นิทานเซน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ศรีสุทโธ, 8 กันยายน 2010.

  1. ศรีสุทโธ

    ศรีสุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +461
    clip_image009[1].jpg
    นิทานเซน

    ตัวรู้





    ครั้งหนึ่ง ท่านเว่ยหล่างไปพักค้างแรมที่บ้านหลังหนึ่ง ขณะที่กำลังจะนอนพักผ่อนในช่วงบ่าย
    ได้ยินเสียงคนกำลังสวดมนต์ เลยลุกขึ้นไปถามผู้นั้นว่า
    เจ้าเข้าใจความหมายของบทที่สวดหรือเปล่า
    บางตอนเข้าใจยากจริงๆ

    ท่านเว่ยหล่างเลยอธิบายให้ฟังบางตอนของบทสวดว่า
    เมื่อเราอยู่ในโลกแห่งมายาจอมปลอมนี้จนผมหงอกขาวหมดไปทั้งหัวแล้ว พวกเราต้องการอะไร?
    และเมื่อไฟแห่งชีวิตกำลังจะมอดลง ใจเต้นอ่อนลง และลมหายใจกำลังจะขาดรอนๆ อะไรคือสิ่งสุดท้ายที่เราหวัง?
    และเมื่อกายของเรากำลังเน่าเปื่อยอยู่ในสุสาน ธาตุกลับคืนสู่ธาตุ ธาตุดินสู่ดิน
    ชีวิตกลายเป็นสิ่งไร้ความรู้สึกในความว่างเปล่า...แล้วเราอยู่ที่ไหน?”

    คนที่สวดมนต์นั้นได้ชี้คำหลายคำในคัมภีร์ที่ไม่เข้าใจความหมายแล้วถาม...
    ท่านเว่ยหล่างยิ้มๆแล้วตอบว่า
    ข้าพเจ้าไม่รู้หนังสือ ท่านถามมาเลยดีกว่า"

    คนๆนั้นรู้สึกแปลกใจแล้วพูดขึ้นว่า
    ท่านอ่านหนังสือไม่ออก ท่านจะเข้าใจความหมาย เข้าใจหลักธรรมได้อย่างไร?”

    ท่านเว่ยหล่างตอบว่า
    หลักธรรมของพุทธะ กับตัวหนังสือไม่เกี่ยวกัน
    ตัวหนังสือเป็นเพียงเครื่องมือที่จะเรียนรู้ สิ่งที่จะเข้าใจหลักธรรมคือจิต คือตัวรู้ ไม่ใช่ตัวหนังสือ"

    ท่านเว่ยหล่างรับตำแหน่งพระสังฆนายกโดยที่ยังไม่ได้บวช
    หลังรับตำแหน่งต้องหนีภัยจากพระที่เป็นศิษย์พี่ ไปอยู่ในป่ากับพรานป่า 15 ปี ถึงจะกลับมาในเมืองแล้วบวช


    อยู่กับปัจจุบัน






    พระชิงหลวนแห่งญี่ปุ่น เมื่อตอนที่อายุ 9 ขวบ ก็คิดที่จะออกบวช
    จึงไปขอบวชกับพระอาจารย์ฉือเจิ้นพระอาจารย์บอกว่า
    เจ้าอายุยังน้อย คิดจะบวชทำไม ?”

    ชิงหลวนตอบว่า
    แม้ข้าพเจ้าจะอายุยังน้อย แต่พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว
    และเพราะเหตุว่าข้าพเจ้าไม่รู้ว่า คนเราทำไมต้องตาย
    ทำไมต้องแยกจากพ่อแม่เพื่อที่จะสืบค้นหาต้นตอของสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงต้องบวช

    พระอาจารย์รู้สึกชมชอบอุดมการณ์อันดีนั้น จึงพูดว่า
    ดีแล้ว อาจารย์จะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่คืนนี้ก็ค่ำแล้ว ไว้พรุ่งนี้จะทำการบวชให้เจ้า

    แต่ชิงหลวนพูดว่า
    ข้าพเจ้าอายุยังน้อย ไม่ทราบว่าจะรักษาความคิดที่จะบวชจนถึงพรุ่งนี้ได้หรือเปล่า
    และท่านอาจารย์ก็อายุมากแล้ว ก็ไม่สามารถจะรับรองได้ว่า พรุ่งนี้เช้าอาจารย์จะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือเปล่า

    พระอาจารย์ฟังแล้วรู้สึกปลื้มปีติยิ่งนัก บอกว่า
    ถูกต้อง เจ้าพูดไม่ผิดเลย ตอนนี้จะบวชให้เจ้าทันที

    ที่เมืองจีนสมัยราชวงศ์ถัง ผู้ที่จะบวช จะต้องผ่านการสอบคัดเลือกก่อน
    พระถังซำจั๋งตอนนั้นอายุเพียง 12 ปี สอบไม่ผ่าน รู้สึกเสียใจจนร้องไห้
    ผู้คุมสอบ เจิ้งซ่านกว่อ ถามว่า...ร้องไห้ทำไม

    ซำจั๋งตอบว่า
    อยากสืบทอดศาสนาของพระพุทธองค์ และให้เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วปฐพี
    ผู้คุมเห็นอุดมการณ์อันสูงส่งนั้น จึงอนุญาตให้บวช ซึ่งต่อมาทั้งสองท่านก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
    และทำคุณประโยชน์ให้กับศาสนามากจริงๆ


    ปฏิบัติธรรมอย่างไร





    พระอาจารย์ว้อหลุนหลังจากบำเพ็ญเพียรอยู่หลายปี ก็นึกว่า ตนเองรู้แจ้งแล้วจึงไปหาท่านเว่ยหล่างเพื่อทดสอบภูมิธรรม พร้อมกับเขียนโศลกว่า

    ว้อหลุนมีเทคนิคและวิธี ที่จะสามารถดับร้อยความคิดได้
    สิ่งที่มากระทบจิตไม่เกิด ต้นโพธิ์เติบโตขึ้นทุกวัน




    (โศลกบทนี้ต้องกำกับภาษาจีนด้วยเพราะแตกต่างจากที่ท่านพุทธทาสแปลไว้เล็กน้อย)

    ท่านเว่ยหล่างเมื่ออ่านแล้วได้พูดกับลูกศิษย์ว่าว้อหลุนยังไม่ได้เข้าถึงหลักธรรมอย่างแท้จริงหากปฏิบัติธรรมลักษณะนี้ต้องตายแน่คิดว่าสิ่งที่มากระทบจิตไม่เกิดเป็นความสามารถอย่างสูงเป็นความเข้าใจที่ผิด เราปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพุทธะที่มีชีวิตไม่ใช่เป็นพุทธะที่ตายแล้ว กลายเป็น ทองไม้ดินหรือหินแล้วจะเป็นพุทธะอย่างไร ไม่สามารถฉุดช่วยผู้คน แล้วจะมีประโยชน์อะไร

    ท่านเว่ยหล่างจึงแต่งโศลกตอบไปว่า

    เว่ยหล่างไม่มีเทคนิคและวิธี ร้อยความคิดก่อเกิดไม่มีหยุด
    สิ่งที่มากระทบจิตย่อมเกิด แล้วต้นโพธิ์จะเติบโตได้อย่างไร



    เหล่าลูกศิษย์ไม่เข้าใจ ท่านเว่ยหล่างจึงอธิบายให้ฟังว่าทุกสิ่งที่ต้องใช้เทคนิคและวิธีล้วนแต่ต้องใช้ความสามารถจิตย่อมจดจ่ออยู่กับความสามารถในการกระทำนั้นยังเป็นการยึดติดอยู่กับการกระทำ ยังใช้ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องไปดับความคิดไม่มีความคิดแล้วจะไปทำอะไรได้หากไม่มีความคิดก็เหมือนกับก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเหมือนกับเวลาที่เราแสดงธรรมหรือฟังธรรมต้องใช้ความคิดร่วมด้วยแม้มีความคิดแต่ไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์นั้น ก็เหมือนกับไม่มีความคิดส่วนต้นโพธิ์นั้นแสดงถึงจิตเดิมแท้ของพุทธะ ไม่เพิ่มไม่ลด ไม่เกิดไม่ดับแม้จะปฏิบัติธรรมจนเป็นพุทธะแล้ว ก็ไม่ได้เพิ่มอะไรแม้แต่นิดเดียวแล้วจะมีอะไรเติบโตได้อย่างไร

    ชาล้นถ้วย

    นันอินเป็นอาจารย์เซ็นชาวญี่ปุ่น มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์เมจิ (พ.ศ. ๒๔๑๑ -๒๔๕๕ )คราวหนึ่งได้ต้อนรับศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งผู้ไปสอบถามเกี่ยวกับลัทธิเซ็น
    อาจารย์นันอินเลี้ยงน้ำชาอาคันตุกะผู้นี้ด้วยตนเองท่านรินน้ำชาใส่ถ้วยจนล้นถ้วย แล้วยังรินต่ออยู่อย่างนั้นไม่หยุดท่านศาสตราจารย์มองดูอดรนทนไม่ได้ จึงร้องขึ้นว่า
    "มันล้น แล้วครับท่าน รินต่อไปอีกไม่ได้แล้ว"
    อาจารย์นันอินตอบว่า
    "เช่นเดียวกันแหละ เจริญพร ท่านเองก็เต็มไปด้วยทฤษฎีต่างๆอาตมาจะสอนเซ็นให้ท่านได้อย่างไรถ้าท่านไม่ทำให้ถ้วยของท่านว่างเปล่าเสียก่อน"

    คุณยังไม่วางอีกหรือ

    วันหนึ่งอาจารย์ตันซาน กับอาจารย์เอกิโดเดินทางไปตามถนนเฉอะแฉะด้วยโคลนสายหนึ่งขณะฝนกำลังตกหนักพอเดินมาถึงหัวเลี้ยวแห่งหนึ่งพบหญิงสาวสวยคนหนึ่งแต่งชุดกิโมโนมีพู่ห้อยยาวรีรอจะข้ามถนนอยู่
    "มานี่หนู"ตันซานเรียก แล้วตรงรี่เข้าอุ้มเธอข้ามโคลนไป
    เอกิโดตกใจมากแต่ไม่กล้าปริปาก จนทั้งสองเดินทางมาถึงสำนักในตอนกลางคืน เอกิโดอดรนทนไม่ได้จึงพูดกับตันซานว่า
    "พระเราแตะต้องผู้หญิงไม่ได้โดยเฉพาะสาวสวยเช่นนั้นยิ่งอันตราย ทำไมท่านกล้าทำถึงขนาดนั้น"
    ตันซานตอบว่า
    "ผมวางเธอไว้ที่นั่นตั้งนานแล้วคุณยังอุ้มเธออยู่หรือนี่"

    ยังงั้นรึ

    พระอาจารย์เซ็นชื่อฮะกูอินได้รับยกย่องจากชาวบ้านว่าเป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอย่างบริสุทธิ์ที่ใกล้วัดของท่าน มีร้านขายของชำอยู่ร้านหนึ่งเจ้าของร้านมีลูกสาวสวยอยู่คนหนึ่ง จู่ๆ พ่อแม่ของหญิงสาวได้พบว่าลูกสาวของตนได้ตั้งท้องขึ้นโดยไม่รู้เบาะแสมาก่อน
    เหตุการณ์นี้ทำให้เขาทั้งสองโกรธมาก จึงพยายามเค้นเอาความจริงลูกสาวใจเด็ดไม่ยอมปริปากบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง แต่ในที่สุดเมื่อถูกบังคับขู่เข็ญนักเข้า จึงหลุดปากออกมาว่าพ่อของเด็กคือท่านอาจารย์ฮะกูอิน
    สองตายายจึงวิ่งแจ้นไปด่าว่าอาจารย์ฮะกูอินด้วยความโกรธจัดท่านอาจารย์ย้อนถามว่า"ยังงั้นรึ"
    เมื่อเด็กเกิดมาแล้วพ่อแม่ของหญิงสาวได้นำเด็กไปให้อาจารย์ฮะกูอินเลี้ยงมาถึงตอนนี้ชื่อเสียงของท่านได้เสื่อมไปหมดแล้วแต่ท่านก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร เอาใจใส่เลี้ยงดูเด็กอย่างดีโดยซื้อนมและอาหารที่จำเป็นสำหรับเจ้าหนูน้อยจากชาวบ้านข้างเคียง
    หนึ่งปีให้หลังแม่ของเด็กสุดที่จะทนดูเหตุการณ์ต่อไปได้จึงสารภาพความจริงกับพ่อแม่ว่าพ่อที่แท้จริงของเด็กนั้นคือเจ้าหนุ่มที่ตลาดขายปลา หาใช่ท่านอาจารย์ฮะกูอินไม่
    สองตายายได้ฟังดังนั้นจึงรีบไปหาท่านอาจารย์ฮะกูอิน ขอโทษขอโพยในความผิดของตนอย่างยืดยาวและขอรับเด็กกลับ
    ท่านอาจารย์ฮะกูอินย้อนถามเช่นเดิมว่า"ยังงั้นรึ"แล้วนำเด็กมามอบให้

    ความเจริญสุขที่แท้จริง

    เศรษฐีคนหนึ่งขอให้อาจารย์เซ็นไกเขียนคาถาอวยพรให้ครอบครัวของเขามีความเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยตลอดกาลนานอาจารย์เซ็นไกหากระดาษแผ่นใหญ่มาแผ่นหนึ่งแล้วเขียนลงไปว่า
    "ขอให้พ่อตายลูกตายหลานตาย"
    "ผมบอกให้ท่านเขียนคำอวยพรให้ครอบครัว ของผมมีความสุข ทำไมท่านจึงมาเขียนเรื่องอัปมงคลเช่นนี้"อาจารย์อธิบายว่า
    "ไม่ใช่เรื่องอัปมงคลถ้าลูกโยมตายก่อนโยมโยมย่อมจะเศร้าโศกเสียใจมากถ้าหลานโยมตายก่อนโยมและลูก ทั้งโยมและลูกย่อมจะเศร้าโศกปิ่มว่าสายใจจะขาดที่นี้ถ้าแต่ละคนตายไปตามลำดับ ดังที่อาตมาเขียนไว้นี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามธรรมดาของชีวิต สิ่งนี้แหละอาตมาว่าเป็นความเจริญที่แท้จริง"

    ผิดกับถูก

    เวลาที่อาจารย์บันไกจัดสัปดาห์แห่งการปฏิบัติกรรมฐานมีศิษย์อยู่ปฏิบัติจากส่วนต่างๆของประเทศญี่ปุนเป็นจำนวนมากคราวหนึ่งศิษย์คนหนึ่งโดนจับด้วยข้อหาลักทรัพย์พวกเขาจึงรายงานให้อาจารย์บันไกทราบ พร้อมเสนอให้เนรเทศเจ้าขโมยคนนั้นแต่อาจารย์บันไกก็เฉยเสีย
    ต่อมาศิษย์คนนั้นโดนจับด้วยความผิดเช่นเดียวกันอาจารย์บันไกก็เฉยเสียอีกเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ไม่พอใจจึงยื่นข้อเสนอให้อาจารย์ขับเจ้าหัวขโมยคนนั้นออกให้ได้หาไม่พวกเขาจะพากันออกไปหมด
    เมื่ออ่านข้อเสนออาจารย์บันไกเรียกประชุมศิษย์ทั้งหมดกล่าวว่า "พวกเธอเป็นคนฉลาดรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกพวกเธอจะไปที่ไหนก็ไปเถิดแต่ศิษย์ผู้น่าสงสารคนนี้ไม่รู้กระทั่งว่าอะไรผิดอะไรถูกถ้าฉันไม่สอนเขาแล้วใครเล่าจะสอนฉันจะต้องให้เขาอยู่ที่นี่แหละแม้ว่าพวกเธอจะจากฉันไปทั้งหมดก็ตาม"
    น้ำตาได้ไหลอาบแก้มเจ้าศิษย์ขี้ขโมยเขาตัดสินใจเลิกขโมยแต่นั้นมา


    ไม่เหลือจิตปกติธรรมดา





    ลูกศิษย์คนหนึ่งมาถามพระอาจารย์ว่า ศิษย์นั่งสมาธิทุกวัน สวดมนต์บ่อยๆนอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า จิตไม่คิดฟุ้งซ่าน ในสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้รู้สึกจะไม่มีใครขยันไปกว่าข้าพเจ้า แล้วทำไมถึงยังไม่รู้แจ้งสักที

    พระอาจารย์นำน้ำเต้า และเกลือหยาบให้ลูกศิษย์ แล้วบอกว่า เจ้านำน้ำเต้านี้ไปใส่น้ำให้เต็ม แล้วใส่เกลือเข้าไป ถ้าหากมันละลายทันทีเจ้าจะรู้แจ้งทันที

    ลูกศิษย์ทำตามวิธีที่อาจารย์บอก สักครู่ก็กลับมาบอกว่า
    ปากน้ำเต้าเล็กไป ใส่เกลือลงไปมันไม่ละลาย เอาตะเกียบลงไปก็คนไม่สะดวก ดูแล้วศิษย์คงจะไม่สามารถรู้แจ้งได้แล้ว

    พระอาจารย์เลยเทน้ำออกไปบางส่วน ใส่เกลือลงไปแล้วเขย่าสักประเดี๋ยวเกลือก็ละลาย พระอาจารย์พูดต่อว่า ขยันทั้งวันไม่เหลือจิตปกติไว้บ้าง ก็เหมือนกับน้ำเต้าที่ใส่น้ำจนเต็มแล้วเขย่าไม่ได้คนไม่ได้ จะละลายเกลือได้อย่างไร แล้วจะรู้แจ้งได้อย่างไร? “

    หรือว่าไม่ขยันแล้วจะรู้แจ้งได้ ลูกศิษย์ถาม การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการดีดพิณ สายพิณตึงเกินไป ย่อมขาดง่ายสายพิณที่อ่อนเกินไปก็ไม่เกิดเสียง ทางสายกลาง จิตปกติธรรมดาถึงจะเป็นฐานที่ทำให้เกิดการรู้แจ้ง


    นกที่บินหลงทาง





    ที่ภูเขาต้าเยี่ยน มีพระรูปหนึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นท่านเป็นพระที่เทศน์เก่งมาก ท่านมักจะใช้สิ่งที่มีชีวิตรอบตัวสอดแทรกธรรมะจากนั้นก็ใช้คำง่ายๆแต่งเป็นโศลก

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง อุบาสกท่านหนึ่งถามท่านว่า

    มีคนพูดกันว่า การบูชาใดๆต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงในสากลโลกก็ไม่เท่ากับการบูชาต่อผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งมรรคเพียงคนเดียวไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเป็นอย่างไร ? คนเดินตามทางเดินแห่งมรรคมีบุญกุศลใด

    พระรูปนั้นพูดเป็นโศลก ว่า

    เพียงแค่มีเมฆหมอกมาบดบัง นกก็ยังหลงทางบินกลับรัง "

    " เป็นเพราะว่ามีเมฆหมอกมาปิดทางกลับรังของนก นกจึงหาทางกลับรังไม่ถูกถ้าเรามัวแต่บูชาพระพุทธองค์ จิตย่อมจดจ่อและยึดติดอยู่กับองค์พระทำให้ตัวเองกลับเดินหลงทาง ผู้ที่เดินตามทางแห่งมรรคย่อมทำให้จิตตัวเองสะอาด และสว่างกลับมารู้จักตัวเอง จิตจึงไม่หลงทาง

    อุบาสกคนนั้นถามต่อว่า โบสถ์วิหารเป็นดินแดนแห่งความสงบ
    และสะอาด ทำไมถึงต้องตีกลองและเคาะ ปลาไม้

    พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า

    เพื่อตีให้เสียงก้องกังวานไป เพื่อมิให้เหล่ามังกรนั่งคำนับ

    วัดที่เงียบสงบต้องตีกลองและเคาะ ปลาไม้ มีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ในนั้นธรรมดาปลาอยู่ในน้ำ ไม่เคยปิดตา ดังนั้นการเคาะ ปลาไม้จึงเป็นการแสดงถึงความขยันฝึกฝน ไม่เกียจคร้านการตีกลองก็เพื่อย้ำเตือนให้ผู้คน เลิกทำบาป และสร้างกุศล

    อุบาสกท่านนั้นถามต่ออีกว่า

    เมื่อปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านก็ได้ ทำไมถึงต้องออกบวชอีก

    พระรูปนั้นตอบเป็นโศลกว่า

    นกยูงแม้จะมีปีกที่สวยงาม แต่ก็บินได้ไม่สูงเฉกเช่นนกอื่น

    " การปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อบวชแล้วย่อมจะตั้งมั่น และแน่วแน่กว่า ย่อมจะไปได้ไกลกว่า


    ผิดบาปที่ใคร





    ศิษย์และอาจารย์เดินผ่านท่าน้ำริมทะเลเห็นชาวเรือกำลังจะนำเรือออกจากท่าเพื่อที่จะไปส่งผู้โดยสารหลังจากเรือลงน้ำไปแล้ว ที่ชายหาดมี กุ้ง หอย ปู ปลา โดนทับตายเป็นจำนวนมากทำให้เห็นแล้ว รู้สึกน่าสงสารยิ่งนัก

    ลูกศิษย์ :ขณะที่ชาวเรือนำเรือออกไปนั้น ทำให้ กุ้ง หอย ปู ปลาแถวนั้นตายไปไม่น้อยขอถามหน่อยว่า เป็นความผิดบาปของชาวเรือหรือผู้โดยสาร

    พระอาจารย์ : ไม่ได้เป็นบาปของชาวเรือ และไม่ได้เป็นบาปของผู้โดยสาร

    ลูกศิษย์ : ถ้าไม่ได้เป็นบาปของทั้งสองฝ่าย แล้วจะเป็นบาปของใคร

    พระอาจารย์ : ก็เป็นของเจ้านะซี

    พระอาจารย์พูดต่อว่า พุทธศาสนาแม้จะพูดถึงวัฏสงสาร แต่ในแง่ของคนเมื่อพูดในฐานะเป็นมนุษย์ เรื่องราวบางอย่างบางครั้งก็ไม่สามารถพูดให้ชัดแจ้งลงไปได้ชาวเรือประกอบอาชีพนี้เพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้องผู้โดยสารจำเป็นต้องขึ้นเรือ เพราะต้องเดินทาง กุ้ง ปู โดนเรือกดทับเพราะซ่อนตัวอยู่ในทราย นี่เป็นความผิดใคร ?

    กรรมเกิดจากจิต จิตไม่มี กรรมก็ไม่มี
    จิตไม่มี จะสร้างกรรมได้อย่างไร
    แม้จะมีบาปกรรม ก็เป็นบาปที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ

    แต่เจ้า สิ่งที่ไม่มีสร้างให้มี
    สร้างผิดถูกขึ้นมาเอง
    แล้วนี่จะไม่ใช่ผิดบาปที่เจ้าหรอกหรือ ?


    นายพลจะออกบวช





    นายพลท่านหนึ่งทำสงครามป้องกันชายแดนอยู่แถบทะเลทรายเป็นเวลาถึงสิบกว่าปีตอนนี้เมื่อนึกถึง คมหอกศาสตราวุธและสภาพสงครามที่มีเลือดไหลนองดั่งสายน้ำจิตก็ยากที่จะสงบลงได้ เลยมาหาพระอาจารย์เพื่อจะขอออกบวช

    พระอาจารย์ ข้าพเจ้าเบื่อสงครามเหลือเกิน ตอนนี้รู้สึกปลงไปหมดแล้ว ขอให้พระอาจารย์เมตตา รับข้าพเจ้าเป็นศิษย์เถอะ

    เจ้าทำสงครามมาเป็นแรมปี กลิ่นอายแห่งการฆ่ายังมีอยู่เยอะและยังมีครอบครัวให้เป็นห่วง ไม่เหมาะที่จะบวชตอนนี้ไว้รออีกสักระยะก่อน พระอาจารย์ตอบ

    ข้าพเจ้าแม้จะอยู่ในสงครามมานานนั่นเป็นเพราะความจำเป็นบังคับ ข้าพเจ้าเกลียดสงครามเป็นที่สุดตอนนี้ข้าพเจ้าวางทุกอย่างลงได้หมดแล้ว ลูกและภรรยาครอบครัวก็ไม่เป็นปัญหาบวชให้ข้าพเจ้าเถอะ

    รออีกสักระยะหนึ่งก่อน พระอาจารย์พูดแล้วก็เดินกลับเข้าวัด ท่านนายพลเลยจำใจต้องกลับบ้านไป

    รุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่ ท่านนายพลก็มาที่วัดอีก พระอาจารย์เลยทักว่า
    ท่านนายพลทำไมถึงตื่นมาไหว้พระแต่เช้า
    เพื่อดับไฟอันร้อนรุ่มในหัวอก เลยตื่นเช้ามาไหว้พระพุทธองค์

    พระอาจารย์เลยเหย้าแหย่กลับไปว่า ตื่นแต่เช้ามาอย่างนี้ ไม่กลัวเมียมีชู้หรือ ? “

    ท่านนายพลรู้สึกโกรธจัด จึงร้องด่าออกมาตามความเคยชินที่อยู่ในสงคราม ว่า
    “ !!!!! เจ้าทำไมพูดจาทำร้ายคนขนาดนี้

    พระอาจารย์หัวเราะเบาๆ พูดมาเป็นโศลก ว่า
    โบกพัดเพียงเบาๆ ไฟในอกก็ คุ กรุ่น
    มุทะลุอย่างนี้หรือ คือการวางลงได้แล้ว

    ท่านนายพลฟังแล้วหน้าแดงกล่ำ ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้อีก


    อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา





    หลังจากที่พระจวีจือบวชได้ไม่นานวันหนึ่งมีภิกษุณีมาที่วัดภิกษุณีนั้นใส่หมวกที่สานด้วยไม้ไผ่และถือกระบองที่ทำด้วยตะกั่ว มาถึงก็เวียนรอบพระจวีจือ 3 รอบ

    ถ้าเจ้าพูดออกมาได้ ข้าพเจ้าจะถอดหมวกนี้ออกพระจวีจือไม่รู้ว่าจะพูดอะไรภิกษุณีนั้นเลยขอลากลับ พระจวีจือเห็นว่าใกล้ค่ำแล้วเลยบอกให้พักค้างคืนที่วัดก่อน

    ถ้าเจ้าพูดออกมาได้ ข้าพเจ้าก็จะอยู่ก่อนแต่พระจวีจือไม่ทราบว่า
    ภิกษุณีนั้นต้องการให้พูดอะไร หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป พระจวีจือรู้สึกสังเวชใจมากที่ไม่สามารถตอบภิกษุณีนั้นได้ เมื่อพระอาจารย์ของพระจวีจือมาหาพระจวีจือจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พระอาจารย์ไม่พูดอะไรได้แต่ชูหัวแม่มือให้พระจวีจือดู พระจวีจือจึงรู้แจ้งทันที

    หลังจากนั้นเมื่อมีผู้มาถามธรรมมะ พระจวีจือจะตอบคำถามด้วยการชูหัวแม่มืออย่างเดียว ครั้นเวลานานเข้า สามเณรในวัดก็เลียนแบบบ้าง
    ทุกครั้งที่อาจารย์ไม่อยู่ เมื่อมีผู้มาถามธรรมะ ก็จะชูหัวแม่มือขึ้นมาเหมือนกัน

    เรื่องรู้ถึงหูพระจวีจือ จึงถามเณรน้อยว่า อะไรคือพระธรรม?” เณรนั้นยกหัวแม่มือขึ้นมาเป็นคำตอบพระจวีจือเลยใช้มีดตัดหัวแม่มือนั้นจนขาด เณรน้อยนั้นร้องลั่นพระจวีจือถามต่อทันทีว่า

    อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมาเณรน้อยยกหัวแม่มือขึ้นมาตามความเคยชิน เมื่อไม่เห็นหัวแม่มือจึงเกิดการรู้แจ้งขึ้นมาทันใดนั้น

    ( เรื่องนี้เป็นเพียงแค่นิทาน จริงหรือเท็จอย่างไรคงไม่มีใครทราบได้ )


    สังฆปริณายกองค์ที่ 4 กับฝ่าหยง





    สังฆปริณายกองค์ที่ 4 มีนามว่า เต้าสิ้น วันหนึ่งท่านผ่านไปที่ภูเขาหนิวโถวซึ่งเป็นที่อยู่ของท่านฝ่าหยง จึงแวะไปหาท่านฝ่าหยงเห็นท่านเต้าสิ้นมาก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไร

    เต้าสิ้น : ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่

    ฝ่าหยง : ดูจิต

    เต้าสิ้น : ใครกำลังดูจิต สิ่งที่ดูคือจิตอะไร

    ฝ่าหยง : พูดไม่ออก

    เต้าสิ้น : หากอยากจะปฏิบัติธรรมจนเป็นพุทธะ ไม่จำเป็นต้องตั้งใจเพ่งจ้อง และก็ไม่ต้องกดข่ม ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติของจิต

    ฝ่าหยง : ถ้าไม่ตั้งใจเพ่งจ้อง หากจิตกระเพื่อมจะทำอย่างไร

    เต้าสิ้น : สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีสวยไม่มีขี้เหร่หากอยากจะแบ่งแยกดีชั่วจริงๆ พูดได้แต่เพียงว่าข้างในแม้จะสว่างแต่จิตไม่สงบลักษณะอย่างนี้แม้ว่าจะนั่งสมาธิทุกวันก็ป่วยการไปเปล่าๆที่สุดก็เป็นพุทธะไม่ได้ หากไม่ปล่อยให้จิตไปยึดติดกับสรรพสิ่งก้าวพ้นออกมาจากสรรพสิ่งทั้งหลาย เจ้าจะบรรลุถึงจิตพุทธะได้

    ขณะนั้นพอดีมีเสือตัวหนึ่งดินเข้ามาหมอบนิ่งๆอยู่ใกล้ท่านฝ่าหยง ท่านเต้าสิ้นเห็นแล้วตกใจกลัว ท่านฝ่าหยงหัวเราะแล้วพูดว่า

    ท่านยังมีอย่างนี้อีกหรือ ? “

    ท่านเต้าสิ้นไม่พูดอะไร แต่ไปที่เบาะรองนั่งสมาธิของท่านฝ่าหยง แล้วเขียนคำว่า พุทธะ แล้วเชิญท่านฝ่าหยงนั่ง ท่านฝ่าหยงลังเลไม่กล้านั่งท่านเต้าสิ้นหัวเราะแล้วพูดว่า

    ท่านก็มีอย่างนี้ด้วยหรือ ? " แล้วทั้งสองก็หัวเราะพร้อมกัน

    ท่านเต้าสิ้นและท่านฝ่าหยงสนทนาธรรมจนค่ำ ท่านฝ่าหยงจึงชวนให้ค้างคืนที่นั่นแต่ว่ามีเพียงเตียงเดียว ท่านฝ่าหยงจึงเสียสละเตียงให้ท่านเต้าสิ้นนอนแล้วตัวเองก็ไปนั่งสมาธิ กลางดึก ท่านเต้าสิ้นนอนกรนเสียงดังมาก

    รุ่งเช้า ท่านฝ่าหยงจึงต่อว่าท่านเต้าสิ้นว่าเมื่อคืนนี้ท่านนอนกรนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนทำให้ข้าพเจ้านั่งทำสมาธิไม่ได้ ท่านเต้าสิ้นตอบว่า

    เมื่อคืนนี้ท่านทำเห็บตัวหนึ่งตกลงไปที่พื้น จนขามันหักไปขาหนึ่ง ทำให้มันร้องทั้งคืน รบกวนการนอนของข้าพเจ้าเหมือนกัน


    รู้ว่าเดินผิดทางแล้วละ





    มีพระเซนรูปหนึ่ง เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มมักออกจะท่องเที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่างๆได้พบกับคนชอบสูบบุหรี่คนหนึ่งระหว่างทางทั้งสองจึงเดินร่วมทางกันไปด้วยระยะหนึ่ง ขณะที่นั่งพักอยู่ริมธารชายคนนั้นได้ให้กล้องสูบยาและยาเส้นจำนวนหนึ่งพระรูปนั้นรับสิ่งที่คนนั้นให้มาด้วยความยินดีจึงติดสูบยาเส้นอยู่ระยะหนึ่ง

    วันหนึ่งจึงได้คิดว่าเจ้าสิ่งนี้ทำให้ตัวเองมีความสุขมาก คงจะรบกวนการทำสมาธิแน่นอนถ้าหากปล่อยให้เสพติดอย่างนี้ต่อไปก็จะกลายเป็นความเคยชินที่ไม่ดีและแก้ยาก น่าจะเลิกเสียแต่แรกดีกว่าจึงนำกล้องและยาไปทิ้ง

    ผ่านไปอีกระยะหนึ่งก็ไปหมกมุ่นอยุ่กับคัมภีร์ยี่จิงเรียนรู้จนสามารถคำนวญและทำนายอะไรต่างๆได้ วันหนึ่งในหน้าหนาวอากาศหนาวสะท้านไปทั่ว พระเซนนั้นเลยเขียน จ.ม.ไปขอเสื้อกันหนาวจากพระอาจารย์ของตัวเอง แต่ว่า จ.ม.ส่งออกไปตั้งนานนานจนหน้าหนาวผ่านไป หิมะบนภูเขาก็ละลายไปหมดแล้วแต่พระอาจารย์ก็ยังไม่ได้ส่งเสื้อกันหนาวมาและก็ไม่มีข่าวคราวใดๆจากพระอาจารย์มาเลย พระรูปนั้นเลยใช้ตำราคัมภีร์ยี่จิงมาผูกดวงเอง ที่สุดก็คำนวญออกมาว่าจ.ม.ฉบับนั้นส่งไปไม่ถึงมือพระอาจารย์

    เขาคิดในใจว่า แม้ว่าคัมภีร์ยี่จิงจะแม่นยำ แต่ว่าถ้าเรายังหมกมุ่นอยู่กับทางเดินสายนี้จะมุ่งมั่นแน่วแน่ปฏิบัติธรรมได้อย่างไร? ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่ไปเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับคัมภีร์นี้อีก

    หลังจากนั้น พระรูปนั้นก็ไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของการขีดๆเขียนๆอีกทุกวันก็มักจะนั่งอ่าน ค้นคว้า ขีดเขียนอยู่แต่กับหนังสือมีผลงานออกมาหลายเล่มจนได้รับการยกย่องจากคนในวงการไม่ขาดปาก

    วูบหนึ่ง ท่านคิดได้ว่า เรากลับมาเดินห่างจากเส้นทางแห่งมรรคอีกแล้วถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป เราคงจะต้องกลายเป็นนักประพันธ์ นักวิชาการก็คงจะเป็นพระอาจารย์เซนไม่ได้แล้ว"

    ตั้งแต่นั้นมาเลยตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว ละทิ้งทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมที่สุดก็กลายเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของนิกายเซน


    ตกปลา


    มีเศรษฐีคนหนึ่ง เห็นยาจกคนหนึ่งตกปลาอยู่ริมทะเล จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า

    เศรษฐี : เจ้าทำไมไม่คิดหาวิธีที่จะตกปลาให้ได้มากกว่านี้ เช่นว่าซื้อเรือมาสักลำ

    ยาจก : ข้าจะต้องทำอย่างนั้นทำไม

    เศรษฐี : ถ้าหากเจ้าซื้อเรือ เจ้าก็จะออกไปตกปลาได้ไกลกว่านี้ ที่นั่นย่อมมีปลามากกว่านี้

    ยาจก : หลังจากนั้นล่ะ

    เศรษฐี : หลังจากนั้นเจ้าก็นำเงินที่ได้จากการตกปลา ไปซื้อ เรือที่ใหญ่กว่านี้ ไปตกในที่ลึกกว่านี้ ย่อมจะได้ปลามากกว่านี้

    ยาจก : หลังจากนั้นล่ะ

    เศรษฐี : หลังจากนั้นเจ้าก็จะตกปลาที่นี่อย่างหมดความกังวลใดๆ

    ยาจก : ตอนนี้ข้าก็ตกปลาอยู่ที่นี่อย่างไม่มีความกังวลใดอยู่แล้ว
     
  2. Bill2541

    Bill2541 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +159
    "ขอให้ท่านทำจิตของท่านให้เป็นสมาธิสักขณะหนึ่ง และเว้นการคิดในความหมายของคำว่า ดีและชั่ว เสียให้หมด”
    “เมื่อท่านไม่คิดถึงความดี และไม่คิดถึงความชั่วอยู่ ตรงขณะนี้แหละเธอจะย้อนกลับไปสู่ภาวะที่เธอได้เป็นอยู่ ในขณะก่อนแต่ที่มารดาบิดาของเธอเองเกิดมา”

    hp_dayhp_dayhp_dayhp_day
    ...พุทโธ...
    ...อนุโมทนา...แด่ความเพียร...ความมุ่งดี...ความปราถนาดีแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย...
    ...พุทโธ...
    ...พุทโธ...
    ...พุทโธ...
    hp_dayhp_dayhp_dayhp_day <fieldset class="fieldset"> <legend></legend>
    </fieldset>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Buddha.jpg
      Buddha.jpg
      ขนาดไฟล์:
      867.4 KB
      เปิดดู:
      85

แชร์หน้านี้

Loading...