โดนขังวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ainteerati, 14 สิงหาคม 2010.

  1. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    เอ้า เอาเข้าไป ยังงี้คุยกับฤาษีไม่ได้ เพราะฤาษีอ้อมโลกกว่าผมอีก
    เอากับแบบคนเราคุยกันดีกว่านะครับ คุยแบบฤาษีมันโหดเกินไป คิดตามไม่ทัน

    พระที่ท่านให้คล้องใว้ ให้เอาพระมา แล้วกำหนดจิตให้เป็นทิพย์ เหมือนเรา
    มองเห็นพระในมโนจิตเรา แล้วเอามาแปะใว้ กำหนดในใจเราว่ามี แล้วเอาวาง
    ใว้บนหิ้งเหมือนเดิม แต่เมื่อใดที่เรากมมองดูอกเรา ให้นึกเห็นภาพพระนั้น
    ปรากฏในใจเรา ทีนี้จะเอาพระประธานมาคล้องคอจะติว่าใหญ่ใหมล่ะ อย่าว่า
    แต่พระประธานองค์เดียว หรือพระขนาดจานข้าวองค์เดียว เอามาใว้ในใจเรา
    ซักร้อยองค์ก็ยังได้ แค่เรามองดูอกเรา หรือเราเห็นในมโนจิตเราว่ามันมีแบบ
    นี้อยู่ตรงนี้ นี่เรียกว่า อย่าติพระว่าองค์ใหญ่

    ทีนี้บางคนเอาทางโลก เอาหนังจรเข้มาทำกระเป๋าบ้าง เอาเขี้ยวมาประดับ
    กายบ้าง แล้วอวดกันว่าของเราใหญ่ ของนายเล็ก ของเราแบรนเนม ของนาย
    ซื้อมาจากคลองถม นี่เขามักจะติว่าของตัวเองใบเล็กไป ด้อยค่าไป คิดอยากหา
    สิ่งใหม่ที่ใหญ่กว่า ดีกว่ามาแข่งกัน นี่เรียกว่าทางโลกติว่าเล็กใป
    ถือ"ของดี"กะจะเอาไปใวคุ้มครองตัวเองเดินทางไกล ที่แท้เอาไปประชันขัน
    แข่งกันโดยไม่รู้ตัว

    ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ถือไป ไม่สู้เอาใว้ในกายโดยกำหนดเป็นทิพย์ใว้ดีกว่าครับ
    เพราะมันช่วยเราได้ตลอดเช่นเราหลับฝันไป เวลามีภัย พระในอกจะปรากฏ
    ขึ้นมาช่วยทันทีเพราะเรามีพระใว้ในตัวให้อุ่นใจตลอด

    เอาเทพีเสรีภาพใว้ในใจดีใหม ใหญ่ดี เวลาเดินไปเดินมา ผีเห็นเทวดาเห็น
    เขาจะได้อมยิ้มกันด้วยความเอ็นดู...
     
  2. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ช่างเปรียบเปรย ประชดประชัน หยิกแกมหยอกได้ถึงพริกถึงขิงจริงๆเจ้าค่ะ^-^
     
  3. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    คำเปรียบเปรยนี่ดีนะครับ เวลาคุยกับฤาษี หรือพวกเทวดาเขาไม่คุยตรงๆเนื้อเรื่อง
    เขาคุยแบบอ้อมโลก ยิ่งอ้อมมากๆยิ่งดี เวลาที่ใจเรายอม เรานิ่งฟัง คิด เขาจะยิ้ม
    แล้วบอกว่ายังงี้ล่ะ เอาจิตแบบนี้เลย เราก็จะแว๊ป อ้อ จิตแบบนี้เหรอ เขาก็จะบอกว่า
    จิตแบบนี้ดีแบบนี้ๆ เทวดาส่วนมากเขาติดนิสัยนี้มาจากพุทธกาล

    สมัยพุทธกาลเวลาท่านสอนคน ท่านจะกำหนดจิตดูว่าจิตคนมารับคำสอนอันไหน
    เวลาไหนดีทีสุด เช่นเรื่องพยับแดดหน้าเมื่อกี้ พระองค์นั้นกำหนดยังไง คิดยังไงก็ไม่
    ก้าวหน้า เลยมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านเลยใช้เจโตดู แล้วพูดขึ้นมาทำนองว่า
    ภิกษุเจ้าเห็นพยับแดดเป็นเช่นไร? เพราะพระท่านเจโตดูแล้วว่าพระรูปนี้ระหว่างเดินทางมา
    ก็เห็นพยับแดดระหว่างทาง แล้ว "ใจ"พระนี้ใกล้บรรลุแล้วด้วยอารมณ์แบบนั้น
    พระท่านเลยกล่าวถามว่าพยับแดดเป็นยังไง พระนั้นก็ระลึกถึงพยับแดด อารมณ์นั้นก็มา
    ทีนี้ท่านเลยสอนวิธีดูโลกว่าโลกก็เหมือนพยับแดด ก็อ้อมโลกไปเพื่อยกระดับอารมณ์
    พออารมณ์ได้ที่แล้วก็ตีด้วยธรรม พระภิกษุนั้นก็จบอรหันต์ด้วยพยับแดดนั่นเอง

    นี่อ้อมโลกมันดียังงี้แล
     
  4. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    เรื่องพยับแดดนี่เป็นเรื่องที่ติดใจมากค่ะ
    เคยนั่งรถกลับจากบ้านแล้วเห็นพยับแดด ได้อะไรดีๆจากสิ่งที่เห็นนั้นมาก
    ธรรมชาติรอบตัวสอนเราได้หมดค่ะ อยู่ที่เราจะมองเห็นหรือมองข้าม
    บางอย่างมองมาทั้งชีวิตแต่เพิ่งมาเข้าใจแค่ช่วงสุดท้ายก่อนละลมหายใจ
    มนุษย์แต่ละคนความคิดต่างกัน บางคนชอบสอนตรงๆไม่อ้อมค้อม บางคนชอบมีทฤษฎีเทียบเคียง บางคนก็ขอแนวทางที่เหลือไปสานต่อเอง
    ปราญฯเป็นประเภทว่าตามทฤษฎีไม่ค่อยเข้าใจ บางอย่างเขารู้เรื่องกันหมดแล้วเรายังต้องเอากลับไปใคร่ครวญต่อ อิอิ
    ท่านจิ-โป ก็มีแนวทางของตัวเองดีนะคะ สอนในแบบที่เข้าใจ ไม่ยกทฤษฎีมากมายนัก ดีค่ะ ดีแล้ว ชอบแล้ว อนุโมทนาอย่างสุดจิตสุดใจเข้าค่ะ
     
  5. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    เมื่อพูดเรื่องพยับแดดแล้ว ก็ขออนุญาตเอามาฝากเพื่อนๆในห้องนี้ค่ะ อาจไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องในกระทู้นัก ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะคะ เรื่องนี้ปราญฯเขียนขึ้นเองค่ะ

    พยับแดด

    เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ฉันนั่งรถเดินทางจากบ้านที่ต่างจังหวัดกลับมาที่กทม. ช่วงนั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อย ราวบ่าย 3 โมงเย็น เป็นช่วงที่แดดค่อนข้างแรง ร่างกายของฉันตอนนั้นช่างเหนื่อยนัก คงเพราะจากการพักผ่อนที่ค่อนข้างน้อยติดกันมาหลายวัน แถมยังต้องไปออกแรงยกของหนีน้ำท่วมอีก ทำให้ฉันรู้สึกเพลียเป็นยิ่งนัก

    แล้วในระหว่างที่ฉันนั่งทอดสายตามองไปข้างหน้านั้นเอง ภาพบางอย่างก็ปรากฏแก่สายตา นั่นคือภาพของแอ่งน้ำที่ขังอยู่บนพื้นถนน เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่นานมีฝนตกใหญ่ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง แต่เมื่อรถที่ฉันนั่งอยู่เคลื่อนเข้าไปใกล้ ภาพนั้นก็ได้มลายหายไปต่อหน้าต่อตา ฉันพยายามมองหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกๆครั้งภาพที่ปรากฏก็เป็นเช่นเดิม ภาพที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเราเห็น แต่เมื่อเคลื่อนเข้าไปใกล้ภาพนั้นก็หายไป สิ่งที่เห็นก็ไม่มีอยู่จริง

    ฉันเคยได้ยินคำว่าพยับแดด มาจากที่ใดที่หนึ่งหรืออาจจะหลายที่ แต่ฉันไม่เคยเข้าใจความหมายของคำนี้เลย เดี๋ยวมาลองดูกันซิว่า คำๆนี้หมายความว่าอย่างไร

    พยับแดด(น.)-เงาแดด,แสงแดดกล้าที่ปรากฏในระยะไกลเป็นระยิบรัยับลวงตา ทำให้เห็นเป็นน้ำ เป็นต้น

    อ่านความหมายจากพจนานุกรมครั้งแรกฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคำว่าพยับแดดนี้หน้าตาเป็นเช่นไร ประหนึ่งมิเคยได้ชิมเกลือไยเลยจะเข้าใจความหมายของคำว่า "เค็ม" ได้อย่างสนิทใจ

    ฉันมานั่งพิจารณาใคร่ครวญ กับภาพพยับแดดที่เห็นตรงหน้า แล้วฉันก็ลองคิดดูเล่นๆว่า กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ฉันนั่งไขว่คว้า หมายเอาว่าสิ่งนั้นมีอยู่ สิ่งนี้มีจริง แล้วเมื่อถึงเวลานึง สิ่งนั้นก็พลันหายไป ไม่อาจจับต้องได้ เราวิ่งไล่จับพยับแดดมานานแค่ไหน บ่อยครั้งเพียงใด สุดท้ายแล้ว มีสิ่งใดที่เราไขว่คว้าไว้ได้ในสองมือเรา อย่าว่าแต่ไขว่คว้าไว้ในอุ้งมือเลย ไอ้คำว่า "เรา" ที่ว่านี่ล่ะ มันใช่พยับแดดไหม

    แล้วฉันก็ลองนึกย้อนไปถึงตอนฉันทำสมาธิ หลายต่อหลายครั้งที่ฉันมองเห็นภาพที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพ ฉันกับใครบางคนในอดีต ฉันเคยถูกใครบางคนทำสิ่งใดไว้ในอดีต ฉันเคยทำสิ่งใดไว้ในอดีต ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าฉันไม่เห็น ฉันไม่อาจเอ่ยได้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร แต่สิ่งนึงที่แน่ชัด เมื่อลืมตา ฉันที่เป็น"ผู้ถูกเห็น"ได้หายไป แต่ฉันที่เป็น"ผู้เห็น"นั้นยังอยู่ตรงนี้ ฉันเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นล่ะจริงไหม พอคิดดูแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับพยับแดดเลย

    สุดท้ายแล้ว"ฉัน"ก็ไม่ต่างอะไรไปจากพยับแดด เพราะเมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ฉันได้เห็นจนกระจ่างใจแล้ว วันนั้น ผู้เห็นก็คงจะไม่มี ผู้ถูกเห็นก็คงไม่มี

    ขอบคุณ "พยับแดด" ที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรดีๆอีกมากมาย
     
  6. คะรุทา

    คะรุทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,243
    ค่าพลัง:
    +3,477
    โห...โง่..จริงวุ้ยตรู...
     
  7. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    วิธีนี้ใช้ได้ทั่วไปไหมคะ ที่ถามเนื่องจากเป้นคนไม่ค่อยชอบคล้องพระค่ะ แล้วก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องเครื่องรางของขลังเท่าไหร่ บางทีเวลามีเหตุอะไรขึ้นมาจะใช้วิธีจับภาพพระที่เราเคารพขึ้นมา แล้วอาราธนาท่านให้ช่วยปกปักรักษาค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าเวลาที่จิตใจเรไม่มั่นคง จับภาพได้ไม่ชัด จะช่วยได้ไหมคะ รบกวนช่วยแนะนำด้วยค่ะ

    อีกเรื่องที่สงสัยคือเวลาร่ายคาถา ปราญนเป้นคนจำบทสวดมนต์ได้ไม่แม่นเลย โดยเฉพาะบทยาวๆ จะสวดได้อยู่เพียงไม่กี่บท ที่ใช้หลักๆก็มีพุทธคุณและมงกุฏพระพุทธเจ้า และบทสวดจักรพรรดิค่ะ บทมงกุฏพระพุทธเจ้านี้ค่อนข้างใช้บ่อยเวลาสวดจะกางมงกุฏครอบหัว ครอบรถ ครอบบ้าน แล้วใช้วิธีสวดให้ผุดขึ้นเป็นคำเป็นสายต่อกัน(อธิบายไม่เป็นอ่ะ) เลยไม่แน่ใจว่าที่จริงเขาควรสวดกันแบบไหนดี รบกวนผู้รู้ช่วยเมตตาด้วยค่ะ
     
  8. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    ทำไมชอบหาว่าเป็นผู้รู้อยู่เรื่อย คำตอบบางอย่างไม่ได้มาจากตัวผมหรอกนะครับ

    ส่วนจะพระก็ดี คาถาให้ระลึกว่ามงกุฏก็ดี ล้วนเป็นสิ่งทิพย์ ภาพนั้นจะปรากฏที่
    ใจเรา ถึงเหน็บว่า เอาเทพีเสรีภาพใว้ในใจเลยดีใหมสวมมงกุฏใหญ่ดี ถือโคม
    ไฟซะด้วย เอาใว้ส่องเวลามืดๆ

    อย่างศาสนาอื่นๆเขาไม่มีพระ แต่ในใจเขามีอย่างอื่นที่เป็นทิพย์ใว้คุ้มครองใจ
    ก็คุ้มครองได้เหมือนกัน เอ.แต่จะคุ้มครองทำไมในเมื่อเราเป็นพยับแดด
    แล้วพระแล้วคาถาเป็นพยับแดดด้วยรึเปล่าหนอ (ไม่รู้นะ)

    ต่อเรื่องพยับแดดอีกซะหน่อย คิดต่ออีกนิดนะ
    พระท่านก็ถามภิกษุเหมือนที่โพสต์ข้างบนนั่นล่ะ ที่ปราชลีเห็นพยับแดดแล้ว
    ได้อารมณ์ ท่านก็สอนถึงการเห็นโลกดุจพยับแดด แล้วเราก็ได้อารมณ์ใช่ใหม
    อารมณ์อันนั้นเกือบแล้ว แล้วท่านก็ให้เห็นอารมณ์นั้นดุจผู้ดูก็ถูกอีก ทีนี้ท่าน
    บอกต่ออีกว่า อารมณ์นั้น ที่แบบที่เป็นอยู่ล้วนดุจหมอกควัน ไม่ใช่พยับแดดนะ
    เป็นหมอกควัน แล้วท่านให้"เห็น" กระแสที่ส่งอารมณ์นั้น ที่พัดพาหมอก
    ควัน นั่นเรียก"กุศล"ท่านสอนให้พ้นจากอารมณ์ มาอยู่ที่กุศลที่ส่งอารมณ์นั้น
    "นั่นล่ะพ้น"

    ทีนี้ว่าต่อเรื่องนิมิต
    นิมิตบางครูท่านว่าเป็นเครื่องทดสอบอารมณ์ เพื่อให้เรา"เห็น" "กุศล"
    เช่นว่า บางคนนั่งสมาธิก็ดี นอนหลับไปแล้วฝันก็ดี(นิมิตอีกแบบ) แล้วเกิด
    ไปเห็นว่าตัวเองอยู่กลางสนามรบ กำลังถือดาบฟาดฟันศัตรู เพื่อลูกเมีย
    ญาติมิตรที่อยู่บ้าน ในขณะที่ดาบฟันคอศัตรูขาด ใจนั้นนิ่ง สงบดังผิวน้ำ ไม่ได้
    หุนหัน พลุ่งพล่านไปกับอารมณ์เคียดแค้นชิงชังดังภายนอกที่ศัตรูเห็น

    หรือว่า ใจขณะนั้นฟาดฟันไปด้วยความหวาดกลัว เคียดแค้นในบางคน
    ในเสี้ยวขณะนั้นเอง ธรรมะย่อมปรากฏ คำสอนต่างๆย่อมไหลเข้ามาสู่สมอง
    เพื่อสอบอารมณ์เราว่า นิ่งใหม สงบละเอียดใหม

    ใจคนนิมิตขณะนั้น ย่อมรู้ว่า นี่เรียกเข้มแข็ง นี่ไม่บาปด้วยอกุศล ดาบที่
    ฟันไปไม่ได้ฟันด้วยโกรธ แต่ฟันด้วยใจเมตตา เมตตาต่อลูกเมียข้างหลัง

    พอออกจากนิมิต ย่อมมองเห็นว่า นี่เรียก กุศล นี่เรียกอารมณ์
    "อารมณ์" นั้น จะมาด้วย ในจะนิ่งสงบ หรือพลุ่งพล่าน ตรงนี้คือ ทดสอบ

    อีกตัวอย่าง นิมิตว่ากำลังฆ่าคน แล้วขณะนั้นเอง ธรรมคำสอนหลั่งไหล
    เข้าสู่สมอง เราจะฆ่าใหม รึ อโหสิกรรม นี่ก็ทดสอบ

    จะเห็นว่า นิมิตนั้น ย่นย่อภพภูมิการเวียนว่ายตายเกิด (ข้อดีของมนุษย์อยู่
    ตรงนี้เอง) เพราะเราจะเกิดอีกกี่ชาติ จะได้มาอยู่ท่ามกลางสนามรบเพื่อ"ดู"
    ใจเราขณะนั้น

    และเราจะเกิดอีกกี่ชาติที่มีเวลาตัดสินใจเสี้ยวขณะหนึ่งที่จะฆ่ารึอโหสิกรรม
    แต่นิมิต ทำให้เราทดสอบจิตได้ ย่นย่อลงมานั่นเอง

    แยกกุศลออกมาจากอารมณ์แบบนั้นให้ได้ กุศลนี้ดีกว่าอารมณ์นั้น.
     
  9. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ปราญฯก็ไม่ได้บอกว่าท่านจิ-โปเป็นผู้รู้ซะหน่อย ก็ขอความเมตตาจากผู้ที่สื่อผ่านลงมาไงเจ้าคะ บางสิ่งที่ไม่มีรูปก็ต้องอาศัยรูปในการสื่อผ่านไง^-^

    5555 การทรงอารมณ์ว่าตนเองเป็นเพียงพยับแดดมิได้เกิดขึ้นตลอดเวลานี่เจ้าคะ บางครั้งและหลายต่อหลายครั้งก็ยังต้องน้มนำกำลังของพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งที่ระลึกอยู่ ท่านจ-โปพูดซะให้คิดเลยว่าแท้จริงพระและคาถาเป็นพยับแดดไหม(เดี๋ยวเก็บไปคิดต่อก่อน\0/)

    อืม อารมณ์ดุจหมอกควัน ขอเก็บติดไว้ก่อนนะคะ เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่ชัดค่ะ หากเพียงให้อ่านแล้วนึกตามมักนึกยังไม่ออกค่ะ แต่ถ้าเจอบางสถานการณ์เข้ามากระทบจะพอพิจารณาต่อได้

    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ
    ขอบคุณไปถึงผู้ที่ผ่านความรู้มายังท่าน จิ-โป ด้วยค่ะ
     
  10. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    สวัสดีคะ ไม่ได้เข้ามาหลายวัน ..คิดถึงเพื่อนๆนะคะ

    ที่คุยกันข้างบน ... ศิลามณี เคยได้ยินพ่อแม่ครูอาจารย์.... ท่านว่า.. เวลาตีลูกเพื่อการสั่งสอน ...ให้ตีโดยปราศจากอารมย์โกรธ...คงคล้ายๆกันใช่ไหมคะ
     
  11. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ดูท่าทาง วันนี้คุณศิลามณีคิดถึงใครอยู่หรือเปล่าครับ
     
  12. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    เมื่อคืนนี้ หนูก็ฝันเหมือนกัน ว่าโทรไปที่โรงเรียนหาอาจารย์ เพื่อจะคุยกับอาจารย์โดยตรง ซึ่งโรงเรียนกำลังมีกีฬาสีอยู่ แยกกันเป็นกลุ่ม ๆ หนูเองโทรหาอาจารย์ที่จะคุยด้วยไม่ได้ แต่มีสื่อกลาง คือธุรการ รับสายแทน ธุรการรับสายเสร็จหนูก็บอกว่า อาจารย์คะ ในใจนึกเค้าไม่ใช่อาจารย์แต่ก็ถือว่าเป็นอาจารย์ เพราะก็ทำงานอยู่ที่โรงเรียน ก็เลยเรียกอาจารย์ ก็บอกว่าหนูไปโรงเรียนสายหน่อยนะคะอาจารย์ เพราะหนูตื่นสาย แต่หนูจะไปโรงเรียนให้ทันนะคะ พวกเพื่อน ๆ หนูอยู่ไหนกันหมด หนูจะไปทันมั้ยคะ เสียงอาจารย์ก็เงียบไปเลย ก็ได้ยินเสียงตะกุกตะกัก คือพิมพ์ดีดอยู่ ก็เลยรู้สึก อ้าว! ธุรการ (อาจารย์) ไม่ค่อยว่างไม่มีเวลาคุยด้วย ก็เลยวางสาย แล้วก็โทรไปหาอาจารย์อีก ก็นิ่งและเรียกดัง ๆ เน้น ๆ อาจารย์ได้ยินหนูมั้ยคะ เค้าบอกได้ยินแล้ว เค้าเลยให้เพื่อนหนูที่สนิทกันมาก มาคุยด้วย หนูก็ถามมึงเป็นงัยมั่งวะ (ภาษาพ่อขุนราม) เพื่อนก็บอกว่าสบายดี ก็เลยฝากบอกว่า ไปโรงเรียนสายหน่อยนะ เพราะตื่นสาย แต่ในขณะนั้นเอง มันกึ่ง ๆ เหมือนหนูนอนอยู่บนเตียงกับยายซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว มีผีกลุ่มหนึ่งนอนอยู่โดยที่หนูเองไม่รู้ว่าเค้ามานอนอยู่บนเตียงหนูได้อย่างไร ผีนั้นได้ลุกไปจากที่นอน หนูจึงได้รู้ว่า อ้าว! มีผีมานอนด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่นเป็นเหตุให้เราตื่นสาย พอตื่นมาก็ประมาณเที่ยงคืนกว่า ๆ ค่ะ ก่อนจะนอนหนูได้เข้าใจและมั่นใจในตัวเองแล้วว่า เรื่องหมอกควันที่พูดนั้น ที่เป็นกระแสส่งไปให้เกิดอารมณ์นั้น (ที่เห็นเป็นนิมิต) เกิดจากกุศลตัวไหน อันนี้เข้าใจแล้ว
    และอกุศล เป็นตัวส่งไปให้เกิดอารมณ์นั้น ๆ เกิดจากอะไร หาต้นตอของการเกิดนั้น เราก็ย่อมที่จะหยุดมันได้ด้วยความเข้าใจ ในส่วนของอกุศลนะคะ
    ส่วนเรื่องฝันยังมะค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจเลา ๆ นิด ๆ ค่ะ ขอคำอธิบายขยายความด้วยค่ะ
     
  13. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    ก็ไม่ว่างไง ช่วงนี้ใครๆก็ไม่ว่างทั้งนั้นหละ ใกล้ออกพรรษา บ่ว่างดอก
    การเรียนกับอาจารย์จะคุยได้ติดต่อได้ ต้องเข้าสภาวะ แต่เมื่อเข้าไม่ได้
    แล้วกะว่า วันนั้น วันนี้ฉันจะทำก็เหมือนเราจะโทรไปบอกเขาว่าจะไปเรียน
    อยู่แต่ไปสายหน่อย

    ส่วนสาเหตุของการเข้าสภาวะไม่ได้ ไปเรียนสายเพราะผีที่นอนอยู่ด้วย
    ผีนั้นมีทั้งญาติคือ ห่วง มีทั้งผีร่างกาย(ก็ตัวเจ้านั่นล่ะผี) คือ ห่วง
    เมื่อคลายห่วงทั้งหมดนี้ ผีก็ไม่มี ก็เข้าสู่สภาวะได้ ก็ได้ยินเสียงท่านทั้งหลาย
    มาสอนเหมือนเดิม

    ผีนั้นคือกิเลสที่อยู่ในเรานั่นเอง ส่วนให้เห็นให้รู้สึกว่าญาติ แสดงว่าเราเอง
    มีห่วงกังวลในญาติเรา (พ่อ แม่ พี่ น้อง ) ยังตัดความห่วงนี้ไม่ขาด สิ่งนี้
    เองมันปิดบังเราจากสภาวะนั้น

    เดี๋ยวนี้กลายมาเป็นคนแปลความฝันไปซะแล้ว เฮ้อออ
     
  14. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321

    อืมณ์...น่าจะใช่นะคะ ... แต่ตอนนี้กำลังกังวลมากกว่าคะ.....คือ ศิลามณี เพิ่งจะได้งาช้างมาใหม่ .. เมื่อวานเอาไปให้ช่างแกะสลัก ให้เขาแกะสลัก แบบฝัง ......( เสียดายงาช้างนะคะ ถ้าแกะสลักแบบลอยองค์ ) ... ด้านหนึ่งเป็นรูปเคารพ พระพิคเณศวร อีกด้านเป็นรูปเคารพ พระแม่ลักษมี คะ ..ส่วนด้านข้างและด้านบน ให้ช่างเขาใส่ลวดลายให้ อาจจะเป็นลายกนก หรือ ลายเถา สุดแต่จิตนาการของช่าง....ที่กังวล คือ กลัวว่าจะแกะไม่ได้ดังใจที่วาดไว้นะคะ ..ก็จะเอาไปทำบุญนะ อีกไม่กี่วันก็จะหน้ากฐินแล้วนี่คะ
     
  15. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    อ๋อ นึกออกแล้ว เมื่อคืนนี้ก่อนจะนอนหนูนึกถึงเรื่องที่ทะเลาะกันกับนาย แล้วก็เลยปลง ก่อนจะนอน แต่ว่า ติดอยู่บทนึง ตรง<O:p</O:p
    พระกถาวัตถุ
    ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ, ค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์, คือความหมายอันแท้จริงหรือ ?,
    อามันตา, ถูกแล้ว,
    โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ, ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ, ปรมัตถ์ คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่, ค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์, คือความหมายอันแท้จริงอันนั้นหรือ ?
    นะ เหวัง วัตตัพเพ, ท่านไม่ควรกล่าวอย่างนั้น,
    อาชานาหิ นิคคะหัง หัญจิ ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ เตนะ วะตะ เร วัตตัพเพ, โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ มิจฉา, ท่านจงรู้นิคหะ (การข่ม ปราม) เถิด, ถ้าท่านค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์, คือโดยความหมายอันแท้จริงแล้ว, ท่านก็ควรกล่าวด้วยเหตุนั้นว่าปรมัตถ์, คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่, เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์, คือโดยความหมายอันแท้จริงนั้น, คำตอบของท่านที่ว่าปรมัตถ์ คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่, เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์, คือโดยความหมายอันแท้จริงอันนั้นจึงผิด,<O:p></O:p>
    พระยมก
    เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, ธรรมบางเหล่าเป็นกุศล,
    สัพเพ เต กุสะละมูลา, ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดมีกุศลเป็นมูล,
    เย วา ปะนะ กุสะละมูลา, อีกอย่างหนึ่งธรรมเหล่าใด มีกุศลเป็นมูล,
    สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา, ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดก็เป็นกุศล,
    เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, ธรรมบางเหล่าเป็นกุศล,
    สัพเพ เต กะสุละมูเลนะ เอกะมูลา, ธรรมเหล่านั้น ทั้งหมดมีมูลอันเดียวกับธรรมที่มีกุศลเป็นมูล,
    เย วา ปะนะ กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา, อีกอย่างหนึ่งธรรมเหล่าใดมีมูลอันเดียวกับธรรมที่มีกุศล เป็นมูล,
    สัพเพ เต ธัมมากุสะลา, ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดเป็นกุศล
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    2 ท่อนนี้เลยค่ะ นั่งสวดอยู่ซักพัก ก็เลยนึกในใจไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยเอามาอ่านแล้วจำให้ขึ้นใจ แล้วสวดใหม่พรุ่งนี้ ขอนอนก่อน ก็เลยเป็นฉะนี้กระมัง พอเช้ามา เรื่องเดิมก็เข้ามาในหัวอีก เรื่องทะเลาะกับเจ้านาย คือจิตคงจะยังไม่กระจ่างกับบทปลง 2 บทนี้ น่ะค่ะ ก็เลยทำให้จำไม่ขึ้นใจ เหมือนกับยิ่งท่องแล้วรู้สึกว่าวกไปวนมาน่ะค่ะ

    ถ้าจะกรุณา ขออธิบายขอแบบละเอียด ๆ หน่อยได้มั้ยคะลูกพี่<O:p</O:p
     
  16. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    ตำนานแหล่งท่องเที่ยวดอยนางนอน


    [​IMG]

    รื่องตำนานดอยนางนอนนี้เล่า กันว่านานมาแล้ว ณ เมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนามีเจ้าหญิงองค์หนึ่งมีพระรูปงดงามเป็นที่ยิ่งได้แอบรักกับชาย เลี้ยงม้าในวัง จึงหนีตามกันมาถึงที่ราบใกล้แม่น้ำโขงเมื่อเดินทางไปถึงที่นั่น เจ้าหญิงก็ทรงครรภ์ได้หลายเดือนแล้วจึงเสด็จต่อไปไม่ไหว บอกพระสวามีว่าจะประทับรออยู่ที่นั่นสวามีก็บอกว่าจะไปหาอาหารมาให้ อย่าไปไหนนะชายหนุ่มก็ไปแล้วไปลับไม่กลับมาเสียที มาได้ข่าวอีกทีปรากฏว่าถูกฆ่าโดยทหารของพระราชบิดาเจ้าหญิงที่สะกดรอยตามมา นั่นเองด้วยความเสียใจนางจึงใช้ปิ่นปักผมแทงพระเศียรของพระองค์จนเลือดไหล ออกมาเป็นสายกลายเป็นแม่น้ำแม่สายในทุกวันนี้และพระวรกายของพระองค์ที่นอน เหยียดยาวจากทิศใต้จรดทิศเหนือ ก็กลายเป็นดอยนางนอนจนทุกวันนี้โดยส่วนของพระอุทร(ท้อง)ก็เป็นดอยตุง

    ทางไปอำเภอแม่จัน มีขุนเขาทอดตัวคล้ายผู้หญิงนอนเหยียดยาว เรียกว่าดอยนางนอน เดิมชื่อ ดอยตายสะหรือดอยสามเส้า ซึ่งเกี่ยวกันกับตำนานลาวจกเทวบุตรอย่างแนบแน่น ดอยส่วนที่ศีรษะเรียกว่า ดอยจ้อง หรือดอยจิกจ้อง(เดิมเรียกดอยนี้ว่า ดอยท่าหรือดอยต้า)เป็นดอยของลูกชายปู่เจ้าลาวจกที่รอคอยพ่อ ดอยลูกถัดมาเรียกว่า ดอยย่าเฒ่าซึ่งเป็นภรรยาของปู่เจ้าลาวจก ส่วนดอยอีกลูกหนึ่งคือ ดอยดินแดงหรือดอยปู่เจ้าลาวจก หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ ดอยตุง

    เชื่อกันว่า ดอยทั้ง ๓ นี้เป็นที่อยู่อาศัยเดิมของลาวจักราชผู้เป็นต้นวงศ์ของพญามังรายก่อนที่จะ เคลื่อนย้ายมาสร้างเมืองหิรัญนครเงินยางเหนือดอยดินแดงเป็นที่ประดิษฐานพระ ธาตุดอยตุงอันถือเป็นปฐมธาตุแห่งแรกของภาคเหนือ

    ตำนานเรื่องที่สอง.....เล่าโดยลุงปัน
    จัก กล่าวขานตำนานดอยนางนอน ความเดิมมีอยู่ว่ามีพญาครุฑตัวหนึ่งได้ลักพาเอาพญานาค มาซุกซ่อนนอนอยู่บนดอยแห่งนี้คือนามว่า ดอยนางนอน ฝ่ายพญานาคก็ค้นหาลูกสาวจนทั่วเมืองบาดาลก็หาพบไม่จึงดำดอนชอนป่าแหวกแผ่น ดิน โผล่ขึ้นมา ณ ถ้ำหลวง แล้วพบลูกสาวบริเวณขุนน้ำนางนอน พญานาคได้ขอลูกสาวคืน ส่วนพญาครุฑได้ขอเงินทองเป็นของแลกเปลี่ยน พญานาคก็ยอมกลับไปเอาเงิน เอาทองพร้อมบริวารมาอาศัยอยู่บริเวณ หนองละกา หรือที่ชาวบ้าน หนองตานาคนอกจากนั้น พญานาคยังได้สร้างเจดีย์ เป็นอนุสรณ์ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าพระธาตุจอมนาคยังทุกวันนี้ ส่วนเงินทองที่เหลือ พญาครุฑเอาเก็บไว้ในถ้ำทรายทอง นั้นเอง พญานาคพาลูกสาวกลับเมืองบาดาล ส่วนพญาครุฑได้เสียชีวิตบนดอยตุง กลายเป็นผารูปรุ้งอยู่ทางทิศตะวันออก ของพระธาตุดอยตุง

    ตำนานแหล่งท่องเที่ยวดอยนางนอน - เครื่องรางของขลัง - Kulasang! Board - สถานีแห่งการแบ่งปันของสมาคมคน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1702-1.jpg
      IMG_1702-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.6 KB
      เปิดดู:
      420
  17. ainteerati

    ainteerati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,233
    ค่าพลัง:
    +2,275
    [​IMG]



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    รูปที่ส่งให้ดูทางพีเอ็มน่ะรูปไหนรึ 10 กว่าข้อความ เปิดไม่ได้ซักอัน
     
  19. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    พระอภิธรรม เกินภูมิกว่ามนุษย์จะจําแนกและพิจรณาตามธรรมได้ พระพุทธองค์ยกให้เป็นมากกว่าธรรมทั้งปวงที่ควรแสดง เรียกว่าพระอภิธรรม 7 คัมภีร์
    เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว หวนนึกถึงพระคุณของพุทธมารดา จึงใช้พระธรรม ทั้ง 7 ขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ ตลอด 1 พรรษา และเทวดาที่ร่วมเทวสภาในครั้นนั้น ส่วนมากหรือแทบจะทั้งหมด ถึง โสดาบันมาแล้ว เมื่อออกพรรษาทรงแสดงลงมาเรียกวันนั้นว่าวันเปิดโลก และพระธรรมบทดังกล่าวไม่ได้แสดงให้พระสารีบุตร ผู้เดียว และโดยย่อ โดยปกติไม่ค่อยมีใครพิจรณาอภิธรรมกันหรอกครับ เป็นอภิเป็น ธรรมที่บรรยายสภาวะธรรมเฉยๆ เรียก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ธรรมส่วนมากจะเป็นปรมัตถ์ และเกินกว่าปัญญาของปุถุชนอย่างสิ้นเชิง แต่ปัจจุบันการเรียนการสอนยังมีอยู่ ถึงเรียนจบได้เข้าใจแต่ก็อยากจะรู้เนื้อหาที่แท้จริง แม้ถึงคนบรรยายได้ก็ไม่ใช่จะเข้าใจอภิธรรม และ การบรรยายก็ไม่สามารถทําให้คนเข้าใจได้เช่นกันครับ เว้นเสียจากพระพุทธเจ้าลงมาแสดง และคุณก็มีวิสัยของการบรรลุธรรม และเป็นเทวดา และฟังกัน 3 เดือน ไม่ใคร่มีใครมาสวดภาวนากันหรอกครับ ปุถุชนทั่วไปสามารถฟังได้แค่ในงานศพ เอวัง เฮ้อออออ


    ธรรมมะ 84000 กอง แยก
    เป็นพระสูตร 2100 กอง รวมธรรมทั้งหมด ธรรมจักร โพชณงค์ อริยสัจ อิทธิบาท พรหมวิหาร เป็นต้น
    พระวินัย 2100 กอง
    พระอภิธรรม 4200 กอง

    พระผู้เข้าใจใช้ เพียงพระสูตร และพระวินัย แค่นั้นหล่ะครับ

    บางทีผู้ถามอาจจะมีความรู้และเข้าใจ ในส่วนอภิธรรมจริง
    แต่ถ้าไม่ทราบจริงๆ ผมว่าอย่าหยิบมาใช้สนทนา และสวดมนต์ด้วยความคะนองเลยครับ เกิดโทษอย่างแรง ขออภัยครับ

    แก้ไขพระอานนท์เป็นพระสารีบุตรนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2010
  20. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    รูปข้างบนเป็นภาพอะไรหรือคะ ....?
     

แชร์หน้านี้

Loading...