปเล่นน้ำพอดีผมก็กลัวว่าน้ำจะเข้าแล้วทำให้พระเสีย ก็เลยถอดไว้บ้าน แล้วก็ออกจากบ้านไปเล่นน้ำขับมอเตอร์ไซด์ไปกับน้อง กับเพื่อนๆ ประมาณ 4-5 คัน ระหว่างก็จะมีคนสาดน้ำ มีอยู่ช่วงหนึ่งผมกำลังจะขับผ่านกลุ่มคนที่กำลังเล่นน้ำอยู่ข้างหน้า ด้วยความกลัวว่าจะโดนน้ำสาดเข้าหน้า เพราะผมเป็นคนขับ เพราะเวลาขับรถผมจะระมัดระวังเป็นอย่างมากและไม่เคยรถล้มเลยสักครั้งเดียว ผมเลยหันหน้าหลบไปทางขวา ความเร็วตอนนั้นอยู่ประมาณ 50-60 กม/ชม พอหันกลับมาเจอกับรถเพื่อนที่ขับอยู่ข้างหน้าเรา ผมว่ามันน่าจะขับประมาณ 40 แล้วมันหันมามองผมว่าจะเปียกน้ำรึเปล่า โดยที่จริงแล้วไม่รู้มันจะมองทำไม ผมก็หักหลบไปทางซ้าย ไม่งั้นมีเจ็บหลายคนแน่ เลยเสียหลักล้ม ตัวไถลไปกับพื้นไป 5 เมตร พอตั้งสติได้เลยรีบลุกขึ้น ดีนะที่ไม่มีรถวิ่งมาตามหลัง ไม่งั้นไม่รู้จะเป็นยังไง ลุกขึ้นมารู้สึกว่าอะไรเย็นๆที่ขา โอ้วววว เลือดครับพี่น้อง!!! ใส่กางเกงขาสั้นอีก เต็มๆเลย เต็มขาเลย เพราะไถลไปกับพื้นถนนลาดยาง คือผิวมันไหม้ อ่ะครับ จนมีสีดำๆ ปนแดงๆ เหอๆๆ แต่น้องที่ซ้อนผมมามีแค่แผลถลอกนิดหน่อยครับ ผมยังเอาฝ่ามือไปลูบเลือดออกอยู่ครับยังไม่เจ็บ มึนๆ แต่พอหนึ่งคืนผ่านไป อ๊ากกกก ลุกแทบไม่ได้ ปีนั้นเลยไม่ได้เล่นน้ำเลย แหมมม!!! หมอลักษณ์แม่นจริงๆ เฮ้อออ แต่ยังไงผมยังศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวดเต็ม 100% ครับ สาธุ!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...