ทหารพระองค์ดำรายงานตัวหน่อยครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย visut_p, 28 สิงหาคม 2008.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    บุคคลหาได้ยากในโลก 1











    [​IMG]

    ปาฐกถาธรรมเรื่อง

    บุคคลหาได้ยากในโลก (ตอนที่ ๒)​

    โดย พระราชญาณวิสิฐ วิ. (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖)

    เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรี (แห่งที่ ๑)​

    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี​

    ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย​


    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๘ เวลา ๐๘.๐๐ น.

    เจริญสุข/เจริญพร ญาติโยมสาธุชนผู้ฟังทุกท่าน
    สำหรับรายการในวันนี้ก็จะได้กล่าวถึง เรื่อง “บุคคลหาได้ยากในโลก” (ตอนที่ ๒) เพื่อร่วมกับทางราชการและองค์กรเอกชนที่จะจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ และถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ เนื่องในมหามงคลสมัยที่พระองค์จะมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา ในปี พ.ศ.๒๕๕๐ และเนื่องในศุภวาระที่ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ศิริราชสมบัติจะครบ ๖๐ ปี ซึ่งทางราชการได้กำหนดให้มีงานพระราชพิธี รัฐพิธี และกิจกรรมเฉลิมฉลองมาตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ศกนี้ เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันไป
    เมื่อครั้งก่อนอาตมภาพได้อัญเชิญพระพุทธดำรัสตรัสเรื่อง “บุคคลหาได้ยากในโลก ๒ จำพวก” คือ
    บุพพการีบุคคล ผู้ได้กระทำอุปการคุณก่อน โดยมิได้หวังผลตอบแทน ๑ และ
    กตัญญูกตเวทีบุคคล ผู้รู้อุปการคุณผู้มีพระคุณแล้วกระทำตอบแทนคุณท่านผู้มีพระคุณ อีก ๑
    ดังเช่น มารดาบิดา เป็นบุพพการีบุคคลของบุตร พระอุปัชฌาย์ ครู/อาจารย์ เป็นบุพพการีบุคคลของสัทธิวิหาริก อันเตวาสิก หรือลูกศิษย์ คุณพระศรีรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสงฆ์เจ้า เป็นพระมหาบุพพการีของพุทธศาสนิกชน และพระมหากษัตราธิราชเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ เป็นพระมหาบุพพการีบุคคลของปวงชน ดังนี้ ล้วนเป็นบุคคลดีที่หาได้ยากในโลก (ประเภทที่ ๑)
    สำหรับบุพพการีบุคคล คือ คุณมารดาบิดา คุณพระอุปัชฌาย์ ครู/อาจารย์ และคุณพระศรีรัตนตรัย นั้น ได้กล่าวรายละเอียดมาพอสมควรไปแล้ว ในรายการก่อนๆ สำหรับรายการในวันนี้ จะขอกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตราธิราชเจ้า ผู้ทรงคุณประเสริฐของไทยเรา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาบารมีแก่ผู้สนใจในธรรม ตามสมควรแก่เวลาต่อไป
    เริ่มที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตราธิราชเจ้าของไทยเรา ผู้เสด็จอุบัติขึ้นเพื่อชาติไทยเมื่อ ๔๕๐ ปีที่ล่วงมาแล้ว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ยอดนักรบแห่งแผ่นดิน เพื่อผืนแผ่นดินไทยโดยแท้ ทรงทุ่มเทชีวิตเป็นเดิมพัน ได้ทรงเสียสละ อุทิศทุ่มเทกำลังพระวรกายและพระราชหฤทัย เพื่อกอบกู้เอกราชของชาติไทยให้กลับคืนมาได้สำเร็จ เป็นอิสระโดยสมบูรณ์ เมื่อ พ.ศ.๒๑๒๗ หลังจากที่สยามประเทศ โดยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้น ได้สูญเสียอำนาจมาเป็นเวลา ๑๕ ปี
    เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ผู้ครองกรุงศรีอยุธยา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สถาปนาขุนพิเรนทรเทพขึ้นเป็นเจ้า ทรงพระนามว่า พระมหาธรรมราชา พร้อมด้วยพระราชทานพระวิสุทธิกษัตรีพระราชธิดาให้เป็นพระอัครมเหสีแล้ว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นไปครองหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้ง ๖ อยู่ ณ เมืองพิษณุโลก
    พระโอรสและพระธิดาของพระมหาธรรมราชากับพระวิสุทธิกษัตรี ทั้ง ๓ พระองค์ทรงเป็นชาวพิษณุโลกโดยกำเนิด และทรงเป็นเชื้อสายกษัตริย์ทั้งพระราชวงศ์พระร่วงสุโขทัยกับทั้งพระราชวงศ์กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้นเสด็จสมภพ เมื่อปีเถาะ พ.ศ.๒๐๙๘ ฝรั่งเรียกในจดหมายเหตุว่า The Black Prince “พระองค์ชายดำ” มีพระพี่นางทรงพระนามว่า “พระสุพรรณกัลยาณี” ประมาณว่าพระชันษาแก่กว่าสมเด็จพระนเรศวร ๓ ปี และมีพระอนุชาพระนามว่า “พระเอกาทศรถ” พระชนมายุจะอ่อนกว่าสมเด็จพระนเรศวร ๓ ปี ฝรั่งเรียกว่า The White Prince “พระองค์ชายขาว
    ครั้นถึง ปี พ.ศ.๒๑๐๖ ได้เกิดศึกหงสาวดีชื่อว่า “สงครามช้างเผือก” ขณะนั้นเป็นเวลาที่สมเด็จพระนเรศวรเพิ่งจะเจริญวัยขึ้น ๘ ขวบ ก็ทรงต้องเผชิญกับความคับขันอย่างแสนสาหัสจากสงคราม ที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองได้กรีฑากองทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยา ราชธานีของไทย โดยได้แบ่งกำลังกันเข้าตีหัวเมืองฝ่ายเหนือก่อน เพื่อตัดกำลังเสบียงอาหารที่จะส่งไปช่วยราชธานี พระมหาธรรมราชานั้นแม้จะทรงทราบกำลังอันมหาศาลของกองทัพพม่า ก็สู้อุตส่าห์รวบรวมกำลังต่อสู้ป้องกันเมืองอย่างสุดชีวิต ผลสุดท้ายน้ำน้อยก็แพ้ไฟ พระมหาธรรมราชาจึงได้ตกลงยอมเจรจาสงบศึก เพื่อถนอมกำลังพลไว้มิให้เสียหายไปมากกว่านี้ เมืองพิษณุโลกจึงตกเป็นของพม่าตั้งแต่กาลนั้น พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองจึงเสนอให้พระมหาธรรมราชากับเจ้าเมืองกรมการกระทำสัตย์ แล้วทรงมอบให้ปกครองบังคับบัญชาผู้คนพลเมืองอยู่ตามเคย แล้วจัดกองทัพลงมาตีกรุงศรีอยุธยา
    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ผู้ครองกรุงศรีอยุธยาได้ตรัสปรึกษาข้าราชการเห็นว่า ไม่มีทางที่จะเอาชนะข้าศึกได้แล้ว ควรยอมเป็นไมตรีเสียโดยดี แม้จะต้องเสียสินไหมอย่างใดบ้างก็ยังมีประมาณ ดีกว่าให้ข้าศึกล้างผลาญบ้านเมืองจนเสียหายหมดสิ้น จึงทรงยอมรับเป็นไมตรี คือ ยอมแพ้แต่โดยดี พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองจึงทรงเรียกค่าไถ่สินไหมเอาตามปรารถนา ได้ทรงขอช้างเผือกไปด้วย ๔ เชือก และได้เชิญเสด็จสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไปอยู่กรุงหงสาวดีอย่างเป็นตัวจำนำ ๒๓ ปี และได้ตรัสขอสมเด็จพระนเรศวรต่อพระมหาธรรมราชา ว่าจะเอาไปเลี้ยงเป็นราชบุตรบุญธรรมด้วย แท้ที่จริงคือเอาไปเป็นตัวจำนำหรือตัวประกันนั่นเอง ซึ่งพระมหาธรรมราชาก็จำเป็นต้องยอมถวาย
    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงได้ทรงมอบเวนราชสมบัติให้สมเด็จพระมหินทราธิราชครองกรุงศรีอยุธยาต่อมา
    เป็นอันว่า สมเด็จพระนเรศวรหรือพระองค์ชายดำจำต้องประสบชะตากรรม คือ ต้องพลัดพรากจากพระบิดรพระมารดา ไปอยู่หงสาวดีเมืองพม่ารามัญในฐานะตัวประกันตั้งแต่ พ.ศ.๒๑๐๗ ขณะเมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๙ ขวบ
    ต่อจากนั้น พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองก็ได้สถาปนาพระมหาธรรมราชาขึ้นเป็น เจ้าฟ้าศรีสรรเพ็ชญ์ (พงศาวดารพม่าว่า “เจ้าฟ้าสองแคว”) เป็นเจ้าประเทศราชปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงขึ้นตรงต่อกรุงหงสาวดี มิต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของสมเด็จพระมหินทราธิราชอีกต่อไป
    ต่อมาเมื่อเดือน ๑๑ ปีมะโรง พ.ศ.๒๑๑๑ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองก็ได้ยกทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีก เวลานั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปอยู่เมืองหงสาวดีได้ ๔ ปีเศษแล้ว พระชันษา ๑๓ ย่างเข้าปีที่ ๑๔ ทรงเป็นหนุ่มแล้ว พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองนั้นตั้งกองทัพล้อมพระนครศรีอยุธยาเป็นเวลานานถึง ๘ เดือน เสียไพร่พลล้มตายเป็นอันมาก ก็ยังตีเอาพระนครไม่ได้ จึงใช้อุบายเกลี้ยกล่อมพระยาจักรีที่ถูกเอาไปกรุงหงสาวดีเมื่อสงครามคราวก่อนให้เป็นไส้ศึก เข้าไปทำลายกำลังของพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระมหินทราธิราชไม่ทรงทราบว่าเป็นอุบายของข้าศึก เพราะเคยเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ในครั้งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และได้เคยเป็นหัวหน้าบัญชาการรบต่อสู้ศึกหงสาวดีอย่างแข็งแรงมาก่อน จึงทรงให้รับพระยาจักรีเข้ามาและให้ทำหน้าที่บัญชาการรบ พระยาจักรีเมื่อมีสิทธิขาดในการบัญชาการรบ ก็ใช้อุบายสับเปลี่ยนหน้าที่แม่ทัพนายกองเพื่อลดกำลังรักษาพระนครจนอ่อนกำลังลงแล้ว ก็ลอบส่งสัญญาณไปให้พระเจ้าหงสาวดีส่งกำลังเข้าโจมตีพระนครศรีอยุธยา จนสยามประเทศต้องเสียพระนครศรีอยุธยาราชธานีแก่ข้าศึก เมื่อวันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๑๑๒ เพราะไทยคิดคดทรยศกันเอง และเพราะหลงกลอุบายของข้าศึก แต่งตั้งพระยาจักรีผู้เป็นไส้ศึกของศัตรู ผู้แกล้งแสดงตนเป็นมิตร ให้เป็นผู้บัญชาการรบ ไส้ศึกผู้ไม่จงรักภักดีต่อแผ่นดินก็ได้โอกาส รู้ตื้นลึกหนาบาง รู้จุดอ่อนจุดแข็ง กำลังกองทัพ แล้วยักย้ายถ่ายเทกำลังกองทัพของเราให้อ่อนกำลังลงจนต้องเสียพระนคร สูญเสียเอกราชของชาติไทยไปนานถึง ๑๕ ปี
    จิตสันดานของคนอกตัญญู ไม่รู้คุณแผ่นดิน ไม่รู้คุณประเทศชาติอันเป็นที่อยู่อาศัยของตน และเป็นที่ทำมาหากินเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัวอย่างนี้ แม้ทางการบ้านเมืองจะทุ่มเทให้ความอุปการะเลี้ยงดูดีเพียงใด แม้ถึงว่าจะยกสมบัติให้หมดทั้งแผ่นดิน ก็ยังไม่สามารถจะทำให้คนอกตัญญูพอใจ กลับใจมารู้คุณและจงรักภักดีต่อแผ่นดิน-ต่อชาติบ้านเมืองคืนได้เลยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัส(ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๗๒/๒๓) ว่า
    <TABLE width="48%" align=center><TBODY><TR><TD width="12%"></TD><TD width="42%">“อกตญฺญุสฺส โปสสฺส</TD><TD width="46%">นิจฺจํ วิวรทสฺสิโน</TD></TR><TR><TD></TD><TD>สพฺพญฺเจ ปฐวี ทชฺชา </TD><TD>เนว นํ อภิราธเย.”</TD></TR><TR><TD colSpan=3>“ถึงใครๆ จะพึงให้สมบัติในแผ่นดินทั้งหมดแก่คนอกตัญญู ผู้มีปกติมองหาโทษ (ผู้อื่น) อยู่เป็นนิตย์ ก็ยังคนอกตัญญู (เขา) ให้พอใจไม่ได้” </TD></TR></TBODY></TABLE>ประวัติศาสตร์นี้ และยังมีตัวอย่างให้เห็นอย่างนี้ต่อๆ มาอีก น่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนการบริหารราชการแผ่นดินแก่อนุชนรุ่นหลัง ให้รู้จักระมัดระวังภัยจาก อกตัญญูบุคคล เช่น พระยาจักรีนี้ได้เป็นอย่างดี จะได้ไม่หลงทาง และตัดสินใจผิดพลาดซ้ำๆ ซากๆ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติของเราได้อีกต่อไป
    พระเจ้ากรุงหงสาวดีนั้นประสงค์จะให้พระมหาธรรมราชาครองกรุงศรีอยุธยาต่อไป จึงได้โปรดให้ทำพิธีปราบดาภิเษกยกสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระบรมชนก ขึ้นครองราชย์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินครองกรุงศรีอยุธยา ในฐานะประเทศราชของพม่า เมื่อเดือนอ้าย ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๑๑๒ นั้นเอง
    เป็นอันว่า กรุงศรีอยุธยาได้ตกเป็นประเทศราชของพม่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเป็นเวลาถึง ๑๕ ปี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงได้ทรงกอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาได้สำเร็จ เมื่อ พ.ศ.๒๑๒๗
    สมเด็จพระนเรศวรขณะที่ประทับอยู่ ณ กรุงหงสาวดีนั้น พระองค์ได้ถูกกษัตริย์และบรรดาเจ้านายพม่าเหยียบหยามย่ำยีพระเกียรติยศ ซ้ำยังถูกข่มขู่จะเอาพระชนม์ชีพ เพราะพระองค์ทรงชำนาญในราชกรีฑาต่างๆ เช่น ทรงม้า ล่าสัตว์ ชนช้าง ฯลฯ เก่งกว่าพระเจ้าหงสาวดีเสียอีก เจ้าชายผู้ทรงพระเยาว์ (สมเด็จพระนเรศวร) จึงทรงเจ็บช้ำในพระราชหฤทัย และได้ทรงดำริกับคนสนิทที่ติดตามไปอยู่รับใช้เนืองๆว่า
    เราจะมานั่งน้อยหน้าอยู่ในบ้านเมืองเขา ให้เขาดูหมิ่นอย่างนี้ ไม่สมควร จำจะคิดอุบายหนีไปให้จงได้
    แล้วพระองค์ก็ทรงรวบรวมไพร่พลได้จากบรรดาพรานป่าและโจรป่า รวมกับไพร่พลที่เป็นข้าหลวงเดิมของพระองค์ที่ติดตามไปถวายการรับใช้จากเมืองพิษณุโลก รวมได้ประมาณ ๖๐๐ คนเศษ แล้วพากันหลบหนีออกจากกรุงหงสาวดีในค่ำคืนวันหนึ่ง ในปี พ.ศ.๒๑๑๓ ไปทรงตั้งหลักอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๕ พรรษา
    ในปี พ.ศ.๒๑๑๔ เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช แห่งกรุงศรีอยุธยา พระราชบิดาก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระนเรศวร พระราชโอรสองค์ใหญ่เป็นมกุฎราชกุมาร และทรงมอบให้ไปครองเมืองพิษณุโลก มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง
    ต่อจากนั้น สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงออกทำสงครามกับศัตรูผู้รุกรานตลอดมา ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้เสด็จออกศึกสงครามใหญ่ถึง ๑๕ ครั้ง ดังตัวอย่างศึกสงครามครั้งสำคัญๆ ต่อไปนี้
    ในปี พ.ศ.๒๑๒๖ ตรงกับวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม ได้เป็นแม่ทัพไปช่วยหงสาวดีรบกับอังวะ ตามคำสั่งของพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ซึ่งขณะนั้นกำลังระแวงว่า สมเด็จพระนเรศวรจะไปเข้าพวกกับพระเจ้าอังวะ จึงตรัสสั่งให้พระมหาอุปราชาคุมพลอยู่รักษาเมืองหงสาวดี ด้วยอุบายว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมาถึงก็ให้พระมหาอุปราชาทำเป็นต้อนรับด้วยดี แล้วคิดกำจัดเสีย ครั้นสมเด็จพระนเรศวรซึ่งนำกองทัพเดินทางจากพิษณุโลก มาถึงเมืองแครง ต่อแดนไทยพม่า เมื่อวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ.๒๑๒๗ ก็เสด็จไปเยี่ยมและถวายนมัสการพระมหาเถรคันฉ่องถึงกุฏิ ด้วยความที่ทรงคุ้นเคยกันมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องจึงขยายความลับถวายสมเด็จพระนเรศวรให้ทรงทราบ
    สมเด็จพระนเรศวร ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ได้ทรงดำริว่า ความที่เป็นอริกับพระเจ้าหงสาวดีถึงเวลาที่จะต้องให้เป็นการเปิดเผยแล้ว จึงมีรับสั่งให้เรียกแม่ทัพนายกอง อีกทั้งพระยาเกียรติและพระยาราม ที่พระมหาอุปราชารับสั่งให้มาคอยต้อนรับ และเจ้าเมืองกรมการให้มาประชุมพร้อมกันที่พลับพลา ทรงให้นิมนต์พระสงฆ์มานั่งเป็นสักขีพยานด้วย แล้วทรงเล่าความที่พระเจ้าหงสาวดีจะล่อลวงไปทำร้ายให้ปรากฏแก่คนทั้งปวง แล้วทรงหลั่งทักษิโณทกจากพระสุวรรณภิงคารลงสู่พื้นปฐพี ทรงประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินต่อหน้าที่ประชุมทั้งปวงว่า
    “ตั้งแต่วันนี้ กรุงศรีอยุธยาขาดทางไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรกันดังแต่ก่อน ต่อไป”
    เป็นอันว่าประเทศไทย ได้กลับเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อพม่าอีกต่อไป ตั้งแต่กาลนั้น (พ.ศ.๒๑๒๗) เป็นต้นมา
    ต่อมาอีก ๓ ปี สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระราชบิดาก็เสด็จสวรรคตลงใน ปี พ.ศ.๒๑๓๓ สมเด็จพระนเรศวร พระราชโอรสองค์ใหญ่ “วังหน้า” องค์แรกของประเทศไทย ก็ทรงได้รับราชสมบัติสืบต่อมา เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๑๓๓ ขณะเมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา นับเป็นรัชกาลที่ ๑๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา
    พอสมเด็จพระนเรศวรทรงก้าวขึ้นสู่ราชบัลลังก์ได้เพียง ๔ เดือน ก็ต้องเผชิญศึกใหญ่ พม่ายกเข้ามารุกราญอีก ในช่วงผลัดแผ่นดินใหม่ สมเด็จพระนเรศวรปรับขบวนยุทธใหม่ทันที และเอาชนะกองทัพพม่าได้อย่างงดงาม
    ต่อมาในปี พ.ศ.๒๑๓๕ พม่าเตรียมยกกองทัพใหญ่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาเป็นการแก้มืออีก นั่นคือ “สงครามยุทธหัตถี” ณ ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขณะนั้นมีพระชนมายุ ๓๗ พรรษา ได้ทรงช้างพระที่นั่งขึ้นระวางเป็น “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงช้างพระที่นั่งขึ้นระวางเป็น “เจ้าพระยาปราบไตรจักร” ทรงนำกองทัพเข้าตีข้าศึก ช้างทรงพระที่นั่งทั้งสองต่างแล่นออกไล่ข้าศึกจนถลำลึกเข้าไปในกองทัพหลวงของข้าศึกโดยลำพัง และได้ทรงกระทำยุทธหัตถี คือ ชนช้างรบกันบนคอช้าง ครั้งแรกช้างทรงของพระมหาอุปราชาได้เปรียบ พระมหาอุปราชาจึงทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบพระแสงของ้าว จึงเพียงแต่ฟันถูกปีกพระมาลาขาด ต่อมาช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรก็ได้เปรียบ สมเด็จพระนเรศวรจึงได้ทรงฟันถูกพระมหาอุปราชาด้วยพระแสงของ้าวขาดสะพายแล่งซบสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง พระแสงที่ใช้ฟันพระมหาอุปราชาจึงชื่อว่า “พระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย” พระมาลาที่ทรงก็ได้นามว่า “พระมาลาเบี่ยง
    มหาวีรกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ทรงทำสงครามยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชา แม่ทัพพม่าในครั้งนั้น ได้บันดาลให้ราชอาณาจักรไทยแผ่ไพศาล อาณาประชาราษฎร์อยู่กันด้วยความผาสุก ร่มเย็น เป็นเวลาช้านานอีกต่อมาเป็นเวลากว่า ๑๖๐ ปี ไม่มีอริราชศัตรูจากแดนใดกล้าบังอาจมารุกรานบ้านเมืองเราเลย เป็นข้อที่อนุชนคนไทยทั้งชาติจะต้องจดจำ จารึกไว้ในหัวใจตลอดไปตราบชั่วกาลนาน
    ศึกครั้งสุดท้ายในบั้นปลายพระชนม์ชีพ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงยกกองทัพหลวงพร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถพระอนุชาธิราชคู่พระทัย ออกจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๖ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ.๒๑๔๗ ไปเมืองเชียงใหม่ เพื่อจะไปปราบพระเจ้าอังวะ ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงที่กำลังตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองพม่าเหนือ และได้บุกรุกเข้ามาตีเมืองนายและเมืองแสนหวีไทยใหญ่ซึ่งมาขึ้นอยู่แก่ไทย ครั้นเสด็จถึงเมืองหาง (เมืองห้างหลวง) เมื่อปลายเดือน ๕ ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๑๔๘ และเสด็จประทับแรมอยู่ ณ ตำบลทุ่งแก้ว ก็ทรงประชวรหนักเป็นหัวละลอกที่พระพักตร์ สมเด็จพระเอกาทศรถได้รีบเสด็จมาเฝ้าและถวายการพยาบาลสมเด็จพระเชษฐาธิราชอยู่ ๓ วัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๑๔๘ พระชันษาได้ ๕๐ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๕ ปี สมเด็จพระเอกาทศรถจึงเลิกทัพ เสด็จนำพระบรมศพสมเด็จพระเชษฐาธิราชกลับคืนมายังพระนครศรีอยุธยา
    สมเด็จพระนเรศวรมหาวีรราชเจ้า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ยอดนักรบ ผู้ทรงทุ่มเทพระชนม์ชีพด้วยความเสียสละเพื่อกอบกู้เอกราชของสยามประเทศให้กลับคืนมาให้ได้สำเร็จ นับตั้งแต่พระราชสมภพจวบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ ได้ทรงอุทิศพระองค์กระทำสงครามกู้ชาติ เพื่อให้ได้อิสรภาพกลับคืนมา เพื่อความสันติสุขของปวงประชาราษฎร อย่างยากที่จะหาพระมหากษัตราธิราชพระองค์ใดในโลกจะเสมอเหมือน ทรงตรากตรำพระวรกายในศึกสงครามกู้ชาติจนตลอดพระชนม์ชีพ โดยมิได้ทรงย่อท้อต่อความเหนื่อยยากและภยันตรายใดๆ ได้เสด็จเข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่พระชันษายังไม่ครบ ๒๐ ปี ทรงออกสู้รบอริราชศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารทั้งปวงด้วยพระราชหฤทัยกล้าหาญ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้ทรงออกสงครามใหญ่ถึง ๑๕ ครั้ง แม้อริราชศัตรูจะทุ่มเทกำลังรบเข้ามามากเพียงใด แต่ด้วยพระสติปัญญาธิการชำนาญในยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการรบ กอปรด้วยพระมหาบุญญาธิการ พระองค์ก็ทรงจัดกระบวนรบด้วยยุทธวิธีที่แยบยลเอาชนะข้าศึกศัตรูได้ทุกครั้ง และทรงสามารถกอบกู้อิสรภาพสยามประเทศ ให้ได้เอกราชกลับคืนมาอย่างสง่างาม หลังจากที่ได้เคยตกเป็นประเทศราชของพม่ามานานถึง ๑๕ ปี ให้ปวงประชาชาวไทย ได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมาเป็นเวลานานถึงกว่าศตวรรษครึ่ง (๑๖๐ ปี)
    สมเด็จพระนเรศวรมหาวีรราชเจ้า จึงทรงเป็นทั้งพระมหาบุพพการีบุคคล และทรงเป็นทั้ง “พระมิ่งขวัญ” ของปวงชนชาวไทยทั้งปวงตลอดมา และตลอดไปชั่วกาลนาน ด้วยประการฉะนี้
    อนึ่ง เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่า ในการกอบกู้เอกราชชาติบ้านเมืองก็ดี การปกครองดูแลอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขและปลอดภัยก็ดี การบริหารราชการแผ่นดินเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชนก็ดี ที่จะได้ผลสำเร็จด้วยดีมีประสิทธิภาพสูงนั้น ล้วนเป็นไปด้วยความผูกพันอุปการะเกื้อหนุนกันอย่างแน่นแฟ้น ของสถาบันหลักทั้ง ๓ คือ สถาบันชาติ ๑ สถาบันพระพุทธศาสนา ๑ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ๑ เป็นสำคัญ ดังตัวอย่างเช่น
    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงได้พระมหาเถรคันฉ่องช่วยบอกข่าวกลลวงของข้าศึก และทรงได้สมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว มหาสังฆนายก กับพระเถรานุเถระผู้ทรงคุณวุฒิ-ทรงคุณธรรม ถวายพระพรเสนอแนะแนวทางการบริหารการปกครองให้เป็นไปในทางที่เป็นผลดีแก่ชาติบ้านเมือง เหล่าทหารหาญผู้ออกรบทัพจับศึกสู้ศัตรูหมู่ปัจจามิตร ก็ล้วนแต่มีพระพุทธรูปบูชาติดตัวไว้เป็นขวัญเป็นกำลังใจด้วยกันทั้งนั้น และแม้ธงชัยเฉลิมพลประจำกองทัพต่างๆ ที่ทหารหาญของชาติเคารพ เทิดทูน และต้องรักษาไว้ด้วยชีวิต ก็ยังต้องมี “พระยอดธง” ประดิษฐานอยู่บนยอดธงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจทหารทั้งกองทัพทุกกองทัพมาตราบเท่าทุกวันนี้
    สถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงผูกพันเกื้อกูลกันอย่างแน่นแฟ้นมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ความเจริญและความมั่นคงของสถาบันหลักทั้ง ๓ จึงเป็นหัวใจสำคัญของประเทศชาติไทยของเราโดยแท้
    สมเด็จพระบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่งของประเทศชาติไทยเราในปัจจุบันนี้ ก็ทรงมีพระมหาอุปการคุณอย่างยิ่งใหญ่แก่ปวงชนชาวไทยเฉกเช่นพระมหาบุรพกษัตราธิราชเจ้า ของไทยเราแต่โบราณกาล นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ ด้วยพระราชปณิธานว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ตลอดมา จนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลาร่วม ๖๐ ปี แล้วนี้ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจจานุกิจ โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ พระมหาราชินีคู่พระบารมี ด้วยความมั่นคงในพระราชปณิธานนั้นมาโดยตลอด กล่าวคือ ได้ทรงประกอบพระราชจริยาวัตรอันงดงามด้วยขัตติยราชประเพณี และด้วยทศพิธราชธรรมมาโดยตลอดเป็นปกติ จึงทรงสามารถนำความร่มเย็นและสันติสุขมาสู่ปวงพสกนิกรได้เป็นอย่างดี ทรงช่วยแก้ปัญหาและช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขพสกนิกรทุกหมูเหล่า ด้วยพระราชอัจฉริยะ พระปัญญาอันสุขุมคัมภีรภาพ และพระบารมี เมื่อทรงทราบความทุกข์เดือดร้อนของพสกนิกร ณ ท้องที่ใด จะอยู่ห่างไกล ขัดสนกันดารเพียงใด พระองค์ผู้ทรงคุณประเสริฐก็เสด็จไปทรงช่วยเหลือแก้ไขด้วยความอุตสาหะวิริยะ และด้วยพระปรีชาสามารถ โดยไม่ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากพระวรกาย ทั้งทรงริเริ่มและดำเนินโครงการในพระราชดำริเพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ได้มีสัมมาอาชีวะ ให้สามารถเลี้ยงตัวได้ และให้ได้อยู่ดีกินดีอย่างทั่วถึงทุกภาค นับว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ ผู้ทรงคุณอันประเสริฐทั้ง ๒ พระองค์ของเรานี้ ได้เสริมสร้างประเทศชาติไทยให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ไพบูลย์ให้แก่พสกนิกรของพระองค์ ได้มีความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุข เป็นที่ประจักษ์ตา ประทับใจ และเป็นที่เลื่องลือขจรขจายไปทั่วนานาอารยประเทศ อันเราชาวไทยทั้งหลายต่างน้อมใจสมานฉันท์เป็นดวงเดียวกัน ถวายพระเกียรติยศแด่พระองค์ท่านว่า “สมเด็จพระภัทรมหาราช” ผู้ทรงเป็น “พระมหาบุพพการีบุคคล” ของปวงชนชาวไทย อีกพระองค์ ๑ ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยเรา

    บุพพการีบุคคล จัดเป็นคนดีที่หาได้ยากในโลก จำพวก ๑
    ในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้เสด็จขึ้นครองราชย์จะครบ ๖๐ ปี ในเดือนมิถุนายนศกหน้า และจะทรงมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา ในปี พ.ศ.๒๕๕๐ ที่เราชาวไทยทั้งปวง อีกทั้งชาวต่างชาติต่างศาสนาที่ได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระมหากษัตราธิราชเจ้าของไทย ทุกท่านจะพึงแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ท่าน โดยการประกอบแต่สัมมาอาชีวะ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่แต่ในคุณความดี มีศีล มีธรรม ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ประเทศชาติประชาชนที่อยู่ร่วมกัน ชื่อว่าเป็น “กตัญญูกตเวทีบุคคล” คือ ผู้รู้อุปการคุณผู้มีพระคุณ และรู้จักตอบแทนคุณผู้มีอุปการคุณแก่ตน จัดว่าเป็นคนดีที่หาได้ยากในโลก อีกจำพวก ๑
    ในวโรกาสอันเป็นมหามงคลนี้ ขอทุกท่านจงตั้งกัลยาณจิต อธิษฐาน ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก สากลธรรม และบุญกุศลที่เราได้ประกอบบำเพ็ญมาด้วยดีแล้วนี้ จงเป็นพลวปัจจัยแด่สมเด็จพระบรมบพิตร พระมหาราชเจ้า ให้ทรงมีพระวรรณะผ่องใส ทรงมีพระเกษมสำราญ ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงปราศจากความทุกข์ โศก และโรคภัยทั้งปวง
    ขอความเจริญทั้งหลาย พระราชประสงค์ทั้งปวง พระพรชัยและมิ่งมงคลทั้งมวล อีกทั้งสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาทุกประการ จงบังเกิดสำเร็จแด่สมเด็จพระบรมบพิตร พระมหาราชเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ตลอดกาลเป็นนิตย์ และขอจงทรงสถิตสถาพรในไอศูรย์สิริราชสมบัติ เป็นร่มโพธิ์ทองปกเกล้าปกกระหม่อมปวงพสกนิกร ให้มีความเจริญรุ่งเรือง ร่มเย็น และสันติสุข โดยทั่วหน้ากัน ตลอดกาลนานเทอญ ขอถวายพระพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2010
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    บุคคลหาได้ยากในโลก 2











    [​IMG]

    ปาฐกถาธรรมเรื่อง

    บุคคลหาได้ยากในโลก
    (ตอนที่ ๔)

    โดย พระราชญาณวิสิฐ วิ. (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖)

    เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรี (แห่งที่ ๑)

    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

    วันอาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ เวลา ๐๘.๐๐ น. ​
    เจริญสุข/เจริญพร ญาติโยมสาธุชนผู้ฟังทุกท่าน

    วันนี้อาตมภาพก็ได้มาพบกับญาติโยมสาธุชนอีกเช่นเคย ในรายการปาฐกถาธรรม เรื่อง “บุคคลหาได้ยากในโลก” (ตอนที่ ๔) สำหรับรายการในวันนี้จะได้กล่าวถึงในหลวงผู้ทรงคุณประเสริฐของเราผู้เป็นบุพพการีบุคคล คือ บุคคลผู้กระทำมหาอุปการคุณแก่พสกนิกรชาวไทยในยุคปัจจุบัน ว่าทรงเป็นบุคคลหาได้ยากในโลก
    เนื่องในมหาศุภวรมงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ของเรา ได้มีพระราชสมภพในวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๐ ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ถึง ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ปีนี้ มีพระชนมายุ ๗๘ พรรษา และกำลังจะถึงพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา ในปี พ.ศ.๒๕๕๐
    ได้เสด็จขึ้นดำรงสิริราชสมบัติมาตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ มาจนถึงปีนี้ (พ.ศ.๒๕๔๘) สิริรวมเข้าปีที่ ๖๐ แล้ว ซึ่งนับว่ายาวนานที่สุดในโลก และนานกว่าพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ (นสพ.สยามรัฐ ๖ ธันวาคม ๒๕๔๘, หน้า ๒) กล่าวคือ
    1. ในหลวงรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ทรงครองราชย์นาน ๒๗ ปี พระชนมายุ ๗๒ พรรษา
    2. รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงครองราชย์ ๑๕ ปี พระชนมายุ ๕๖ พรรษา
    3. รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ ๒๗ ปี พระชนมายุ ๖๓ พรรษา
    4. รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ ๑๗ ปี พระชนมายุ ๖๔ พรรษา
    5. รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระปิยมหาราช) ทรงครองราชย์ ๔๒ ปี พระชนมายุ ๕๗ พรรษา
    6. รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ ๑๕ ปี พระชนมายุ ๔๔ พรรษา
    7. รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ ๙ ปี พระชนมายุ ๔๘ พรรษา
    8. รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงครองราชย์ ๑๒ ปี พระชนมายุ ๒๑ พรรษา
    9. รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงครองราชย์ ๖๐ ปี พระชนมายุ (นับถึง ๕ ธันวาคม ปี พ.ศ.๒๕๔๘ นี้) สิริรวม ๗๘ พรรษา แล้ว
    ในวาระอันเป็นมหามงคลนี้ ปวงชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศ และแม้ที่อยู่ในต่างแดน รวมทั้งชาวต่างประเทศที่ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทั้งพระภิกษุสงฆ์สามเณรทั่วทั้งสังฆมณฑล ข้าราชการทุกหมู่เหล่า และพ่อค้าประชาชนทั้งปวง ต่างชื่นชมโสมนัส และร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ถวายพระพรชัยมงคล และต่างบำเพ็ญกุศล ได้แก่ ทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล ตามฐานะของตนๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงคุณประเสริฐของเราโดยทั่วหน้า มาตั้งแต่ต้นปีนี้ และยังจะดำเนินยิ่งขึ้นต่อๆ ไปอีกจนถึงปี พ.ศ.๒๕๔๙ อันเป็นปีที่เสด็จครองราชย์ครบ ๖๐ ปี และถึงพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ในปี พ.ศ.๒๕๕๐
    นับเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีและความจงรักภักดีอย่างเปี่ยมล้นหัวใจของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณประเสริฐ ผู้ทรงเป็นพระมิ่งขวัญ ทรงเป็นที่รักเทิดทูนอย่างยิ่งของปวงชนชาวไทย เพื่อขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระเกษมสำราญ และขอให้พระองค์ทรงสถิตสถาพรในไอศูรย์สิริราชสมบัติยิ่งๆ ขึ้นไปและตลอดไป ด้วยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานี้ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณประเสริฐยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ของประเทศใดๆ ในโลก กล่าวคือ นับตั้งแต่ที่พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชสัจจปณิธานแก่ปวงชนชาวไทย ในพระปฐมบรมราชโองการ ในวันเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจจานุกิจ ด้วยความมั่นคงในพระราชสัจจปณิธานนั้นมาโดยตลอด กล่าวคือ ได้ทรงประกอบพระราชจริยาวัตรอันงดงามด้วยขัตติยราชประเพณี และด้วยทศพิธราชธรรม คือ
    ๑. ทาน คือ การให้ทรัพย์สินหรือสิ่งของ จะเห็นได้จากการที่พระองค์ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยบำบัดทุกข์ เช่น ช่วยแก้ปัญหาการจราจร และช่วยบำรุงสุขแก่ประชาชน โดยทรงริเริ่มและดำเนินโครงการในพระราชดำริต่างๆ เพื่อช่วยส่งเสริมอาชีพประชาชนผู้ยากไร้ในภาคต่างๆ เป็นต้น
    ๒. ศีล คือ ทรงประพฤติปฏิบัติทางพระวรกายแต่ความประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม ทางพระวาจา ด้วยความจริงพระราชหฤทัย ด้วยพระวาจาที่สุภาพเรียบร้อย ที่สมานไมตรี และที่เป็นประโยชน์ ดังพระบรมราโชวาท ที่พระองค์ตรัสเตือนสติคณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ทั้งข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และทั้งพสกนิกรทั่วไป เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ที่ผ่านมานี้ ให้มีสติ สำรวมระวังในการคิด พูด ทำ เพื่อป้องกันความเสื่อมเสีย ให้มีสติพิจารณาเห็นข้อถูกต้องและข้อผิดพลาดตามที่เป็นจริง แล้วพิจารณาแก้ไขข้อผิดพลาดบกพร่องเสีย เพื่อให้เกิดความสงบสุข และให้สามารถจะนำพาประเทศชาติไปรอดปลอดภัยได้ พระราชจริยาวัตรที่ตรัสเตือนนั้น ทรงแสดงความจริงพระราชหฤทัยอันเปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรม ประดุจพระราชบิดาที่ทรงมีต่อพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์เอง เป็นที่ประจักษ์ตาประทับใจพสกนิกรอย่างยิ่ง
    ๓. ปริจจาคะ คือ ทรงทุ่มเทเสียสละกำลังพระวรกาย และทั้งกำลังพระราชหฤหทัย เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน ไม่ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยากมาตลอดเวลายาวนาน ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์มาถึงปัจจุบันนี้ จนกล่าวได้ว่า เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเหน็ดเหนื่อยมากที่สุด
    ๔. อาชชวะ คือ ทรงมีความซื่อตรง ทรงจริงพระราชหฤทัยต่อประชาชน ทรงดำเนินโครงการพระราชดำริมากมาย ด้วยหวังพระราชหฤทัยเพียงว่า ให้ประชาชนทั้งปวงได้มีอาชีพที่ดี ให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ และให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากความทุกข์และโรคภัย เป็นสำคัญ
    ๕. มัททวะ คือ ทรงมีความสุภาพอ่อนโยนต่อบุคคลตามฐานะ เช่น พระ สมณะ ชีพราหมณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นที่ประจักษ์ตาและประทับใจแก่ชนทั่วไป
    ๖. ตบะ คือ ทรงมีเดชเผากิเลสตัณหา ไม่ทรงหมกมุ่นอยู่แต่ในความสุขสำราญ ด้วยทรงสนพระทัยศึกษาสัมมาปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างดี
    ๗. อักโกธะ คือ ไม่ทรงลุแก่โทสะ ไม่ทรงแสดงความกริ้วเกรี้ยวกราดแก่ข้าราชบริพารและประชาชน
    ๘. อวิหิงสา คือ ไม่ข่มเหง เบียดเบียน ประชาชน ดังตัวอย่าง เช่น เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระอาการประชวรของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ประทับรับการรักษาอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราช ทุกวันๆ นั้น ได้ทรงหลีกเลี่ยงการเสด็จพระราชดำเนินไปในเวลากลางวันหรือในเวลาพลบค่ำ อันเป็นเวลาที่การจราจรคับคั่ง ประชาชนกำลังลำบากในการสัญจรไปมา ได้ทรงเลือกเวลาเสด็จพระราชดำเนินไปในเวลาหลังเที่ยงคืน คือ ประมาณเวลา ตี ๑ ตี ๒ ทุกคืน นี้ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรเป็นล้นพ้น
    ๙. ขันติ คือ ทรงมีความอดทน เข้าแข็ง ไม่ทรงท้อถอยในพระราชกิจจานุกิจ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาชน จะเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนอย่างเช่น เมื่อมีภัยน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงพระประชวร และทรงมีพระกำลังน้อย ก็ยังทรงข่มพระหทัย ทุ่มเทกำลังพระวรกายและพระราชหฤทัย ช่วยวางแผนแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างเข้มแข็ง โดยที่ไม่ทรงห่วงใยพระพลานามัยของพระองค์เองเลย จนกล่าวได้ว่าไม่มีพระมหากษัตริย์ประเทศใดๆ ในโลกที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมากเท่าในหลวงของเราพระองค์นี้
    ๑๐. อวิโรธนะ คือ ทรงไม่คลาดจากธรรม คือคุณความดี ตามพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดุจดังพระมหาโพธิสัตว์ผู้ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบารมีเพื่อความบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ฉะนั้น
    นับตั้งแต่วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ ด้วยพระราชปณิธานว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาร่วม ๖๐ ปีแล้วนี้ ตลอดเวลาแห่งการเสด็จเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติ ได้ทรงทุ่มเทพระองค์ทั้งพระวรกาย ทั้งพระสติปัญญาสามารถ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อสร้างรากฐานให้พสกนิกรของพระองค์ ให้ได้มีความอยู่ดีกินดีอย่างยั่งยืนด้วยลำแข้งของตนเอง คือทรงช่วยประชาชนผู้ยากจน ล้าหลัง ให้พ้นจากความอดอยากยากจน โดยวิธีที่จะช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นให้มีอาชีพที่ดี ให้สามารถเลี้ยงตนเอง/พึ่งตนเองได้ ด้วยหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” โดยที่พระองค์เองนั้นได้ทรงงานอย่างทุ่มเท ริเริ่มและดำเนิน “โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” กว่า ๓,๐๐๐ โครงการ พระราชทานไว้เป็นแบบอย่างให้ประชาชนทั้งประเทศและรัฐบาล ให้ถือเอาเป็นแบบอย่างและดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท กระจายไปทุกภูมิภาคของประเทศ
    พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทั้งปวงตามพระราชปณิธานและพระราชจริยวัตรด้วยทศพิธราชธรรมที่ทรงดำเนินมาตลอด และพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่พสกนิกรอย่างสม่ำเสมอมานั้นสงเคราะห์เข้าได้กับพระสัทธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ข้อปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สุขในปัจจุบัน ชื่อว่า “ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์” และข้อปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สุขในกาลต่อไป ชื่อว่า “สัมปรายิกัตถประโยชน์” เฉพาะทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือ ข้อปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สุขในปัจจุบัน มี ๔ ประการ ดังต่อไปนี้
    (๑) อุฏฐานสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร ข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณประเสริฐของเรานั้น ได้ทรงทุ่มเทกำลังพระวรกาย พระสติปัญญาความสามารถ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยความขยันหมั่นเพียรและอดทน ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างหนักด้วยความเสียสละ โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก เพื่อจะปลดเปลื้องความทุกข์เดือดร้อนของประชาชนจากความอดอยากยากจน นับว่าพระองค์ได้ทรงเป็นแบบอย่างที่ดี และยังทรงแนะนำประชาชนให้ขยันหมั่นเพียรในการประกอบสัมมาอาชีวะตามหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้สามารถสร้างฐานะของตนให้เจริญและมั่นคงพอสมควร คือให้พอเพียง พอมีอยู่มีกิน จะได้พ้นจากความยากจนข้นแค้น
    (๒) อารักขสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยการรักษาทรัพย์ที่มีอยู่และที่ทำมาหาได้โดยสุจริตให้ใช้ได้นานๆ และให้รู้จักประหยัดอดออม และให้รู้จักกระทำหรือพัฒนาทรัพย์ที่มีอยู่ให้เพิ่มพูน และให้ดีขึ้นโดยวิธีการอันชอบธรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงคุณธรรมนี้อย่างสมบูรณ์ ดังจะเห็นได้จาก (สยามรัฐ ๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ หน้า ๑๗) การที่พระองค์ได้ทรงริเริ่มศึกษาทดลองผลิตพลังงานทดแทนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๗ ได้ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างโรงงานสกัด “เอทานอล” เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๓ ได้มีพระราชดำรัสเรื่องส่งเสริมไบโอดีเซลและโครงการส่วนพระองค์ มีการสร้างโรงงานสกัดไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว กำลังกลั่น ๑,๐๐๐ ลิตรต่อวัน ทรงทดลองใช้กับรถยนต์ส่วนพระองค์ทั้งในส่วน “แกสโซฮอล์” และ “ไบโอดีเซล” ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานสากล นับเป็นการประสบผลสำเร็จและส่งผลให้มีการวิจัยการผลิตพลังงานทดแทนนี้ใช้อย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น คาดว่าในอนาคตจะใช้ไบโอดีเซลเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งนับวันจะร่อยหรอหมดลงในระยะ ๔๐ ปีข้างหน้า
    อีกตัวอย่างหนึ่ง การพัฒนาและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติไว้ให้ใช้ได้นานๆ สมดังพระราชดำรัสที่ตรัสในโอกาสที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้ทูลเกล้าถวายเหรียญ Agricola ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อวันพุธที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ (สยามรัฐ ๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ หน้า ๒) ว่า
    ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นเสมอมาว่า การเกษตรเป็นรากฐานของชีวิต ด้วยเป็นแหล่งผลิตอาหารและเป็นวัตถุดิบสำหรับการอุตสาหกรรมหลายอย่าง ข้อสำคัญขบวนการผลิตทางเกษตรนี้ อาศัยธรรมชาติเป็นหลักใหญ่ ดังนี้ เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติไว้ให้เป็นปัจจัยสนับสนุนในการเพิ่มพูนผลผลิต เพื่อสร้างเสริมความอยู่ดีกินดีของประชากรในโลก....”
    (๓) กัลยาณมิตตตา คือ การรู้จักคบคนดีเป็นมิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงคุณธรรมข้อนี้ว่า การที่จะได้คนดีมาเป็นมิตรนั้น ตนเองจะต้องเป็นคนดี มีความจริงใจต่อผู้อื่นก่อน จึงจะได้รับความนิยมเชื่อถือจากคนดีมาเป็นกัลยาณมิตรด้วย ดังพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๔ (สยามรัฐ ๘ ธันวาคม ๒๕๔๘ หน้า ๘) มีพระราชดำรัส ตอนหนึ่ง ว่า
    ความจริงใจต่อผู้อื่นเป็นของสำคัญมาก สำหรับผู้ที่ต้องการความสำเร็จและความเจริญ เพราะสามารถกำจัดปัญหาได้มากมาย โดยเฉพาะปัญหาอันเกิดจากความกินแหนงแคลงใจ ัดเอาเปรียบกัน และคนที่จริงใจต่อผู้อื่นนั้น ย่อมได้รับความนิยม เชื่อถือ ไว้วางใจ ร่วมมือ สนับสนุน จากสาธุชนอยู่เสมอ จะทำการสิ่งใดก็สำเร็จและราบรื่น ท่านจึงสอนให้รักษาความจริงใจในกันและกันไว้ทุกเมื่อ.....
    (๔) สมชีวิตา คือ การรู้จักใช้สอยทรัพย์ที่ทำมาหาได้โดยสุจริตแต่พอเหมาะพอควร มิให้สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยจนเกินไปนัก และมิให้ตระหนี่ถี่เหนียวจนถึงแร้นแค้นนัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงมีคุณธรรมข้อนี้อย่างสมบูรณ์ จะเห็นได้จากทรงแนะนำและทรงเน้นหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” คือให้ประกอบสัมมาอาชีวะด้วยความขยันหมั่นเพียร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนให้อยู่ดีกินดี และให้รู้จักประหยัด อดออม ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว โดยวิธีให้รู้จักจัดสรรและใช้สอยทรัพย์ที่มีและที่ทำมาหาได้โดยสุจริต ด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ ให้พอเหมาะพอดี จึงจะมีกินมีใช้อย่างพอเพียง สมดังพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ศกนี้ ว่า
    จะทำอะไรก็ขอให้แต่ละคนมีความสำเร็จพอสมควร เศรษฐกิจพอเพียง คือ ทำให้พอเพียง ถ้าไม่พอเพียง ไปไม่ได้ ถ้าทำพอเพียงสามารถที่จะนำประเทศให้ดี ไปได้ดี ก็ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จพอเพียง”
    พระราชจริยาวัตรอันงดงาม ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกอบบำเพ็ญมาตลอดนี้แหละ ที่ได้นำความร่มเย็นและความสันติสุขมาสู่ปวงพสกนิกร ให้มีความอยู่ดีกินดีอย่างทั่วถึงทุกภาค สมดังพุทธภาษิตมีมาในจตุกกนิบาต อังคุตตรนิกาย (๒๑/๙๙) ว่า
    สพฺพํ รฏฺฐํ สุขํ โหติ ราชา เจ โหติ ธมฺมิโก
    ถ้าพระราชาเป็นผู้ทรงธรรม ราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเป็นสุข
    กล่าวถึงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้ว จะเห็นว่ามีมากมายหลายสาขา ทั้งที่เป็นโครงการตามพระราชประสงค์ คือ โครงการซึ่งทรงศึกษาทดลองปฏิบัติเป็นส่วนพระองค์ โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการศึกษาทดลองจนทรงแน่พระราชหฤทัยว่า ได้ผลดี และจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รัฐบาลมารับไปดำเนินการต่อในภายหลัง โครงการหลวงเป็นโครงการที่ทรงเจาะจงดำเนินการพัฒนาและทรงรักษาต้นน้ำลำธารในบริเวณป่าเขาในภาคเหนือ เพื่อบรรเทาอุทกภัยในที่ลุ่มตอนล่าง ซึ่งเป็นทำเลของชาวไทยภูเขา เพื่อพัฒนาชาวเขาชาวดอย ให้เลิกประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมายและให้หันมาประกอบสัมมาอาชีวะ ให้อยู่ดีกินดี โครงการในพระบรมราชานุเคราะห์ เป็นโครงการที่พระองค์ได้พระราชทานข้อแนะนำและแนวพระราชดำริให้เอกชนไปดำเนินการด้วยกำลังเงิน ภูมิปัญญา กำลังแรงงาน และการติดตามผลงานโดยภาคเอกชน และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านต่างๆ เช่น การเกษตร สิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ การพัฒนาแหล่งน้ำ ฯลฯ ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย มีลักษณะเป็นโครงการพัฒนาด้านต่างๆ ให้ดำเนินการเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาอันสั้น และระยะยาวมากกว่า ๕ ปี ฯลฯ เป็นต้น
    จึงนับว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ของเรานี้ ได้ทรงเสริมสร้างประเทศชาติไทยเรา ให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงไพบูลย์ ให้พสกนิกรของพระองค์ได้มีความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุข เป็นที่ประจักษ์ตา เป็นที่ประทับใจ และเป็นที่เลื่องลือขจรขจายไปทั่วนานาอารยประเทศ
    พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานี้ มีมากพ้นการพรรณนาได้หมดสิ้นในระยะเวลาอันสั้น กล่าวได้ว่า ล้นเกล้า ล้นกระหม่อม ล้นฟ้า ล้นแผ่นดิน ของปวงประชา จนกล่าวได้เต็มปากว่า ไม่มีพระมหากษัตริย์ของประเทศใดๆ ในโลกที่จะเสมอเหมือนพระองค์ นับเป็นบุพพการีบุคคล คือทรงเป็นบุคคลหาได้ยากในโลก จำพวกที่ ๑ สมควรที่เราทั้งหลายจะพึงแสดงความจงรักภักดี แสดงความกตัญญูกตเวทีถวายพระพรชัยมงคล ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ยิ่งของเราทั้งหลาย ด้วยการปฏิบัติธรรม ชำระกาย วาจา และใจ บริสุทธิ์ กล่าวคือ
    ประการที่ ๑ เลิกละความชั่วหรือบาปอกุศลทั้งปวง ได้แก่
    ๑.๑ งดเว้นกายทุจริต คือ งดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การลักฉ้อ การคอรัปชั่น หรือคดโกงต่างๆ งดเว้นการประพฤติผิดในกาม และงดเว้นการหลงติดอยู่ในอบายมุขต่างๆ ได้แก่ การเสพสิ่งเสพติด มึนเมา ให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาททุกชนิด และงดเว้นการเล่นการพนัน เป็นต้น
    ๑.๒ งดเว้นวจีทุจริต คือ งดเว้นการกล่าววาจาโป้ปดมดเท็จ บิดเบือนความจริง ให้ผู้อื่นเสียหาย การกล่าวคำหยาบคาย การให้ร้ายป้ายสี ด่าทอผู้อื่น การกล่าวคำยุแยกให้แตกสามัคคีในหมู่คณะ และงดเว้นการกล่าวถ้อยคำเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไร้สาระ เป็นต้น และ
    ๑.๓ งดเว้นมโนทุจริต คือ ไม่คิดปองร้าย ไม่โกรธพยาบาทผู้อื่น ไม่โลภเพ่งเล็งอยากได้ของเขาโดยประการอันมิชอบ หรือด้วยความเห็นแก่ตัวจัด และไม่หลงมัวเมาจนไม่รู้บาป-บุญ คุณ-โทษ ตามที่เป็นจริง เป็นต้น
    เมื่องดเว้นกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ได้เพียงไร ก็เป็นการไม่สร้างเหตุแห่งความทุกข์และเวรภัย ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้มากเพียงนั้น กายและวาจาก็เรียบร้อยดีไม่มีโทษและสงบเป็นสุข พลอยให้จิตใจสามารถได้รับการอบรมให้สงบเป็นสมาธิ แนบแน่นมั่นคง ให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้ง่าย
    ประการที่ ๒ บำเพ็ญแต่บุญกุศลคุณความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ คือ
    ๒.๑ ดำเนินชีวิตตามพระบรมราโชวาทด้วยหลัก“เศรษฐกิจพอเพียง”ซึ่งตรงกับพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าข้อ“ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์”ได้แก่ ข้อปฏิบัติ ๔ ประการ อันให้ผลเป็นประโยชน์สุขในปัจจุบัน อย่างน้อยก็พอมีอยู่มีกิน ไม่ยากจนข้นแค้นแน่นอน
    โบราณท่านจึงย่อและผูกพระคาถานี้ว่า“อุอากะสะ”ท่านเรียกว่า“พระคาถาหัวใจเศรษฐี ใครหมั่นท่องบ่นบริกรรมและปฏิบัติตามพระสัทธรรมนี้ เป็นอันสามารถดำเนินชีวิตถึงความสำเร็จพอเพียงได้ อย่างสูงให้ถึงความร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้
    ๒.๒ ทานหรือจาคะ คือ การบริจาคหรือการเสียสละทรัพย์สิ่งของเพื่อประโยชน์สุข แก่ผู้อื่นหรือเพื่อส่วนรวม
    ๒.๓ การรักษาศีล คือ การสำรวมระวังความประพฤติปฏิบัติทางกายและทางวาจาให้เรียบร้อยดี ไม่มีโทษเป็นปกติ และ
    ๒.๔ การเจริญภาวนา อบรมจิตใจให้สงบ และให้บริสุทธิ์ผ่องใสจากกิเลสนิวรณ์เครื่องขวางกั้นปัญญา และอบรมปัญญาให้บริสุทธิ์จากกิเลสอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้
    จิตใจก็จะสงบเป็นสมาธิตั้งมั่น และบริสุทธิ์ผ่องใสจากกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญา อ่อนโยนควรแก่งาน แล้วจึงร่วมจิต ร่วมใจ รวมใจกันหมดทั้งประเทศเป็นดวงเดียว อุทิศถวายเป็นพระราชกุศล และถวายพระพรชัยมงคลแด่พระองค์ท่าน สาธุชนผู้รู้พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ แล้วปฏิบัติตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณพระองค์ท่าน ย่อมได้ชื่อว่า กตัญญูกตเวทีบุคคล ก็นับเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก จำพวกที่ ๒ ด้วย ประการฉะนี้
    ณ บัดนี้ ขอทุกท่านจงสำรวมกาย วาจา และใจให้สงบ เป็นสมาธิ เมื่อใจสงบเป็นสมาธิตั้งมั่นดีพอสมควรแล้ว จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลที่เราได้ประกอบบำเพ็ญมาด้วยดีแล้วนี้ จงเป็นพลวปัจจัยแด่สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณประเสริฐของเรา ให้มีพระวรรณะผ่องใส มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ มีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงปราศจากโรคาพาธและสรรพภยันตรายทั้งปวง
    ขอความเจริญทั้งหลาย พระราชประสงค์ทั้งปวง พระพรชัยและมิ่งมงคลทั้งมวล อีกทั้งสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาทุกประการ จงบังเกิดสำเร็จแด่สมเด็จพระบรมบพิตร พระมหาราชเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ตลอดกาลเป็นนิตย์ และขอจงทรงสถิตสถาพรในไอศูรย์สิริราชสมบัติ เป็นร่มโพธิ์ทองปกเกล้าปกกระหม่อมพสกนิกรชาวไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรือง ให้มีความร่มเย็นและสันติสุข โดยทั่วหน้ากัน ตลอดกาลนาน เทอญ
    <TABLE width="48%" align=center><TBODY><TR><TD width="12%"></TD><TD width="42%">รตนตฺตยานุภาเวน</TD><TD width="46%">กตปุญฺญาน เตชสา</TD></TR><TR><TD></TD><TD>ทีฆายุโก มหาราชา</TD><TD>วณฺณวา จ สุเขธิโต</TD></TR><TR><TD></TD><TD>พลูเปโต อนีโฆ จ </TD><TD>อโรโค โหตุ นิพฺภโย</TD></TR><TR><TD></TD><TD>สพฺพวุฑฺฒิ จ สพฺพาสา</TD><TD>สพฺพญฺจ ชยมงฺคลํ</TD></TR><TR><TD></TD><TD>ยมิจฺฉติ จ สพฺพนฺตํ</TD><TD>สมิชฺฌนฺตุสฺส สพฺพทาติ.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอถวายพระพร​
    และขอความสุขสวัสดีจงมีแด่สาธุชนผู้ฟังทุกท่าน เจริญพร
     
  3. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    เอ...กระทู้นี้มีพญานาคด้วยเหรอครับ
    หุหุ

    แวะมาสวัสดีชาวทหาร แห่งพระเจ้าองค์ดำทุกท่านครับ
     
  4. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    เมื่อเช้านี้ก็นึกถึงน้องกรอง น้องแก้ว และท่านหญิงลู่ ว่าหายไปไหนนะเอย เงียบกันไปเลย คิดถึงนะคะ

    สวัสดีจงมีแก่ทุกท่านค่ะ
     
  5. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468

    ผมมีครับมวลสารกุศลมงคล108-1009สร้างพระเครื่อง ยินดีจัดแบ่งให้ครับ

    ลองดูครับ

    ถ้าสร้างแล้วเกิดอาการ ก็อัญเชิญนำไปขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ท่านเสริมแผ่เมตตาอธิษฐานจิตหรือยกถวายให้กับพระพุทธศาสนา หรือสงฆ์ หรือครูบาอาจารย์ที่เหมาะสม ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมครับ

    ปรึกษากันได้ครับ

    ส่วนปราญที่ทำงานอยู่ใกล้บ้านนัดนำมวลสารไปเจอแถวที่ศิริราชก็ได้ครับ

    คอยแจกข่าวงานบุญพระกรรมฐานที่ศิริราชให้ด้วยสิครับ เห็นเขาบอกว่ามีงานวันที่11ตค. ไม่ใช่30ตค.หรือครับ:'(

    ผิดพลั้งไปขออภัยขมาด้วยครับ
     
  6. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078

    อนุโมทนาด้วยค่ะน้องกรอง
     
  7. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ใช่ค่ะพี่มุ่ง วันที่ 11 ต.ค. 53 ค่ะ
    เป็นงานมุทิตาจิตหลวงปู่เจิม เจ้าอาวาสวัดสระมงคล นครปฐมค่ะ
    งานนี้จะมีพระปฏิบัติสายหลวงปู่มั่นมาร่วมงานมุทิตาจิตเป็นจำนวนมากค่ะ
    งานจัดที่ตึก 100 ปีสมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15 เริ่มงานเวลา 16.00 น.ค่ะ
    ปราญฯก็เพิ่งทราบว่ามีการเลื่อนวันงานขึ้นมา จาก 12 เป็น 11 ค่ะ ถ้าพี่มุ่งมางานนี้คงมีโอกาสได้เจอกับพี่มุ่งนะคะ

    ขอบพระคุณพี่มุ่งมากค่ะเรื่องมวลสาร อนุโมทนาสาธุในบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลของพี่มุ่งด้วยค่ะ
     
  8. innovex

    innovex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2005
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,679
    2 ช่างเทคนิคชาวไทยร่วมทีมช่วยชีวิต 33 คนเหมือง ที่ชิลี

    เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวชิรพงศ์ นาคสารีย์ อายุ 30 ปี และนายสมพงษ์ พงกันยา อายุ 32 ปี ช่างเทคนิคชาวไทยของบริษัท เม็ตตาโลจิก อินสเป็คชั่น เซอวิสเซส จำกัด ได้เดินทางออกจากไทยไปยังชิลีเมื่อวันที่ 28 กันยายนเพื่อไปเข้าร่วมทีมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือคนงานเหมืองซาน โฮเซ่ ในประเทศชิลี ที่ติดอยู่ในอุโมงค์จำนวน 33 คน คาดว่าจะใช้เวลาปฏิบัติงานราว 1 เดือน ซึ่งการเดินทางไปของช่างเทคนิคไทย เกิดขึ้นหลังจากชิลีตัดสินใจใช้แนวทางช่วยเหลือคนงานเหมืองด้วยการขุดอุโมงค์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 28 นิ้ว ลงไปยังตำแหน่งที่คนงานเหมืองติดอยู่ ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยเหลือได้ แต่เนื่องจากความไม่แข็งแรงของเหมืองและพื้นที่โดยรอบที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงรวมถึงความเป็นไปได้ที่อุโมงค์จะถล่มซ้ำ ทำให้ทางชิลีตัดสินใจใช้วิธีติดตั้งปลอกท่อเหล็กเสริมแรง ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 24 นิ้ว และหนาครึ่งนิ้วที่บริเวณทางเดินของการช่วยเหลือ

    ทีมปฏิบัติการที่ชิลีจึงได้ติดต่อไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัท เม็ตตาโลจิกฯ ในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยี "เม็ตตาเฟส" ที่ใช้อุลตราโซนิคเพื่อตรวจสอบแนวเชื่อมของท่อเนื่องจากเคยใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อตรวจสอบแนวเชื่อมในโครงการวางท่อขนาดใหญ่ของชิลีมาแล้วเมื่อช่วงต้นปี เพราะเห็นว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยเหลือคนงานเหมืองทั้งหมดปลอดภัย

    นายสตีเฟน ฟรานซิส ผู้จัดการภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบริษัท เม็ตตาโลจิกฯ กล่าวว่า ทางการชิลีขอให้บริษัทส่งช่างเทคนิคเม็ตตาเฟสพร้อมอุปกรณ์จากบริษัทในเครือซึ่งตั้งอยู่ใน จ.ระยอง และเป็นศูนย์กลางของบริษัทในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังชิลี เหตุที่ขอให้ทีมงานชาวไทยไปร่วมงานเพราะเคยมีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกันมาก่อนและประทับใจในการทำงานของช่างเทคนิคไทยทั้งสองคนที่ขยัน สู้งานหนัก และมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน

    ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายวชิรพงศ์และนายสมพงษ์เป็นสองใน 50 ทีมช่วยเหลือชาวต่างชาติที่เดินทางไปยังเหมืองซาน โฮเซ่ ได้รับความสนใจจากสื่อชิลีจำนวนมากทั้งสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. innovex

    innovex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2005
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,679
    รุ่นน้องทั้งสองคนเป็นพนักงานที่ไปช่วยงานเหมืองที่ชิลี ทำงานบริษัทในเครือของบริษัทผมที่แคนาดามาตั้งสาขาที่เมืองไทย โดยเพื่อนผมเป็นคนเทรนให้
    งานนี้จริงๆทางบริษัทผมที่บราซิลได้งาน โดยไม่ต้องประมูลเพราะมีเทคโนโลยีที่เรามีทำได้ที่เดียว จริงๆ ตอนที่มาที่บราซิลปีแล้วช่วงกันยา เจ้านายก็บอกให้ฟังผมสนใจอยากไปเพราะความโหดของภูมิอากาศที่นั่นเป็นตัวท้าทายผม เนื่องจากกลางวันร้อน45 องศา ส่วนกลางคืนติดลบ15 ผมเองก็อยากไปแต่งานที่งานที่ทำอยู่นี่ก็ท้าทายไปอีกอย่าง และหลากหลายกว่างานท่อตรงๆ
    แต่เจ้านายผมค่อนข้างจะสำอางค์ และอาจจะเป็นเพราะถ้าอากาศเป็นแบบนี้ เอาคนที่บราซิลไปทำไม่เวิอร์คด้วย เพราะคนที่นี่ชอบงานสบาย เลยตัดสินใจไม่เอา
    เลยโอนไปให้บริษัทแม่ที่แคนาดาทำ จากการที่ผมทำให้งานที่ท่อแก๊ซ ป่าอเมซอนจบด้วยมือผม และวิศวกรลูกน้องผมอีกคนซึ่งเป็นคนไทย ทำให้บริษัท
    แม่หันกลับมามองคนไทย และอินโด (ที่นั่นก็มีสาขาของบริษัทตั้งอยู่) เลยได้เอาคนไทยกับอินโดไปทำ แต่ระยะหลังกลายเป็นคนไทยที่ทำเอง ซึ่งบางคนที่ไปก็เป็นลูกศิษย์ของผม งานที่ไปทำเป็นการสร้างท่อน้ำแร่ ซึ่งเจอน้ำแร่จากบนภูเขา และต่อท่อลงมาที่โรงงานที่พื้นที่ราบประมาณ 80 กม น้องพวกนี้ไปตรวจสอบงานเชื่อมโดยใช้คลื่นอุลตราโซนิค ที่ยิงเข้าในเนื้อวัสดุ จะเห็นเป็นภาพ เหมือนภาพตรวจอุลตราซาวน์ ตรวจการตั้งครรภ์ เพื่อตรวจความสมบูรณ์ของแนวเชื่อม
    ดูจากรูปจะเห็นบริษัทที่ชื่อ TECHINT เป็นบริษัทผู้รับเหมาเดียวกันกับงานที่ผมเองกำลังทำให้กับบริษัทนี้ที่บราซิล
     
  10. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    อนุโมทนาด้วยค่ะท่านอินฯ ขอให้เขาทั้ง 33 คน รอดปลอดภัยนะคะ เห็นข่าวว่าจะช่วยออกมาได้ประมาณวันพฤหัสนี้ ตอนนี้คงเครียดกันพอสมควร เพราะว่าใกล้จะออกแล้ว อีกอย่างอยู่ในนั้น ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ส่งเข้าไปให้ช่วยรื่นเริงบันเทิงใจ แต่ก็คงไม่เหมือนกับการออกมาสูดอากาศแบบเต็มที่ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยค่ะ จะรอดูข่าวค่ะ
     
  11. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ krongkamons [​IMG]
    คิดถึงทุกคน เลยค่า
    พี่แมว หนูอยากได้ มวลสาร มาสร้างพระผง อ่ะ ค่ะ ^___^
    เผื่อจะมีใครเมตตา ประทานให้หนูบ้า:p
    (deejai)
    มีโครงการ (กิจกรรม) หัดสร้างพระ องค์เล็ก ๆ อ่าค่ะ
    แต่ไม่รู้ว่า บารมีจะกำลัง ถึงรึป่าว....
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมมีครับมวลสารกุศลมงคล108-1009สร้างพระเครื่อง ยินดีจัดแบ่งให้ครับ

    ลองดูครับ

    ถ้าสร้างแล้วเกิดอาการ ก็อัญเชิญนำไปขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ท่านเสริมแผ่เมตตาอธิษฐานจิตหรือยกถวายให้กับพระพุทธศาสนา หรือสงฆ์ หรือครูบาอาจารย์ที่เหมาะสม ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมครับ

    ปรึกษากันได้ครับ

    ส่วนปราญที่ทำงานอยู่ใกล้บ้านนัดนำมวลสารไปเจอแถวที่ศิริราชก็ได้ครับ

    คอยแจกข่าวงานบุญพระกรรมฐานที่ศิริราชให้ด้วยสิครับ เห็นเขาบอกว่ามีงานวันที่11ตค. ไม่ใช่30ตค.หรือครับ:'(



    โมทนากับคุณมุ่งและน้องกรองจ้า
     
  12. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    เมื่อคืนวาน ฝันไปว่า เสียงผู้หญิงบอกว่าถ้าอยากเจอท่าน ให้ระลึกถึงท่านบ่อยๆ "ท่าน" ณ ตอนนั้น เรารู้และเข้าใจเลยว่าหมายถึงท่านใด
     
  13. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468

    สาธุๆๆ อนุโมทามิตรงนี้ ด้วยครับ

    ไม่ได้ไปแล้วครับ ทำบุญเผื่อด้วยนะครับ ยังนั่งทำงานอยู่เลยครับ:'( มีหลายเรื่องต้องทำ เจ้านายใช้เพิ่ม เอกสารงานบางอย่างก็ยังไม่ได้ออกครับ

    พรุ่งนี้ต้องไปพิษณุโลก2วันครับ

    เพื่อไปดูพื้นที่ๆจะทดลองโครงการนำร่องที่อาจเป็นประโยชน์นานาชาติครับ (ที่ผมตั้งใจถวายพระกุศลให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์สัมพันธ์นานาด้วยครับ อยากจะผลักดันให้เป็นโครงการเทอดพระเกียรติบุคคลสำคัญปีหน้าจัง ถ้ายังไม่มีทีท่าว่าจะเหมาะสม ก็จะไม่ดำเนินการผลักดันครับ ก็จะสร้างเป็นประโยชน์ ตามที่เป็นไป ก็เป็นปกติบุญกุศลอยู่แล้วครับ ถวายภูมิใจเงียบๆอย่างที่ทำบ่อยๆ ก็ได้ครับ ^_^)

    ต้องไปเข้าพบ กับท่านรองผวจ. ที่มีชื่อออกเสียงคล้ายๆ คำว่า นรเอศ

    เข้าพบท่านรองอธิการบดีฯ สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งที่ดูแลงานเกี่ยวกับไอที

    โดยร่วมคณะกับ คณบดีแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวพิษณุโลกกับท่านผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์จากสนง.ใหญ่

    พิษณุโลกมีชัยภูมิที่ตั้งดีและความสำคัญในหลายมิติ เหมาะสำหรับ เป็นศูนย์กลางทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน ถ้าเราศึกษากระทู้นี้หรือที่ผ่านมาคงจะประจักษ์เห็นความจริงได้ครับ

    ผมอาวุโส น้อยที่สุดครับ แหะๆ เข้าร่วมสำรวจพื้นที่กับคณะบมจ.ทีโอทีองค์การโทรศัพท์ประจำพื้นที่ ที่พิษณุโลกฯลฯ ด้วยครับ

    ขอให้โครงการสำเร็จโดยดีงามครับ
    ผิดพลั้งไปขออภัยขมาด้วยครับ

    (ช่วยกันแนะนำสนับสนุนบริการบมจ.ทีโอทีกันด้วยนะครับ:cool: ขอให้เศรษฐกิจชาติเจริญก้าวหน้ากันครับ)

    ไม่รู้ว่าจะได้เจอหมู่คณะที่อยู่แถวพิษณุโลกหรือเปล่า :'(

    เตรียมมวลสารไปด้วยดีกว่า ถ้าเตรียมได้ ยังไม่รับปากตั้งสัจจะนะครับ กระเป๋ายังไม่ได้จัดเลยครับ

    ขอให้เป็นเจตนาเพื่อประโยชน์แห่งการหมั่นไม่ท้อถอยในการสร้างความดีให้แก่ตนเอง ผู้อื่น สาธารณชน และพิสูจน์ได้ว่าคุณ ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มีจริง ทั้งในมุมมองที่สัมผัสได้ และสัมผัสไม่ได้ ด้วยอินทรีย์อันหยาบ

    สามารถเป็นปัจจัยกลับเปลี่ยนทิฐิ สร้างปัญญาให้บุคคล มารู้คืนตอบแทนคุณงามความดีของพระราชาผู้ทรงคุณธรรม และสถาบันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ว่ามีจริงได้โดยดีงามยิ่งขึ้นไปครับ
     
  14. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    งานนี้พลาดไปแล้วแจ้งงานอื่นมาเป็นระยะๆด้วยครับ
     
  15. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ชาวไทยได้มีส่วนช่วยเพื่อนร่วมโลกอีกแล้วครับ

    33เลขที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระอินทร์ด้วยครับ
     
  16. Unique_Angel

    Unique_Angel ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +6,546
    พี่ิอินฯ อ่านข่าวนี้แล้วภูมิใจนะที่คนไทยได้เข้าช่วยเหลือ ทั้ง 33 ชีวิต

    อ้าวตัวจริงเสียงจริงมาแล้ว งั้น กรองฯ กับปราญฯ ขอที่พี่มุ่งแล้วกัน ส่วนของนางฟ้าจะเอาไปให้พระแถวบ้าน อิอิ
     
  17. krongkamons

    krongkamons เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +2,571
    อะไรกันนี่ อารมณ์ความรู้สึก ที่ถาโถมเข้ามาเวลานี้
    และก่อนหน้านี้ จนนอนหลับลึกเมื่อเย็นนี้ ฝันถึงวิญญาณ
    ทหารของพระองค์ดำ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
    บรรพบุรุษ ถือดาบ ตามตัวมีแต่รอยแผลเป็น ยืนมองด้วยความเสียใจ
    เหมือนลูกหลาน ไม่รักกัน.....
    ทำให้ข้าพเจ้า ไม่สามารถ นิ่งเฉยได้
     
  18. krongkamons

    krongkamons เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +2,571
    ทำไมอยู่ๆ คนอย่างข้าพเจ้าที่ มักนิ่งเฉยกับเรื่องราวในอดีต และมอง
    ว่าเวลาผ่านมานานแล้ว เราควรลืม และล่าสุดเพื่อนฝูง
    สนิทๆ ก้อมักถาม ข้าพเจ้าอยู่เนืองๆ ว่าทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นตาม
    วังจันทร์ ......
    ข้าพเจ้าตอบ....ว่า ข้าพเจ้าอยากออกจากตรงนี้ ข้าพเจ้าอยากอยู่
    อย่างชาวบ้านทั่วไป รักชาติ แบบทั่วไป
    ข้าพเจ้าไม่อยากออกไป กู้ชาติ แบบทุ่มสุดตัวแบบที่ผ่านมา
    ข้าพเจ้าไม่อยากสูญเสีย สิ่งอันเป็นที่รัก ทุกอย่าง ข้าพเจ้า
    ไม่พร้อมที่จะ เสียสละได้ขนาดนั้น
    อยากปฏิบัติธรรม.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2010
  19. krongkamons

    krongkamons เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +2,571
    แค่ซองกฐิน ที่หัวหน้าเดินเอามาให้ ๒ ซอง ทำเอาข้าพเจ้า
    ต้องนิ่งอึ้ง ....
     
  20. innovex

    innovex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2005
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,679
    น้อง สองคนกลับมาก็ดังล่ะครับ
    เพราะตอนนี้ทางช่อง 5 กับรายการของคุณสรยุทธ์ โทรมานัดไปออกรายการแล้วครับ
    เพราะผมเพิ่งวางสายคุยกับรุ่นน้อง และลูกศิษย์ผมที่ทำงานที่เดียวกันกับพวกเค้า
    แหมว่าไปจริงๆแล้ว ที่คนอาเซี่ยนได้ไปเพราะรุ่นพี่ไปทำไว้ตอนที่งานอเมซอนแท้ๆเชียว
    ทางแคนาดาบริษัทแม่ต้องหันกลับมามองไทยกับอินโด สุดท้ายเหลือพี่ไทย
    นี่ก็ได้ข่าวว่าจะมีลูกศิษย์ผมอีกคน อาจจะได้ไปงานตรวจโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เกาหลี เร็วๆนี้
    และปีหน้าจะส่งน้องคนไทย อีกสองคนมาทำงานช่วยผมทีบราซิลอีก
    เอาเข้าไปเอาให้พี่ไทยดังไปเลย ผมกลับไปจะไปปั้นคนเพิ่มอีก สักคนสองคน
     

แชร์หน้านี้

Loading...