เรื่องเด่น ช่วงชีวิตที่หายไปของพระเยซู...ไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 18 สิงหาคม 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    • Yuz Asaf - Wikipedia, the free encyclopedia สถานที่ที่กล่าวอ้าง

      ที่ศรีนาคาร์หรือขอเรียกตามลิ้นไทยๆว่าศรีนคร เมืองหลวงแห่งแคว้นแคชเมียร์หรือกัษมิระในภาคเหนือของอินเดียนั ้นมีที่เก็บศพแห่งหนึ่งชื่อว่า โรซาบัล (ROZA BAL) ตั้งอยู่ที่ตำบลกันยาร์ (KAN YAR) ห่ างจากตัวเมืองศรีนครเพียง 3 กม.เท่านั้น โรซาบัลเป็นอาคารชั้นเดียวหลังคาเหลี่ยมแบบเรียบๆ กว้างยาวราวๆ 10 เมตร ทาสีขาว ภายในเคยมีเรือนไม้กรุโปร่งสูงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงจรดเพดานครอบ หลุมศพที่อยู่ใต้ดินอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเรือนไม้นี้ถูกเปลี่ยนเป็นกระจกทั้ง 4 ด้านแทน แต่ก็ไม่อาจเห็นหรือเข้าถึงหลุมศพใต้ดินอยู่ดี

      ป้ายภายนอกบอกไว้ว่าผู้มี่ทอดร่างอยู่ในหลุมศพนี้คือ ยุซ อาซาฟ (YUZ ASAF) ไม่มีอะไรในที่เก็บศพนี้ที่จะบ่งบอกถึงความสำคัญเป็นพิเศษของชา ยผู้นี้ นอกเสียจากที่พื้นใกล้เรือนคลุมหลุมศพนั้นมีรอยประทับฝ่าเท้าสอ งข้าง ฝ่าเท้าแต่ละข้างมีรอยแผลที่เกิดจากการถูกตอกตะปูตรึงกางเขน ชาวพื้นเมืองบอกว่าหลุมศพนี้คือหลุมศพของจีซัส ไครสต์ พระเยซูเจ้า องค์ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์!


      เป็นไปได้หรือที่พระเยซูจะเสด็จมาไกลถึงที่นี่ พระองค์มาเมื่อไร และมาทำไม


      เรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าพระเยซูเคยเสด็จมาทาง ตะวันออก และอาจมาถึงอินเดียแต่ช่วงเวลาที่เดินทางมานั้น นักประวัติศาสตร์มีความเห็นแตกแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า พระองค์รอดพระชนม์จากการถูกตรึงกางเขน แล้วเสด็จมาอินเดีย อีกฝ่ายบอกว่าพระเยซูทรงใช้ “ช่วงชีวิตที่หายไป” คือระหว่างวัย 13 – ประมาณ 30 ชันษา อันเป็นช่วงวัยที่ขาดหายไปเฉยๆ ไม่มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์นั้น เดินทางมายังอินเดีย ก็คือตามหาชนเผ่ายิวที่หายสาบสูญไปแต่โบราณกาล และเชื่อว่าน่าจะมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ภาคเหนือของอินเดียนี้เ อง


      เรื่องของเรื่องก็คือ ปีที่ 597 ก่อนคริสต์กาล พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ แห่งอัสซีเรียทำลายเมืองเยรูซาเล็มและกวาดต้อนชาวยิวไปเป็นทาสใ นกรุงบาบิโลนของพระองค์ อีก 47 ปีต่อมา พระเจ้าไซรัสมหาราช แห่งเปอร์เซียตีได้บาบิโลนบ้างเป็นกงเกวียนกำเกวียนและได้ปรดปล ่อยชาวยิวเป็นอิสระ ชาวยิวซึ่งทั้งหมดมีอยู่ 13 เผ่าก็อพยพกระจัดกระจายกันไป คงเหลือที่กลับไปยังดินแดนจูเดียเพียง 2 เผ่า อีก 10 เผ่าไม่ทราบว่าแตกฉานซ่านเซ็นไปที่ไหนกันบ้าง แต่นักวิชาการเชื่อว่ายิวพลัดถิ่นเหล่านี้ไปตั้งรกรากทั้งในอียิปต์ เปอร์เซีย อิหร่านอัฟกานิสถาน และภาคเหนือของอินเดีย หรือกัษมิระนี่เอง


      อือม์.....มาไกลจริงๆ


      ร่องรอยที่ยืนยันว่าคนกัษมิระน่าจะสืบเชื้อสายมาจากชาวยิวก็คือ ความเหมือนคล้ายทางภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณี จากการศึกษาวิเคราะห์พบว่ามีชื่อเผ่า ชื่อตระกูลกว่า 90 ชื่อที่เหมือนกันระหว่างกัษมิระกับอิสราเอล ชื่อสถานที่อีกกว่า 70 แห่งก็ดูจะมาจากรากศัพท์เดียวกัน ธรรมเนียมบางอย่างของกัษมิระก็คล้ายคลึงกับของชาวยิว เช่น พิธีถือศีลบริสุทธิ์ 40 วันของสตรีที่เพิ่งคลอดบุตร การประกอบอาหารโดยไม่ใช้น้ำมัน เครื่องแต่งกายบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวกของผู้ชาย และการฝังศพโดยทอดร่างผู้ตายตามแนวตะวันออก- ตะวันตก ซึ่งยังคงถือปฏิบัติกันอยู่จนทุกวันนี้ และแตกต่างจากธรรมเนียมของศาสนาอิสลาม ศาสนาที่ครอบงำดินแดนแห่งนี้มานาน ที่ฝังศพตามแนวเหนือ-ใต้ เป็นที่น่าสังเกตว่า โรซาบัลสร้างในแนวตะวันออก-ตะวันตก แม้จะสร้างขึ้นในระยะที่อิทธิพลศาสนาอิสลามแผ่เข้ามาแล้ว อันแสดงว่าผู้ตายไม่น่าจะเป็นมุสลิม


      นอกจากนั้น การศึกษาวิจัยของศูนย์มานุษยวิทยาด้านพงศ์พันธุ์แห่งมหาวิทยาลั ยลอนดอนซึ่งทำการทดลองกับกลุ่มชนที่เชื่อว่าเป็นลูกหลานชาวยิวใ นอินเดีย ได้ผลว่าชนกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับชาวยิวแห่งเยเ มนและชนเผ่าในอาฟริกาใต้ ที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มหนึ่งของยิวอพยพหลังบาบิโลนแตกเช่นกัน


      ชาวยุโรปผู้หนึ่งที่จุดประกายเรื่องที่พระเยซูเสด็จมาอินเดียก็ คือ โนโตวิช (NICHOLAS NOTOVITCH) ชาวรัสเซีย ผู้เป็นนักหนังสือพิมพ์ และนักเขียนสารคดีการเมือง หนังสือที่เกี่ยวกับการเมืองรัสเซียของเขาทำให้เขามีชื่อเสียงไ ปทั่วยุโรป ปี 1877 เขาเดินทางไปยังอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย เพื่อศึกษาชีวิตและความเชื่อของผู้คนในดินแดนนั้น ที่ลาดัค (LADAKH) ดินแดนที่ขนาบข้างด้วยกัษมิระและทิเบต เขาตกจากหลังม้าบาดเจ็บ และได้การดูแลรักษาจากพระลามะรูปหนึ่งที่อารามเฮมิสกุมพา อันเป็นวัดใหญ่ที่สุดของลาดัค เป็นวัดที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง สิ่งก่อสร้างและสถูปประดับประดาด้วยเพชรและพลอยมีค่า พระประธานเป็นทองคำแท้ และยังมีภาพประวัติพระพุทธองค์ที่วาดบนผืนผ้าอายุนับร้อยปีเป็น ของคู่วัดที่รู้จักกันดี โนโตวิชพักอยู่ที่วัดเฮมิสจนคุ้นเคยกับพระลามะรูปนั้น ถึงขนาดที่ท่านเอาม้วนคัมภีร์โบราณที่เขียนเป็นภาษาทิเบตโดยนัก ประวัติศาสตร์พุทธศาสนามาให้โนโตวิชดู ซึ่งโนโตวิชก็สนใจมากและได้คัดลอกบางส่วนที่สำคัญตามที่ล่ามแปล ให้ฟังไว้ คัมภีร์นั้นเล่าถึงเรื่องราวของบุคคลที่ชื่อ อิสซา (ISSA) ตั้งแต่เกิดจนตาย


      แล้วมาเกี่ยวกับพระเยซูอย่างไรหรือ


      ก็อิสซานั้นเป็นชื่อเรียกพระเยซูในภาษาอิสลาม เชื่อว่ามาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรูหรืออราเมอิคว่า YESHUA (คำว่า JESUS นั้นเป็นคำในภาษากรีกและลาตินที่ใช้ถ่ายทอดพระคัมภีร์ หาใช่คำในภาษาฮีบรูดั้งเดิมไม่) ตามคัมภีร์ดังกล่าว อิสซา หรือที่เชื่อว่าคือพระเยซูได้เดินทางมายังอินเดียตั้งแต่อายุประมาณ 13 ปี โดยผ่านมาทางอิหร่าน อัฟกานิสถาน และปากีสถานปัจจุบัน(เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโบราณของชมพูทวีป นั่นคือเมืองตักกสิลา ราชธานีของแคว้นคันธาระ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน วรรณะพราหมณ์และกษัตริย์จะเดินทางมาไกลเพื่อมาร่ำเรียนศิลปวิทยาที่นี่ และศาสตร์18ประการ ก็มาเรียนที่นี่ครับ) พระเยซูได้ร่ำเรียนพระเวท และปรัชญาต่างๆอยู่ที่นั่นจนอายุ 29 ปี จึงเดินทางกลับจูเดีย


      เรื่อง ราวนี้จึงเท่ากับเป็นคำตอบอย่างดีว่า ใน “ช่วงชีวิตที่หายไป” ของพระเยซูนั้น พระองค์หายไปไหน


      ต่อมาปี 1894 หลังจากโนโตวิชเดินทางกลับยุโรป เขาก็ตีพิมพ์เรื่องราวที่เขารู้เห็นมาจากอารามเฮมิสเป็นหนังสือ ชื่อ THE UNKNOWN LIFE OF CHRIST หนังสือเล่มนี้และตัวโนโตวิชเองได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว ้างขวาง ซึ่งแน่ล่ะ ส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบ บ้างก็ว่าโนโตวิชยกเมฆ ไม่เคยเดินทางไปยังอามรามที่ว่า บ้างก็ว่าอารามเฮมิสและม้วนคัมภีร์ดังกล่าวไม่มีอยู่จริง ซึ่งก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันความมีอยู่ของคัมภีร์นั้น (แต่การค้นคว้าในปัจจุบันดูจะสนับสนุนเรื่องราวของโนโตวิชและคั มภีร์แห่งวัดเฮมิส แม้จะไม่พบคัมภีร์ที่ว่านั้น ซึ่งป่านนี้คงเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้วกระมัง)

      ในอินเดียเองก็มีผู้เปิดประเด็นเรื่องนี้ไว้เช่นกัน ฮาซรัต เมียร์ซา กูแลม อาหมัด (HAZRAT MIRZA GHULAM AHMAD) ชายชื่อยาวชาวอินเดียผู้เป็นปราชญ์คนหนึ่งของศาสนาอิสลามได้เขี ยนหนังสือเรื่อง JESUS IN INDIA ไว้เป็นภาษาอูรดู(ภาษาอูรดู เป็นภาษาอินเดียแขนงหนึ่ง เป็นภาษาราชการของปากีสถาน ภาษาเขียนคืออักษรอาหรับ) เมื่อปี 1899 ในหนังสือนี้กล่าวว่าพระเยซูทรงรอดพระชนม์ชีพจากการถูกตรึงกางเขน แล้วเดินทางมาพำนักในอินเดียจนกระทั่งพระชนมายุ 120 ปีจึงสิ้นพระชนม์ และพระศพก็ถูกฝังอยู่ที่โรซาบัลในศรีนคร

      ประเด็นสำคัญใน “Jesus in India” ของ**แลม อาหมัด นั้นต่างจากเรื่องของโนโตวิชที่พระเยซูของท่านอาหมัดเสด็จมาอินเดียภายหลังจากการถูกตรึงกางเขน และเขายังบอกด้วยว่าพระสงฆ์แห่งพุทธศาสนาได้นำคำสั่งสอนของพระเยซูไปปรับใช้ โดยอ้างว่าเป็นพระวจนะของพระพุทธองค์ ซึ่งข้ออ้างและความเห็นของเขาดูจะไม่เป็นที่ชอบใจของศาสนิกชนทั้งพุทธและคริสต์เท่าไหร่


      กูแลม อาหมัด ยังกล่าวถึงโรซาบัลด้วยว่าเขาได้ไปสำรวจสอบถามคนท้องถิ่นใกล้เค ียงที่เก็บศพแห่งนั้น ได้ความว่า โรซาบัลนี้สร้างมาแล้วประมาณ 1900 ปี (ในสมัยของอาหมัด) และผู้ที่ถูกฝังอยู่ก็คือชาวต่างชาติคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมายังดินแดนนี้ เพื่อสั่งสอนผู้คนเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนพระนะบีมะหะหมัด ชาวพื้นเมืองเรียกชายผู้นี้ว่า ยุซ อาซาฟ


      อันที่จริง ความคิดที่ว่าพระเยซูมิได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้นมิใช่ของใหม่ เคยมีผู้สันนิษฐาน วิเคราะห์และโต้แย้งมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เหตุผลสนับสนุนก็คือ ประการแรก พระเยซูถูกตรึงกางเขนอยู่ไม่นานนัก จากเที่ยงถึงบ่ายสามโมงเท่านั้น เนื่องจากวันนั้นเป็นวันซับบาธ วันสำคัญทางศาสนาของชาวยิว จึงจะไม่ปล่อยนักโทษทิ้งคาอยู่บนกางเขนจนตะวันตกดิน


      ประการที่สอง เมื่อเข้าใจกันว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วนั้น ทหารโรมันได้เอาหอกแทงที่สีข้างของพระองค์ ซึ่งก็มีน้ำและเลือดพุ่งออกมา อันแสดงว่าพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ เลือดจึงยังไหลเวียน เพราะถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เลือดจะจับตัวเป็นก้อนแข็ง ไม่พุ่งออกมาจากบาดแผลเช่นนี้


      ประการที่สาม ปิลาตเจ้าเมืองจูเดียได้มอบพระศพพระเยซูแก่โจเซฟแห่งอริมาเธีย ซึ่งเป็นสานุศิษย์คนสำคัญ โจเซฟก็ย่อมมีโอกาสลอบนำ “พระศพ” ไปรักษาพยาบาล และยังปรากฏด้วยว่าเจ้าหัวขโมยอีก 2 คนที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซูนั้นก็ไม่ตายเช่นกัน ความเป็นไปได้ที่พระองค์จะรอดพระชนม์จึงยิ่งน่าเชื่อมากขึ้น


      นอกจากนั้น ในพระคัมภีร์เองก็กล่าวถึงเหตุการณ์ภายหลังการตรึงกางเขนว่า พระเยซูยังเสด็จมาพบปะสนทนา รับประทานอาหาร และเดินทางร่วมกับศิษยานุศิษย์ ถ้าเราไม่ถือว่าเรื่องราวตรงนี้เป็นความเปรียบ ซึ่งก็มิได้มีทีท่าว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เราก็เห็นจะต้องยอมรับว่าพระเยซูอาจมิได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเข นตามที่เคยเข้าใจ


      ส่วนหลักฐานที่ว่าพระเยซูเดินทางมาอินเดียนั้น ด็อกเตอร์ฟิดา ฮัสเนน (FIDA HASSNAIN) อดีตผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์และโบราณสถานแห่งกัษมิระ ได้ค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลผู้มีลักษณะคล้ายพระเยซูที่ป รากฏตัวในอินเดีย และดินแดนใกล้เคียงตามเอกสารประวัติศาสตร์ คัมภีร์ในศาสนา และตำนานต่างๆ ซึ่งก็ได้พบเรื่องราวนี้มากมาย อย่างในพระคัมภีร์ภาวิชยะ มหาปุราณะ คัมภีร์ 1 ใน 18 เล่มของคัมภีร์ปุราณะอันศักดิ์สิทธิ์ของฮินดู ซึ่งรวบรวมขึ้นเมื่อ ค.ศ.115 นั้น กล่าวถึงการพบปะระหว่างพระเจ้าชาลิวาหณะกับบุคคลผู้เป็นที่เคาร พคนหนึ่งที่ชื่อ อิซา-มาซิห์ (ISA-MASIH) อิซาเล่าความเป็นมาของเขาว่า


      “ข้าคือบุตรของพระเจ้า เกิดจากมารดาพรหมจารี ข้ามาจากต่างดินแดน อันเป็นที่ซึ่งปราศจากความจริง...ข้าปรากฏกกายในฐานะเมสซิอาห์. ..”


      ในหนังสือ RAUZAT-US SAF หนังสือประวัติศาสตร์ของเปอร์เซีย ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1417 บอกไว้ว่า “เยซูผู้มีสันติสุข ถูกขนานนามว่าเมสซิอาห์ เพราะพระองค์เป็นนักเดินทางผู้ยิ่งยง... พระองค์เดินทางจากดินแดนของพระองค์ไปยังนาสสิเบน ซึ่งเป็นระยะทางไกลมาก พระองค์มีสาวกมาด้วยคนหนึ่ง ซึ่งพระองค์ทรงส่งเขาไปเผยแพร่คำสั่งสอนในเมือง”


      ในศตวรรษที่ 10 นักวิชาการชาวมุสลิมชื่อ อัล-เชค อัล-ซาอิด-อุส-ซาดิค (AL-SHAIK AL-SAID-US-SADIQ) บันทึกการสืบค้นทางวัฒนธรรมไว้เป็นหนังสือเรื่อง อิคมาอัล-อุด-ดิน (IKMAUL-UD-DIN) กล่าวถึงชาวต่างชาติผู้หนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายพระเยซูเป็นอย่าง ยิ่งและมีชื่อว่า ยุส อาซาฟ “ แล้วยุส อาซาฟก็มาถึงเมืองที่เรียกว่ากัษมิระ เขาเดินทางไปทั่วกระทั่งความตายพรากชีวิตเขาไป เขาสั่งให้บาบัดผู้สาวกเตรียมหลุมศพให้เขาแล้วเขาก็นอนลงโดยเหย ียดขาไปทางตะวันตก วางศรีษะไปทางตะวันออกจากนั้นก็สิ้นใจ” ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ยังบอกด้วยว่า ยุส อาซาฟ สั่งสอนธรรมะโดยใช้นิทานเปรียบเทียบ นิทานเรื่องหนึ่งคือ “ผู้หว่านเมล็ดพืช” ซึ่งคล้ายคลึงเป็นอย่างยิ่งกับนิทานเปรียบเทียบของพระเยซูในพระ คัมภีร์ (มาร์ค 4.3.20)


      นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานที่น่าแปลกอย่างหนึ่งที่เชื่อมโยงพระเยซุกับผู้ที่ ชื่อ ยุส อาซาฟ กับเมืองศรีนคร กล่าวคือที่วิหารตากัต สุไลมาน (TAKHAT SULAIMAN แปลว่าบัลลังก์แห่งสุไลมานหรือก็คือโซโลมอนนั่นเอง) ที่ทะเลสาบดาลในศรีนครนั้นมีจารึกที่เสาวิหารว่าผู้ที่สร้างเสา นี้คือใคร สร้างขึ้นเมื่อใด และลงท้ายว่า “ณ เวลานั้น ยุส อาซาฟ ประกาศตนเป็นผู้พยากรณ์ ปี 50 กับ 4 เขาคือเยซู ผู้พยากรณ์และบุตรแห่งอิสราเอล” ปี 54 ที่กล่าวถึงในจารึกนั้นเทียบได้กับปี ค.ศ.78 เป็นเวลาภายหลังจากพระเยซูถูกตรึงกางเขน ถ้าเชื่อตามจารึกนี้ก็ดูเหมือนว่าพระเยซูจะเสด็จมาศรีนครจริงๆ


      ที่ประหลาดไปกว่านั้นก็คือ มีการกล่าวอ้างว่าที่ชายแดนปากีสถานต่อกับอินเดียก็มีหลุมศพของ โทมัส สาวกของพระเยซูที่ตำนานเล่าว่าติดตามพระเยซูมาด้วยและคือบาบัด สาวกของยุส อาซาฟ นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น บางตำนานก็เล่าเลยไปถึงว่าพระเยซูแต่งงานกับหญิงชาวพื้นเมืองแล ะมีลูกหลานสืบต่อมา จึงมีชาวกัษมิระคนหนึ่งชื่อนายซาฮิบ ซาดา บาซารัต ซาลีม ได้อ้างว่าตนเป็นเชื้อสายของพระเยซูที่สืบต่อกันมาเป็นตระกุ ลให ญ่อีกด้วย


      ใครคือผู้ที่ถูกฝังอยู่ในโรซาบัลนั้นยังคงเป็นปริศนาที่โต้แย้ง กันอยู่ แต่ ซูซาน โอลสัน (SUZANNE OLSSON) หญิงเก่งนักวิจัยอิสระคนหนึ่งก็ได้พยายามขออนุญาตขุดค้นหลุมศพน ี้ พร้อมทั้งมีแผนที่จะเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อจากศพไปพิสูจน์ดีเอ็น เอด้วย แต่ความพยายามของเธอยังไม่สำเร็จ ต้องพบกับอุปสรรคมากมายทั้งทางศาสนาและรัฐบาลท้องถิ่น จนบางครั้งก็เสี่ยงต่อความปลอดภัยของตนเอง เราก็เลยยังไม่ได้ข้อสรุปกันเสียที ไม่เช่นนั้นประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ศาสนาอาจต้องพลิกผันก ็ได้ ใครจะรู้

      บทความจาก หนังสือ ต่วยตูนพิเศษ ฉบับเดือนตุลาคม 2547

      เขียนโดย เอื้อนทิพย์

      ปล.กัษมีระ เป็นชื่อเมืองโบราณ ปัจจุบันคือ แคชเมียร์
     
  2. paintkiller

    paintkiller เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +946
    อย่าไปคุยกะคนที่เค้าปักใจเชื่อแบบเก่าของเค้าเลยนะครับ เรื่องใหญ่เลยล่ะ รับรองเพราะพวกนั้นเขาจะไม่รับรู้อะไรเลยนอกจากความเชื่อของพวกเขาเอง เชื่อ อย่างเดียว
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตอบคุณ paintkiller<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3672715", true); </SCRIPT>

    ทั้งความเชื่อเก่าและใหม่ ก็ไม่ควรไปปักใจเชื่อทั้งนั้น รอความจริงมันปรากฏก่อน
    ค่อยตัดสินใจด้วยตัวเอง ว่าความจริงมันคืออะไร เพราะข้อมูลทั้งเก่าและใหม่
    ก็ยังเป็นความเชื่อที่รอการพิสูจน์ตัวมันเองทั้งนั้น อ่านไว้เพื่อรู้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือไม่เชื่อ
    รอดูความจริงกันดีกว่า
     
  4. pathawut333

    pathawut333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2010
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +284
    ในฐานะที่นับถือคริสตร์ศาสนา (นิกายโปรเตสแตนส์) ได้ศึกษาพระคัมภีร์มาบ้าง
    และอยู่ในสังคมพุทธ ได้สัมผัสทั้ง 2 ศาสนา ส่วนตัวผมก็เชื่อว่า มีคำสอนบางประการ
    ที่ใช้ร่วมกัน และได้รับอิทธิพลจากคำสอนของพุทธศาสนา ถ้ามองในด้านกายภาพ
    ประเทศอิสราเอล กับอินเดียทางเหนือ ก็ไม่ได้ไกลเกินไปที่จะเดินทางเพื่อศึกษาหาความรู้
    และด้วยระยะเวลาห่างกัน 500 ปี ก็ไม่ได้ไกลเกินจินตนาการที่จะมีการถ่ายโยงองค์ความรู้จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง
    นอกจากนี้ การผสมผสานความเชื่อเดิมคือ ศาสนายูดาย ซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิมก่อนที่พระเยซูเกิด ที่เชื่อเรื่องพระเจ้าองค์เดียว และการกลับไปรวมกับพระองค์ ก็คล้ายกับคำสอนของศาสนาพรามห์ ที่เชื่อเรื่ององค์ปรมาตมัน ที่สร้างทุก ๆ อย่างในจักรวาล และทุกชีวิตต้องกับไปสู่ ปรมาตมัน ถ้าศึกษาศาสนาเปรียบเทียบจะพบว่าศาสนาคริสต์และพราห์ม มีหลักความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่มีข้อกังขาเหมือนกัน และมีการบูชาพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกัน แต่วิธีการต่างกันไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการถ่ายโยงความเชื่อซึ่งกันและกัน
    อย่าไปยึดติดกับศาสนามากเกินไปครับ เชื่อมาก ๆ ก็งมงาย พยายามเผยแพร่ความเชื่อของตนเอง ใครไม่เชื่อตามก็คิดว่าคนนั้นผิด ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง จึงเป็นสาเหตุของสงครามศาสนา ซึ่งเป็นสงครามที่ร้ายแรงกว่าสงครามใด ๆ เพราะทุกคนจะสู้ในสิ่งที่ตนเองเชื่อ และยอมตายเพื่อสิ่งที่คนเองเชื่อ และเชื่อว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งทำลายชีวิตคนอื่น ฆ่าคนอื่น ยอมแม้กระทั่งพลีชีพตนเอง เพื่อทำลายล้างศัตรู อย่างที่เราเห็น ๆ กันในทุกวันนี้แหละครับ เพราะคนสอนบิดเบือนแก่นแท้ของศาสนาเพื่อสร้างประโยชน์ อำนาจให้ตนเอง
    ความดีเป็นสากล ทำไปเถอะครับ ถ้าเป็นคนดี มีเมตตากรุณา กตัญญู ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เคียดแค้นอาคาต ไม่ผูกพยาบาท ไม่ลักทรัพย์ เล่นการพนัน ไม่ผิดลูกผิดเมีย
    จะเป็นศีล 5 ศีล 8 บัญญัติ 10 ประการ ก็ถือปฏิบัติไปเถอะครับ ไม่เสียหาย ถ้าเป็นคนดี ทำดีในศาสนานี้ แล้วจะไปตกนรกในศาสนาอื่น พระเจ้าคงใจร้ายไปหน่อยมั้งครับ แต่อย่างน้อยก็ไม่เสียชาติเกิดที่เป็นมนุษย์ ใช่ไหมครับ
     
  5. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729

    เช่นเดียวกันครับ ผมก็เกิดมาท่ามกลางความเชื่อทั้งคริสศาสนา และพุทธศาสนา ตอนเด็กๆ เชื่อเพราะถูกบังคับ แต่ตอนนี้ข้ามพ้นความเชื่อ คำว่าศาสนาไปแล้ว ไม่ได้ยึดมั่น ถือมั่นใน ศาสนาใดเป็นพิเศษ แต่ถ้าให้เลือกคงเลือกพุทธศาสนาแหละครับ มีเหตุผลที่สุด

    ส่วนคำสอนของศาสนา พุทธ คริส อิสลาม ยิว ก็ได้ศึกษามาบ้างและก็คิดเหมือนที่ท่านได้กล่าวมาในข้างต้นเลยครับ


    ---------------------------------
    ความเชื่อ จากเทพสูงสุด มาสู่ธรรมสูงสุด
     
  6. numnoina

    numnoina Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +53
    โอ้ พระเจ้า จอร์จ มันยอดมาก...
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลความคิด ที่แตกต่าง
    คิดอย่าง กาลามสูตร
     
  7. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    เคย สดับรับฟังมาเยอะ อาจเป็นไปได้ ไบเบิลให้การรับรองเพียง ช่วงทีพระองค์อายุ 30ปี
    ตอนช่วง วัยเด็กไม่ได้มีบันทึกมากนัก การที่จะแสดงฤทธิหรือหมายสำคัญได้จิตต้องแกร่งกว่า
    ธรรมดา และต้องชำนาญทางด้านการกำหนดจิตอย่างเอกอุ ไบเบิลบอกแต่เพียงพระเจ้าใน
    จิตของพระเยซูเท่านั้น ที่กระทำ การอัจศจรรย์ น่าสนใจ ถึง ชาวคริสต์ส่วนใหญ่ปิดใจไม่รับ
    ความรู้อื่นนอกจากไบเบิล แต่คงไม่ใช่เราแน่ ถ้าอยู่ยุคกลาง เราคงโดนเหมือน กาลิเลโอ แหงมๆ
     
  8. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    คัมภีร์ไบเบิลเกิดขึ้นจาก........
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไบเบิล (อังกฤษ: Bible) (มาจากภาษากรีกว่า บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) พระคริสตธรรมคัมภีร์ เป็นหนังสือที่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า, มนุษย์, ความบาป และแผนการของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาป สู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดายของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อเช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture)
    [​IMG]
    คัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาเดนมาร์กของคริสเตียนที่ 3 แห่งเดนมาร์ก พิมพ์ในกรุงโคเปนเฮเกน ในปี ค.ศ. 1550 จำนวน 3,000 เล่ม


    คริสตชนทุกคนเชื่อว่า พระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอนนั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้า ผ่านทางมนุษย์ที่ถูกเลือกให้เขียนพระคัมภีร์ในบทนั้นๆมีจำนวน 73 เล่ม ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิม กับพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูเจ้าประสูติ ส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาฮีบรู มีบางส่วนถูกเขียนด้วนภาษากรีก และภาษาอิยิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเจ้าประสูติแล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้าตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมานและการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซูเจ้า การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระจิตเจ้ามายังอัครสาวก ประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าแล้ว การเบียดเบียนพระศาสนจักรในรูปแบบต่างๆ พันธสัญญาใหม่ทั้งหมดเขียนเป็นภาษากรีก โดยเหล่านักบุญอัครสาวก
    ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมถูกนำมารวมเล่มเมื่อใดและอย่างไร แต่ในสมัยของพระเยซู พระคัมภีร์เดิมก็ได้ถูกรวบรวมไว้อย่างครบถ้วนแล้ว แต่ถึงแม้จะไม่ทราบความเป็นมา ก็ยังมีเหตุผลเชื่อถือได้ว่าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่มีอยู่ทุกวันนี้ คงความถูกต้องทุกคำพูดมาจากสมัยแรกของอิสราเอล เนื่องจากขั้นตอนการคัดลอกพระคัมภีร์ของชาวยิวมีความเคร่งครัดมาก หากพบข้อผิดพลาดหรือตำหนิอย่างใด จะไม่แก้ไขแต่ทำลายทิ้งแล้วเริ่มคัดลอกใหม่หมด
    ส่วนพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ประกอบด้วยข้อเขียนของบุคคลสำคัญหลายคน ซึ่งเริ่มแรกมีวัตถุประสงค์ในการเขียนแตกต่างกันออกไป เช่น พระวรสารนักบุญมัทธิว เขียนขึ้นเพื่อคริสตชนที่มีภูมิหลังเป็นชาวยิว พระวรสารนักบุญมาระโก เขียนให้คริสตชนที่ส่วนใหญ่เป็นกรีก ในขณะที่พระวรสารนักบุญลูกา เจาะจงเลยว่าจะเป็นการเล่าเรื่องราวของพระเยซูให้กับชายคนหนึ่งที่ชื่อ เธโอฟิลัส จดหมายเหตุของนักบุญเปาโล ส่วนมากถูกเขียนเพื่อส่งถึงพระศาสนจักรบางแห่ง เป็นต้น แม้ว่าจุดประสงค์ในการเขียนหนังสือแต่ละเล่มมีที่หมายแน่ชัด แต่ในไม่ช้าก็กลายเป็นสมบัติส่วนรวม เช่น เมื่อพระศาสนจักรแห่งหนึ่งได้รับจดหมายจากนักบุญเปาโลก็ได้คัดลอกส่งต่อไปให้พระศาสนจักรอื่นได้อ่านด้วย เวลาผ่านไปฉบับเดิมก็เปื่อยหรือสูญหายไป จึงไม่เหลือต้นฉบับดั้งเดิม แต่จากการเปรียบเทียบกับฉบับที่ถูกคัดลอกไว้มากมาย สามารถยืนยันได้ว่าตรงกับต้นฉบับจริงแน่นอน
    คัมภีร์ไบเบิล - วิกิพีเดีย
     
  10. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    การรวบรวม สิ่งที่เกิดขึ้นกับชนชาติยิว กฏต่างๆที่พระเจ้าตรัสผ่าน ผู้นำทางจิต
    วิญญาณ เช่น มูซา อิบรอฮิม และหลายๆเหตุการณ์ และการบันทึกของ
    สาวกของ พระเยซู ในพันธสัญญาใหม่ เช่น มัธธิว มะระโก หรือ ท่านลูกา
    รวบรวม เป็นบันทึก เป็นแนวทางในการปฎิบัติ ตนให้ดีรอบคอบ ตามแนวทาง
    ของพระเจ้า เดิมเป็นภาษาฮิบรู ช่วงเวลา พันธสัญญาเก่าและใหม่ ทิ้งช่วง
    นาน หลายชั่วชีวิตคน แต่บอกเล่า คนๆเดียว ที่จะนำ ชนชาติยิวให้รอด นั้นคือ
    เมสิยาห์
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จากคุณกอบัว http://www.jaisamarn.org/webboard/qu...ct=go&PageNo=1
    "การค้นพบ ต้นฉบับของจริง"เป็นฉบับคัดลอก ก่อนพระเยซูประสูติ ราว 200 ปี
    "ได้ค้นพบ ต้นฉบับพันธสัญญาเดิม"

    ในปีคศ.1947/พศ.2490 (เมื่อ 62 ปีที่แล้ว) ได้มีการ"ค้นพบ ต้นฉบับพันธสัญญาเดิม" ฉบับคัดลอก ที่เก่าแก่ที่สุด ที่ได้ถูกคัดลอกเอาไว้ ด้วยภาษา ฮีบรู
    ได้ถูกค้นพบ ใน นิคมถ้ำคุมราน ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลตาย Dead Sea Scrolls ซึ่งชาวคริสต์เรียกกันว่า ฉบับม้วนทะเลตาย เป็นฉบับม้วนทองแดง ถูกบรรจุเก็บไว้ในไห

    สถานที่พบแห่งนี้คือ นิคมคุมราน เต็มไปด้วย ถ้ำ นับจำนวนมากมาย "ซึ่งเดิมเป็นชุมชนของชาวยิวในสมัยเดียวกันกับพระเยซู" เป็นกลุ่มชาวยิวที่หลบหนีออกไปจากการปกครองของอาณาจักรโรมันในช่วงเวลานั้น

    "แต่บันทึกฉบับม้วนทองแดง 38 เล่ม ที่ได้พบในถ้ำจากนิคมถ้ำคุมราน Dead Sea Scrolls นั้น เป็นบันทึกที่ได้ถูกเขียนขึ้น ก่อนสมัย ที่พระเยซูประสูติถึง ราวๆ 200 ปี"
    (เก่าแก่กว่าต้นฉบับฉบับคัดลอกที่พวกเราทั้งชาวคริสต์ทุกนิกายและศาสนายูดาห์ได้ใช้กันอยู่ด้วย)

    พันธสัญญาเดิม ที่ค้นพบที่นิคมถ้ำคุมราน มีทั้งหมด 38 เล่ม นี้
    (ได้ขาดหายไป 1 เล่ม คือ ฉบับพระธรรม เอสเธอร์)
    ครั้นเมื่อได้แกะม้วนทองแดงออกตรจสอบแล้ว ปรากฎว่าทั้ง 38 เล่มนี้มีข้อความที่ตรงกัน กับ ฉบับที่พวกเราทั้งชาวคริสต์ทุกนิกายและศาสนายูดาห์ได้ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

    นี่เป็นการยืนยันว่า 39 ฉบับที่เราใช้กันอยู่นี้ถูกต้องแน่นอน 100%ถึง 38 ฉบับ

    ส่วนการขาดหายไปของฉบับพระธรรม เอสเธอร์ นั้น
    ไม่แน่ชัดนักว่า มันเคยมีอยู่-แต่หายไป หรือว่า-ไม่เคยมีอยู่จริง ?

    เพราะก่อนการบุกค้นสำรวจ นิคม ถ้ำ คุมราน นั้นเมื่อแรกเริ่มก่อนการค้นหานั้น มีผู้ได้พบพระธรรม ฉบับม้วนทองแดงนี้ บางส่วน ได้ถูกวางขายอยู่ที่ร้านขายของเก่า ซึ่งคนละแวกแถวนั้นที่ได้ค้นพบ ได้นำมาขายให้กับร้านค้าของเก่า และภายหลังจากที่ได้พบที่ร้านค้าของเก่าแล้ว จึงได้มีการสอบสวนสอบถามถึงที่มาที่ไป แล้วจึงจะได้มีการบุกสำรวจ นิคมถ้ำคุมราน โดยนักโบราณคดี เป็นเหตุให้เราได้พบพระธรรมเกือบครบจำนวนคือได้พบถึง 38 ฉบับ นักโบราญคดีได้สำรวจพบในถ้ำที่มีลักษณะเป็นเหมือนห้องสมุด หรือ ห้องสำหรับจดเขียนบันทึกของชาวยิวในนิคมถ้ำคุมรานนั้นเอง
     
  12. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    k.kwan, vergo shaka

    ขอบคุณครับ
     
  13. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    God พระเยซู กล่าวถึงพระนามของพระเจ้า

    ผมพอได้เคยศึกษามาบ้าง คำเต็มของ God ก็คือ Godhama

    จากการค้นคว้า การศึกษาอีกมุมมองหนึ่งนะครับ

    พระเจ้าของพระเยซูก็คือ God

    คำเต็มของGod ก็คือ Godhama อ่านว่า โกตะมะ

    ( Go dha ma = โก ดะ มะ)

    หรืิอ โคตมะ(โคดะมะ) หรือ โคดม

    Buddha บุดด้า บุดดะ หรือ พุท ธะ

    Buddha ก็คือ พระพุทธเจ้า

    โคตมะ โคดม

    ก็คือ ชื่อหรือพระนามของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    หรือ สมณะโคดมนั่นเอง


    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กันยายน 2010
  14. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    เรื่องพระเยซูไปอินเดีย เรื่องนี้ที่เว็ปพันทิป เขาเคยเถียงกันจะเป็นจะตายเลยนะ 555+

    มีอยู่ความคิดเห็นหนึ่ง ของคุณ URIM ชาวมอร์ม่อน เขาบอกว่า

    "ผมไม่ซีเรียสนะ ถ้าพระเยซูสมัยเป็นวัยรุ่น จะแอบไปฉันโรตี กับ พระอรหันต์ ที่อินเดียเนี่ย"

    ฮา จริงของเขา จะซีเรียสไปทำไม 555+
     
  15. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    สำลักน้ำเลย
    พอดีกำลังดื่มน้ำ
    จะซีเรียสไปทำไม
    ความคิดของคนสบายใจ คนมีบุญ
     
  16. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ผมก็เคยได้ยินมานานแล้วว่าพระเยซูเคยเดินทางมาที่แทบบริเวณอินเดียมาศึกษาอยู่เหมือนกันขนาดอาจารย์ผมตอนผมเรียนช่วงม.ต้นท่านเคยโดนแม่ขีของคริตร์ว่าศาสนาพุทธลอกคำสอนของเขามามาเข้ากับเราเถอะจะได้มาถุกทางท่านยังตอบกลับไปว่าทางท่านไม่ใช่หรือที่คัดลอกคำสอนของเรามาศาสนาเราห่างกันตั้ง543ปีแล้วศาสดาของท่านก็เคยมศึกษาวิชาการแถบอินเดียคำตอบนี้เล่นแมีชีถึงกับอึ่งเงียบพูดไมออกแต่ที่ไหนนั้นขอไม่บอกชื่อโรงเรียนแล้วกัน...
     
  17. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729


    555+ พอขำแล้วได้สติ ปล่อยจิตไหลไปกับความซีเครียดอยู่พอดี ตอนนี้สติกลับมาละ จะเครียดไปทำไม 555+ ขำอีกที พูดแล้วอยากกินโรตี
     
  18. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    สงใสเด็ก"สามมุก"เก่าแน่ๆเลย...ใช่ป่าวฮะ
     
  19. สิงหนาท

    สิงหนาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    673
    ค่าพลัง:
    +4,805
    รู้อย่างเดียวคือ พระอาจารย์เล็ก เคยบอกว่า พระเยซู เป็นพระโพธิสัตว์ :z2
     
  20. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ครอบครัวผมเป็นพุทธหมดครับ แต่ผมเป็นคนชอบเรียนรู้ แล้วก็ชอบศึกษาเรื่องลึกลับ

    ตอนเด็กจำได้ว่าประมาณ ประถม 3 - 4 จะชอบไปโบสถ์คริสต์เห็นเขาร้องเพลงดีดกีต้าร์

    และมีนิตยสารที่ให้เราติดตามเกี่ยวกับคัมภีร์ใบเบิล แต่ติดตามได้ไม่นานก็มีความรู้สึกเอง

    ตั้งแต่เด็กว่า ไม่ใช่ทางของเรา ไม่ใช่สายเรา เพราะเหมือนจะใช้ความเชื่อไปซะหมด

    จนโตมา ผมก็ได้มีโอกาส เข้าไปศึกษาศาสนาฮินดู ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องราวองค์เทพต่างๆ

    ผมเชื่อว่าท่านมีจริงนะครับ เช่นพระพิฆเนศ,พระนารายณ์ เป็นต้น คือจริงๆผมเป็นพุทธ

    ศาสนิกชนตั้งแต่เด็กๆครับเข้าวัดกับยายตอนเด็กก็บ่อย เพียงแต่ ผมชอบศึกษาหาความรู้

    จนโตมาก็ได้อ่านหนังสือธรรมะ และ พิจารณาว่า พุทธศาสนา ไม่ได้เป็นศาสนาของใคร

    แต่เป็นกฏของธรรมชาติที่เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าคนจะนับถือศาสนาอะไร แต่ถ้า

    เข้าใจตามหลักพุทธศาสนา ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่าง

    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ยุคพระพุทธกาล ศาสนาพุทธในอินเดียเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด

    แต่ปัจจุบันเป็นอย่างไร คนเราต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ว่าศาสนาไหนจริงไหม

    คนอินเดีย เป็นประเทศที่มีการสวดวิงวอนขอพรจากองค์เทพมากที่สุด แต่ทำไม

    ถึงมีคนจนติดอันดับโลกสุด เพราะอะไร เพราะการขอไม่เหมือนการให้

    คนเราต้องทำเอง พุทธศาสนาสอนให้เราเป็นเทวดา ด้วยตนเอง ทาน ศีล ภาวนา

    ศาสนาอื่นสอนถึงสวรรค์ หรืออาจจะพรหม แต่พระพุทธศาสนาสอนถึงความหลุดพ้น

    ซึ่งมีจริงๆอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบก่อน จึงมาบอกทางต่อ

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าศาสนาใด ถ้ามีความปกติ หรือ ศีล ซึ่งก็คือหนทางสู่สวรรค์

    เหมือนกัน ทาน ศีล ภาวนา แต่การหลุดพ้น สมถะ + วิปัสนา สติปัฏฐาน 4

    คือสูงสุด
     

แชร์หน้านี้

Loading...