ศิษย์เอกของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NATTAYA nurse, 20 สิงหาคม 2010.

  1. NATTAYA nurse

    NATTAYA nurse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +781
    เรื่อง คุณแม่สุ่ม ศิษย์เอกของหลวงพ่อ โดย เมือง ทองยิ่ง
    [​IMG]
    สมัย นั้นผมยังเป็นเด็กอยู่ อายุประมาณ ๑๓-๑๔ ปีเห็นจะได้ กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.๒ ที่โรงเรียนชละเอมวิทยา สิงห์บุรี ผมสังเกตเห็นว่า คุณแม่พายเรือไปกับแม่ช้อย (คุณยายของผม) และคนแก่อีกประมาณ ๒-๓ คน ไปวัดอัมพวันทุกวันพระ บ้านผมอยู่เหนือวัดอัมพวันขึ้นมาไกลโขทีเดียว ประมาณ ๘ กิโลเมตร

    นัยว่าไปรับกรรมฐานกัน ตกกลางคืนประมาณสองทุ่มคุณแม่ก็นั่งและเดินจงกรมสลับกันไป พอประมาณตีสี่ผมก็เห็นคุณแม่นั่งและเดินอีก ที่เห็นเพราะเรานอนรวมกันทั้งครอบครัว มีผม พี่สาวสองคน คุณแม่และคุณพ่อ ส่วนมากคุณพ่อมักจะนอนนอกมุ้ง ตอนแรก ๆ ผมก็นึกสงสัยว่าคุณแม่ทำอะไร แทนที่จะหลับจะนอน กลับต้องมาอดหลับอดนอนอย่างนี้ เกรงว่าจะเสียสุขภาพ เพราะคุณแม่เป็นคนขยัน ตอนกลางวันทำงานทั้งวัน ปลูกผักถากหญ้าไปตามเรื่อง พอกลางคืนก็นั่งและเดิน ไม่เคยเว้นเลยแม้แต่คืนเดียว

    ผม อดรนทนไม่ได้จึงต้องถาม ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่ไปรับกรรมฐานจากหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวันมาต้องปฏิบัติให้ได้ เพราะทุกวันพระคุณแม่ต้องไปสอบอารมณ์กับหลวงพ่อแล้วก็กลับมาปฏิบัติต่อ เกิดอะไรขึ้นระหว่างปฏิบัติก็ต้องจดไว้ แล้วนำไปถามหลวงพ่อในวันพระต่อไป ตอนนั้นชื่อของหลวงพ่อจรัญยังไม่มีความหมายกับผมเท่าใดนัก บางครั้งยังนึกไม่พอใจเสียอีกที่ท่านมาเป็นเจ้าของหัวใจของคุณแม่อีกคนหนึ่ง เพราะคุณแม่ทุ่มเทกับการปฏิบัติกรรมฐานอย่างมาก จนทำให้ผมมีความรู้สึกว่าคุณแม่ทอดทิ้งคุณพ่อ ผมรักคุณพ่อและเห็นใจคุณพ่อ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมเข้าข้างคุณพ่อเสมอ เป็นความคิดตามประสาเด็ก

    บาง ครั้งก็คิดว่าคุณแม่ตัดช่องน้อยเฉพาะตัว เอาสบายคนเดียว หาได้รู้ไม่ว่าที่คุณแม่ไปวัดอัมพวันทุกวันพระนั้น เป็นการกระทำที่เสียสละทั้งกำลังกายและใจ เพื่อที่จะนำพวกเราที่ดวงตายังมืดมิดอยู่ให้สว่างได้ในอนาคต และคุณแม่ก็ทำได้จริง ๆ ทำให้พวกเราได้พบกับแสงสว่างแห่งชีวิตในที่สุด ซึ่งความสำเร็จทั้งปวงของคุณแม่นี้ก็ด้วยบุญบารมีและพลังความสามารถของหลวง พ่อจรัญ ที่ได้สั่งสอนชี้นำให้ปฏิบัติ ประกอบกับความพยายามอย่างสูงสุดและบุญกุศลที่คุณแม่ได้สร้างสมมาทั้งชาตินี้ และในอดีตชาติ

    ชื่อหลวงพ่อจรัญเริ่มเข้ามาในความรู้สึกของผมเรื่อย ๆ ผมเป็นคนสนใจทางพระ เห็นคุณแม่ปฏิบัติก็ซักถามอยู่เรื่อย ๆ แล้วก็ได้คำตอบที่แปลก ๆ หลายเรื่อง เช่น การอดนอนกลางคืนเพราะปฏิบัติ ก็บอกว่า ไม่รู้สึกอ่อนเพลียทั้ง ๆ ที่ทำงานทั้งวัน ถามว่าได้อะไรจากการนั่งกรรมฐานบ้าง คุณแม่บอกว่า หลวงพ่อท่านว่าได้ทั้งครอบครัว กุศลผลบุญที่คุณแม่นั่งกรรมฐาน จะได้แก่สามีและลูกด้วย

    ตอน นั้นผมก็ยังไม่ค่อยเชื่อนัก เพราะยังไม่ศรัทธาหลวงพ่อ และยังไม่เคยได้สัมผัสหลวงพ่อด้วยตนเองเลย ในภายหลังเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงได้ตระหนักว่าคำกล่าวนี้เป็นจริงทุก ประการ

    คุณแม่มีศรัทธาและยึดมั่นในหลวงพ่อ จรัญเป็นที่สุด สมัยนั้นหลวงพ่อท่านมีเวลาสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติทุกคนในวันพระ คุณแม่จะจดจำทุกขั้นตอนที่หลวงพ่อบอกแล้วกลับมาปฏิบัติที่บ้านด้วยความ พยายามและอดทนจริง ๆ ผมมานึก ๆ ดูแล้ว คนที่จะประสบความสำเร็จในทางสายนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีวิริยะอุตสาหะสูงสุด ต้องไม่วอกแวก ศรัทธาและยึดมั่นในทางสายนี้ ปฏิบัติตามแนวคำสอนนี้อย่างแน่วแน่ทุกขั้นตอน เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จกันง่าย ๆ

    หลวงพ่อจรัญท่านพูดเสมอว่า นั่งกันเดี๋ยวเดียวก็คุยแล้วว่า ได้ขั้นนั้นขั้นนี้ สำเร็จนั่นสำเร็จนี่ ผมดูตัวอย่างจากคุณแม่ของผมแล้ว เห็นว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ๆ คุณแม่ฝึกปฏิบัติทุกวันไม่ขาด ตั้งแต่สองทุ่มถึงห้าทุ่ม ตีสี่ถึงหาโมงเช้า เป็นเวลาถึงสิบปีกว่า ท่านจะนั่งสมาธิได้อย่างแนบแน่น เริ่มนั่งตั้งแต่ ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ มีนาฬิกาไว้ดูอยู่ตลอดเวลา

    บาง ครั้งผมเห็นคุณแม่นั่งตัวตรง บางครั้งท่านก็นั่งขัดสมาธิหงายท้อง เดี๋ยวก็ค่อย ๆ นั่งตัวตรง ผมถามว่า ทำไมคุณแม่ต้องนั่งหงายท้อง ท่านบอกว่าสมาธิแรงกว่าสติ พอเผลอสติก็หงายท้องเลย ทั้ง ๆ ที่ยังขัดสมาธิอยู่ พอรู้ตัวก็ต้องใช้สติกำหนดขึ้นนั่งท่าเดิม เรื่องหนึ่งที่ผมเห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์ก็คือ การกำหนดเวลานั่งได้ เช่น ต้องการจะนั่ง ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่งโมง ๓๐ ชั่วโมง ๔๐ ชั่วโมง ก็สามารถกำหนดได้ โดยการอธิษฐานจิต เช่นจะนั่ง ๒ ชั่วโมง ก็อธิษฐานว่าจะขอนั่งสมาธิ ๒ ชั่วโมง (มีวิธีอธิษฐาน) เมื่อเริ่มนั่งสัก ๒-๓ นาที ก็จะเกิดสมาธิแนบแน่นและสมาธิจะคลายเมื่อถึงเวลา ๒ ชั่วโมง (จากคำบอกเล่าของคุณแม่) ผมเห็นว่าผู้จะปฏิบัติได้อย่างนี้ต้องผ่านการฝึกปฏิบัติมาอย่างมากกับการ นั่งโดยกำหนดเวลา ผมได้เห็นการนั่งโดยกำหนดเวลาของคุณแม่บ่อย

    วัน หนึ่งท่านก็บอกว่าหลวงพ่อให้นั่ง ๓๐ ชั่วโมง เพราะคุณแม่กำลังจะเลื่อนไปปฏิบัติขึ้นต่อไป จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับบุญกุศลของคุณแม่เอง คุณแม่เข้าไปนั่งสมาธิในห้องซึ่งไม่เคยมีใครเข้าไปใช้นอนเลยเพราะร้อนอบอ้าว คุณแม่เริ่มนั่งตั้งแต่หนึ่งทุ่มของวันหนึ่งและออกจากสมาธิเวลาตีสองของวัน รุ่งขึ้น ครบเวลา ๓๐ ชั่วโมงพอดี โดยไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนเลย คุณแม่บอกว่าไม่รู้สึกหิวหรือต้องการขับถ่ายใด ๆ ระหว่างที่คุณแม่นั่งนั้นพวกเราก็เป็นห่วง คอยไปแอบดูทางหน้าต่าง แต่ตอนกลางคืนไม่มีใครกล้าเข้าไป ต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงพ่อได้ให้คุณแม่ไปนั่งสมาธิที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๓๐ ชั่วโมง เพื่อเป็นการทดสอบ คุณแม่ก็นั่งได้ ตอนนั้นคุณแม่อายุได้ ๔๕ ปี ผมคิดว่าการนั่ง ๓๐ ชั่วโมงนั้นก็สูงสุดแล้ว แต่เมื่อปี ๒๕๓๐ หลวงพ่อให้คุณแม่นั่ง ๔๐ ชั่วโมง ท่านก็ยังทำได้

    เรื่อง หนึ่งที่ทำให้ผมเริ่มสนใจและศรัทธาหลวงพ่อ ก็คือเรื่องการสอบอารมณ์ คุณแม่เล่าว่าเมื่อเวลานั่งสมาธิกันหลาย ๆ คน หลวงพ่อก็จะนั่งสอบอารมณ์ของแต่ละคนไปด้วย แม้แต่เวลาคุณแม่นั่งที่บ้าน ท่านก็สามารถสอบอารมณ์ได้ คุณแม่บอกว่าเวลานั่งสมาธิจะเกิดนิมิตต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ซึ่งจะต้องจดบันทึกไว้ แล้วนำไปบอกหลวงพ่อทุกวันพระ หลวงพ่อจะเป็นผู้บอกว่าปฏิบัติถูกหรือผิด ควรแก้ตรงไหนที่ผิด จะเป็นเครื่องหมายบอกว่าผู้นั้นได้เดินทางมาถูกแล้วหรือไม่

    มี อยู่ครั้งหนึ่งคุณแม่เล่าว่า หลวงพ่อให้นั่งสมาธิที่วัดพรหมบุรี หลวงพ่อก็นั่งคุมอยู่ด้วย คุณแม่บอกว่า เป็นการนั่งที่ทรมานที่สุดในชีวิต ใจแทบจะขาดเสียให้ได้ มีแต่ความทุกข์ทุรนทุราย จึงได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าไม่ผ่านก็ขอถวายชีวิต หลังจากได้รับทุกขเวทนาจนถึงที่สุด ดวงใจก็ขาดวับไป เปรียบเสมือนสายว่าวขาดผึง เมื่อถูกพายุพัดแล้วมีความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ใต้ร่มโพธิ์ มีลมพัดเฉื่อยฉ่ำ รู้สึกเย็นชุ่มชื่น มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก พอออกจากสมาธิก็พบว่า หลวงพ่อนั่งยิ้มแสดงความชื่นชมอยู่แล้ว ท่านบอกว่าคุณแม่ผ่านขั้นสำคัญที่สุดแล้ว แสดงว่าหลวงพ่อท่านหยั่งรู้ภาวะจิตของทุกคนได้เป็นอย่างดี

    ผม เริ่มรู้จักหลวงพ่อจรัญมากขึ้น เมื่อตอนผมบวชเป็นพระภิกษุที่วัดศรีสาคร ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๐๑ ประมาณ ๔๐ วัน คุณแม่ให้ผมไปรับกรรมฐานจากหลวงพ่อจรัญมาปฏิบัติ ผมเริ่มเรียนรู้ถึงแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อสอนว่าผมมีเวลาปฏิบัติน้อย ก็ให้ได้พื้นฐานไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ผมมีเวลาปฏิบัติอยู่ได้ ๑ เดือน ไม่ค่อยก้าวหน้าเพราะผมไม่ได้ประจำอยู่ที่วัดอัมพวัน แต่มีจิตน้อมนำและศรัทธาทางปฏิบัติของหลวงพ่อมาก จึงได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ หลังจากลาสิกขาแล้ว ผมกลับไปเรียนต่อที่วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และต่อที่ มศว.ประสานมิตร จนได้ปริญญาตรี (กศ.บ) ตลอดเวลาที่ผมศึกษาอยู่นั้น ผมใช้วิชาฝึกสมาธิของหลวงพ่อจรัญตลอดเวลาอย่างได้ผลดียิ่ง เช่น ก่อนจะอ่านตำรา ผมจะนั่งสมาธิก่อนประมาณ ๕ นาทีแล้วเริ่มดูหนังสือ จะสามารถทำความเข้าใจจดจำได้เป็นอย่างดี ผมพักอยู่ในหอพักประจำ ทั้งที่บ้านสมเด็จและที่ประสานมิตร ที่อ่านหนังสือมักมีเพื่อนมากมาย ผมใช้วิชาสมาธิช่วยจนสามารถที่จะศึกษาหาความรู้ได้ในทุกสถานการณ์ จะมีเสียงเอ็ดตะโรของเพื่อนหรืออากาศร้อนอบอ้าวก็ไม่เป็นปัญหา

    หลัก สำคัญที่หลวงพ่อจรัญให้ไว้สำหรับการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ก็คือการมีสติกำหนดรู้เท่าทันสภาวะของจิตอยู่ตลอดเวลา กำหนดรู้ทุกอิริยาบถของตัวเรา เมื่อได้ฝึกปฏิบัติจนเป็นกิจนิสัย แล้วก็สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี ถึงคราวสุขก็ไม่สุขจนเหลิง ถึงคราวทุกข์ก็ไม่ทุกข์จนเหลือทน ทำให้เป็นคนมีสติ ช่วยขจัดความโลภ โกรธ หลง ลงได้มาก ผมนำไปใช้กับการทนต่อทุกขเวทนา ซึ่งอาจจะเกิดจากกายหรือจิตใจก็ตาม จะรู้เท่าทันทุกข์ที่เกิดขึ้น แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม ก็สามารถทำใจให้สงบ โดยใช้สติกำหนดรู้ แล้วค่อยหาวิธีแก้ไขไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็น ใช้การแผ่กุศลจิตให้ทั้งมิตรและศัตรู โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จนทำให้ความรู้สึกว่าโลกนี้ ผมมีแต่มิตรทั้งนั้น

    มี เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่ผมได้รับฟังจากคุณแม่ ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อ บางเรื่องอาจจะเป็นการบังเอิญ บางเรื่องก็เหลือเชื่อ ซึ่งผมก็มักจะบอกกับคุณแม่ว่าอย่าไปเล่าให้ใครเขาฟัง เพราะเขาอาจจะคิดว่าคุณแม่เพ้อฝัน หรืออวดอุตริมนุสธรรม เพราะระดับจิตใจของคนไม่เหมือนกัน ผมจะขอนำมาเล่าบ้างเพียงเพื่อให้เห็นว่า เมื่อได้ปฏิบัติถึงขั้นแล้วอาจจะเกิด

    เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างนี้ขึ้นได้ เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองก็คือ ขณะที่ผมกำลังศึกษาอยู่ที่ มศว.ประสานมิตร ประมาณปี ๒๕๐๔ ผมวางแผนจะไปเที่ยวที่ มศว.บางแสน ในการแข่งขันกีฬาเชื่อมสัมพันธ์ ตอนกลางคืนผมฝันว่า คุณแม่ไปหาที่หอพักของมหาวิทยาลัย รุ่งเช้าผมก็ไม่ติดใจอะไรนัก เตรียมตัวขึ้นรถจะไปกับเขา พอรถเคลื่อนออกไป ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้ต้องโดยลงจากรถ เดินกลับหอพักเสียเฉย ๆ ในใจก็นึกถึงความฝันตอนกลางคืน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะคุณแม่ไม่เคยไปที่ มศว.ประสานมิตรเลย และก็ไม่มีใครที่บ้านเคยไปด้วย ผมนั่งทำงานอยู่ประมาณเกือบเที่ยงวัน เพื่อนมาบอกว่า มีคนมาหา คอยอยู่ห้องโถง พอผมลงไปก็พบคุณแม่กับบุญมี (หลานสาว) ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ทั้งดีใจและตกใจว่า คุณแม่มาได้อย่างไรเพราะทั้งสองคนนั้นไม่เคยไปที่ มศว.ประสานมิตรเลย

    ท่าน เล่าให้ฟังว่าคิดถึงผม อยากจะมาเยี่ยม ตอนกลางคืนได้อธิษฐานจิตบอกว่า "ทิดเมือง พรุ่งนี้แม่จะไปเยี่ยมนะ ให้คอยรับด้วย" พอรุ่งเช้าก็ขึ้นรถไปกรุงเทพฯ กันแต่เช้า พอถึงตลาดหมอชิตก็ยังหวังว่าผมจะไปรับ แต่เมื่อคอยแล้วไม่เห็นผมไปรับ ก็ตัดสินใจจะขึ้นรถเมล์ไปหาเอง ไม่เคยมีใครไปที่ มศว.ประสานมิตรเลย แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จัก ถามเด็กรถว่า ไปวิทยาลัยสรรพสามิตไปทางไหน ลูกชายมาเรียนครูอยู่ที่สรรพสามิต พวกเด็กรถคงจะพอฟังได้ว่าคุณแม่ถามนั้นคือ มศว.ประสานมิตร ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นวิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร เรียกกันสั้น ๆ ว่าประสานมิตร จึงบอกให้ขึ้นรถเบอร์ ๓๘ ให้นั่งไปจนสุดทางแล้วจึงลง แล้วให้ถามเด็กรถใหม่ว่าจะขึ้นรถคันไหนไปประสานมิตร เป็นที่น่าอัศจรรย์ คุณแม่ไปหาผมที่ประสานมิตรจนได้ ท่านที่เคยไป มศว.ประสานมิตรคงจะทราบว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลยที่จะไปโดยรถเมล์ ครั้นจะขึ้นแท็กซี่ก็กลัวถูกหลอกลวง

    หลวง พ่อบอกว่า ธรรมดาจิตของคนทั่วไปจะกระจัดกระจายฟุ้งซ่านไม่มีพลัง แต่เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถ รวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียว ก็จะมีพลังอำนาจมหาศาลซึ่งเรียกว่า พลังจิต สามารถทำอะไร ๆ ได้ อย่างที่เราไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้ เช่น การใช้โทรจิต คือการติดต่อกันโดยใช้จิต หลวงพ่อเล่าว่า พระเครื่องที่ท่านสร้างนั้น ท่านสั่งช่างให้ทำโดยทางโทรจิต คุณแม่ก็เล่าถึง พลังจิต ที่เกิดขึ้นกับท่านอยู่หลายเรื่อง เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านไปเที่ยวเขาวงพระจันทร์ที่จังหวัดลพบุรีกับคณะหลาย คน ตอนนั้นท่านอายุ ๖๐ กว่าแล้ว ใครที่เคยไปขึ้นเขาวงพระจันทร์ก็คงจะทราบว่าสูงเพียงใด มีหลายคนที่พักคอยอยู่ข้างล่าง พวกอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือแม้แต่อ่อนกว่า ท่านก็ไม่มีใครกล้าขึ้น

    คุณ แม่คิดว่า เมื่อมาแล้วต้องลองขึ้นดูเพราะหลังจากนี้แล้วก็คงไม่ได้มีโอกาสได้ขึ้นอีก แล้ว จึงตัดสินใจเดินขึ้นไปตามบันไดกับเขา ระยะแรกๆ พวกหนุ่มๆ สาวๆ แรงดีก็แซงขึ้นหน้าไป เหลียวมองดูคุณแม่แล้วซุบซิบกันเหมือนกับจะบอกว่ายายแก่คนนี้จะขึ้นไปถึงยอด กับเขาหรือ ท่านเดินขึ้นอยู่พักใหญ่เห็นว่าเริ่มเหนื่อยแล้วก็ลองใช้การกำหนดจิตจนเกิด สมาธิ และเกิดพลังขึ้นในร่างกาย ทำให้มีความรู้สึกว่าเหมือนกับตัวเบาเดินขึ้นไปได้อย่างสบาย ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แซงหน้าคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ แล้วผ่านกลุ่มเด็กหนุ่มที่นั่งพักอยู่ริมบันได มองดูท่านอย่างแปลกใจ เป็นเด็กหนุ่มกลุ่มเดียวกันกับที่ซุบซิบกันเมื่อตอนเดินแซงขึ้นหน้าท่านนั่น เอง

    คุณแม่เดินขึ้นไปจนถึงยอดเขาวงพระจันทร์ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่มีใครตามทัน นั่งคอยอยู่พักใหญ่ พวกที่มาด้วยกันจึงได้ขึ้นไปถึง
    คุณ แม่ไม่ค่อยได้ใช้พลังจิตบ่อยครั้งนัก จะใช้ก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ผมจะไปดูงานที่ประเทศคานาดาเมื่อปี ๒๕๑๘ ตอนนั้นคุณแม่ยังอยู่ที่บ้าน จะมาวัดในวันพระเท่านั้น คุณแม่จะต้องไปส่งผมในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่มีโอกาสจะได้บอกเล่ากับหลวงพ่อเลยเพราะยังไม่ถึงเวลามาวัด จึงทดลองใช้โทรจิตกับหลวงพ่อในตอนกลางคืนบอกว่า ไม่มีอะไรจะให้กับลูกเพื่อคุ้มครองตัวในการเดินทางไปเมืองนอก หลวงพ่อก็บอกคาถาให้ ๙ คำเอาไว้ป้องกันตัว คุณแม่จึงจดใส่กระดาษไว้ ตอนไปส่งผมที่สนามบินดอนเมือง ก็ส่งให้ผมแล้วบอกว่า หลวงพ่อให้คาถาไว้ป้องกันตัว ท่องให้ขึ้นใจจะป้องกันเหตุร้ายต่าง ๆ ได้ ผมก็ได้ใช้คาถานี้ตลอดการเดินทาง

    มีอยู่ ตอนหนึ่งของการเดินทางจากญี่ปุ่นไปเกาะฮอนโนลูลู เครื่องบินจะต้องบินเหนือมหาสมุทรเป็นเวลา ๑๐ ชั่วโมง เหลืออีก ๔ ชั่วโมง จะถึงฮอนโนลูลูก็เกิดพายุปะทะเครื่องบินสั่นไปทั้งลำ ผมมีความรู้สึกเหมือนนั่งเรือหางยาววิ่งปะทะลูกคลื่น ผมไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนเลย ครั้งนั้นจึงเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต แต่ผู้ไม่รู้สึกกลัวหรือตื่นเต้น เพราะผมบริกรรมคาถาของหลวงพ่อ ทุกครั้งที่มีเหตุเสี่ยงอันตราย ผมรู้สึกปลอดภัยและทำใจได้ มีสติดี ไม่หวั่นไหว เพื่อนของผมที่ไปด้วยกัน บางคนนั่งหน้าซีดตัวสั่น เครื่องบินวิ่งฝ่าพายุอยู่เกือบชั่วโมงจึงพ้น ทุกคนรู้สึกโล่งอก ผมใช้คาถาของหลวงพ่อตลอดมาตราบจนทุกวันนี้ เนื่องจากผมยึดมั่นและศรัทธาในหลวงพ่อและคุณแม่มาก ทุกครั้งที่ผมจะใช้คาถานี้ จะมีความรู้สึกปลอดภัยและมีสติ


    คาถามี ๙ คำคือ อุ มะ พัด พา ยะ อุ พัด อะ หัง

    คาถาแต่ละคำมีความหมายในตัวเอง ผมจำไม่ได้ ถ้าท่านอยากรู้คงจะต้องถามหลวงพ่อเอาเอง
    ใน เรื่องการไม่ชอบอิทธิปาฏิหาริย์ของคุณแม่นั้น เป็นหนทางที่ทำให้คุณแม่ได้หลุดพ้นจากการยึดติดและพอใจในพลังอำนาจมาแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยที่ท่านปฏิบัติในระยะแรก ๆ ท่านมีความรู้สึกว่าท่านมีพลังจิตสูงมาก นั่งเพียง ๒-๓ นาที ก็เกิดสมาธิแนบแน่น มีพลังนึกอยากจะรู้อะไรเห็นอะไรก็รู้ได้เห็นได้ทันที ท่านระลึกชาติย้อนหลังได้ถึง ๗ ชาติ สามารถรู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต ได้อย่างฉับพลัน หลวงพ่อบอกว่าท่านกำลังอยู่ในระยะของการเข้าสมถกรรมฐานซึ่งผู้ปฏิบัติทุกคน จะต้องผ่านสมถกรรมฐานก่อน

    ส่วนมากคนจะคิด ว่าตนสำเร็จแล้วเพราะจะเกิดอิทธิปาฏิหาริย์มากมาย เนื่องจากเป็นระยะที่มีพลังจิตสูงมาก อยู่ยงคงกระพัน เหาะเหินเดินอากาศ นั่งทางในสามารถรู้ได้ทุกอย่าง เมื่อมีอิทธิปาฏิหาริย์คนก็จะศรัทธา ลาภสักการะก็จะตามมา จิตใจที่เคยมั่นอยู่กับการปฏิบัติธรรม ก็จะคลอนคลายไม่สามารถเดินทางไปสู่การหลุดพ้นได้ ระยะที่ คุณแม่ตัดสินใจไม่ยึดติดในอิทธิปาฏิหาริย์ใด ๆ หลังจากผ่านขั้นนี้แล้ว ท่านบอกว่าพลังอำนาจก็ลดลง เสื่อมลง ท่านก็ปฏิบัติต่อไปในแนวทางที่ได้ตั้งใจไว้ หลวงพ่อบอกว่าเป็นการปฏิบัติไปสู่วิปัสสนากรรมฐาน นั่นเอง

    หลวง พ่อเคยพูดเสมอว่า ท่านไม่ได้สอนวิปัสสนากรรมฐานเฉพาะคนธรรมดาเท่านั้น ท่านยังสอนผีและเทวดาด้วย ครั้งแรกผมฟังก็ยังไม่เชื่อสนิทนัก แต่เมื่อผมคุยกับคุณแม่แล้วก็เชื่อว่าเป็นจริง เพราะคุณแม่ก็มีประสบการณ์ในการสอนผีเหมือนกัน ท่านบอกว่าคนที่ตายไปแล้ว บางคนที่เคยรู้จักกันเคยมาปฏิบัติธรรมก็มาหา บางคนคุณแม่ชักชวนมาปฏิบัติธรรมก็มาปฏิบัติ บางคนก็ไม่มา บางคนก็มาอยู่เฉย ๆ ไม่ปฏิบัติ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานจิตของแต่ละคน คุณแม่บอกว่าผีนั่งสมาธิได้ดีกว่าคน นั่งนาน อดทน คุณแม่ชวนมาปฏิบัติธรรมวิปัสสนาอยู่ด้วยหลายคน นาน ๆ ไปพวกเขาก็บอกว่า จะไปจุติแล้วก็หายไป บางครั้งขณะที่คุณแม่สั่งสมาธิอยู่ก็มีผีเป็นจำนวนมากมาหาเพื่อขอรับส่วนบุญ กุศลและขอเรียนวิปัสสนากรรมฐาน

    หลวงพ่อนับ ว่าเป็นหมอชั้นเยี่ยม ท่านไม่เพียงแต่จะรักษาจิตของคนเท่านั้น ท่านยังสามารถรักษาร่างกายของคน โดยใช้พลังจิตได้อีกด้วย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ คุณแม่ได้ป่วยเป็นหวัด มีอาการไอ เหนื่อยมาก ตอนนั้นคุณแม่ยังอยู่บ้าน มาวัดเฉพาะวันพระ ผมจึงพาคุณแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลขุนสวรรค์ สิงห์บุรี คุณหมอวิชัยสั่งให้เอ๊กซเรย์พบว่า ปอดข้างซ้ายมีสีขาวทั้งหมด แสดงว่าเป็นน้ำท่วมปอด จึงได้สั่งให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลทรวงอก นนทบุรี ผลการตรวจ หมอเจาะเอาน้ำออกมาได้ถึง ๑.๓ ลิตร หมอสงสัยว่าคุณแม่อยู่ได้อย่างไร ไม่แสดงอาการ เพราะปอดมีน้ำขนาดนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก หมอได้เจาะชายโครงด้านซ้าย เพื่อตัดเนื้อหุ้มปอดไปตรวจด้วย

    คุณแม่บอก ว่า ตอนเขาเจาะชายโครงนั้น ท่านเข้าสมาธิแล้วนิมิตว่าเป็นการใช้กรรมอันเกิดจากท่านฆ่างูเหลือมตัวหนึ่ง ผมยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ดี งูเหลือมยาวราว ๓ เมตรครึ่ง มากินเป็ดตอนกลางคืน คุณพ่อถือฉมวกลงไปดู ตามด้วยคุณแม่ ผม และพี่สาว งูเหลือมเห็นแสงตะเกียงจึงเลื้อยหนีเข้าป่ากระชาย คุณพ่อไม่กล้าแทง เงื้อฉมวกอยู่ คุณแม่โมโหจึงคว้าฉมวกแทงเอง ถูกค่อนหางของงู ผมเห็นงูดิ้นและพันด้ามฉมวกเป็นเกลียวน่ากลัว พวกเราตีงูเหลือมจนตาย

    ผล จากการตรวจน้ำจากปอดและเนื้อหุ้มปอด ปรากฎผลว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ปอดข้างซ้าย ถ้าไม่รักษาจะตายภายใน ๕ เดือน ถ้ารักษาอาจจะอยู่ได้ ๑ ปี เพราะขณะนั้นมะเร็งได้กินถึงเยื่อหุ้มปอดแล้ว ผมตกใจมาก พี่สาวสองคนนั่งร้องไห้ คุณแม่ยังไม่ทราบ เพื่อความแน่ใจจึงให้ลูกของน้าเอาฟิล์มไปให้เพื่อนที่สถาบันมะเร็งดู ก็ได้รับคำตอบเหมือนกัน ผมได้มากราบนมัสการให้หลวงพ่อทราบ ท่านก็บอกว่าทราบแล้วเป็นที่ปอดข้างซ้าย ท่านก็พยายามช่วยอยู่ เมื่อเอาน้ำออกแล้วคงจะดีขึ้น ผมให้คุณแม่พักรักษาตัวอยู่ราว ๒ สัปดาห์

    คุณ แม่เล่าว่ามีอยู่คืนหนึ่ง ท่านนอนอยู่ได้ยินเสียงแตรรถ จำได้ว่าเป็นเสียงรถหลวงพ่อ สักครู่หลวงพ่อมายืนอยู่ข้างเตียงบอกว่าไม่เป็นไรจะช่วยแล้วก็เดินกลับไป คุณแม่ดีใจมากที่หลวงพ่อมาเยี่ยม ดูอาการดีขึ้นมาก ผมพาคุณแม่ไปพักที่บ้านของผม (บ้านพักครู ร.ร.สิงห์บุรี) ต้มยาแผนโบราณให้กินหลายขนานรวมทั้งของคุณหมอสมหมายด้วย ราว ๓ เดือนก็พาไปเอ็กซเรย์ที่พญาไทเอ็กซเรย์ ปรากฎผลว่าเหมือนเดิม ผมปรึกษาหมอสมหมาย ท่านบอกว่ายาแผนโบราณต้องใช้ควบคู่กันกับยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง ผมจึงไปซื้อมา ๑ ชุด ราคา ๖,๕๐๐ บาท จะให้คุณหมอสมหมายรักษา ยาชุดนี้ขณะใช้จะทรมานคนไข้มาก รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียน ผมจะร่วง และก็ไม่รู้ว่าจะหายหรือไม่ ผมมาตรึกตรองดู เห็นว่าคุณแม่อายุมากแล้ว ตอนนั้นอายุ ๗๐ ปี จะทรมานท่านเปล่า ๆ ถ้าใช้ยาแล้วท่านตายไป คนก็จะบอกว่าเป็นเพราะผมทำ
    เมื่อผมไปหา หลวงพ่อ ท่านก็บอกว่า ให้คุณแม่มาอยู่วัด ท่านจะช่วยรักษาทางจิตให้ แล้วให้กินยาสมุนไพรควบคู่ไปด้วย ผมจึงให้คุณแม่มาอยู่วัด ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๒๖ เป็นต้นมา ผมมอบยาชุดนั้นให้คุณหมอไป

    ตอน นั้นคุณแม่ยังไม่ทราบว่าท่านเป็นมะเร็ง ผมได้แต่บอกว่าเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ให้คุณแม่รักษาตัวเองแล้วหลวงพ่อจะช่วยอีกแรงหนึ่ง ท่านก็ปฏิบัติมาตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านนั่งสมาธิ มีความรู้สึกว่า ร่างกายเจ็บแปลบปลาบไปหมด และเหมือนมีอะไรพุ่งออกไปจากตัวท่านทุกสาระทิศ คุณแม่ระลึกได้ว่า หลวงพ่อกำลังช่วยรักษา หลังจากนั้นท่านก็รู้สึกดีขึ้นและหายเป็นปกติ ขอบตาที่เคยดำคล้ำก็หายไป หลวงพ่อบอกว่าคุณแม่ได้ตายไปแล้ว แต่ด้วยบุญบารมีที่ท่านได้สร้างสมมาจากการปฏิบัติธรรม และช่วยสั่งสอนให้คนปฏิบัติธรรม จึงช่วยให้มีชีวิตขึ้นใหม่ คุณแม่มาทราบว่าท่านเป็นมะเร็งประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เพราะหลวงพ่อได้เล่าให้ผู้เป็นมะเร็งคนหนึ่งฟังว่า การนั่งสมาธิสามารถรักษามะเร็งให้หายได้ ตัวอย่างเช่น แม่สุ่ม เป็นต้น ชายคนนั้นจึงมาถามคุณแม่ว่า เป็นมะเร็งหรือ หลวงพ่อบอกว่ารักษาหายแล้วใช่ไหม คุณแม่จึงทราบตอนนั้นเองว่าท่านเป็นมะเร็ง

    ผม เคยจะคิดพาคุณแม่ไปเอ็กซเรย์ว่าคุณแม่หายแล้วหรือยัง ปรึกษาหลวงพ่อแล้ว ท่านบอกว่า อย่าไปตรวจเลย เดี๋ยวเห็นโน่นเห็นนี่แล้วทำให้ไม่สบายใจ แม่ใหญ่อายุมากแล้ว อย่าไปทรมานแกเลย แกยอมสละชีวิตเพื่อพระศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะเป็นจะตายก็คงไม่เสียดายชีวิต ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่หลวงพ่อพูด คุณแม่ไม่เคยกลัวตาย ถือเป็นเรื่องธรรมดา ท่านอุทิศชีวิตเพื่องานของหลวงพ่อ งานอันยิ่งใหญ่ที่จะช่วยขจัดอวิชชาของมนุษย์ ให้เข้าใจหลักปฏิบัติธรรมอันถูกต้องและแท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า คุณแม่รู้ดีแล้วว่าเมื่อท่านตายไปแล้วท่านจะไปอยู่ที่ไหน คงจะเป็นเพราะบุญบารมีของคุณแม่ที่ได้สร้างสมมาประกอบกับพลังจิตของหลวงพ่อ ที่พยายามรักษา และ ยาแผนโบราณที่คุณแม่รับประทานทุกวัน จึงช่วยให้คุณแม่ยังคงมีชีวิตอยู่มาตราบเท่าทุกวันนี้ เป็น แม่ใหญ่ ของผู้ใคร่ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เป็นกำลังสำคัญของหลวงพ่อที่จะช่วยกันสืบทอดพระศาสนาต่อไป

    หลวง พ่อจรัญนั้น นอกจากท่านจะส่งเสริมในเรื่องการปฏิบัติธรรม แล้วท่านยังส่งเสริมในส่วนการศึกษาอีกด้วย ท่านมีความประสงค์อยากให้สถานศึกษาต่าง ๆ ได้ใช้ประโยชน์จากวัดอัมพวันในการอบรมบ่มนิสัยเยาวชนให้มากที่สุด ในส่วนของโรงเรียนสิงห์บุรีนั้นท่านให้ความสนใจมาก เพราะถือว่าเป็นโรงเรียนใหญ่และท่านเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนสิงห์บุรี ท่านให้ความเมตตาและช่วยเหลือโรงเรียนสิงห์บุรีตลอดมา ท่านมีส่วนช่วยให้โรงเรียนสิงห์บุรีสมัยผู้อำนวยการ ชลิต เจริญศรี ได้รับบริจาคหม้อแปลงไฟฟ้าขนาด ๒๕๐ KVA จากนายห้างสมเจตน์ เจ้าของบริษัทศิริวัฒน์ ราคา ๑๕๐,๐๐๐ บาท เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๖


    สมัย ที่ผมมาเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนสิงห์บุรี หลวงพ่อได้ให้ความเมตตาตลอดมา รับเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในงานทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสร้างประปาขึ้นใช้เองในโรงเรียนเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๓๓ ได้รับเงินบริจาคประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ท่านยังบริจาคเงินติดตั้งตู้น้ำเย็นให้นักเรียนดื่มอีก ๒ ที่ เป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท และช่วยเป็น ประธานในงานทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสร้างห้องสมุดของโรงเรียนสิงห์บุรี เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ได้รับเงินบริจาคประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ บาท หลวงพ่อมีส่วนช่วยสร้างสรรค์ความเจริญให้แก่โรงเรียนสิงห์บุรีอย่างมาก นับเป็นบุญของนักเรียนโรงเรียนสิงห์บุรีที่มีหลวงพ่อช่วยดูแลให้ความ อนุเคราะห์เสมอมา ขออำนาจแห่กุศลผลบุญที่หลวงพ่อได้สร้างสมมา โปรดจงเป็นพลวปัจจัยดลบันดาลให้หลวงพ่อมีพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง หายจากโรคาพยาธิทั้งมวล ได้เป็นที่พึ่งของพวกเราผู้ใฝ่ในธรรมทุกคน

    บันทึก

    อันที่จริงผมตั้งใจจะเขียนเรื่อง "หลวงพ่อจรัญที่ผมรู้จัก" แต่เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วผมรู้เรื่องของหลวงพ่อจรัญผ่านทางคุณแม่ของผม ผมจึงจำเป็นต้องเขียนเรื่องของท่านทั้งสองควบคู่กันไป บางเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว ผมอาจจะจดจำผิดเพี้ยนไปจากความจริงบ้าง ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ เรื่องของคุณแม่นั้นยังมีอีกมากมายซึ่งผมไม่มีโอกาสที่ซักถามพูดคุยด้วย เป็นประสบการณ์ที่ท่านได้รับระหว่างการปฏิบัติ ได้เรียนรู้ด้วยตัวท่านเอง และยังจดจำได้เป็นอย่างดียิ่ง

     
  2. mmie

    mmie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,986
    อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมอย่างมาก รู้สึกจิตใจมีพละกำลัง และมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติเพื่อให้ถึงการหลุดพ้นอย่างแท้จริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...