รวบรวมข้อมูลเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 28 กันยายน 2006.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    รวมเกร็ดความรู้ต่างๆ สำหรับคุณแม่บ้าน


    <TABLE width="95%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">All/Reset</TD><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">New Release</TD></TR><TR><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Chicken & Duck</TD><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Meat</TD></TR><TR><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Egg</TD><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Fish & Sea Food</TD></TR><TR><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Vegetable</TD><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Fruit</TD></TR><TR><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Oil & Salad Oil</TD><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Condiment</TD></TR><TR><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Flour</TD><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Desserts</TD></TR><TR><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Beverages</TD><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Kitchen Utensils</TD></TR><TR><TD align=middle width="15%">[​IMG]</TD><TD width="35%">Other</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา http://www.tripparty.com/asp/tripeat/tea_break/tea_break_mainpage.asp?all=all#blank1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2006
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 borderColorDark=#ff9933 cellPadding=0 width="90%" align=center borderColorLight=#ccff66 border=1><TBODY><TR vAlign=center align=middle bgColor=#ffffff><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT]<TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="90%" align=center bgColor=#f8f0e0 border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] จั ง ห วั ด ส ร ะ บุ รี มีสินค้าพื้นเมืองที่สร้างชื่อเสียงหลายอย่าง สามารถซื้อเป็นของฝากหรือ เป็นของกำนัลได้หลายอย่างมีวางขายตามร้านค้าทั่วๆ ไป ในเมืองสระบุรีมีดังนี้

    [/FONT]<TABLE height=25 cellSpacing=0 borderColorDark=#ffff66 cellPadding=0 width="50%" align=left bgColor=#ffffff borderColorLight=#ff9933 border=1><TBODY><TR vAlign=center align=middle bgColor=#bfdfff><TD height=35>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สินค้าพื้นเมืองประเภททั่วไป (ของฝาก)[/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]


    นมสด อำเภอมวกเหล็กมีแหล่งผลิตภัณฑ์นมและอาหารนม รวม 3 แห่ง คือ ผลิตภัณฑ์นมจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่เลขที่ 160 หมู่ที่ 1 ตำบลมิตรภาพ , ผลิตนมสดพาสเจอร์ไรส์ 2 แห่งคือ ฟาร์มโคนม มวกเหล็กเดนมาร์ก อยู่เลขที่ 123 หมู่ที่ 1 ตำบลหมวกเหล็ก และบริษัทอุตสาหกรรมมวกเหล็ก อยู่เลขที่ 25/1 ถนนมิตรภาพ หมู่ที่ 2 ตำบลหมวกเหล็ก สามารถหาซื้อสินค้าตามร้านค้าต่างๆ ได้

    [/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]กะหรี่ปั๊บมวกเหล็ก[/FONT][/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD><TD> </TD><TD vAlign=center align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] กะหรี่ปั๊บที่อำเภอมวกเหล็กเป็นสินค้าที่ขึ้นชี่อและยังเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองสระบุรีวางขายเป็นทิวแถว โดยเฉพาะร้านขายของฝาก ของที่ระลึก โดยเฉพาะบริเวณฝั่งตรงกันข้ามของตลาดฟาร์มโคนม "องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยหรือ อ.ส.ค." ซึ่งมีร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองนับร้อยร้าน แต่ละร้านก็จะมีกะหรี่ปั๊บวางขายแทบทุกร้าน พูดง่าย ๆ ว่าพอใจร้านไหนก็สามารถเลือกซื้อกันได้ตามใจชอบ เพราะผลิตภัณฑ์ของที่นี่ได้รับการประกันคุณภาพจากองค์การอาหารและยา (อ.ย.) โดยสาธารณสุขจังหวัด มีชื่อและผู้ผลิตประทับตราอยู่ข้างกล่อง อีกทั้งสินค้ายังถูกส่งไปขายยังเขตอำเภอใกล้เคียงอีกด้วย
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] เจ้าของกะหรี่ปั๊บร้านน้องหนึ่ง อุไร เอี่ยมกำแหง วัย 37 ปี เล่าว่า รสชาติของกะหรี่ปั๊บอาจแตกต่างกันไปบ้าง ขึ้นอยู่กับส่วนผสมและการปรุงรส แต่ก็ใกล้เคียงกัน การทำต้องมีอุปกรณ์ประกอบด้วย เตาแก๊ส กระทะ กะละมัง ถาด และอื่น ๆ ตามความจำเป็น ส่วนวัตถุดิบนั้นก็มีแป้งสาลี น้ำมันพืช น้ำตาล เกลือ ซอส พริกไทย เนื้อไก่สันใน มันเทศ ถั่วเขียว เผือก สับปะรดกวน และผงกะหรี่
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    วิธีทำกะหรี่ปั๊บ
    นำมาผสมกันตามสัดส่วน นวดแป้งประมาณ 15 นาที จากนั้นทำแป้งในโดยนำแป้งสาลีอีกส่วนมานวดน้ำมันพืชและเกลือจนเข้าที่แล้วทิ้งไว้ นำแป้งส่วนแรกมาปั้นเป็นลูกกลม แล้วแผ่เป็นทรงกลมก่อนจะนำแป้งในใส่ลงไปแล้วห่อพับเหมือนถั่วแปบ นำมารีดด้วยไม้คลึงแป้งก็จะแผ่ออกเป็นชั้นเหมือนลายของเนื้อไม้ เนื่องจากก้อนแป้งหุ้มกับแป้งใน ไม่รวมเป็นเนื้อเดียว ผู้ที่ชำนาญจะใช้ฝ่ามือแบ่งก้อนออกเป็น 2 ส่วน สามารถทำกะหรี่ปั๊บได้ 2 ชิ้น


    [/FONT]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center align=middle><TD vAlign=top>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]
    รีดแผ่นแป้งให้แบน แล้วตักไส้ใส่พอประมาณ
    [/FONT]</TD><TD vAlign=top>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]
    พับให้แผ่นแป้งประกบกัน
    [/FONT]</TD><TD vAlign=top>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]
    บีบแผ่นแป้งให้ติดกันตลอดแนว
    [/FONT]</TD></TR><TR vAlign=center align=middle><TD vAlign=top>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [​IMG]
    บีบแผ่นแป้งเข้าหาตัวตลอดแนวกลายเป็นเกลียวเชือก
    [/FONT]</TD><TD vAlign=top>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [​IMG]
    รูปร่างของกะหรี่ปั๊บ
    [/FONT]</TD><TD vAlign=top>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [​IMG]
    เรียงใส่ถาดเตรียมทอดต่อไป
    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ส่วนไส้กะหรี่ปั๊บนั้นขึ้นอยู่กับการคิดค้นของผู้ทำแต่ที่นิยม คือ ไส้ไก่ ไส้ถั่ว ไส้เผือก และไส้สับปะรด การห่อกะหรี่ปั๊บ นับเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ต้องอาศัยความชำนาญอย่างแท้จริง การทอดนั้นก็ต้องใช้ไฟอ่อนพอประมาณ ใช้เวลาไม่เกิน 8 นาที จะได้กะหรี่ปั๊บที่กรอบนุ่ม อร่อย รสชาติและสีสันขนมแท้
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] [/FONT]กะหรี่ปั๊บเป็นของฝากยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากหาซื้อง่าย ราคาไม่สูง ราคามาตรฐานจะอยู่ชิ้นละ 5 บาท โดยจะบรรจุเป็นกล่องขาย 2 ขนาด คือ กล่องเล็ก 6 ชิ้น 30 บาท กล่องใหญ่ 12 ชิ้น 50 บาท ชาวสระบุรีส่วนมากจึงยึดอาชีพทำกะหรี่ปั๊บขาย คนทำกะหรี่ปั๊บหลายรายเล่าว่ามีรายได้ 600-1,000 บาท / วัน บางรายก็ส่งไปขายยังจังหวัดใกล้เคียง ตลาดกะหรี่ปั๊บมวกเหล็กจึงขยายตัวมากขึ้น และสามารถครองใจผู้ซื้อได้อย่างยาวนานอีกด้วย

    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][/FONT]<TABLE width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="34%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]มะม่วงหนองแซง [/FONT]

    [​IMG]
    </TD><TD width="66%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] มะม่วงหนองแซง ฤดูมะม่วงจะมีในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ผู้ที่ไปเที่ยวจังหวัดสระบุรีเชิญแวะชิม "มะม่วงมันหนองแซง" ซึ่งมีรสชาดไม่แพ้มะม่วงมันในท้องถิ่นอื่นๆ มีปลูกมากในอำเภอหนองแซง เป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดและเป็นที่รู้จักกันทั่วไป [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]

    ส้มเขียวหวาน ส้มเขียวหวานปลูกมากที่อำเภอวิหารแดง เป็นส้มเขียวหวานอร่อย มีผลผลิตออกสู่ตลาดตลอดปี ช่วงประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์

    ข้าวเสาไห้ ข้าวเสาไห้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้าวเกเชย - เป็นข้าวเจ้าพันธ์พื้นเมืองมีรสชาดอร่อย นุ่มนวล หุงขึ้นหม้อ


    และยังมีของฝากอื่นๆ เช่น แตงโม น้อยหน่า ดอกกะหล่ำปลี และเนื้อหวาน เนื้อเค็ม ของดี อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี

    [/FONT]
    <TABLE height=25 cellSpacing=0 borderColorDark=#ffff66 cellPadding=0 width="50%" align=left bgColor=#ffffff borderColorLight=#ff9933 border=1><TBODY><TR vAlign=center align=middle bgColor=#bfdfff><TD height=35>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สินค้าพื้นเมืองประเภทงานฝีมือ[/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    งานจักสาน - กระจาดสาแหรกตาแก้ว

    [/FONT]<TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=middle><TD>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]
    ด้านล่างกระบุงมี
    วิธีการทำคล้ายตะกร้า


    [​IMG]
    ปากกระบุงใช้หวายถักรัดให้แข็งแรง

    [​IMG]
    การถักรัดปากกระบุงด้วยหวาย
    ชั้นล่างเรียกว่า "ลายหัวแมลงวัน"


    [​IMG]
    ขอบบนนี่เห็นคือ "ลายจูงนาง"

    [​IMG]
    เมื่อสานพื้นล่างเสร็จแล้วเหลาไม้
    ขึ้นมาขัดไว้เพื่อให้แข็งแรง

    [​IMG]
    ทำที่จับพร้อมสานหวายทับ
    ให้สวยงามและแข็งแรง
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][/FONT]
    </TD><TD> </TD><TD align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] คุณตาแก้ว จันทาทิพย์ ผู้เฒ่าวัย 90 ปี แห่งบ้านหนองหัวโพธิ์ อำเภอหนองแซง คืออีกหนึ่งการสืบสานงานโบราณ ซึ่งควรแก่การกล่าวถึง ถึงแม้วัยจะล่วงเข้าสู่ 90 ปีแล้ว คุณตายังมีร่างกายแข็งแรง สายตาดี ได้ยินเสียงชัดเจน

    ลักษณะเด่นงานจักสานคุณตาแก้ว

    ตามปกติลวดลายของงานจักสานโดยมากจะเป็นลายสองดีหล่นบริเวณด้านล่างหรือก้นภาชนะส่วนตัวของภาชนะนั้นจะสานเป็นลายดียืนขึ้นไปจนถึงขอบ จึงสานด้วยลายดีแคง หรือบางทีเรียกดีขวาง ก่อนจะเก็บปลายตอก สอดเข้าไปในรอยสาน ส่วนกรรมวิธีการเหลาตอก จะเป็นวิธีการที่เหมือนกับที่อื่น คือทั้งตอกขึ้นและตอกตะแคง ส่วนความยาวที่ขึ้นอยู่กับภาชนะแต่ละประเภท สำหรับผลงานการจักสานฝีมือคุณตาแก้ว มีอยู่หลายอย่างที่เกี่ยวกับการสาน เช่น ตะกร้า กระบุง กระจาด หาบ สาแหรก ไม้คาน ฯลฯ

    วัตถุดิบและอุปกรณ์ที่สำคัญ
    ก็จะมี ไผ่สีสุก และหวาย ส่วนเครื่องมือในการทำงานที่จำเป็น ได้แก่ มีดโต้ และเลื่อยมือ สำหรับตัดผ่าแบ่งไม้
    การสานตะกร้าเริ่มจาก การเตรียมอุปกรณ์ที่ประกอบไปด้วย ไม้ไผ่สีสุก สำหรับจักสานเป็นตอก และขอบตะกร้า, หวายสำหรับถักรัดขอบตะกร้า หวายที่นิยมในงานจักสานโดยเฉพาะ "หวายหอม", ที่เลียดสำหรับทำเส้นหวายให้มีขนาดตามที่ต้องการ, มีดหรือพร้าสำหรับผ่า เหลาและจักไม้ไผ่ให้เป็นตอก ขอบปากและไผ่ขัดก้นตะกร้า รวมทั้งส่วนอื่นๆ ที่จำเป็น

    ขั้นตอนแรก นำไม้ไผ่มาตัดเป็นท่อนยาวประมาณ 50 ซม. แล้วผ่าแบ่งก่อนจะนำมาจักเป็นตอก โดยเหลาให้ปลายตอกทั้งสองด้านเท่ากัน จากนั้นนำตอกมาสานเป็นลายสองธรรมดา แล้วเหลาไม้ไผ่เป็นซี่สองอันให้ปลายแต่ละด้านแหลมเรียว ก่อนจะนำไปสอดขัดกับตอกที่สานเป็นพื้นเพื่อให้แข็งแรง งานที่ได้ในช่วงนี้คือส่วนของพื้นหรือก้นตะกร้า
    จากนั้นสานแบบบังคับทิศทางให้เป็นรูปทรงกลมตามแบบที่ต้องการก่อนจะใช้ตอกอีกส่วนหนึ่งไพล่เป็นเส้นเล็กสานขวางขัดกับตอกยืนจนสุดขอบปากตะกร้า ก่อนจะพับปลายตอกยืนให้เขาไปในรอยตอก ทำไปจนรอบใบจะได้ตะกร้าที่สวยงาม

    การสานกระบุง ส่วนใหญ่นิยมสานเป็น "ลายขัด" ไปตามแนวราบยกเส้นหนึ่งกดเส้นหนึ่ง เพื่อให้ตาขัดกันทำต่อเนื่องไปจนได้เป็นแผ่นกว้าง จากนั้นเหลาไม่ไผ่ให้หนาและแข็งกว่าตอก 2 ชิ้น เสี้ยมปลายทั้งสองด้านให้แหลม เพื่อเสียบเข้าไปในผืนตอกที่สานไว้ งานที่ได้ส่วนนี้จะเป็นพื้นกระบุง จากนั้นจึงสานสานต่อไป ระหว่างสานก็ก็จะต้องบังคับให้รูปทรงของพื้นตอกแคบกว้างตามที่กำหนด โดยเฉพาะส่วนที่ขึ้นมาจากพื้นจะบังคับให้ขอบแคบ ส่วนด้านบนจะบังคับให้ปากบานออกไป จากนั้นนำหวายมาเย็บกระบุงเพื่อให้เส้นตอกที่ขัดกันอยู่นั้นหลุดออกมา

    การสานขอบภาชนะ เริ่มจากผ่าเส้นหวายออกเป็น 4-5 เส้นต่อหนึ่งต้นก่อนจะนำมาเลียดด้วยที่เลียดซึ่งทำอย่างง่ายๆ โดยใช้ตะปูเจาะฝากระป๋องนม เป็นรูขนาดต่างๆ เมื่อเลียดจนได้หวายตามที่ต้องการจึงนำมาสานเป็นขอบกระบุง การถักสานขอบกระบุง เริ่มจากร้อยเส้นหวายยึดขอบที่ประกบปากกระบุงทั้งด้านนอกและด้านในจากจุดเริ่มต้นวนไปเรื่อยๆ จนชนกัน แล้วถักหวายรัดช่วงล่างปากขอบอีกครั้ง เรียกช่วงนี้การถักหวาย "ลายหัวแมลงวัน" ถัดขึ้นมาจะร้อยหวายเป็น "ลายจูงนาง" ให้ด้านหน้าหวายคลุมขอบสันปากกระบุงอย่างสวยงาม

    การสานกระจาดสาแหรก มีกรรมวิธีการสานเดียวกับ กระบุงแต่กระจาดจะมีขนาดกว้างและตื่นกว่า ความโดดเด่นของการสานสาแหรก อยู่ที่การนำหวายทั้งสองด้านกับไม้ขัดด้านล่างก้นกระจาดแบบสลับกับ จากนั้นนำหวายทั้งสองด้านกับไม้ขัดด้านล่างก้นกระจาดแบบสลับกัน จากนำหวายทั้งสองเส้นที่ผูกรัดกันด้านบนแล้วใช้หวายเส้นเล็กที่เลียดแล้วมาผูกรัด ให้ติดกันพร้อมตกแต่งให้มีช่องไว้สอดคาน และเมื่อให้สาแหรกแข็งแรงมากขึ้นก็ผูกร่องเส้นหวายผ่านตัวกระจาดเป็นช่วงๆ โดยรอบ ทำอย่างนี้กับกระจาดทั้งสองใบก็จะได้กระจาดพร้อมสาแหรกในตัว ส่วนคานที่เป็นอุปกรณ์เสริมก็ใช้ไม้ไผ่สีสุกตัดให้ได้ความหนายาวพอประมาณ บากหัวท้าย หรือในรายที่ขยันมากหน่อยก็อาจแกะสลักเป็นลวดลาย ให้สวยงามได้

    งานจักสานฝีมือคุณตาแก้วโดยมาก จะเป็นกระบุง กระด้งและตะกร้าแต่ละประเภทมีราคาแตกต่างกันดังนี้
    - กระบุงขนาดบรรจุข้าง 1 ถัง ราคาใบละ 100 บาท
    - กระบุงขนาดบรรจุข้าง 1 ? ถัง ราคาใบละ 150 บาท
    - กระบุงขนาดบรรจุข้าง 2 ถัง ราคา 120-130 บาท
    - กระจาดเล็กคู่ละ 300 บาท
    - กระจาดใหญ่คู่ละ 400 บาท
    - กระด้งใบละ 150 บาท
    - ตะกร้าใบละ 80-100 บาท

    ความรู้ที่มีนี้ จะไม่สูญสิ้นหากนำมาปฏิบัติให้เกิดผลงาน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตาม ในวิถี ชีวิตของคนชนบท ความรู้ทางด้านจักรสานยังมีอยู่ทั่วไป เพียงแต่ความรู้นั้นอยู่ในภูมิปัญญาของผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้แก่ หากมีวิธีทำให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจ งานภูมิปัญญาแขนงนี้ ก็จะอยู่คู่กับสังคมไทย อันเป็นการสานต่อให้สืบทอดต่อไปได้นานแสนนาน

    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]

    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ครกหินสระบุรี
    แหล่งงานแกะสลักครกหินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองสระบุรี โดยมีถนนมิตรภาพเป็นเส้นแบ่ง ปัจจุบันหินที่อยู่ทั่วไปในเขตเมืองสระบุรีโดยเฉพาะที่เขาไอ้เข้ เขาแก้ว และเขากระต่าย คือแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT]<TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]
    </TD><TD vAlign=top align=left> </TD><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] บริเวณตำบลปากข้าวสาร และพื้นที่ใกล้เคียงในเขต อ.เมือง จ.สระบุรี ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพแกะสลักหิน มีผู้ทำประมาณกว่า 100 ราย ชาวบ้านที่นี่ทำงานด้านแกะสลักครกหินกันมานานแล้ว โดยสืบทอดกันเป็นรุ่นต่อจากพ่อแม่ เป็นงานที่หนัก แต่ชาวบ้านที่คุ้นเคยกันดี และยึดเป็นแนวทางการประกอบอาชีพของคนที่นี่ เนื่องจากสภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นหิน และหินที่เหมาะกับการนำมาทำครก คือ "หินแกรนิต" จัดอยู่ในประเภทของหินอัคนี เป็นหินที่แข็งแรงทนทานเหมาะแก่การนำมาทำครกซึ่งเป็นอุปกรณ์ใมช้งานที่ต้องใช้แรงกระแทกกระทั้น ปัจจุบันสระบุรีถือเป็นแหล่งหินทีสำคัญที่สุด และเป็นแหล่งส่งออกครกที่ใหญ่ที่สุด [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left> </TD><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] อุปกรณ์ในการทำครกหิน ประกอบไปด้วยค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ และขนาดเล็กสำหรับใช้ตอกหินที่นำมามาสกัด, เหล็กสกัดหัวธรรมดาและหัวทองเหลือง สำหรับใช้สกัดหินโดยตรง ,เครื่องเจียนไฟฟ้าสำหรับทำให้ผิวหินเรียบเนียน, หมึกจีนสำหรับวาดขอบก่อนลงมือสกัดหิน และ แล็กเกอร์สำหรับใช้ทา เพื่อให้เกิดความเงางามบนผิวครก[/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    การแกะสลักครกหินเริ่มต้นด้วยการนำหุ่นครกที่สกัดเป็นก้อนแล้วมาสกัดหน้าหินให้เรียบก่อนนำหมึกจีนมาวาดลงบนหุ่นครกเป็นวงกลมตามขนาดความกว้างของหน้าครก จากนั้นใช้สิ่วสกัดปากครกจากด้านในก่อนโดยปล่อยให้ด้านนอกยังคงเป็นรูปหุ่นตามเดิม เพื่อปากครกในชั้นนี้มีความหนาพอที่จะทนแรงสกัด ต้องสกัดไปเรื่อยๆ เริ่มจากปากครกด้านในก่อนไปยังจุดกึ่งกลางจนได้ขนาดตามที่ต้องการ และเริ่มมาสกัดด้านนอก โดยวิธีสกัดไปแต่งไปเพื่อให้ได้ครกตามรูปทรงที่กำหนดซึ่งจะมีทั้งแบบทรงต่ำและทรงสูง
    เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนำเครื่องเจียนมาขัดหน้าครกและภายใน แต่ส่วนโดยใหญ่ภายในจะใช้วิธีนำทรายมากรอกก่อนใช้สากตำเพื่อให้เม็ดทรายขัดผิวภายในจนเรียบ ขั้นตอนสุดท้ายจะใช้แล็กเกอร์ทาภายนอกไปจนถึงขอบปากเพื่อเพิ่มความเงางาม ส่วนบริเวณปากซึ่งมีความหนาอยู่จะใช้หมึกจีนวาดเป็นลายเส้นเพื่อความสวยงาม เมื่อหมึกและแล็กเกอร์แห้งแล้วก็สามารถนำไปจำหน่ายได้ทันที
    ครกสระบุรีทำสำเร็จออกมาแล้วจะมีรูปทรงหลัก 2 แบบ คือทรงสูงแบบครกดินเผา และทรงกลม ครกหินทรงสูงจะมีการแกะสลักให้เหมือนครกดินเผาที่ใช้กันทั่วไปในครัวเรือน ส่วนครกกลมหรือทรงต่ำนั้น ระดับก้นจะตื้นกว่าครกทรงสูงเกือบเท่าตัวลักษณะเด่นของครกประเภทนี้ คือแข็งแรงไม่โอนเอนแม้จะตั้งบนพื้นอ่อน เพราะฐานของครกที่ใหญ่ทำให้น้ำหนักถ่ายเทสู่พื้นอย่างเต็มที่

    ขนาดและราคาครกหินสระบุรี
    ครกหินสระบุรีนั้นมีหลายขนาด และหลายราคาดังนี้

    [/FONT]<TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] - ทรงกลม มีตั้งแต่ขนาดปากกว้าง 5-10 นิ้ว โดยราคาจะเพิ่มตามความกว้างของปากครก
    ขนาด 5 นิ้ว ราคา 140 บาท
    ขนาด 6 นิ้ว ราคา 160 บาท
    ขนาด 6.5 นิ้ว ราคา 170 บาท
    ขนาด 7 นิ้ว ราคา 180 บาท
    ขนาด 7.5 นิ้ว ราคา 190 บาท
    ขนาด 8 นิ้ว ราคา 200 บาท
    ขนาด 10 นิ้ว ราคา 600 บาท
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT]</TD><TD> </TD><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] - ทรงสูง มีตั้งแต่ขนาดปากครกกว้าง 6.5-8.5 นิ้ว จะมีราคาสูงกว่าครกทรงกลม โดยราคาจะเพิ่มตามความกว้างของปากครกดังนี้
    ขนาด 6.5 นิ้ว ราคา 250 บาท
    ขนาด 7 นิ้ว ราคา 300 บาท
    ขนาด 7.5 นิ้ว ราคา 350 บาท
    ขนาด 8 นิ้ว ราคา 400 บาท
    ขนาด 8.5 นิ้ว ราคา 450 บาท

    [/FONT]</TD><TD> </TD><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    การจำหน่ายและอนาคตของครกหิน
    ครกหินปากข้าวสารที่ทำเสร็จแล้ว ส่วนหนึ่งจะนำมาขายที่หน้าร้าน อีกส่วนก็จะขายส่งยังผู้รับซื้อรายใหญ่โดยเฉพาะตลาดใหญ่ที่อยู่ตำบลอ่างศิลา จ.ชลบุรี และบางส่วนยังส่งไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ ส่วนรายได้ของคนทำครกนั้นในรายทีทำอยู่กับบ้าน จะมีรายได้โดยเฉลี่ย 6,000 บาทต่อเดือน หากทำมากรายได้ก็จะมากตามสำหรับอนาคตของครกหินสระบุรีนั้น ปัจจุบันได้นำหินมาดัดแปลงงานแกะสลักประเภทอื่น เช่น กระถางทรงแบนใส่น้ำ และจานหินโดยลักษณะงานก็จะใกล้เคียงกับครกหิน การทำครกหินในพื้นที่ชาวบ้านหลายคนยังคงทำต่อไป ส่วนคนรุ่นใหม่บางคนที่ไม่อยากทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด ทิ้งครอบครัวไปก็จะยึดอาชีพแกะสลักครกหิน

    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ผ้าฝ้ายทอมือเมืองสระบุรี[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    อำเภอเสาไห้ เป็นพื้นที่ที่มี "คนญวน" มากเป็นอันดับหนึ่งในจังหวัดสระบุรีรูปแบบการสืบเชื้อสายมาจากการสืบบรรพบุรุษของคนญวนที่โดดเด่น และได้รับการยอมรับหัตกรรมด้านการทอผ้า ที่มีการออกแบบลวดลายอย่างเป็นเอกลักษณ์ ประจำถิ่น
    แหล่งงานทอผ้า แต่ก่อนนี้ชาวท่าช้างจะทำการทอผ้าบ้านใครบ้านมัน ระยะหลังเมื่อมีหน่วยงานราชการได้เข้า มาให้ความสำคัญมากขึ้น จึงมีการรวบรวมตัวเป็นกลุ่มเรียกว่า "กลุ่มทอผ้าบ้านท่าช้าง" โดยใช้บริเวณด้านข้างของวัดท่าช้าง เป็นศาสนาสถานประจำหมู่บ้าน เป็นแหล่งงานมีการวางกี่กระตุกเรียงราย
    ผ้าทอมือทุกชิ้น ล้วนเป็นงานฝีมือที่ทรงคุณค่า ซึ่งนานาประเทศถือว่าเป็นงานชิ้นเดียวในโลก เพราะทอจากสองมือ กว่าได้ผ้าทอแต่ละผืนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะจะต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนมากมาย ผู้ที่ทำต้องมีความต้องการจริงๆ จึงจะได้ผ้าผืนสวย และที่ขาดไม่ได้คือ อุปกรณ์การทอผ้าที่สำคัญ คือ ไน ระวิง หลักด้าย และที่กระตุก
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT]<TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ไนกับระวิง เป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้ควบคู่กัน "ไน" บางทีเรียก "เผี่ยน" ที่รู้จักทั่วไปเรียกว่า "หลา" ส่วน "ระวิง" รู้จักกันทั่วไปว่า "กง" ใช้สำหรับปั่นด้ายเข้าหลอด [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][/FONT]</TD><TD> </TD><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] หลักด้าย ใช้สำหรับปักหลอดด้ายที่ปั่นแล้ว เสียบลงบนแกน ตามจำนวนหลอดที่กำหนด ก่อนถึงปลายเส้นด้ายจากทุกหลอดมารวมกัน แล้วทำการ "รำด้าย" โดยวิธีสลับด้ายแต่ละเส้น จากนั้นจึง "เดินด้าย" ก่อนนำด้ายไปใส่ฟืมอีกขั้นตอนหนึ่ง
    [/FONT]</TD><TD> </TD><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] กี่กระตุก คือเครื่องทอที่ต่อด้วยไม้ทั้งหมด โดยส่วนประกอบทุกชิ้นของที่ ล้วน มีส่วนสัมพันธ์ ต่อการทอผ้าให้เป็นผืน เช่น ใบพัด ขนัด ฟืม ตะกอ ขาเหยียบ ปีกกา กระตุก รางกระสวย และกระสวย เป็นต้น
    แต่เดิมการทอผ้าของชาวรานส่วนใหญ่มักเป็นการทอเครื่องนุงห่ม เพื่อใช้สอยในเครื่องเรือน เช่น ผ้าถุง ผ้าขาวม้า และผ้าห่ม แต่ปัจจุบันนั้นมีการรวมกลุ่มต้องทำการทอเพื่อ การจำหน่ายเป็นรายได้เสริม ที่ได้เพิ่มงานทอประเภทอื่นเข้ามา เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าตัดเสื้อ และย่าม ฯลฯ
    [/FONT]</TD><TD> </TD><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ลวดลายงานผ้าฝ้ายทอมือของชาว ตำบลท่าช้าง มีมากมายหลายรูปแบบแต่ที่นิยมทำกันล่ำเป็นสัน ประมาณ 6 ลาย คือ ลายดอกพิกุล ลายน้ำไหล ลายมัดหมี่ ลายขัด และ ลายตัวอักษร
    ผ้าฝ้ายที่นำมาทอนั้นใช้เพื่อฝ้ายอย่างดีที่ซื้อหามาจากที่อื่น แต่เพื่องานก็ยังคงละเอียดลออ ลักษณะงานยังคงเดิม มีความประณีต สำหรับราคาขายนั้นได้กำหนดไว้คร่าวๆ ตามลักษณะรูปแบบ ลวดลาย และความยากง่ายของงานดังนี้

    [/FONT]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ผ้าถุง ราคาขายระหว่าง 250 - 280 บาท / ผืน
    ผ้าห่ม ราคาขายระหว่าง 180 - 200 บาท / ผืน
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ผ้าขาวม้า ราคาขายระหว่าง 100 บาท / ผืน
    ย่าม ราคาขายระหว่าง 60 บาท / ผืน
    ผ้าเช็ดหน้า ราคาขายระหว่าง 15 บาท / ผืน
    [/FONT]</TD><TD> </TD><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ปัจจุบัน "คนญวน" ตำบลท่าช้าง มีผลงานหัตกรรมด้านการทอผ้าเป็นกิจกรรมเสริม การดำเนินงานจึงเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ ทำให้ไม่เกิดความเครียด ผู้ทอทุกคนจะมีสุขภาพจิตดีมีรอยยิ้ม และความจริงใจ เพื่อต้อนรับสำหรับผู้มาเยือน ต้องจดจำไปนาน ความรู้ความชำนาญที่สะสมมาได้ถ่ายทอดไปสู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ เพื่อให้เกิดความสำนึก และน้อมรับวัฒนธรรมท้องถิ่น เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

    กะลาออมสิน
    [/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC]
    [/FONT]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD><TD> </TD><TD vAlign=center align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากกะลา มีอยู่ทั่วไปที่พบเห็นกันมากคือ กระบวยตักน้ำ แต่สำหรับกะลาออมสิน ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ บริเวณที่ทำอยู่ไม่ไกลจากวัดพระพุทธบาท ถนนลาดยาง ด้านหลังพระราชวังท้ายพิกุล พระราชวังโบราณ ก็จะพบกับคุณตาทองคำและคุณยายบานเย็น นิลคูหา เจ้าของผลงาน "กะลาออมสิน" ที่เกิดจากภูมิปัญญาดั้งเดิมและนำมาผสมผสานจนเกิดชิ้นงานแบบใหม่ขึ้น โดยอาศัยความรู้ด้านงานช่างไม้เป็นทุนเดิม
    คุณตาและคุณยายบอกว่ากะลาออมสินต้องใช้ผลของมะพร้าวที่แก่ ร่วงหล่นตามธรรมชาติ เพราะผลที่แก่จัดสีของกะลาจะดำ อยู่ตัวและไม่หดง่าย แรกๆ ก็มีมะพร้าวเพียงพอ แต่เมื่อยึดเป็นอาชีพมะพร้าวจึงไม่เพียงพอต้องใช้วิธีซื้อจากพ่อค้าในราคาผลละ 2 บาทโดยไม่มีการคัด
    กะลาออมสินเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ใจเย็นมีสมาธิเป็นสำคัญ เครื่องมือในการทำก็มี เครื่องเจียน สว่านไฟฟ้า สว่านมือ เครื่องยิง วงเวียนไม้ เลื่อย มีด บุ้ง ค้อน ปากกา กาว และน้ำมันวานิช สำหรับทาเคลือบเงา
    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]วิธีการทำกะลาออมสิน[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    นำมะพร้าวแห้งมาปอกเปลือกและเกลาให้เซี้ยนหลุดออกมากที่สุดและตั้งกะลาให้ตาอยู่ด้านบน ใช้ปากกาสีจุดลงตรงกึ่งกลางใช้สว่านไฟฟ้าที่มีดอกขนาดเล็ก เจาะลงตรงจุดเป็นการนำร่อง เพื่อง่ายต่อการใช้สว่านมือเจาะตามลงไปจนทะลุ นำวงเวียนมาวาดจะได้รอยวงกลมขนาดใหญ่ตามที่ต้องการ จากนั้นก็เลื่อยตามรอยจนฝากะลาเปิดออก แล้วพลิกคว่ำเอาด้านล่างขึ้นมาใช้ กะจุดกึ่งกลางใช้เหรียญบาทขนาดใหญ่ทาบและขีดโดยรอบ และใช้สว่านไฟฟ้าเจาะลงตามรอยปากกาจนรอบ หลังจากนั้นใช้ค้อนตอกให้หลุดออก แล้วตกแต่งด้วยการใช้บุ้งขัดให้ขอบเรียบขึ้น
    เมื่อผลมะพร้าวทะลุทั้ง 2 ด้านแล้วก็จะแงะเนื้อมะพร้าวข้างในออกให้หมดแล้วขัดผิวกะลาด้วยเครื่องเจียนให้ทั่วจนกะลาเริ่มออกเงา เสร็จแล้วก็ทำฐานสำหรับตั้งและฝาปิดด้านล่างและฝาบนครอบ ได้ส่วนประกอบทั้งหมดครบถ้วนแล้วก็นำมาประกอบกันคล้ายรูปผลไม้ ฝาด้านบนนั้นจะใช้เครื่องยิง "ไวเลท" ยึดให้แข็งแรง แล้วใช้น้ำมันวานิชเคลือบผิวอีกที
    คุณตาและคุณยายจะลงมือทำในวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ ทำแบบกะปริมาณให้ได้ไว้ขายตลอดสัปดาห์ โดยคุณยายบานเย็นจะเป็นผู้นำไปขายหน้าวัดพระพุทธบาท ส่วนคุณตาทองคำก็จะประดิษฐ์ไม้ตะพดและไม้เกาหลังจากไม้ไผ่และไผ่หรวก นับว่าได้นำวัสดุที่เหลือใช้มาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า ยอดการจำหน่ายในวันที่ไม่มีเทศกาลใดๆจะขายได้วันละ 2-3 ใบราคาก็ไม่แพงอยู่ในปริมาณ 40-60 บาท [/FONT]
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]


    เสน่ห์เรือใบจำลอง
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] เสน่ห์ ศรีมันตะ วัย 40 ปี จบเพียงชั้น ป.6 แต่ด้วยความพยายาม และเป็นคนช่างคิด มีจินตนาการที่แตกต่างกว่าคนอื่น ๆ ทำให้เสน่ห์กลายมาเป็นเจ้าของผลงานอันทรงคุณค่านั้นคือ การประดิษฐ์เรือใบจำลองจากเศษไม้ เสน่ห์เล่าว่า เมื่อวัยเด็ก ชีวิตได้สัมผัสกับงานช่างไม้พื้นบ้านมา และได้มีโอกาสเห็นงานเรือใบจำลองขนาดเล็กจากบ้านญาติเกิดความสนใจ และได้ทดลองทำ แต่ฝีมือยังไม่ดีพอ แต่ก็ไม่ย่อท้อพยายามต่อไป เขานำรูปแบบของเรือใบโบราณจากประเทศต่าง ๆ จากภาพยนตร์ และหนังสือ มาใช้จินตนาการต่อเติมเสริมแต่งรูปแบบของเรือจำลองมาหลายปี จนนักธุรกิจผู้หนึ่งเห็นแววได้เชิญชวนให้ไปผลิตผลงาน แต่ทำได้เพียงระยะเดียว ด้วยความเป็นคนที่รักอิสระ จึงตัดสินใจแยกตัวออกมาและมาตั้งรกรากที่ตำบลหนองปลาไหล ในเขตอำเภอเมืองสระบุรี ในปี พ.ศ.2532 และได้ผลิตผลงานออกมาซึ่ง ณ ที่แห่งนี้ คือ แหล่งงานภูมิปัญญาด้านงานช่างไม้ที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมือสระบุรี
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    รูปแบบและผลงาน
    ความพยายามและความตั้งใจจริง บวกกับอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัวของเสน่ห์ ผลงานของเขาไปปรากฏอยู่ตามแหล่งค้าขายสินค้าชั้นนำ และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ปัจจุบันมีใบสั่งซื้อจากลูกค้าทั่วทุกสารทิศ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ สั่งล่วงหน้ากับแบบข้ามปี โดยเสน่ห์มี ผู้ช่วยที่มีส่วนทำให้เขาประสบความสำเร็จนั้นคือ ประคอง ศรีมันตะ ภรรยาที่ช่วยกันรังสรรค์ผลงานออกมา เสน่ห์บอกว่ารูปแบบเรือใบจำลองโดยรวมจะเป็นเรือสินค้าโบราณประเทศเดนมาร์ก สวีเดน โรมาเนีย สเปน และจีน แยกไปตามยุคสมัย ผลงานที่ได้ออกมานั้นได้ผสมผสานระหว่าง เค้าโครงศิลปะประจำชาตินั้น ๆ บวกกับจินตนาการที่พยายามทำออกมาให้ลงตัวที่สุด เพราะเป็นลูกค้าที่ต้องการซื้อผลงาน จะสามารถซื้อได้ตามแบบที่เขากำหนดเองเท่านั้น เพราะเขาไม่ต้องการให้ผลงานออกมาแบบซ้ำซากจำเจ

    วัตถุดิบและส่วนประกอบของเรือใบจำลอง
    วัตถุดิบที่ใช้เป็นไม้สักทั้งลำเหมายกกองจากกลุ่มที่สร้างบ้านเรือนไทยในท้องที่ อ.บางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนเชือกสำหรับโยงใบเรือและถักเปียเป็นบันไดเชือกโดยใช้ด้าย 80% ผ้าใบ กาว แล็กเกอร์ เป็นส่วนประกอบที่จำเป็น เรือใบจำลองมีขนาดความยาวประมาณ 1.50 เมตร โครงสร้างของเรือประกอบด้วยกระดูกงู ใช้เป็นโครงใน, กราบเรือ, เสากระโดง, กระโดงหน้า, บันไดเชือก, เก๋งเรือ, ระวางเก็บของ, เก๋งลงหน้าเรือ, บันไดข้าง, ใบท้าย, ใบกลางหรือใบลม, ใบหน้า, หอคอย, และส่วนประกอบปลีกย่อยอีกเช่น ถังเบียร์, เม็ดกระดึงและลูกกรงเป็นต้น

    วิธีการสร้างเรือใบจำลอง ของเสน่ห์นั้นจะสร้างคราวละหลายลำ โดยขึ้นอยู่กับคำสั่งซื้อในแต่ละเดือน
    [/FONT]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]

    [​IMG] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เรือสำเภาโบราณทรงสวีเดน[/FONT] </TD><TD> </TD><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ขั้นตอนแรก กำหนดจำนวนการสร้างเรือ แล้วคำนวณอุปกรณ์ ประดิษฐ์ชิ้นส่วนตามประเภทจนครบ โดยเครื่องมือที่มีอยู่ คือ เครื่องกลึง เครื่องเจาะและเครื่องขัด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ช่วยผ่อนแรง บันไดเชือกและการเย็บผ้าใบเรือก็จ้างเพื่อนบ้านที่ชำนาญ ซึ่งเป็นการกระจายรายได้อีกทางหนึ่ง เริ่มวางโครงสร้างเรือไปตามสัดส่วนของลำ การต่อเรือนั้นใช้กาวเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีความทนทานนับ 10 ปี จะไม่มีการเชื่อมด้วยตะปูเลย การประกอบเรือใบแต่ละครั้งอาจใช้เวลานานนับเดือนหรืออาจเพียงไม่กี่สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสมาธิของผู้ทำ หากสมาธิไม่ดีต้องเปลี่ยนไปทำงานด้านอื่นแทน เสน่ห์ยังบอกอีกว่า งานที่ทำบางครั้งค่อนข้างเครียด ถ้าลูกค้าเร่งก็ขาดสมาธิ งานก็จะล่าช้าไปอีก เราจะต้องมีสติตลอดเวลาเพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์ที่สุด มิฉะนั้นผลงานก็จะขาดคุณค่า

    ราคาก็มีตั้งแต่ 2,900 บาท 3,900 บาท 5,900 บาท 9,500 บาท และ 19,000 บาท โดยราคาจะเป็นตัวกำหนดรายละเอียดและขนาดของเรือ

    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] การประดิษฐ์เรือใบจำลองนั้นต้องใช้ความอดทนพิถีพิถันมาก จึงทำให้ไม่ค่อยเป็นที่น่าสนใจของคนในพื้นที่ เช่น งานกลึงลูกกรง หรือเม็ดกระดึง ซึ่งเป็นงานต้องใช้ความละเอียด ต้องทำด้วยตัวเองเพราะไม่มีใครรับจ้างทำ รายได้ที่ได้รับอยู่ในราว 25,000 - 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นรายได้ที่ดีมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือน จากความพยายามต่อสู้ชีวิตจากความไม่มีอะไรเป็นของตนเอง ปัจจุบันครอบครัวเขามีที่ดินและบ้านเป็นของตนเอง พร้อม ๆ กับมีงานทำไม่ขาดมือ ความหวังขั้นต่อไปคือการสอนวิธีการสร้างเรือใบจำลองตามรูปแบบและวิธีการนี้ให้แก่เยาวชนในสถานสงเคราะห์ เพื่อเขาจะได้มีอาชีพที่ดี และสืบทอดงานหัตถศิลป์ด้านนี้ต่อไป [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    หมวกสานใบลาน
    [/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ประโยชน์จากใบลาน
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    "ลาน" เป็นต้นไม้ในตระกูลปาล์มที่คล้ายกับต้นตาลสูงเท่ากับต้นมะพร้าว ที่บ้านท่าฤทธิ์ ต.วังม่วง อ.วังม่วง จ.สระบุรี จะมีต้นลานขึ้นอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติ เป็นต้นลานชนิด "ลานทอง" ในราวปี 2521 เกิดปัญหาน้ำท่วมชาวบ้านไม่สามารถประกอบอาชีพได้ และพบว่าใบลานนั้นนำมาใช้ประโยชน์มากมาย จึงเกิดการรวมตัวกันขึ้นเป็นกลุ่ม "จักสานใบลานบ้านท่าฤทธิ์" ขึ้นที่ 1103 ม.1 บ้านท่าฤทธิ์ มี นางบานเย็น สอนดี เป็นเจ้าของบ้านและประธานกลุ่ม

    ผลงานจากใบลานทอง[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT]
    [/FONT]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center align=middle><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ผลิตภัณฑ์ที่จักสานได้จัดทำขึ้นมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น หมวกคาวบอย หมวกผู้หญิง หมวกกอล์ฟ พวงกุญแจ กระเป๋า แฟ้ม พัด ซองใส่จดหมาย ซึ่งชาวบ้านที่นี่บอกว่าหลังจากที่ใช้ประโยชน์และคุณค่าของใบลานแล้วก็ต้องอนุรักษ์ด้วย โดย 1 ปี จะตัดใบลานเพียงครั้งเดียว จะกะปริมาณความต้องการให้พอตลอดปี และจะไม่ตัดซ้ำรอให้ต้นตาลได้เติบโตเพื่อใช้ได้ในปีถัดไป


    วิธีการทำงานสานจากใบลาน

    1. ขั้นตอนในการเตรียมใบลาน
    การเตรียมใบลานสำหรับงานจักสาน เริ่มจากตัดยอดอ่อนจากต้นลาน นำมาฉีกแล้วตาก แดด ประมาณ 3 แดด หลังจากนั้นเลาะใบออกจากกิ่ง นำมารีดเส้นหรือเรียกกันว่า "เลียด" จนได้เส้นตามขนาดที่ต้องการ นำไปล้างน้ำให้สะอาด แช่ด้วยน้ำยา "ไฮโดรซัลไฟล์" หรือ "ฟอกขาว" ทิ้งไว้ 3 คืน และนำมาล้างน้ำให้หมดกลิ่น ตากอีก 2 แดด ก็จะได้เส้นใบลานที่ตรงกับมาตราฐานของกลุ่มที่กำหนดไว้


    [/FONT]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=middle><TD>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]
    ยอดลานที่ตัดเตรียมไว้


    [/FONT]</TD><TD>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] [​IMG]
    ใบลานที่ผ่านการเลียดและฟอก
    แล้วนำมาตากอีก 2 แดด
    [/FONT]</TD><TD>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]
    โอ่งสำหรับแช่ฟอกใบลานให้ขาว
    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    2. การสาน

    [/FONT]<TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=middle><TD width="33%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]
    เลียดใบลาน [/FONT]</TD><TD width="33%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG]

    ช่วงขึ้นหัว
    [/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][/FONT]</TD><TD width="33%">[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ขึ้นหัวแล้วสานทดต่อไป
    จนได้เป็นทรงคว่ำ[/FONT]
    [/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    เริ่มจากนำเส้นใบลานมาวางขัดเหมือนการสานเครื่องใช้ไม้ไผ่ในขั้นต้น จากนั้นจึงสาน ทดเส้นใบลานต่อออกไปจนระยะหนึ่ง ขั้นตอนนี้เรียกว่า "ช่วงหัว" และสานต่อไปเป็นช่วง "ทำตอก" โดยทำตอกจะเน้นที่ผลิตภัณฑ์ เมื่อได้ตอกตามระยะที่กำหนดจึงสานต่อออกไปอีกเรียกว่า "ออกปีก" จนสุดเชิงหมวกตามที่กะไว้ก่อนจะพับริมเป็นหมวกที่เสร็จขั้นต้น
    หมวกสานใบลานจะทาน้ำยาเคลือบเงาเพื่อรักษาใบลานและให้หมวกแข็งแรงขึ้น อีกทั้งฝีมือยังปราณีต ถูกใจผู้ซื้อ เพราะงานแต่ละชิ้นใช้เวลาทำไม่ต่ำกว่า 7 วัน เพื่อให้งานออกมาสมบูรณ์ที่สุด หมวกสานใบลานบ้านท่าฤทธิ์ มีจุดเด่นที่ใช้ใบลานทองเป็นวัตถุดิบสำคัญ และได้ออกแบบเฉพาะ โดยมีลายมากมายที่นิยมนำมาสานเช่น ลายข้าวหลามตัดตัน, ลายข้าวหลามตัดโปร่ง, ลายข้าวหลามตัดหยัก, ลายฉลุธรรมดา, ลายไทย, ลายดอกพิกุล, ลายทัด, ลายผีเสื้อ, ลายสับปะรด และ ลายภูเขา ฯลฯ
    การสานใบลานทองของบ้านสัมฤทธิ์ที่ได้รับการยอมรับมาก เพราะผลงานแต่ละชิ้นมีความประณีตมากและถูกใจของผู้ซื้อจัดเป็นผลงานที่สวยงาม หมวกสานใบลานนี้เป็น "งานฝีมือ" หรือ " Hand Made" ที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] [​IMG]ผลิตภัณฑ์หินอ่อน อยู่ที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเมือง, และช่วงหน้าพระลาน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี มีร้านจำหน่ายของที่ระลึก ประเภทผลิตภัณฑ์หินอ่อนต่างๆ เช่น แจกัน เชิงเทียน นาฬิกา และการแกะสลักชื่อ ฯลฯ ยังมีหินอ่อนให้เลือกซื้อได้ตามความต้องพอใจ

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]หินลับมีด มีอยู่ที่บ้านบ่อหิน หมู่ที่ 2 ตำบลพุแค อำเภอเมืองสระบุรี ห่างจากตัวเมือง 15 กิโลเมตร

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]ตุ๊กตาข้าวโพด จังหวัดสระบุรี เป็นแหล่งผลิตข้าวโพดที่สำคัญ จึงมีผู้นำวัสดุจากฟักข้าวโพดมาประดิษฐ์เป็นตุ๊กตาต่างๆ สวยงามเหมาะสมสำหรับเป็นที่ระลึกหรือเป็นของฝาก สามารถหาซื้อได้จากร้านค้าต่างๆ ที่อำเภอหมวกเหล็ก
    [/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center align=left><TD>
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][​IMG][/FONT]​


    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="18%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ลายกุหลาบ 2,000 ปี [/FONT]
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="27%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ผ้ามัดหมี่โบราณ [/FONT]
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="27%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ลายผีเสื้อ [/FONT]
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="28%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ลายหมี่ขอ [/FONT]
    </TD></TR><TR><TD width="18%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ลายเบี่ยง[/FONT]
    </TD><TD vAlign=bottom width="27%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ลายตะขอ [/FONT]
    </TD><TD vAlign=bottom width="27%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ผ้าทอ [/FONT]
    </TD><TD vAlign=bottom width="28%">[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ลายซุ้มปราสาท[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]วัสดุของเนื้อผ้า[/FONT][/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แต่เดิมในอดีตชาวไทยพวน อำเภอบ้านหมี่ หรือเรียกตามภาษาถิ่นคือชาวพวนบ้านหมี่จะทอผ้าโดยใช้ไหมแท้ และฝ้ายแท้ โดยการเตรียมเส้นไหมและเส้นด้ายเอง ย้อมสีเอง แต่มีปัญหาสีตก ต่อมาจึงทอด้วยฝ้ายและใยสังเคราะห์ที่เรียกว่า ไหมสำเร็จรูป หรือไหมประดิษฐ์ เนื่องจากมีความเหนียวเส้นเล็ก และสีไม่ตกมีทั้งที่ย้อมสีสำเร็จรูปแล้วและที่ต้องนำมาย้อมสีเอง [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC]​


    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]วิธีการทำผ้า[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]การทอผ้าของชาวพวนบ้านหมี่ แต่เดิมจะทอด้วยหูกมือหรือกี่มือ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นทอด้วยกี่กระตุก ทำให้ทอผ้าได้คุณภาพดีมีปริมาณมากขึ้น สีของผ้าส่วนมากเป็นสีค่อนข้างเข้มเพราะใช้ไหมเส้นยืนเป็นสีดำหรือสีเข้ม สีของไหมเส้นพุ่งจะมีทุกสีซึ่งผ้าทอบ้านหมี่จะแบ่งเป็นหลายลักษณะ คือ [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]1. ผ้ามุ้ง เป็นผ้าทอเนื้อบาง จะทอเป็นลายทางและใช้เส้นด้ายไม่ฟอกสี (สีด้ายดิบ) ใช้ด้าย เส้นเดียวเบอร์ 20 ตลอดทั้งผืน [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]2. ผ้าขาวม้า ปัจจุบันนิยมทอด้วยใยสังเคราะห์ จะได้ผ้าเนื้อละเอียด สีสวยลวดลายที่เป็นแบบเฉพาะของผ้าขาวม้า บ้านหมี่ คือ ลายไส้ปลาไหล และลายตาม่อง [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]3. ผ้ามัดหมี่ เป็นผ้าทอด้วยไหมประดิษฐ์ผสมกับด้าย โดยใช้ด้ายเป็นเส้นยืนและใช้ไหมประดิษฐ์ซึ่งมัดเป็นเปลาะ ๆ นำไปย้อมสีให้เป็นลายใช้เป็นเส้นพุ่ง ซึ่งจะมีลายน้ำไหลหรือลายสายฝน ผ้ามัดหมี่ลายโลด (หมี่โลด) ผ้ามัดหมี่ลายเปี่ยง (หมี่เปี่ยง) ผ้ามัดหมี่ลายลาย (หมี่ลายหรือ หมี่ตา) [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]4. ผ้าซิ่นทิว เป็นผ้าพื้นสีดำมีลวดลายทางขวางเป็นริ้วสลับสี ใช้เป็นผ้านุ่งสำหรับผู้หญิง แต่ปัจจุบันไม่มีการทอเพราะมีโรงงานผลิตผ้าทอประเภทนี้มาก [/FONT]


    [/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]การนำผ้าทอมาประยุกต์ใช้[/FONT][/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ผ้าทอบ้านหมี่นั้นแต่เดิมทอเพื่อใช้เป็นผ้าขาวม้า และผ้าซิ่น แต่ปัจจุบันผ้าทอของบ้านหมี่เป็นที่นิยมของคนทั่วไป เพราะคุณภาพดี มีลักษณะเหมือนผ้าไหม สีไม่ตก ลวดลายสวยงาม มีความทนทาน วิธีเก็บรักษาง่าย ซักและรีดง่าย ประชาชนทั่วไปนิยมนำไปตัดเป็นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป [/FONT][/FONT]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <HR width="90%">

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center align=left><TD>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][​IMG][/FONT]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR align=middle><TD colSpan=2>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]
    </TD><TD align=middle>[​IMG]
    </TD></TR><TR align=middle><TD colSpan=2>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ดินสอพอง[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ชื่อเรียกอย่างอื่น คือ หินปูนมาร์ล ปูนมาร์ล หรือดินมาร์ล [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC]​

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ดินสอพองมีลักษณะเป็นดินขาวมีสารประกอบหินปูนที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า แคลเซียมคาร์บอเนตผสมอยู่มากกว่า 80 % ซึ่งดินที่มีแคลเซียมตาร์บอเนตผสมอยู่จำนวนมากนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดินมาร์ล (Marl) ดินนี้เมื่อถูกกับกรดจะทำปฏิกริยาให้ก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ ดังนั้นเมื่อหยดน้ำมะนาวซึ่งเป็นกรดลงบนดินสอพอง ดินสอพองจะเกิดการพองตัวขึ้นเป็นฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลอยตัวออกจากเนื้อดินโดยทั่วไปเปลือกดินมีสีดำหนาประมาณ 0.5 - 2 เมตร [/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แหล่งที่พบที่บ้านหินสองก้อน[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]บ้านท่ากระยาง บ้านสะพานอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จังหวัดลพบุรีได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีดินสอพองมากและเป็นดินสอพองที่มีคุณภาพดี นับเป็นสัญลักษณ์ประการหนึ่งของจังหวัดลพบุรี จึงได้รับการกล่าวขวัญเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญจังหวัดลพบุรีว่า " วังนารายณ์คู่บ้าน ศาลพระกาฬคู่เมือง ปรางค์สามยอดลือเลื่อง [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เมืองแห่งดินสอพอง แผ่นดินทองสมเด็จพระนารายณ์ " [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ประชาชนที่อยู่ในเขตหมู่บ้านที่มีดินมาร์ลจะประกอบอาชีพทำดินสอพองจำหน่าย ทั้งจำหน่ายปลีก และจำหน่ายส่ง เพื่อนำไปใช้ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ใช้รองพื้นตู้ โต๊ะ เพื่อปิดร่องรอยให้เรียบ ใช้เป็นผงขัดโลหะ ใช้ทำเนื้อยาสีฟันทั้งชนิดผงและชนิดเหลว ผสมทำสบู่ ใช้ทำแป้งหอม ผสมปูนซีเมนต์ และผสมทำธูป เป็นต้น [/FONT]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <HR width="90%">
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=291>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][​IMG] [/FONT]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=center><TD vAlign=top align=middle width="34%">[​IMG]</TD><TD vAlign=top width=0%></TD><TD vAlign=top align=left width="65%">[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]วิธีการทำไข่เค็มดินสอพอง[/FONT][/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ไข่เค็มดินสอพอง ริเริ่มการผลิตและจำหน่ายโดยกลุ่มแม่บ้านกองพันปฏิบัติการจิตวิทยา ศูนย์ สงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจังหวัดลพบุรี ตั้งแต่ พ.ศ.2532 โดยใช้ดินสอพอง 3 ส่วน นำมาผสมกับเกลือ 1 ส่วน และน้ำพอสมควรคลุกให้เข้ากัน นำไข่เป็ดลงชุบให้ติดส่วนผสมแล้วคลุกในขี้เถ้าแกลบ ใส่ถุงพลาสติกปิดให้แน่นอย่าให้อากาศเข้า[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ใช้ประกอบอาหารได้หลายรูปแบบคือหลังจากทำได้ 3 วัน [/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]ใช้ทำไข่หวาน 5 วัน ทำไข่ดาว 15 วันนำไปต้มทำไข่เค็มหรือนำไปทำไข่เค็มผัดพริกขิง และแกงเขียวหวานปลากรายยัดไส้ไข่เค็ม [/FONT]
    [/FONT]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ประโยชน์[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เป็นการถนอมอาหารเก็บไว้รับประทานได้หลายรูปแบบที่สำคัญไข่เค็มดินสอพอง จะมีที่จังหวัด ลพบุรี แห่งเดียวในประเทศไทย [/FONT][/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <HR width="90%">
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center align=left><TD>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][​IMG] [/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][​IMG] [/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]วิธี[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]การทำ เห็ดวุ้นน้ำมะพร้าว หรือ วุ้นน้ำมะพร้าว[/FONT] [/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เห็ดวุ้นน้ำมะพร้าว ในรูปแบบที่ชาวลพบุรีผลิตออกจำหน่ายนั้น ตัววุ้นจะมีความแตกต่างจากวุ้นที่ได้จากการทำขนมทั่วไป โดยเป็นวุ้นที่เกิดขึ้นในกระบวนการหมัก เช่นเดียวกับน้ำส้มสายชู โดยใช้น้ำมะพร้าวแก่กับจุลินทรีย์ที่ผลิตกรดน้ำส้ม ( Acetobacter xylinum ) แผ่นวุ้นที่เกิดลอยอยู่บนผิวหน้าของน้าส้มสายชูหมัก จะมีสีขาวคล้ายเห็ดที่ขยายตัวหนาขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาของการหมัก จึงเรียกว่า เห็ดวุ้นน้ำมะพร้าว [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC]

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ปัจจุบันมีการขยายการผลิตหลายราย ผู้ผลิตรายหลัง ๆ ต่อมาจึงเรียกว่าวุ้นน้ำมะพร้าว ซึ่งฟังดู เข้าใจง่าย มีวิธีแปรรูปได้หลายวิธี ทั้งอาหารคาวและหวาน โดยหั่นแล้วต้มในน้ำเดือดเพื่อล้างกรดน้ำส้มออก ต้ม 2-3 ครั้ง แล้วจึงนำไปแปรรูป ซึ่งอาจใช้ทำอาหารคาว เช่น ยำเซี่ยงไฮ้ แกงเผ็ด แต่ที่นิยมคือนำไปต้มในน้ำเชื่อมซึ่งเก็บไว้ได้นานโดยใช้กระบวนการเช่นเดียวกับอาหารกระป๋อง รับประทานกับน้ำแข็งเป็นขนมหวาน [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ประโยชน์ เห็ดวุ่นมะพร้าวมีเซลลูโลส วิตามิน แร่ธาตุ เช่น แคลเซี่ยมสูง นิยมเป็นอาหารหวาน สินค้าของฝากเอกลักษณ์จากเมืองลพบุรี [/FONT]
    [/FONT]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <HR width="90%">

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][​IMG] [/FONT]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>[​IMG]

    </TD><TD>
    </TD><TD>[​IMG]

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สถานที่ผลิต[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] คือ บ้านท่ากระยาง หมู่ที่ 2 ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี[/FONT][/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC]​

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]วัสดุที่ใช้[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ประกอบด้วย ดิน ทราย ขี้วัว (นำมาคั้นเอายาง) ขี้ผึ้งหรือเทียนผสมชัน ซีเมนต์ ปูนปลาสเตอร์ และลวด[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]วิธีการทำหล่อโลหะทองเหลือง [/FONT][/FONT]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]1.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=45>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สร้างต้นแบบด้วยดินเหนียว ดินน้ำมัน[/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]และถอดแบบปูนปลาสเตอร์หรือปั้นหุ่นด้วยดินผสมทราย[/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]แล้วนำขี้ผึ้งหุ้ม ปั้น แกะให้เป็นรูปต่างๆ ตามต้องการ [/FONT][/FONT][/FONT]

    </TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]2.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]จากต้นแบบทำเป็นแม่พิมพ์ซีเมนต์โดยการแบ่งเป็นชิ้นส่วน [/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]3.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="100%" height=25>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ทำหุ่นหรือแบบโดยการนำขี้ผึ้งที่เคี่ยวจนเหลวกรอกใส่ในแม่พิมพ์ซีเมนต์แล้วเทออก จะได้ขี้ผึ้งที่มีลักษณะกลวง[/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]4.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นำปูนปลาสเตอร์ หรือปูนปลาสเตอร์ผสมทรายกรอกใส่ด้านในของหุ่นเพื่อเป็นแกนใน[/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]5.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นำชิ้นส่วนต่าง ๆ มาติดลงบนพิมพ์ขี้ผึ้ง เพื่อให้ได้รูปทรงที่สมบูรณ์[/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]6.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ใช้ดินเหนียว (ดินจอมปลวก) แกลบเผาไฟ ผสมกันแล้วนำมาร่อนจะเป็นฝุ่นผงดินเล็กๆ[/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]7.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นำขี้วัวมาคั้นเพื่อเอาน้ำยาง (มีเชื้อหญ้าทนความร้อน) แล้วจึงนำไปผสมกับฝุ่นหรือผงดินนั้น[/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]8.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นำดินที่ผสมกับขี้วัวมาพอกหุ่นจำนวน 2 ครั้ง ซึ่งเรียกว่า "ดินนวล"หรือ ดินชั้นใน (ดินอ่อน)[/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]9.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นำดินนวลที่แห้งแล้วมาพอก (หุ้ม) ด้วยดินเหนียวผสมทรายซึ่งเรียกว่า "ดินชั้นนอก"[/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]10.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นำหุ่นนั้นมาติดสายชนวน แล้วนำดินมาหุ้มพอกอีกครั้งหนึ่ง[/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]11.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=45>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นำลวดมาพันเพื่อให้โครงสร้างของดินแข็งแรง (ป้องกันดินแตก) แล้วนำดินมาพอกอีกครั้งเพื่อป้องกันลวดขาดขณะเดียวกันก็ทำ " ปักจอก" (รูเท) ที่ใต้ฐานหุ่น [/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]12.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นำหุ่นไปเผาไฟ เทขี้ผึ้งออกทางรูชนวนโดยการคว่ำหุ่นลง [/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]13.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นำทองเหลืองที่ละลายแล้วเทลงบนหุ่นที่เผาไฟ [/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]14.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]หลังจากหุ่นเย็นตัวลงแล้วทุบดินออก จะได้หุ่นทองเหลืองตามต้องการ [/FONT][/FONT]</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD width="1%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]15.[/FONT][/FONT]</TD><TD width="2%" height=30></TD><TD width="95%" height=30>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ตกแต่ง อุดรู ซ่อม และทำการขูดผิวให้เรียบ[/FONT][/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ต่อมาได้ประยุกต์ใช้ ในการทำพระพุทธรูปปรางค์ต่าง ๆ พระกาฬ นางกวัก รูปสัตว์ต่างๆ ทั้งในลักษณะที่เหมือนจริงในอุดมคติ และส่งออกจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ[/FONT][/FONT]​


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center align=left><TD>[​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=center><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]เสื่อกก [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]บ้านท่าดินดำ[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าดินดำ อำเภอชัยบาดาล จ.ลพบุรี เป็นหมู่บ้านทอเสื่อกก เพราะบริเวณหมู่บ้านมีกอกกขึ้นกระจายอยู่ริมหนองน้ำ ทำให้คนในบ้านนี้เก็บเกี่ยวเอามาต่ำสาด ขายเลี้ยงตัวมาเป็นเวลานานหลายสิบปี จนใครๆก็รู้ว่า "บ้านท่าดินดำเป็นหมู่บ้านทอเสื่อ" [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนชาวอีสาน ยกครอบครัวมาจากหลายพื้นที่จนมีผู้คนมากพอที่จะตั้งตัวเป็นกลุ่มบ้าน เล่ากันว่าพวกที่มาจาก อำเภอโกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ได้นำเอาวิชา "ต่ำสาด" หรือทอเสื่อ มากระจายให้หมู่บ้านยึดเป็นอาชีพ [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ต้นกก[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] เป็นพืชที่ชอบขึ้นตามที่ชื้นแฉะ มีหลายชนิดด้วยกัน กกสามเหลี่ยมหรือกกรังกา (Cyperus digitatus) หรือที่ชาวบ้านเรียกตามภาษาถิ่นว่า "ต้นฝือ" ส่วนกกกลม (Cyperus tegetiformis) ที่ชาวบ้านเก็บมาทอเสื่อ มีลำต้นกลม เราเรียก "ต้นไหล" แต่ชาวบ้านเรียกรวมๆ ว่า "ต้นฝือ" [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]งานทอเสื่อเริ่มตั้งแต่ เกี่ยวกกจากหนองน้ำมาจักเป็นเส้น แล้วนำไปตากแดดสัก 4-5 วัน จากนั้นจึงนำมาย้อมสีตามต้องการ เมื่อแห้งแล้วจึงนำมาทอได้ งานทอเสื่อหรือต่ำสาด ของคนลาวอีสาน บ้านท่าดินดำ เป็นงานที่สร้างอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นได้อย่างดี ทำให้พวกเขาไม่ต้องหนีความกันดาร ละทิ้งถิ่นฐานเข้ามาหากินในเมืองใหญ่[/FONT]
    [/FONT]​



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][​IMG] [/FONT]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center><TD>[​IMG]</TD><TD></TD><TD>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC]น้อยหน่า [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]เป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดลพบุรีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยคนทั่วไปรู้จัก คือ "น้อยหน่าพระที่นั่งเย็น"ซึ่งปลูกแถวพระที่นั่งเย็น ตำบลทะเลชุบศร ปัจจุบันขยายการปลูก ไปแถวหมู่บ้านน้ำจั่น อำเภอบ้านหมี่ เขาสามยอดในเขตนิคมสร้างตนเอง บ้างท้องที่ในเขตอำเภอพัฒนานิคม และจังหวัดใกล้เคียง [/FONT][/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=center align=left><TD>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][​IMG] [/FONT]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>[​IMG]
    </TD><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=Angsana New, AngsanaUPC][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ลพบุรีเป็นเมืองที่มีภูเขามาก และส่วนใหญ่มีต้นไผ่ขึ้นมากมาย ดังนั้นชาวบ้านจึงนิยมหาหน่อไม้มาขาย หน่อไม้ลพบุรีมีราคาถูกมาก โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน เช่น หน่อไม้สด หน่อไม้ต้ม และหน่อไม้ดอง มีขายทั่วไปตามท้องตลาด[/FONT][/FONT]​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ที่มา http://library.rits.ac.th/il/lop/gift/gift.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2006
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE width=726 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=175>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=678 border=0><TBODY><TR><TD width=199>
    [​IMG]
    </TD><TD class=unnamed1 width=479>
    เครื่องมือที่ใช้ในการทอผ้าเกาะยอแต่เดิมใช้กี่มือหรือที่ชาวบ้านในภาคใต้เรียกว่า​
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    [​IMG]
    <TABLE height=252 width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=311 height=248><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=311 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=32>
    [​IMG]
    </TD><TD vAlign=center align=middle width=268></TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle>
    [​IMG]
    </TD><TD class=style7>ิเครื่องมือที่ใช้ในการทอ</TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>ประเภทของเส้นใยและการเตรียมเส้นด้าย</TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD class=style7>ขั้นตอนการทอผ้าในกี่กระตุก</TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD class=style7>ลวดลายของผ้าเกาะยอ</TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD class=style7>ประโยชน์และคุณค่า</TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD class=style7>การดูแลรักษาผ้า</TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD class=style7>English version</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=324><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=324 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR>
    จัดทำโดย... พนัดดา เทพญา สถาบันทักษิณคดีศึกษา อ.เมือง จ.สงขลา e-mail : phanadda@tsu.ac.th

    ที่มา http://www.tsu.ac.th/ists/information/index.htm
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE height=322 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD borderColor=#800000 width="100%" colSpan=3 height=15>ปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินชีวิต(ปัจจัย 4)ได้แก่ </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="12%" height=19></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=19></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="12%" height=19>อาหาร</TD><TD width="88%" colSpan=2 height=19>: อาหารให้โปรตีน ได้แก่ ถั่วเหลือง ไก่ เป็ด ปลา</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>: อาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ ข้าว เผือก อ้อยเคี้ยว มันเทศ</TD></TR><TR><TD width="12%" height=35></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=35>: อาหารที่ให้วิตามินและเกลือแร่ ได้แก่ พืชผักผลไม้และพืชผัก เช่น คะน้า แมงลัก กวางตุ้ง ผักหวาน ชะอม ตำลึง ฟักทอง ยอดแค กระถิน พริก กระเจี๊ยบ</TD></TR><TR><TD width="12%" height=19></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=19>: ผลไม้ เช่น มะม่วง มะนาว มะละกอ ฝรั่ง กล้วย</TD></TR><TR><TD width="12%" height=19></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=19></TD></TR><TR><TD width="12%" height=19>เครื่องนุ่งห่ม</TD><TD width="88%" colSpan=2 height=19>: ผลผลิตจากฝ้ายและไหม ใช้ถักทอผ้า</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="12%" height=21>ที่อยู่อาศัย</TD><TD vAlign=top width="88%" colSpan=2 height=21>: บ้านที่อยู่อาศัย และโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ อาจทำพื้นบ้านและฝาเรือนจากไม้ไผ่ มะพร้าว หมาก ตาล มุงหลังคาโดยใช้ใบไม้ ใบหญ้า เช่น ใบสัก ใบตาล ใบจาก หญ้าคา หญ้าแฝก</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="12%" height=21>ยารักษาโรค</TD><TD vAlign=top width="88%" colSpan=2 height=21>: พืชสมุนไพรและเครื่องเทศ ได้แก่ ขิง ขมิ้น รางจืด ฟ้าทะลายโจร กระเพรา ตะไคร้ กระชาย โหระพา มะกรูด กระเทียม มะแว้งเครือ ชุมเห็ดเทศ สะเดา ไพล ขี้เหล็ก ชะพลู</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21></TD></TR><TR><TD width="100%" colSpan=3 height=21>
    สำหรับการดำเนินชีวิตในระบบเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระดับด้วยกัน

    </TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>1. เศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคลทั่วไป</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>2. เศรษฐกิจพอเพียงระดับเกษตรกร</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21></TD></TR><TR><TD width="100%" colSpan=3 height=21>เศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล

    เป็นความสามารถในการดำรงชีวิตอย่างไม่เดือดร้อน มีความเป็นอยู่อย่างพอประมาณตนตามฐานะ ตามอัตภาพและที่สำคัญไม่หลงไหลตามกระแสวัตถุนิยม มีอิสระภาพในการประกอบอาชีพเดินทางสายกลาง ทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับตนเอง และสามารถพึ่งพาตนเองได้
    </TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21></TD></TR><TR><TD width="100%" colSpan=3 height=21>เศรษฐกิจพอเพียงระดับเกษตรกร

    เป็นเศรษฐกิจเพื่อการเกษตรที่เน้นการพึ่งพาตนเอง เกษตรกรจะใช้ความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการที่ดินโดยเฉพาะแหล่งน้ำ และกิจกรรมการเกษตรได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ และความต้องการของเกษตรกรเอง ด้วยการนำเรื่องทฤษฎีใหม่ขั้นที่หนึ่ง : ฐานการผลิตความพอเพียง มาใช้ในไร่นาของตนเอง โดยเริ่มจากการผลิต จะต้องทำในลักษณะพึ่งพาอาศัยทรัพยากรในไร่นาและทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ให้มีความหลากหลายของกิจกรรมการเกษตรในไร่นา มีกิจกรรมเกื้อกูลกัน กิจกรรมเสริมรายได้ ใช้แรงงานในครอบครัวทำงานอย่างเต็มที่ลดต้นทุนการผลิต ตลอดจนการผสมผสานกิจกรรมการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และประมง ในไร่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
    </TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21></TD></TR><TR><TD width="100%" colSpan=3 height=21>ความหลากหลายของกิจกรรมการเกษตรในไร่นา


    </TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>ได้แก่ การทำกิจกรรมหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน เช่น</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>ข้าว : พืชอาหารหลักของคนไทย สำหรับบริโภคในครอบครัว</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>สระน้ำ : แหล่งน้ำในไร่นาและเลียงสัตว์น้ำ</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>พืชผัก : ใช้บริโภคในครัวเรือน ช่วยลดรายจ่ายประจำวัน</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>พืชสมุนไพร : เป็นอาหารและยาพื้นบ้าน</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>ไม้ยืนต้นและไม้ใช้สอย : ใช้เป็นไม้ฟืน ทำโรงเรือนและเครื่องจักสาน</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>เลี้ยงสัตว์ : แหล่งอาหารโปรตีนและเสริมรายได้</TD></TR><TR><TD width="12%" height=21></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=21>ไม้ดอกไม้ประดับ : เพื่อความสวยงาม พักผ่อนจิตใจและเสริมรายได้</TD></TR><TR><TD width="12%" height=1></TD><TD width="88%" colSpan=2 height=1>ปุ๋ยหมัก : บำรุงดิน รักษาสมดุลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม


    ที่มา http://72.14.253.104/search?q=cache...t/suf4.html+ปัจจัย+4&hl=th&gl=th&ct=clnk&cd=3

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2006
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

    [​IMG]



    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width=550 border=0><TBODY><TR><TD height=866>ผู้สูงอายุกับการออกกำลังกาย


    - การบริหารลมปราณ 18 ท่า

    (คลิ๊กดูท่าบริหารได้เลยครับมี 18ท่า )

    เป็นที่ทราบกันแล้วว่าประชากรผู้สูงอายุในปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นทั้งสัดส่วนและจำนวน จากการสำรวจประชากรผู้สูงอายุไทยโดยสถาบันประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่าผู้สูงอายุไทยเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2540
    มีถึง 5.05 ล้านคน คิดเป็นอัตราร้อยละ 8.4 ของประชากรทั่วประเทศ และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    เมื่อคนเราอายุมากขึ้นร่างกายจะมีการเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ตามวัย ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ซึ่งมักจะเป็นโรคเรื้อรังและเป็นหลาย ๆ โรคพร้อมกัน การออกกำลังกายที่เหมาะสมและสม่ำเสมอในทางการแพทย์ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งอันหนึ่งที่จะช่วยในการส่งเสริมและป้องกันโรค ทำให้เกิดผลดีต่อร่างกายคือ

    1. ทำให้สุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ การออกกำลังกายจะทำให้การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้นภูมิต้านทานของร่างกายดีขึ้น ความจำดีขึ้นช่วยชะลอความชราทำให้ดูอ่อนกว่าวัย
    2. ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกาย ทำให้เหนื่อยน้อยลงกล้ามเนื้อแข็งแรงและทนทานมากขึ้น ช่วยให้หายปวดเมื่อยปวดข้อการทรงตัวดีขึ้น
    3. ช่วยควบคุมน้ำหนักและรักษาทรวดทรงให้ดูดี
    4. ป้องกันโรคที่เกิดจากการเสื่อม และช่วยฟื้นฟูร่างกาย เช่น โรคเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน โรคเบาหวานภาวะไขมันในเลือดสูง โรคข้อเสื่อม
    5. ช่วยลดความเครียดเพิ่มสมาธิทำให้จิตใจแจ่มใส
    6. ทำให้มีการเคลื่อนไหวกระดูกและข้อ ลำไส้ ช่วยทำให้ข้อไม่ยึดติด ท้องไม่ผูก

    ข้อควรระวังในการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ

    1. ในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ในการออกกำลังกายครั้งแรกคำนึงถึง
    1.1 ถ้าไม่มีโรคประจำตัว หรือไม่เคยมีความผิดปกติของร่างกายมาก่อนการเริ่มออกกำลังกายควรเริ่มต้นการเดินก่อนแล้วเพิ่มเวลาเดินขึ้นจนถึง 20 นาที ถ้าไม่รู้สึกเหนื่อยผิดปกติให้เพิ่มเป็นเดินเร็ว ๆ ถ้าไม่เหนื่อยให้เริ่มวิ่งเหยาะ ๆ จนถึงวิ่ง
    1.2 ถ้ามีโรคประจำตัวอยู่หรือมีความผิดปกติ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เคยแน่นหรือเจ็บหน้าอก เป็นลมหน้ามืด เวียนศรีษะ ข้อเสื่อมหรือปัญหาทางกระดูก น้ำหนักตัวมากกว่ามาตรฐานเกิน 10 กิโลกรัมประวัติครอบครัวมีปัญหา โรคหัสใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าท่านสามารถออกกำลังกายได้หรือไม่ อย่างไร แค่ไหน
    2. ในการออกกำลังกายทุกครั้ง ควรใช้เวลาประมาณ 20-40 นาที โดยแบ่งเป็น
    อุ่นเครื่อง 5-10 นาที
    ออกกำลังกาย 10-20 นาที
    ผ่อนคลาย 5-10 นาที
    ไม่ควรออกกำลังกายเกิน 40 นาทีต่อครั้ง เพราะจะเป็นการหักโหมเกินไป การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพควรออกสม่ำเสมอทุกวันหรืออย่างน้อย 3-5 ครั้ง/สัปดาห์
    3. ในขณะที่ออกกำลังกาย ถ้าเกิดอาการผิดปกติ ได้แก่เวียนศีรษะ ตามัว หน้ามืด ใจสั่น ใจเต้นไม่ปกติ เหนื่อยผิดปกติ หายใจไม่เต็มอิ่ม แน่นหน้าอก คลื่นไส้ เหงื่ออก ตัวเย็น แขนขาอ่อนแรงหรือควบคุมลำแขน ขาไม่ได้ พูดไม่ชัดตะกุกตะกักหรือชัก ต้องหยุดออกกำลังกายทันที แล้วพักสักครู่ถ้าดีขึ้นควรไปพบแพทย์ไม่ควรออกกำลังกายต่ออีก จนกว่าแพทย์จะอนุญาต
    4. ในการออกกำลังกาย ควรพิจารณาถึง
    + สถานที่ควรโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อนเกินไป
    + เครื่องนุ่งห่ม ควรใส่สบายไม่ฟิตหรือรัดรูปและให้อุ่นพอโดยเฉพาะในฤดูหนาวอากาศเย็น
    + รองเท้าควรให้เหมาะและรู้สึกสบายเป็นรองเท้าที่ใช้ใส่สำหรับออกกำลังกาย
    + เวลา จะเป็น เช้า กลางวัน เย็น หรือก่อนนอนก็ได้แต่ควรก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงหรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมงขึ้นไป
    5. ชนิดของการออกกำลังกายควรเป็นแบบแอโรบิค คือมีการเคลื่อนไหวของอวัยวะร่างกายตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะ ๆ การวิ่ง การว่ายน้ำ การถีบจักรยาน หรือการถีบจักรยานอยู่กับที่ การเต้นแอโรบิค
    6. การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพควรทำตามความสามาถและสภาพของร่างกาย ต้องไม่แข่งขันเพราะการแข่งขันอาจทำให้เราฝืนร่างกายให้หักโหมเกินไปอาจเกิดอันตรายได้
    7. ควรงดออกกำลังกายในขณะที่อาการเป็นไข้ อ่อนเพลียหรือไม่สบาย

    โดยสรุปผู้สูงอายุเมื่อมีเวลาว่าง ทางออกที่ดีคือควรคบหาเพื่อรรุ่นเดียวกัน มีการออกกำลังกายในเวลาเช้าบ้าง เย็นบ้างจะทำให้เรายังสดชื่น การออกกำลังกาย "ไทเก็ก" เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้เวลาและสถานที่ไม่มากนัก สามารถทำด้วยตนเองคนเดียวหรือทำร่วมกับเพื่อนเป็นหมู่ก็ได้ ซึ่งจะมีผลทำให้สุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ





    </TD></TR></TBODY></TABLE>



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2006
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    โยคะ-สุริยะนมัสการ


    <CENTER><CENTER>สุริยนมัสการ เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายหลายจังหวะ
    และล้วนแต่เป็นท่าเบื้องต้นของอาสนโยคะ

    ควรจะฝึกทำทุกวันให้ได้วันละ 2-3 รอบ หรือขึ้นกับร่างกายของผู้ฝึก

    ประโยชน์ของสุริยนมัสการคือ
    ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ทำงานหนักขึ้นแต่ไม่หักโหม
    เมื่อทำอย่างต่อเนื่องจะช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น
    และกระตุ้นต่อมต่างๆของร่างกายให้ทำงานมากขึ้น

    การฝึกท่าต่างๆควรให้สอดคล้องกับลมหายใจ จามที่ได้กล้าวไว้ในแต่ละท่า
    สำหรับผู้ที่เริ่มต้นฝึก ไม่ควรฝืนร่างกาย ให้ทำเท่าที่ร่างกายทำได้
    เมื่อฝึกต่อไปเรื่อยๆร่างกายก็จะชิน และสามารถทำท่าได้ดียิ่งขึ้น
    </CENTER>
    <! bgsetgray13.jpg = 1148012461.jpg></CENTER><CENTER><TABLE style="BACKGROUND: url(http://www.bloggang.com/data/auntymod/picture/1148012461.jpg)" cellSpacing=20 ;cellpadding="10"><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE style="BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%" cellSpacing=0 ;cellpadding="0"><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE style="BACKGROUND: url(http://www.bloggang.com/data/auntymod/picture/1148012461.jpg)" cellSpacing=20 ;cellpadding="20"><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>1 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5><TBODY><TR><TD>ยืนตัวตรง พนมมือระหว่างอก</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=60 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>2 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>หายใจเข้าลึกๆ
    เหยียดแขนทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ
    โค้งลำตัวไปด้านหลัง</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=20 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>3 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>ผ่อนลมหายใจช้าๆ
    ก้มตัวลงให้ปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า
    ศีรษะแตะหัวเข่า </TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>4 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>หายใจเข้า
    ลดตัวลง เอามือางข้างเท้าทั้งสอง
    เหยียดเท้าขวาออกไปสุดด้านหลัง เชิดหน้ามองเพดาน</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>5 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>หายใจออก
    พร้อมกับดึงขาซ้ายเข้ามาชิดขาขวา
    แขนเหยียดตรง ยกสะโพกขึ้น ก้มหัวลงทำท่าโก้งโค้ง</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>6 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>หายใจออก
    หย่อนส่วนอกลงกับพื้น
    จนส่วนปลายเท้า เข่า อก และหน้าผาก จรดพิ้น</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>7 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>หายใจเข้า
    ค่อยๆแอ่นตัวไปด้านหลังให้มากที่สุด ตามองเพดาน</TD></TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>8 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>หายใจออกพร้อมยกตัวขึ้นกลับมาทำท่าโค้ง</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>9 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>เริ่มทำสลับขาบ้าง
    หายใจเข้า
    เหยียดขาขวาออกไปด้านหลัง ทำเหมือนท่าที่ 4</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>10 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>หายใจออก ยืดตัวกลับมาทำท่าที่ 3</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>11 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>หายใจเข้า
    พร้อมแอนตัวไปด้านหลังเหยียดแขนเหนือหัว</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER>12 <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>จากนั้นกลับมายืนสงบในท่าเริ่มต้น</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><CENTER><TABLE cellSpacing=10 cellPadding=5 <tr><TBODY><TR><TD>จะเห็นได้ว่า ท่าสุริยนมัสการ หรือท่าไหว้พระอทิตย์
    เป็นท่าที่รวมเอาความเคลื่อนไหวของอาสนะต่างๆของโยคะ
    เข้ามาเป็นแบบแผนที่ต่อเนื่องและมาบรรจบรอบที่จุดเริ่มต้น</TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD align=middle><TABLE style="BORDER-RIGHT: azure 1px inset; BORDER-TOP: azure 1px inset; BACKGROUND: #e1eff7; BORDER-LEFT: azure 1px inset; BORDER-BOTTOM: azure 1px inset" cellSpacing=30 cellPadding=0><TBODY><TR><TD>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD> First Published : 19 พฤษภาคม 2549</TD></TR>


    </TD></TR><CENTER></CENTER>


    <!-- End main-->
    </TBODY></TABLE><TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="50%">[SIZE=-1]Last Update : 19 พฤษภาคม 2549 14:57:49 น.[/SIZE]</TD><TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=auntymod&group=8&month=05-2006&date=19</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    แกว่งแขนบำบัดโรค

    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD noWrap bgColor=#6699cc>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG]ความเป็นมา [/FONT]</TD></TR><TR><TD noWrap>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG]หลักสำคัญพื้นฐาน [​IMG] [/FONT]</TD></TR><TR><TD noWrap bgColor=#6699cc>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG]เคล็ดวิชา 16 ประการ[/FONT]</TD></TR><TR><TD noWrap bgColor=#6699cc>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG]การเปลี่ยนแปลงชีพจร[/FONT]</TD></TR><TR><TD noWrap bgColor=#6699cc>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG]พระปรมาจารย์โพธิธรรม[/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] 1. ยืนตรง เท้าทั้งสองข้างแยกออกจากกันให้มีระยะห่างเท่ากับช่วงไหล (ภาพประกอบที่ 1)[/FONT]
    [​IMG] [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ภาพประกอบที่ 1[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] 2. ปล่อยมือทั้ง 2 ข้างลงตามธรรมชาติ อย่างเกร็งให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหน้า (ภาพประกอบที่ 2)
    3. ท้องน้อยหดเข้า เอวตั้งตรง เหยียดหลัง ผ่อนคลายกระดูกลำคอ ศีรษะและปากควรปล่อยไปตามสภาพธรรมชาติ (ภาพประกอบ 2)
    [/FONT]
    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เอวเป็นแกนเพลา

    ภาพประกอบที่ 2
    [/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] 4. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส่วนส้นเท้าก็ให้ออกแรกเหยียบลงพื้นให้แน่น ให้แรงจนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่โคนเท้าและท้องตึง ๆ เป็นใช้ได้ (ภาพประกอบที่ 3)[/FONT]
    [​IMG] [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ภาพประกอบที่ 3[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] 5. สายตาทั้ง 2 ข้าง ควรมองตรงไปยังจุดใดจุดหนึ่งแล้วมองอยู่ที่เป้าหมายนั้นจุดเดียว สลัดความกังวลหรือความนึกคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ ออกให้หมด ให้จุดสนใจความรู้สึกมารวมอยู่ที่เท้าเท่านั้น
    6. การแกว่งแขน ยกมือแกว่งแขนไปข้างหน้าอย่างเบา ๆ ซึ่งตรงกับคำว่า
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar cell )

    เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างจากสารกึ่งตัวนำซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์(หรือแสงจากหลอดแสงสว่าง)ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงและไฟฟ้าที่ได้นั้นจะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง(Direct Cuurent)จัดว่าเป็นแหล่งพลังงานทดแทนชนิดหนึ่ง(RenewableEnergy)สะอาดและไม่สร้างมลภาวะใดๆขณะใช้งาน เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากน้อยเพียงใด

    พลังงานแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบพื้นโลกเรามีค่ามหาศาลบนพื้นที่1ตารางเมตรเราจะได้พลังงานประมาณ1,000วัตต์หรือเฉลี่ย4-5กิโลวัตต์/ชั่วโมง/ตารางเมตร/วันซึ่งมีความหมายว่าในวันหนึ่งๆบนพื้นที่เพียง1ตารางเมตรนั้นเราได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ 1กิโลวัตต์เป็นเวลานานถึง4-5ชั่วโมงนั่นเองถ้าเซลล์แสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานร้อยละ15ก็แสดง
    ว่าเซลล์แสงอาทิตย์จะมีพื้นที่ 1ตารางเมตรจะสามาถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้150วัตต์หรือเฉลี่ย600-750วัตต์/ชั่วโมง/ตารางเมตร/วัน

    ในเชิงเปรียบเทียบในวันหนึ่งๆประเทศไทยเรามีความต้องการพลังงานไฟฟ้าประมาณ250ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง/วันดังนั้นถ้า เรามีพื้นที่ประมาณ1,500ตารางกิโลเมตร(ร้อยละ0.3ของประเทศไทยเราก็สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ได้เพียงพอกับความต้องการทั้งประเทศ

    หลักการทำงานและการใช้งานทั่วไปของเซลล์แสงอาทิตย์

    -โครงสร้างของเซลล์แสงอาทิตย์ที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่รอยต่อพีเอ็นของสารกึ่งตัวนำซึ่งวัสดุสารกึ่งตัวนำที่ราคาถูกที่สุดและมีมากที่สุดบนพื้นโลกได้แก่ซิลิกอนซึ่งถลุงได้จากควอตไซต์ หรือทรายและผ่านขั้นตอนการทำให้บริสุทธิ์ตลอดจนการทำให้เป็นผลึก

    - เซลล์แสงอาทิตย์หนึ่งแผ่นอาจมีรูปร่างเป็นแผ่นวงกลม (เส้นผ่นศูนย์กลาง5นิ้ว)หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส (ด้านละ 5 นิ้ว ) มีควมหนา200 - 400ไมครอน ( ประมาณ 0.2 ? 0.4 มิลลิเมตร ) และต้องนำมาผ่านกระบอนการแพร่ซึมสารเจือปนในเตาอุณหภูมิสูง( ประมาณ1000C )เพื่อสร้างรอยต่อ P-N ขั้วไฟฟ้าด้านหลังเป็นผิวสัมผัสโลหะเต็มหน้าส่วนขั้วไฟฟ้าด้านหน้าที่รับแสงจะมีลักษณะเป็นลายเส้นคล้ายก้างปลา

    -เมื่อมีแสงอาทิตย์ตกกระทบกับเซลล์แสงอาทิตย์จะเกิดการสรางพาหะนำไฟฟ้าประจุลบ และประจุบวก ขึ้นซึ่งได้แก่อิเล็กตรอนและโฮลโครงสร้างรอยต่อพีเอ็นจะทำหน้าที่สร้างสนามไฟฟ้าภายในเซลล์เพื่อแยกพาหะไฟฟ้าชนิดอิเล็กตรอนให้ไหลไปที่ขั้วลบและทำให้พาหะนำไฟฟ้าชนิดโฮลไหลไปที่ขั้วบวก ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าแบบกระแสตรงขึ้นที่ขั้วทั้งสองเมื่อเราต่อเซลล์แสงอาทิตย์เข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้า( เช่นหลอดแสงสว่าง มอเตอร์ เป็นต้น)ก็จะมีกระแสไฟฟ้าไหลในวงจร

    - เซลล์แสงอาทิตย์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง5นิ้วจะให้กระแสไฟฟ้าลัดวงจรประมาณ3แอมแปร์และให้แรงดันไฟฟ้าวงจรเปิดประมาณ 0.5 โวลต์ถ้าต้องการให้ได้กระแสไฟฟ้ามากๆก็ทำได้โดยการนำเซลล์มาต่อขนานกันหรือถ้าต้องการให้ได้รแรงดันสูงๆก็นำเซลล์มาต่ออนุกรมกันเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีขายในท้องตลาดจะถูออกแบบให้อยู่ในกรอบอลูมินั่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งเรียกว่า แผง หรือ โมดูล

    -เนื่องจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลออกจากเซลล์แสงอาทิตย์เป็นชนิดกระแสตรง ดังนั้นถ้าผู้ใช้ต้องการนำไปจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ ไฟฟ้ากระแสสลับต้องต่อเซลล์แสงอาทิตย์เข้ากับอินเวอร์เตอร์ ( Inverter) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าจากกระแสตรงให้เป็นกระแสสลับก่อน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=750 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=734 height=600><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=734 height=600>
    ถ้าจ่ายไฟฟ้าให้เฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้ากระแสตรงในเวลากลางวันเช่นหลอดแสงสว่างกระแสตรงสามารถต่อเซลล์แสงอาทิตย์กับเครื่องใช้ไฟฟ้ากระแสตรงได้โดยตรง​
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TH scope=col width=440>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE>
    -ถ้าจ่ายไฟฟ้าให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้ากระแสสลับในเวลากลางวันเช่นตู้เย็นเครื่องปรับอากาศในระบบจะต้องมีอินเวอร์เตอร์ด้วย

    -ถ้าต้องการใช้ไฟฟ้าในเวลากลางคืนด้วยจะต้องมีแบตเตอรี่เข้ามาใช้ในระบบด้วย

    กล่องควบคุมการประจุไฟฟ้าทำหน้า

    1.เลือกว่าจะส่งกระแสไฟฟ้าไปยังอินเวอร์เตอร์หรือส่งไปยังแบตเตอรี่หรือ
    2.ตัดเซลล์แสงอาทิตย์ออกจากระบบและต่อแบตเตอรี่ตรงไป ยังอินเวอร์เตอร์ ​
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE>
    -อินเวอร์เตอร์เป็นอุปกรณ์ที่แปลงกระแสไฟฟ้าตรงเป็นกระแสไฟฟ้าสลับในการแปลงดังกล่าวจะเกิดการสูญเสียขึ้นเสมอโดยทั่วไปประสิทธิภาพของอินเวอร์เตอร์มีค่าประมาณร้อยละ 85-90 หมายความว่าถ้าต้องการใช้ไฟฟ้า 85-90 วัตต์เราควรเลือกใช้อินเวอร์เตอร์100 วัตต์เป็นต้น ในการใช้งานเราควรติดตั้งอินเวอร์เตอร์ในที่ร่มอุณหภูมิไม่เกิน 40 C &deg;ความชื้นไม่เกินร้อยละ 60 อากาศระบายได้ดี ไม่มีสัตว์เช่น หนู งู มารบกวน และมีพื้นที่ให้บำรุงรักษาได้เพียงพอ​
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE>
    -สถานที่ติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ควรเป็นที่โล่งไม่มีเงามาบังเซลล์ไม่อยู่ใกล้สถานที่เกิดฝุ่นอาจอยู่บนพื้นดินหรือบนหลังคาบ้าน ก็ได้ควรวางแผงเซลล์ให้มีความลาดเอียงประมาณ10- 15 องศาจากระดับแนวนอนและหันหน้าไปทางทิศใต้การวางแผงเซลล์ให้มีความลาดดังกล่าวจะช่วยให้เซลล์รับแสงอาทิตย์ได้มากที่สุดและช่วยระบายน้ำฝนได้รวดเร็ว

    การออกแบบขนาดของระบบเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับติดตั้งบนหลังคาบ้าน

    ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดกำลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ที่ควรติดตั้ง

    เจ้าของบ้านควรพิจารณาว่าจะใช้เซลล์แสงอาทิตย์สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าใดบ้างเพื่อจะได้ติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ได้เพียงพอกับความต้องการและไม่ติดตั้งมากเกินความจำเป็น
    ตัวอย่างที่1 บ้านหลังหนึ่งมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและชั่วโมงของการใช้งานดังนี้
    <TABLE borderColor=#99cc33 height=100 width=500 align=center bgColor=#99ffff border=1><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top scope=col colSpan=2 height=64>
    เครื่องใช้ไฟฟ้า ​
    </TD><TH scope=col>
    จำนวน(1)​
    </TH><TH scope=col>
    กำลังไฟฟ้าต่อชิ้น (วัตต์)(2) ​
    </TH><TH scope=col>
    จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานในหนึ่งวัน (3) ​
    </TH><TH scope=col>
    ผลคำนวนวัตต์-ชั่วโมง) (1)x(2)x(3)​
    </TH><TD width=23></TD></TR><TR><TD width=1></TD><TD width=123>
    หลอดฟลูออเรสเซนต์​
    </TD><TD>
    2​
    </TD><TD>
    36​
    </TD><TD>
    5​
    </TD><TD>
    360​
    </TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD>
    โทรทัศน์​
    </TD><TD>
    1​
    </TD><TD>
    100​
    </TD><TD>
    3​
    </TD><TD>
    300​
    </TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD>
    เครื่องปรับอากาศ​
    </TD><TD>
    1​
    </TD><TD>
    1,500​
    </TD><TD>
    4​
    </TD><TD>
    6,000​
    </TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD>
    อื่นๆ​
    </TD><TD borderColor=#99cc33>
    -​
    </TD><TD>
    100​
    </TD><TD>
    1​
    </TD><TD>
    100​
    </TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD>
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    รวม​
    </TD><TD>
    6,760​
    </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE height=100 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE>
    -จากตารางข้างต้นนี้ได้ข้อมูลในหนึ่งวันบ้านหลังนี้ใช้ไฟฟ้า 6,760 วัตต์-ชั่วโมง กำลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ที่ควรติดตั้ง(Pcell)คำนวนได้ง่ายๆจากสูตรดังต่อไปนี้​
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE>

    โดยที่ Pl : ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในหนึ่งวัน
    Q : พลังงานแสงอาทิตย์ในหนึ่งวัน (วัตต์-ชั่วโมง/ตารางเมตร) สำหรับประเทศไทยเท่ากับ 4,000 วัตต์-ชั่วโมง/ตารางเมตรโดยประมาณ
    A : ค่าชดเชยการสูญเสียของเซลล์ โดยทั่วไปกำหนดค่าประมาณ 0.8
    B : ค่าชดเชยความสูญเสียเชิงความร้อน โดยทั่วไปกำหนดค่าประมาณ 0.85
    C : ประสิทธิภาพของอินเวอร์เตอร์ โดยทั่วไปกำหนดค่าประมาณ 0.85 ?0.9
    D : ความเข้มแสงปกติ = 1,000 วัตต์-ชั่วโมง/ตารางเมตร
    เพราะฉะนั้น บ้านหลังนี้ต้องใช้เซลล์แสงอาทิตย์ที่ให้กำลังไฟฟ้เท่ากับ
    Pcell = (6,760/4,000x0.8x0.85x0.85/1,000) = 2,923 W หรือประมาณ 2.9 kW

    ขั้นตอนที่ 2 การกำหนดจำนวนแผงของเซลล์แสงอาทิตย์

    จำนวนแผงของเซลล์แสงอาทิตย์คำนวณได้โดยใช้กำลังไฟฟ้าของระบบหารด้วยกำลังไฟฟ้าที่เซลล์หนึ่งแผงที่ผลิตได้เมื่อทราบค่าจำนวนแผงแล้วขั้นตอนต่อไปคือจะต้องคำนวลว่าจะต้องนำเซลล์มาต่ออนุกรมหรือขนานกันอย่างไรจึงจะได้แรงดันไฟฟ้าทื่เพียงพอต่อการใช้งานจำนวนแผงเซลล์ที่จะต้องต่ออนุกรมกันหาได้โดยการใช้ค่าแรงดัรไฟฟ้าที่ต้องการหารด้วยแรงดันเอาต์พุตของหนึ่งแผง

    ตัวอย่างที่ 2 จากตัวอย่างที่หนึ่งทราบว่าจะต้องติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เท่ากับ 2.9 kW และแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงที่ต้องป้อนให้อินเวอร์เตอร์คือ 200 v ถามว่าจะต้องใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์กี่แผงและจะต้องต่อเรียงกันอย่างไร โดยสมมุติว่า แผงเซลล์แสงอาทิตย์มีสเปกดังนี้ให้กำลังไฟฟ้าสูงสุดเท่ากับ 50 วัตต์ (W) แรงดันไฟฟ้าสู.สุด 17 โวลต์ (V) กระแสไฟฟ้าสูงสุดเท่ากับ 2.94 แอมแปร์ (A) แรงดันไฟฟ้าวงจรเปิด 21.3 โวลต์ (V) และกระแสไฟฟ้าลัดวงจร 3.15 แอมแปร์ (A)

    วิธีพิจารณา

    ประมาณการเริ่มแรกของจำนวนของแผงเซลล์ที่ต้องติดตั้งทั้งหมด = 2,900 (W) / 50 (W) = 58 แผง
    จำนวนของแผงเซลล์ที่ต่ออนรม = 200(V)/ 17(V) =12แผง(ปัดเศษขึ้น)
    จำนวนแผงที่ต้องต่อขนาน = 58 / 12 = 5 แถว (ปัดเศษขึ้น)
    ดังนั้นกรณีบ้านหลังนี้จะใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ทั้งหมด = 12 x 5 = 60 แผง โดยต่ออนุกรมแถวละ 12 แผงและต่อขนานจำนวน5 แถว ​
    <TABLE height=200 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE>
    การบำรุงรักษาแผงเซลล์แสงอาทิตย์และอายุการใช้งาน

    - อายุการใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์โดยทั่ไปยาวนานกว่า20ปีการบำรุงรักษาก็ง่ายเพียงแต่คอยดูแลว่ามีสิ่งสกปรกตกค้างบนแผงเซลล์หรือไม่เช่นฝุ่นมูลนกใบไม้ถ้าพบว่ามีสิ่งสกปรกก็ใช้น้ำทำความสะอาดปีละ1?2ครั้งก็เพียงพอห้ามใช้น้ำยาพิเศษล้างหรือใช้กระดาษทรายขัดผิวกระจกโดยเด็ดขาด เมื่อเวลาฝนตก น้ำฝนจะช่วยชำละล้างแผงเซลล์ได้ตามธรรมชาติ

    - สำหรับในระบบที่มีการใช้แบตเตอรี่ชนิดใช้น้ำกลั่น (Lead Acid) ห้ามใช้ไฟฟ้าจนแบตเตอรี่หมดแต่ควรใช้ไฟฟ้าเพียงร้อยละ 30 / 40 และเริ่มประจุไฟฟ้าใหม่ให้เต็มก่อนการใช้ครั้งต่อไปและต้องคอยหมั่นเติมน้ำกลั่นและเช็ดทำความสะอาดขั้วของแบตเตอรี่

    - ในกรณีที่มีการใช้อินเวอร์เตอร์ควรสังเกตว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือเกิดความร้อนผิดปกติหรือไม่ถ้าพบความผิดปกติให้รีบตัดระบบไฟฟ้าออกจากอินเวอร์เตอร์และติดต่อบริษัทผู้ขาย เพื่อให้ตรวจหาสาเหตุและแก้ไขให้ใช้งานได้ต่อไป

    เซลล์แสงอาทิตย์ประเภทต่างๆ
    <TABLE class=style2 height=250 cellSpacing=1 cellPadding=1 width=550 align=center border=1><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH><TD scope=col>
    1. เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกเดี่ยวซิลิกอน (Single Crystalline Silicon Solar Cell)และชนิดผลึกโพลีซิลิกอน (Polycrystalline Silicon Solar Cell)
    ประเทศไทยนำเข้าเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกเดี่ยวซิลิกอนมาใช้งานมากที่สุด ข้อดีเด่นคือ ใช้ธาตุซิลิกอนซึ่งมีมากที่สุดในโลกและมีราคาถูกเป็นวัตถุดิบ
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    2. เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดฟิล์มบางอะมอร์ฟัสซิลิกอน (Amorphous Silcon Solar Cell)
    ได้แก่ เซลล์แสงอาทิตย์ที่ใช้ในเครื่องคิดเลขซึ่งมีลักษณะสีม่วงน้ำตาล มีความบางเบา ราคาถูกผลิตให้เป็นพื้นที่เล็กไปจนถึงใหญ่หลายตารางเมตรได้ใช้ธาตุซิลิกอนเช่นกัน แต่เคลือบให้เป็นฟิล์มบางเพียง 0.5 ไมครอน หรือ 0.0005 มิลลิเมตรเท่านั้น
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    3. เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกแกลเลียมอาร์เซไนดิ (Gallium Arsenide Solar Cell)
    เป็นเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีประสิธิภาพสูงระดับร้อยละ 25 ขึ้นไปแต่มีราคาแพงมากไม่นิยมนำมาใช้งานบนพื้นโลก จึงใช้งานสำหรับดาวเทียมเป็นส่วนมาก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    -เซลล์แสงอาทิตย์เป็นแปล่งพลังงานทดแทนซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ (หรือแสงจากหลอดแสงสว่าง)ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรงเซลล์แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานทดแทนที่สะอาดและไม่สร้างมลภาวะขณะใช้งานไม่ทำลายสภาพแวดล้อมเพียง แต่ติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ไว้กลางแดดก็สามารถใช้งานได้ทันทีเซลล์แสงอาทิตย์ทำงานได้โดยไม่สร้างเสียงรบกวนหรือการเคลื่อน ไหวเนื่องจากเซลล์แสงอาทิตย์ทำงานโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้นจึงเป็นการประหยัดน้ำมันและอนุรักษ์พลังงานและสามารถผลติกระแสไฟฟ้าได้จากแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานทีทมนุษย์ได้มาฟรีและมีไม่สิ้นสุดอายุการใช้งานของเซลล์แสงอาทิตย์ยาวนานกว่า 20 ปี ดังนั้นเมื่อลงทุนติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ในครั้งแรก ก็แทบจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกต่อไป

    - การใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ไม่มีความสลับซับซ้อนและไม่มีอันตราย ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อและติดตั้งเพื่อใช้งานในครัวเรือนด้วยตนเอง การใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์แบบง่ายๆอาจเริ่มจากการซื้ออุปกรณ์ชุดเซลล์แสงอาทิตย์สำเร็จรูปมาใช้งานเพื่อให้เกิดการคุ้นเคย เช่น ไฟส่องสนามพลังงานแสงอาทิตย์ ไฟส่องโรงจอดรถพลังงานแสงอาทิตย์ ชุดหลอดฟลูออเรสเซนต์พลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับการออกแบบระบบใหญ่ที่ติดตั้งบนหลังคาบ้าน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ​
    ตัวอย่างการใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ในด้านต่างๆ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=16> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=716 border=1><TBODY><TR><TH scope=col colSpan=2 rowSpan=4>[​IMG]</TH><TD scope=col width=509 height=24>
    ทางทะเล แสงไฟประภาคาร แสงไฟของทุ่นลอยน้ำ​
    </TD></TR><TR><TD>
    ทางบก ไฟสัญญาณข้างถนนไฟสัญญาณพื้นถนนไฟสัญญาณให้รถไฟ โคมไฟบนทางด่วน
    โทรศัพท์ฉุกเฉินบนทางด่วน กล้องวิดีโอข้างถนน พัดลมระบายอากาศที่หน้าต่าง / หลังคารถยนต์
    </TD></TR><TR><TD>
    ทางอากาศ ดวงไฟสิ่งกีดขวางในที่สูง ดวงไฟนำร่องขึ้นลง​
    </TD></TR><TR><TD>
    สถานีถ่ายทอดวิทยุโทรทัศน์บนภูเขาสูง เครื่องวัดพยากรณ์อากาศ กล้องตรวจความปลอดภัยที่เขื่อน โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์ทหาร​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2 rowSpan=2>
    [​IMG]
    </TD><TD>ท่อน้ำมัน ท่อก๊าซ สะพานเหล็ก เขื่อนกั้นคลื่น แสงไฟท่อก๊าซ</TD></TR><TR><TD>
    โคมไฟถนน โคมไฟสนามหญ้า โคมไฟประตูรั้ว โคมไฟป้ายรถเมล์ โคมไฟตู้โทรศัพท์ โคมไฟป้ายประกาศ โคมไฟป้ายลี้ภัย โคมไฟหอนาฬิกา หอนาฬิกา เครื่องขยายเสียง ปั๊มสูบน้ำ ประตูรั้วไฟฟ้า ประตูบ้านไฟฟ้า โคมไฟติดผนังอาคารเสริมงานสถาปัตยกรรม โคมไฟติดตั้งที่หลังคาสระว่ายน้ำ โคมไฟติดตั้งที่หลังคาสนามกีฬา​
    </TD></TR><TR><TD width=111 rowSpan=2>
    [​IMG]
    </TD><TD width=74 rowSpan=2>
    การอวกาศ
    การปศุสัตร์​
    </TD><TD height=27>ดาวเทียม สถานีอวกาศ ยานอวกาศเดินทางไกล</TD></TR><TR><TD height=24>
    รั้วไฟฟ้าป้องกันสัตว์หนี ปั๊มน้ำดื่มน้ำใช้ แสงไฟจับกบจับแมลงต่างๆ​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    เครื่องกระตุ้นการแพร่พันธุ์สัตว์น้ำในทะเลด้วยเสียงและแสงไฟ โคมไฟล่อปลาในทะเล โคมไฟหาปลาในทะเล ห้องเย็นเก็บสัตว์ทะเล เป่าลมลงบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อกระตุ้นการแพร่พันธุ์​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    การเกษตรกรรม​
    </TD><TD>
    ปั๊มสูบน้ำ แสงไฟกรีดยางพารา บ้านชาวสวนยาง หุ่นไล่การ้องไล่นก ห้องอบ / เป่าพืชให้แห้ง เครื่องนวดข้าวกลางทุ่งนา การชลประทาน ระบบฉีดพ่นน้ำ​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    การวัดและรักษาสภาพแวดล้อม​
    </TD><TD>
    เครื่องวัดอุณหภูมิน้ำทะเล เครื่องวัดความเค็มน้ำทะเล เครื่องวัดความเร็วน้ำทะเล เครื่องวัดความสูงคลื่นทะเล เครื่องวัดฝุ่นในอากาศ เครื่องวัดระดับเสียง / ควัน เครื่องวัดละอองเกสรดอกไม้ (ป้องกันโรคภูมิแพ้) เป่าลมลงบ่อน้ำ / คลอง​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    การแพทย์​
    </TD><TD>
    ตู้เย็นเก็บยาและวัคซีน โคมไฟสถานีอนามัย วิทยุสื่อสาร​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2 rowSpan=2>[​IMG]</TD><TD>
    เรือมอเตอร์ โคมไฟแคมป์ วิทยุสื่อสาร โทรทัศน์ โคมไฟบ้านพักตากอากาศ เครื่องบิน เครื่องร่อน รถยนต์ไฟฟ้า ของเล่นไฟฟ้า รถไฟฟ้าสนามกอล์ฟ หมวกติดพัดลม​
    </TD></TR><TR><TD>
    ต่อเข้าระบบการไฟฟ้าฯ หมู่บ้านห่างไกล โรงเรียนห่างไกล สถานีอนามัยห่างไกล​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    [​IMG]ภายในอาคาร​
    </TD><TD>
    เครื่องคิดเลข นาฬิกาข้อมือ ของเล่น ประตู-หน้าต่างผลิตไฟฟ้าได้ พัดลมระบายอากาศที่หน้าต่าง​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    ติดตั้งบนหลังคาบ้าน​
    </TD><TD>
    จ่ายไฟฟ้าให้บ้าน หลอดแสงสว่าง ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 align=center border=0><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://72.14.253.104/search?q=cache...ls.htm+เซลแสงอาทิตย์&hl=th&gl=th&ct=clnk&cd=1
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    แบตเตอรี่

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    <!-- start content -->
    [​IMG]
    แบตเตอรี่แบบประจุได้ ขนาด AA


    ในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แบตเตอรี่ (battery) หมายถึงอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ใช้เก็บพลังงาน และนำมาใช้ได้ในรูปของไฟฟ้า แบตเตอรี่นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าเคมี เช่น เซลล์กัลวานิก หรือเซลล์เชื้อเพลิง อย่างน้อยหนึ่งเซลล์

    แบตเตอรี่ชนิดอัดกระแสไฟใหม่ได้ และชนิดใช้แล้วทิ้ง

    [​IMG] Various batteries(clockwise from bottom left): two 9-volt, two "AA", one "D", a cordless phone battery, a camcorder battery, a 2-meter handheld ham radio battery, and a button battery, one "C" and two "AAA" plus, a U.S. quarter, for scale


    จากมุมมองของผู้ใช้แบตเตอรี่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้; แบตเตอรี่ชนิดอัดกระแสไฟใหม่ได้ และ แบตเตอรี่ชนิดอัดกระแสไฟใหม่ไม่ได้ (ใช้แล้วทิ้ง) ซึ่งนิยมใช้อย่างแพร่หลายทั้งสองชนิด

    แบตเตอรี่ใช้แล้วทิ้งเรียกอีกอย่างว่า เซลล์ปฐมภูมิ ใช้ได้ครั้งเดียว เนื่องจากไฟฟ้าที่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีเมื่อสารเคมีเปลี่ยนแปลงหมดไฟฟ้าก็จะหมดจากแบตเตอรี่ แบตเตอรี่เหล่านี้เหมาะสำหรับใช้ในอุปกรณ์ขนาดเล็กและสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ใช้ไฟน้อยหรือในที่ที่ห่างไกลจากพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ

    ในทางตรงกันข้ามแบตเตอรี่ชนิดอัดกระแสไฟใหม่ได้หรือ เซลล์ทุติยภูมิ สามารถอัดกระแสไฟใหม่ได้หลังจากไฟหมดเนื่องจากสารเคมีที่ใช้ทำแบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถทำให้กลับไปอยู่ในสภาพเดิมได้โดยการอัดกระแสไฟเข้าไปใหม่ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้อัดไฟนี้เรียกว่า ชาร์เจอร์ หรือ รีชาร์เจอร์

    แบตเตอรี่ชนิดอัดกระแสไฟใหม่ได้ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งใช้อยู่จนกระทั่งปัจจุบันคือ "เซลล์เปียก" แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด(lead-acid battery) แบตเตอรี่ชนิดนี้จะบรรจุในภาชนะที่ไม่ได้ปิดผนึก (unsealed container) ซึ่งแบตเตอรี่จะต้องอยู่ในตำแหน่งตั้งตลอดเวลาและต้องเป็นพื้นที่ที่ระบายอากาศได้เป็นอย่างดี เพื่อระบายก๊าซ ไฮโดรเจน ที่เกิดจากปฏิกิริยาและแบตเตอรี่ชนิดจะมีน้ำหนักมาก

    รูปแบบสามัญของแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด คือแบตเตอรี่ รถยนต์ ซึ่งสามารถจะให้กระแสไฟฟ้าได้ถึงประมาณ 10,000 วัตต์ในช่วงเวลาสั้นๆ และมีกระแสตั้งแต่ 450 ถึง 1100 แอมแปร์ สารละลายอิเล็กโตรไลต์ของแบตเตอรี่คือ กรดซัลฟิวริกซึ่งสามารถเป็นอันตรายต่อผิวหนังและตาได้ แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดที่มีราคาแพงมากเรียกว่า แบตเตอรี่เจล (หรือ "เจลเซลล์") ภายในจะบรรจุอิเล็กโตรไลต์ประเภทเซมิ-โซลิด (semi-solid electrolyte) ที่ป้องกันการหกได้ดี และแบตเตอรี่ชนิดอัดไฟใหม่ได้ที่เคลื่อนย้ายได้สะดวกกว่าคือประเภท "เซลล์แห้ง" ที่นิยมใช้กันใน โทรศัพท์มือถือ และ แลปท๊อป (Notebook)

    ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/แบตเตอรี่

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=180>[​IMG]</TD><TD width=10> </TD><TD>แบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์ประกอบรถยนต์ที่สำคัญ ทำหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้าสำรอง เมื่อเครื่องยนต์ถูกใช้งาน จะมีการประจุไฟฟ้าเข้า-ออก หมุนเวียนสู่แบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลา โดยมีคัตเอาต์ทำหน้าที่ตัดประจุเมื่อไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่ และต่อการประจุเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่พร่องลง ปกติแล้ว แบตเตอรี่โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งาน
    ประมาณ 1.5-2.5 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา
    ซึ่งในปัจจุบันมีแบตเตอรี่แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย และแบตเตอรี่แบบแห้ง ซึ่งสะดวกต่อการดูแล มีความทนทาน และมีอายุการใช้งานมากกว่าแบบทั่วไป 3-6 เท่า หรือ 5-10 ปี แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://www.betterchoice.co.th/tip/battery.htm

    หมายเหตุ

    แบตเตอรี่เป็นของจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงเกิดภัยพิบัติ(โลกมืด 49 วัน) ใช้ใส่ในกระบอกไฟฉาย และเครื่องให้แสงสว่างอื่น ๆ ที่สามารถใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ทั้งแบบเป็นก้อนเล็กๆ และแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ หรือใช้ใส่ในวิทยุ,เครื่องเล่น MP3 ก็ได้ ควรเลือกเป็นแบบอัลคาไลน์ที่ใช้ได้นานกว่าแบบธรรมดา เพราะในช่วงเกิดภัยพิบัตินั้นกระแสไฟฟ้าจะขัดข้องไปทั่วโลก จำเป็นต้องอาศัยแบตเตอรี่ เป็นตัวให้พลังงานไฟฟ้าแทนระบบไฟฟ้าที่ใช้งานไม่ได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- #BeginLibraryItem "/Library/footer.lbi" -->
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    10 วิธีป้องกันฟ้าผ่า

    [​IMG]

    เราๆ ท่านๆ คงจะได้ยินเรื่องฟ้าผ่ามาแล้วไม่มากก็น้อย คนไทยบางคนเชื่อว่า ผิดคำสาบานแล้วอาจถูกฟ้าผ่า วันนี้มีข่าวดีเกี่ยวกับวิธีป้องกันฟ้าผ่าครับ...


    คำแนะนำเพื่อป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่ามีอย่างนี้ครับ...

    (1). เสี่ยงฟ้าผ่าเมื่อไหร่:
    • ฟ้าผ่าอาจเกิดขึ้นในช่วงฝนตก ก่อนฝนตก หรือหลังฝนตกก็ได้
    • อย่างไรก็ตาม... ช่วงที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษได้แก่ เมื่อมีพายุฝนฟ้าคะนองใกล้ตัวเราในระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร
    • ถ้าเราเห็นฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า และได้ยินเสียงฟ้าร้องหลังฟ้าแลบหรือฟ้าร้องน้อยกว่า 30 วินาที แสดงว่า เราอยู่ใกล้เขตเสี่ยงฟ้าผ่าแล้ว
    (2). พักในอาคารหรือรถ:
    • ที่ร่มที่ปลอดภัยหน่อยได้แก่ ในอาคาร(โดยเฉพาะอาคารที่มีสายล่อฟ้าติดตั้งถูกวิธี) และในรถปิดกระจก
    • ไม่ควรทำกิจกรรมกลางแจ้งใกล้เขตฟ้าผ่า เช่น กอล์ฟ ตกปลา ลงเรือ ฯลฯ
    เรื่องตกปลานี่... ผู้เขียนขอเรียนเสนอว่า เวลาไหนๆ ก็ไม่ควรตกปลาทั้งนั้น เพราะบาปเหลือเกิน

    (3). หลีกเลี่ยงที่สูง:
    • ผู้เขียนเคยชมสารคดีญี่ปุ่น อาจารย์ท่านทำการทดลองหลายอย่างพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฟ้าผ่าง่ายขึ้นได้แก่ การอยู่ในที่สูง
    • การกางร่ม(ทำให้ความสูงจากพื้นดินเพิ่มขึ้น) การยกโทรศัพท์มือถือขึ้น โดยเฉพาะที่สูงที่มีบริเวณใกล้เคียงเตี้ยกว่า เช่น ต้นไม้ ฯลฯ
    คำแนะนำคือ เมื่ออยู่ใกล้เขตเสี่ยงฟ้าผ่า ไม่ควรหลบใต้ต้นไม้ กางร่ม ใช้โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ หรืออยู่ใกล้ที่สูง เช่น รั้ว ฯลฯ

    (4). หลีกเลี่ยงโลหะ:
    • โลหะเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีมาก จึงควรหลีกเลี่ยง ไม่ให้ร่างกายสัมผัสท่อโลหะ เช่น ท่อประปา เสาโลหะ ฯลฯ หรืออยู่ใกล้สายไฟ
    (5). หลีกเลี่ยงน้ำ:
    • น้ำเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี โดยเฉพาะกรณีไฟฟ้าแรงสูง เช่น ฟ้าผ่า ฯลฯ จึงไม่ควรอาบน้ำ สระผม ล้างจาน ฯลฯ ในเขตใกล้ฟ้าผ่า
    (6). ถอดปลั๊ก:
    • ฟ้าอาจผ่าลงเสาไฟฟ้าหรือสายไฟฟ้า ทำให้กระแสไฟฟ้ากระชาก ทำให้เครื่องไฟฟ้าเสีย การถอดปลั๊กไฟฟ้าออกจากเครื่องไฟฟ้าเป็นประจำมีส่วนช่วยป้องกันอันตรายจากไฟกระชากได้
    • นอกจากนั้นการปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เป็นนิสัยยังช่วยชาติประหยัดไฟ เช่น ปิดด้วยโทรทัศน์ด้วยการปิดสวิทช์ และถอดปลั๊กประหยัดไฟฟ้าได้มากกว่าการปิดด้วยรีโมทคอนโทรล ฯลฯ
    (7). เตรียมไฟฉาย:
    • ควรเตรียมไฟฉายไว้ประจำบ้าน เพื่อจะได้ส่องดูทางเวลาไฟดับ หรือไฟไหม้ ไม่ควรใช้เทียนไขในบ้าน เนื่องจากการจุดเทียนในบ้านทำให้เสี่ยงต่อไฟไหม้
    (8). นั่งยอง:
    • ถ้าขนลุกชัน หรือผิวหนังกระตุกขึ้นมาทันที... นี่เป็นประสบการณ์ที่ท่านอาจจะลืมไม่ลง เพราะท่านกำลังอยู่ในเขตที่ฟ้ากำลังจะผ่า ให้นั่งยองๆ นำมือ 2 ข้างมาแนบติดกับเข่า แล้วซุกหัวเข้าไประหว่างเข่า
    • ท่านี้จะช่วยให้ท่านผู้อ่านแตะพื้นดินน้อยที่สุด ลดพื้นที่สัมผัสพื้นดิน ซึ่งเวลานี้คงจะเต็มไปด้วยไฟแรงสูง และทำให้ร่างกายมีลักษณะกลม ทำให้พื้นที่ผิวนอกลดลง(เมื่อเทียบกับท่าอื่นๆ เช่น ท่ายืน ท่านอน ฯลฯ
    ผู้เขียนขอเรียนเสนอว่า ถ้าขนลุกชัน หรือผิวหนังกระตุกขึ้นมาทันทีแล้ว... น่าจะรีบนั่งยองๆ ด้วย และนอบน้อม ระลึกถึงพระพุทธเจ้าทันที

    (9). ช่วยคนถูกฟ้าผ่าได้หรือไม่:
    • ช่วยได้ครับ... คนที่ถูกฟ้าผ่าจะไม่กลายเป็นมนุษย์ไฟฟ้า ไม่มีกระแสไฟฟ้าตกค้าง แต่อาจจะซึม หมดสติ ชัก มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน แก้วหูอาจจะแตกหรือฉีกขาด กระดูกอาจจะหักจากการชักรุนแรงได้
    (10). ข่าวดี:
    • ข่าวดีสำหรับฟ้าผ่าอย่างหนึ่งคือ ฟ้าจะไม่ผ่าซ้ำที่เดิม
    • ต้นฉบับท่านกล่าวไว้อย่างนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2006
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ไม่
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    ศึกษา ระวัง ภัยแม่น้ำโขง
    ทางแก้มี
    อยู่ที่เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ขั้นตอนเตรียมรับมือกับภัยพิบัติ
    โดยคุณมงคล กฤชติทายาวุช
    <CENTER> </CENTER>
    เตือนอุทกภัย คนในประเทศไทย

    <!--detail--><!--images--><!--images-->ข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ จากผู้เขียน:ถ้าจะมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นจริง (ในปี พ.ศ 2551)

    1. กรุณาช่วยตรวจความมั่นคงแข็งแรงของตัวบ้าน ประตู หน้าต่าง หลังคา ต้นไม้ใหญ่ สายไฟ สายโทรศัพท์ ป้ายโฆษณา ฯลฯ ซึ่งอาจหลุด อาจตกหล่น อาจล้มทับ ที่อยู่อาศัยของท่านหรือสถานที่ท่านพักอาศัย เพราะลมพายุพัดใส่ ท่านต้องตรวจตราดูแลกันสักหน่อยนะครับ หากไม่มั่นคงต้องซ่อมด่วน ต้องป้องกันก่อนครับ

    2. ฝาท่อระบายน้ำหน้าบ้าน หลังบ้าน ในซอย และบริเวณถนนหน้าบ้าน / หลังบ้าน อุดตันเพราะฝุ่นผง และขยะ หรือไม่ หากมีการทำท่อระบายน้ำใหม่ กรุณาอย่าประมาทเพราะอาจทำฉาบฉวย มีรางบนถนน แต่มิได้เชื่อมกับตัวท่อระบายน้ำ และถังพักน้ำจริง โปรดตรวจตรา หาไม้แยงดู หากติดตัน แจ้งสำนักงานระบายน้ำ หรือสำนักผู้ว่า กทม. หรือสำนักงานเขตจัดการลอกขยะออกโดยเร็วต่อไป

    3. ถ้าน้ำท่วมมากจนรถนำออกจากบ้านไม่ได้ ท่านมีแม่แรงไว้ยกรถหรือยัง มีอิฐบล็อค หรือขอนไม้ใหญ่ หรือเหล็กค้ำยันไว้รองดันให้รถลอยสูงหนีน้ำหรือยัง ถ้าสมมุติน้ำจะท่วมสูง 1 เมตร เข้ามาในบ้านท่าน คิดเผื่อกันเหนียวหน่อยจะดีไหม ? สิ่งของที่วางอยู่บนพื้น หากน้ำท่วมถึงจะเสียหายได้ หาทางเคลื่อนย้ายไปไว้ชั้นบนบ้าน หรือเก็บไว้ในที่สูงเกิน 1 เมตรจะดีไหม (ของใครของมัน ตัดสินใจกันเอาเอง ของใช้ของใคร ก็ต้องดูแลกันเอาเองครับ)

    4. จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ตั้งสติกันให้มากหน่อย ถ้าจะไม่อยู่ในกรุงเทพฯ ชั่วคราว ครอบครัวของท่านจะไปไหนกัน ปรึกษาหารือ พูดคุยกันก่อน

    5. หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นจริง แต่ละคนในครอบครัว ไม่ควรนัดรวมพลพร้อมกันที่บ้านเก่า มิฉะนั้น อาจต้องกลับบ้านเก่า (บ้านเก่า เป็นคำสะแลง หมายถึง ตาย) และต้องระวังวิกฤติจราจร แม้มีน้ำมันเต็มถัง แต่วิ่งได้เพียง 4 - 5 กิโลเมตร น้ำมันอาจหมดถังได้ เพราะรถมันไม่เคลื่อนที่ รถอาจติดกันเหมือนแตงเมก็ได้ ถ้าใช้เวลา 1 ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทางเพียง 100 เมตร มิใช่ 100 กิโลเมตร แล้วผลเป็นเช่นไร ท่านคงคาดเดาได้ หากรถคันข้างหน้าเรา เขาตัดสินใจทิ้งรถแล้วออกเดิน รถเขาจึงจอดขวางทางคนขับรถคันอื่นก็ทำตาม หากเราอยู่คันหลังๆ จะแซงได้อย่างไร เพราะบนท้องถนนไม่มีที่ว่างเปล่า มีรถจอดติดทุกช่องทางจราจร และรถอีกส่วนหนึ่งก็ปฏิบัติฝ่าฝืนกฎจราจร โดยมีปรากฏให้เห็นในถนนทุกสาย ถนนที่ให้รถวิ่งทางเดียว จะมีรถวิ่งสวนทางย้อนศร ถนนที่กำหนดให้วิ่ง 2 ทางจราจร จะมีรถเบียดแซงเป็น 3 - 4 ช่องทางจราจร ในบางแยกจึงมีการจอดประจันหน้ากัน เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ รถย่อมเคลื่อนที่ไม่ได้ กรุณาจินตนาการดูครับ อย่าคิดว่าไม่มีทางเกิดขึ้น คิดเป็นการบ้านเผื่อไว้ก่อน

    (วันนี้ ท่านอาจด่าว่าผู้เขียนว่า ไอ้บ้า เขียนข่มขู่ผู้คนให้ตื่นตระหนกกลัวอีกแล้ว ความจริงเป็นภาพที่ผู้รู้ยืนยันว่าเห็นชัดในปี 2551 แต่จะซ้อมคิดในปีนี้ก็ไม่น่าจะเสียหาย และต่อไปท่านอาจจะตระหนักได้ว่าไม่น่าที่จะไปด่าเขาเลย อย่างน้อยก็มีประโยชน์ที่เขาแนะนำสิ่งที่ดีๆให้ก่อน)

    6. ในวันนี้กรุณาทำการสำรวจทรัพย์สินที่มีค่าของท่าน ของรักของหวงของท่านคืออะไร อยู่ที่ไหน จัดทำรายการบัญชีไว้ จะดีไหม จะนำไปด้วย หรือทิ้งไว้ก่อน ของชิ้นเล็กของที่มีน้ำหนักน้อย ของที่มีค่ามาก ควรนำติดตัวไป ของใหญ่ของหนัก ของที่มีภาระมาก จำต้องทิ้งไว้ก่อน มิฉะนั้น ท่านอาจะต้องนำไปทิ้งระหว่างทาง หรือถูกชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ระหว่างเดินทางก็ได้ คิดเผื่อไว้สักนิดจะดีไหม

    - ความจริงไม่อยากแนะนำให้เอาอาวุธติดตัวไปด้วย เพราะไม่อยากให้เกิดการฆ่าฟันกัน แต่ช่วงวิกฤติดังกล่าว จะมีสมุนพญามาร และสมุนซาตานออกอาละวาด จะเป็นช่วงที่มีการ ลัก - วิ่ง - ชิง - ปล้น กันหนัก (ลัก คือ ลักทรัพย์, วิ่ง คือ วิ่งราวทรัพย์,ชิง คือ ชิงทรัพย์, ปล้น คือ ปล้นทรัพย์) นอกจากนั้น ก็จะมีการข่มขืนและฆ่า ในช่วงวิกฤติติดตามมา จึงจำใจต้องแนะนำ ให้หาอาวุธ ไว้ป้องกันตนเองและครอบครัว ขอย้ำว่าให้หาอาวุธไว้ป้องกันตนเองและครอบครัว มิใช่หาอาวุธให้ไปชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ผู้ใด?

    - ผู้ที่มีอาวุธปืน หากไม่เคยยิงเลย ระวังกระสุนด้าน ปืนอาจขัดลำกล้อง ในเวลาจำเป็นต้องใช้ก็อาจเป็นได้ ให้ไปทดลองฝึกยิงดูสักหน่อย เปลี่ยนกระสุนใหม่สักนิด

    - ผู้ที่ไม่กล้าใช้ปืน จะหามีด หาไม้ เอาไว้ใกล้มือที่จะหยิบฉวยมาป้องกันตนเอง และครอบครัวได้ ก็ควรมีไว้ในช่วงวิกฤติ หากประมาทแล้วจะเสียใจ จะหาว่าไม่บอกกล่าวเล่าเตือนไม่ได้นะครับ

    7. ปัจจัย 5 หาเตรียมไว้บ้าง ก็น่าจะดี ปัจจัย 4 เป็นที่ทราบอยู่แล้ว คือ อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค สำหรับปัจจัยที่ 5 คือ น้ำมัน หรือพาหนะที่จะใช้เดินทางเคลื่อนที่

    8. ปัจจัยแรก อาหาร หมายรวมถึง น้ำดื่มด้วย และหมายรวมถึงอุปกรณ์นอกจากอาหารสด อาหารแห้งแล้ว เครื่องครัว ข้าวสาร อาหารแห้ง และแก๊สหุงต้มด้วย ระวังมีแต่ถัง แต่แก๊สหมด อาจเกิดขึ้นได้ ตรวจดูหน่อยจะเป็นไร ฯลฯ

    9. ปัจจัยที่สอง เครื่องนุ่งห่ม นอกจากเสื้อผ้าแล้ว รวมถึงเครื่องนอนด้วย ในช่วงที่ไปอยู่ในที่อื่น ที่มิใช่บ้านอยู่อาศัยของตนเอง เสื้อผ้า ไม่ควรเป็นชุดหรูหราสวยงาม แต่ควรเน้นชุดธรรมดาๆ สวมใส่สบาย ให้ความอบอุ่นได้ดีก็พอแล้ว

    10. ปัจจัยที่สาม ที่อยู่อาศัย นอกจากเป้าหมายสุดท้ายที่เป็นเป้าหมายหลักที่นัดหมายบุคคลในครอบครัวไปพบและพักอยู่ร่วมกันในยามวิกฤติแล้ว หมายรวมถึง จุดนัดพบระหว่างทางจุดที่ 1, 2, 3 หากพลาดนัดจุดที่ 1 กี่ชั่วโมง ไปพบจุดที่ 2, 3 เป็นต้น เพื่อมิให้ต้องเสียเวลาในการเดินทางไกลมากนัก และเพื่อมิให้เป็นกังวลตลอดระยะเวลาการเดินทาง ซึ่งไม่ต้องถูกถ่วงเวลาด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดวินาศสันตะโร (ไฟฉาย / ไม้ขีด ก็ควรมีไว้ใช้ในยามจำเป็น)

    11. ปัจจัยที่สี่ ยารักษาโรค นอกจากยาสามัญประจำบ้านพื้นฐาน และเวชภัณฑ์ต่างๆที่จำเป็นแล้ว ผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆ ต้องเตรียมปริมาณยาให้มากพอสัก 1 เดือน

    12. ปัจจัยที่ห้า น้ำมันเติมยานพาหนะเพื่อการเดินทาง ต้องเติมเต็มถังไว้ทุกวันในช่วงที่มีความเสี่ยงที่อาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง และควรมีถัง 20 ลิตร ไว้สำรองเติมน้ำมันเพิ่มสัก 1 - 2 ถัง ก็น่าจะดี เพราะปั๊มน้ำมันต่างๆ จะขายน้ำมันหมด รถน้ำมันมาส่งไม่ทันความต้องการของประชาชน และสภาพการจราจรทุกสายในกรุงเทพฯ เข้าสภาวะจราจล รถเคลื่อนตัวช้ามากๆ

    13. จะอย่างไรก็ตาม นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เรามาฝึกฝนตน ลด ความโลภ ความโกรธ ความหลงให้น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ฝึกทำความเข้าใจในสามัญลักษณะ หรือลักษณะสามัญตามธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา หรือทุกสิ่งไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็แปรเปลี่ยน ในที่สุดก็สูญสลาย ทนอยู่ในสภาพเดิมโดยตลอดมิได้ แท้จริงเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลงบ้างจะดีไหม

    เพิ่ม เมตตา มีความปรารถนาให้คนอื่นมีความสุข
    เพิ่ม กรุณา มีความปรารถนาให้คนอื่นพ้นทุกข์
    เพิ่ม มุทิตา มีความปรารถนาให้ผู้อื่นได้ดี / ยินดีที่ผู้อื่นได้ดีกว่า
    เพิ่ม อุเบกขา มีใจเป็นธรรมมากขึ้น
    เพิ่ม การกระทำความดีทุกรูปแบบ ทุกเวลา ทุกสถานที่ เพื่อให้มีจิตวิญญาณที่ดี
    เพิ่ม ความกตัญญู กตเวทีต่อคุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน
    เพิ่ม ความมีศีล 5 ให้ได้หลายชั่วโมงในวัน และให้ได้นานวันมากกว่าเดิม
    เพิ่ม การสวดมนต์ / การทำสมาธิภาวนา การทำวิปัสสนาภาวนา และการทำเมตตาภาวนา (แผ่อุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่น สัตว์อื่น)
    เพิ่ม หิริ โอตตัปปะ / ละอายที่จะทำชั่ว กลัวบาป

    - ทั้งหมด เป็นการให้คำแนะนำเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ แก่ท่านผู้อ่าน ท่านใดมีสิ่งที่จะแนะนำเพิ่ม ช่วยส่งข่าวมาให้ผู้เขียนด้วยครับ โดยส่งทาง E-Mail ที่ mkrichti@ktb.co.th โทรสารที่ 0-2256-8320, 0-2423-0505
    สิ่งที่ว่ามาในข้อแนะนำ 13 ข้อนี้ ผิด - ถูก ผู้เขียนขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

    - ดร.กัญจีราฯ แจ้งข่าวดีว่า ในปี 2552 ประเทศไทย จะเป็นมหาอำนาจในเอเซียอาคเนย์ หรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศต่างๆ ทางตะวันออกของโลก จะย่างเข้าสู่ยุคเฟื่องฟู (ประเทศต่างๆในทางตะวันตกของโลก ก็จะเข้าสู่ยุคถดถอย หรือยุคเสื่อมถอย และหมดสภาวะเป็นผู้นำของโลก)

    - ดร.กัญจีราฯ ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนช่วยกันสวดมนต์ ตามบทสวดแผ่เมตตาของหลวงปู่ทวด นับแต่วันนี้ ไปถึงเดือนกรกฎาคม 2549 หากตั้งใจสวดในช่วงเวลา 10.45 - 11.15 น. หรือ 22.45 - 23.15 น. ทุกวันธรรมสวนะ หรือทุกวันพระ จะเกิดคลื่น พลังพิเศษ ซึ่งจะเป็นคลื่นช่วยสลายพลังเลวร้าย และช่วยให้ผู้สวดและครอบครัว แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ ได้ แต่ถ้านัดหมายรวมตัวกันสวดเป็นหมู่คณะได้ ยิ่งจะเกิดพลังพิเศษมากขึ้น เป็นคลื่นพลังพุทธานุภาพ และจิตตานุภาพ ช่วยขับไล่พลังร้ายให้อ่อนตัวลง

    ในช่วงเวลา 10.45 - 11.15 น. หรือ 22.45 - 23.15 น. เป็นช่วงที่เหมาะแก่การสวดมากที่สุด เพราะเป็นช่วงรอยต่อของมิติเวลา โดยการแผ่เมตตาตามบทสวดของหลวงปู่ทวด และทำสมาธิต่อจากนั้นสักเล็กน้อย เพื่อลดแรงอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวรจากนรกภูมิ และพญามารจากสวรรคภูมิ (สวรรค์ชั้นสูง)

    อานุภาพการสวดฯ ต้องเปล่งเสียงดังให้หนักแน่น จะทำให้เกิดพลังพุทธานุภาพ และจิตตานุภาพมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าผู้สวดเป็นบุคคลที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
    มีจิตใฝ่กุศล รักษาศีลมั่นคงจะก่อให้เกิดพลังรักษาชาติบ้านเมืองได้ ช่วยให้สังคม มีความสงบ และมีสันติสุขได้ แต่ทั้งนี้ผู้เขียนเชื่อว่าย่อมต้องมีผู้ไม่เชื่อถือว่ามีผลเช่นดังว่า อีกทั้งยังต่อต้านค่อนแคะในรูปแบบต่างๆ ทั้งทางลับ และเปิดเผย เรียกว่าเป็นตัวฉุดรั้งและต่อต้าน ซึ่งทำให้ผู้ที่มุ่งหวังจะกระทำความดี เพื่อช่วยสังคมและประเทศชาติอ่อนแรง และไม่สามารถช่วยเหลือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งก็น่าวิตกพอสมควร

    อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอสนับสนุนให้ท่านผู้อ่าน กรุณาหาเวลาชวนกันมาสวดแผ่เมตตาตามบทสวดดังต่อไปนี้ ในเวลา 22.45 - 23.15 น. อย่างน้อยก็ช่วยให้เกิดการคุ้มครองแก่ผู้สวด และครอบครัว แต่ถ้าท่านผู้อ่านที่ได้รับ Mail เรื่องนี้ ปัจจุบันมิได้ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้าง หรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นข้าราชการประจำ สามารถที่จะจัดสรรเวลาในช่วง 10.45 - 11.15 น. ได้อีก 1 ช่วงเวลา ก็ขอให้สวดเพิ่ม และทำสมาธิจิตในช่วงเวลาดังกล่าวอีก 1 ช่วงเวลา ซึ่งผู้เขียนก็ขอร่วมอนุโมทนาบุญกุศลกับท่านด้วย เพราะ 2 ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ถือว่า เป็นช่วงรอยต่อของมิติเวลา เป็นช่วงที่มีพลังแรงมาก
    ท้ายที่สุดนี้ ขอกราบเรียนเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านและครอบครัว รวมทั้งญาติสนิทและมิตรสหาย ขอให้มาร่วมด้วยช่วยกัน ในการสวดโดยเปล่งเสียงดังว่า

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท-ธัสสะ (3 จบ)
    นะโม โพธิ สัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (3 จบ)
    เประมัง ธัมมัง สังฆัง
    ประมัง ธัมมัง สังฆัง
    ปรมัง ธัมมัง สังฆัง
    เสสัง ธัมมัง สังฆัง
    กะริยานัง อัตโน โหนตุ

    สัตว์ทั้งหลาย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
    อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
    จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด จงไปสู่ภพภูมิที่ดีที่ชอบเถิด
    จากนั้นนั่งสมาธิสักครู่ เป็นอันเสร็จพิธี

    ด้วยความปรารถนาดี
    จาก นายมงคล กริชติทายาวุธ
    ประธานชมรมศาสนาและการกุศล
     
  16. Good_oom

    Good_oom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +562
    ผมว่าหากภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้วผมรอดมา ผมคงทำอาชีพได้สบายเลย
    ตอนนี้ ก็ รู้เรื่องจากพี่เกษม หน่อยนึง แล้ว ต้องลองหาเวลาไปหัดทำดูบ้างเพื่อผมจะรุ่ง ฮิฮิ
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    ***********************
    สรรพภัยกึ่งพุทธกาล กับ ทางรอด
    ***********************

    สรรพภัยทั้งปวงกึ่งพระพุทธกาล
    เกิดจากการกระทำของมนุษย์ที่สะสมมานาน
    กรรม เริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อย
    อีกไม่นาน
    ภัยพิบัติจะโหมเข้ามาพร้อมกัน ติดต่อกัน
    มนุษย์และสัตว์ต้องเผชิญกับความโหดร้าย
    ที่รุนแรงชนิดที่เกิดมาชาติไหนๆ ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

    ผู้ที่ เชื่อ ใน สัจจะ ที่นำมาแสดงไว้ใน Web site นี้
    และตั้งใจทำได้จริงตาม สัจจะ ของตนเอง
    และ จะถูกจัดสรร ให้ รอดปลอดภัยอย่างปาฏิหาริย์ อย่างที่สุด
    เสมือนเป็นการลงทะเบียน เพื่อเข้าสู่ยุคหน้า
    ยุคพระศรีอารยเมตไตรย พุทธเจ้า
    ที่จะมาสานต่อให้พุทธศาสนาอยู่ต่อไปจนครบห้าพันปี

    สิ่งที่เราเชื่อกันว่าจริง จักถูกเปลี่ยนไป
    สิ่งที่หลายคนดูถูก ดูหมิ่น ล่วงเกิน จักกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา
    และทุกคนจะไปถึงทางแยก
    ที่ถูกบังคับให้เดินไปตามสิ่งที่คนเองเคยกระทำมา
    ทางหนึ่ง คือ สวรรค์
    ทางหนึ่ง คือ นรก

    จึงขอเตือนอีกครั้งด้วยความเมตตา
    ที่ต้องการเห็นทุกคนพ้นจากความทุกข์
    การขอขมาตามที่เคยเตือน จักช่วยให้รอดจากกรรมหนัก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อันตรายที่จะมาถึงในเร็วๆ นี้


    <LARGFONT>สำหรับ "อันตรายที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้" นั้น ให้สังเกตเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อไปนี้ว่าจะมีเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีเหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้น ก็ขอให้มนุษยชาติได้เตรียมตัวเผชิญชะตากรรมร่วมกันที่จะพบกับมหันตภัยสาธารณะ ทุพภิกขภัย และความเดือดร้อน ที่จะติดตามมาหลังเหตุการณ์เหล่านี้ไม่นาน

    1. ทารกแรกเกิด คนหนุ่มสาว และคนแก่เฒ่าชรา จะเป็นโรคที่รักษาไม่มีหาย มีการติดโรคร้ายได้ทุกวัยของมนุษย์ ใครเป็นโรคนี้แล้วจะต้องตายทุกคน จะนับจำนวนได้มากกว่า 60 ล้านคน ซึ่งโรคนี้ติดต่อได้ยาก เพราะจะติดต่อได้โดยการมีเพศสัมพันธ์ หรือโดยโลหิตของมนุษย์เท่านั้น (องค์การอนามัยโลก ได้แถลงข่าวทางสื่อมวลชนเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2547 ว่าขณะนี้ ประชากรโลก ได้ติดเชื้อเอดส์แล้ว ประมาณ 60 ล้านคน)

    2. จะไม่พบว่า มีวันใดที่จะว่างเว้นจากการฆ่ากัน เพื่อแย่งชิงอำนาจปกครองดินแดน ไม่เกิดในประเทศนี้ ก็เกิดในประเทศโน้น มีการฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอำนาจในการปกครองดินแดนทุกวัน (ให้สังเกตข่าวต่างประเทศในโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ดูกันเอาเอง)

    3. สภาพดิน ฟ้า อากาศ จะมีความแปรปรวนสูง ไม่เป็นไปตามธรรมชาติที่เคยเป็นมา แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด จะเกิดขึ้นในช่วงนี้มากขึ้น แม้บางแห่งไม่เคยเกิดแผ่นดินไหว ก็จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น บางแห่งภูเขาไฟได้ดับไปหลายร้อยปีมาแล้ว ก็จะระเบิดอีกครั้ง (เช่น เหตุการณ์ภูเขาไฟพินาตูโบ้ ในฟิลิปปินส์ ซึ่งดับมาเกือบ 600 ปีแล้ว ได้ระเบิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นต้น)

    4. ความต้านทานโรคของมนุษย์จะมีน้อยลง จะมีโรคแปลก ๆ เกิดใหม่มากขึ้น

    5. หลายประเทศจะมีการสร้าง ที่อยู่อาศัย ที่ทำมาหากินกันอยู่ในใต้ดิน (ใครที่เคยไปโตเกียวมาแล้ว หากได้มีโอกาสเดินลงไปในสถานีรถไฟใต้ดิน จะพบความยิ่งใหญ่ของเมืองใต้ดินที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่นับเป็นหมื่นคน อยู่ในใต้ดินถึง 3 ชั้นมหึมา มีทั้งร้านอาหาร ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่าง ๆ น้ำพุ น้ำตก ฯลฯ อยู่ในใต้ดินนั่นเอง ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยือนเมื่อปลายปี 2534 แล้วพูดได้อย่างเดียวว่า มีเหตุการณ์เช่นว่าแล้วจริง)

    6. พลังแห่งความชั่วร้าย หรือซาตาน จะครอบงำโลก จะยุแหย่ให้ผู้คนแย่งชิงอำนาจฆ่าฟันกันเอง คนจะขาดสติมากขึ้น คนจะมีทิฐิมากขึ้น คนจะเห็นผิดเป็นชอบมากขึ้น ใครพูดผิดจากฝ่ายที่ตนคิด จะถูกตราหน้าว่าเป็นฝ่ายผิด ในขณะที่ฝ่ายตนตะโกนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ใครที่มีความคิดต่างจากฝ่ายตน จะถูกประฌาม และสาปแช่งในรูปแบบต่าง ๆ แม้แต่พี่น้องพ่อแม่ก็อาจแตกแยกอันเนื่องมาจากแนวคิดในทางการเมืองต่างกัน และรุนแรงถึงขนาดทำร้ายและฆ่ากันได้ เพียงเพราะมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในทางการเมืองเท่านั้น การกระทำเพื่อยุติปัญหาการฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอำนาจ ก็กระทำควบคู่กับการฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง วิถีทางการทูตก็ทำกันไป แต่ไม่สามารถยุติการฆ่ากันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ได้

    7. อารมณ์ของคนโดยทั่วไป จะมีความพลุ่งพล่าน หงุดหงิดงุ่นง่าน อย่างไม่ค่อยมีสาเหตุมากขึ้น คนที่รักสงบ จะถูกกดขี่ย่ำยี ผู้ที่มีอำนาจ ก็จะบ้าอำนาจมากขึ้น

    หากสังเกตได้ว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ได้เกิดขึ้นแล้ว หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นแน่ อันตรายโดยส่วนรวมของมนุษยชาติก็จะเกิดขึ้นติดตามมาในปี 2551 แต่ถ้าผู้คนส่วนใหญ่หันมามีการกระทำความดีมาก ๆ โดยมีคุณสมบัติ 5 มี (มีสติสัมปชัญญะ มีความกตัญญููกตเวที มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา มีน้ำใจ และมีศีล 5 มีคุณสมบัติ 5 ให้ (ให้อภัย ให้ความรัก ให้ความจริงใจ ให้เกียรติผู้อื่น ให้การเสียสละ) และทำ 1 ทำ คือ ทำความดีมาก ๆ เหตุการณ์ที่เป็นมหันตภัยร้ายครั้งร้ายแรง จะเคลื่อนย้ายไปเกิดในปี 2560 (ค.ศ.2017)

    ขออนุญาตเรียนเพิ่มเติมว่า เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย ผู้เขียนขอให้ท่านดำเนินการดังนี้

    1. นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านต้องเตือนตัวเองทุกวัน ว่า "ต้องไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปในแต่ละวัน โดยมิได้ทำประโยชน์อันใดให้เกิดขึ้น"

    อะไรก็ได้ สิ่งใดก็ได้ ที่เป็นประโยชน์ จะเป็นประโยชน์แก่ตนเอง ประโยชน์ต่อคนในครอบครัว ประโยชน์ต่อที่ทำงาน ประโยชน์ต่อผู้บังคับบั_ชา ประโยชน์ต่อลูกน้อง ประโยชน์ต่อชุมชน ประโยชน์ต่อสังคม ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ฯลฯ

    โปรดอย่าปล่อยชีวิตให้หมดเปลืองไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ และอย่าอ้างว่า "การนอนมาก การกินมาก การไม่ทำอะไร" เป็นประโยชน์ตน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่หลงผิดอย่างมหันต์ หรือกล่าวโดยสรุป คำว่า "ประโยชน์ตน" จะต้องเป็นสิ่งที่ปราชญ์สรรเสริญว่า "สิ่งนั้นต้องเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์โดยแท้" สิ่งนั้น จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนใด ๆ ให้แก่ผู้ใด สิ่งนั้นจะต้องทำให้บุคคลผู้นั้นเอง มีความเข้มแข็งทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สิ่งนั้น จะต้องทำให้บุคคลนั้นเอง ไร้ทุกข์-มีสุข อย่างถาวร สิ่งนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ครอบครัว ที่ทำงานชุมชน และสังคม ได้ประโยชน์ร่วมกันด้วย ฯลฯ

    2. ขอให้ท่านตระหนักว่า ในยามที่มหันตพิบัติภัยของโลก และของชาติมาถึง โรคภัยไข้เจ็บมีมาก ภัยธรรมชาติ และภัยสงครามระหว่างชาติแผ่ขยาย ข้าวปลาอาหารและยารักษาโรคขาดแคลน มีเงินและทรัพย์สินก็อาจหาอาหารมาประทังชีวิตมิได้ อาจเข้าสู่ยุคของการ "นำอาหารแลกเปลี่ยนอาหาร" หรือ "นำอาหารไปแลกเปลี่ยนเป็นยารักษาโรค" เพราะการป่วยเจ็บในยามมีภยันตราย ย่อมมีมากกว่าเกณฑ์ปกติ เป็น 10 เท่าทวีคูณได้

    3. ฝึกฝนตนให้เป็นคน "กินน้อยลง ใช้น้อยลง และนอนน้อยลง" ให้เริ่มต้นโดยพยายามลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ เมื่อลดได้มากพอ ให้ลดมื้ออาหารลงเหลือเพียงวันละ 2 มื้อ เพราะจะเดือดร้อนน้อยเมื่อโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ที่ขาดแคลนอาหารอย่างที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งนี้ ข้าวราดแกง ที่เคยมีราคาจานละ 20 บาท อาจจะมีราคาถึงจานละ 600 บาท ทุกอย่างที่มีราคาในปัจจุบัน ถ้าราคากระโดดสูงขึ้น 30 เท่าตัว จะเป็นอย่างไร กรุณาลองวาดภาพดู เราจะไม่มีทางฟุ่มเฟือยได้เลยในภาวะวิกฤติภายหน้า

    ถ้าเราไม่ฝึกฝนตนเองในปัจจุบันให้เกิดความเคยชิน เราต้องลำบากยากเข็ญมากแน่

    4. ฝึกอบรมพัฒนาจิตใจให้มากขึ้น ฝึกจนใจร้อยเข้าสู่แกนสงบนิ่ง แล้วพิจารณาพระไตรลักษณ์ อันประกอบด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ประจักษ์แจ้ง เห็นจริง ลงไปในส่วนลึกของจิต และให้เห็นจริงตามธรรมชาติว่า ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป วนเวียนเปลี่ยนไปเสมอ ให้เห็นเรื่องการตายเป็นเรื่องธรรมดา ฝึก "ตายก่อนตายจริง" แล้วทุกสิ่งจะเห็นเป็นธรรมดา

    5. ฝึกกินอาหารพืชผักให้มากขึ้น ค่อย ๆ ลดเนื้อสัตว์ลง หากงดกินได้ในที่สุด ก็จะอยู่รอดได้ยาวนาน เพราะในสภาวะที่แร้นแค้น ทุกชีวิตล้วนแต่ตกระกำ ยากแค้น มีเงินทองก็อาจซื้อเนื้อสัตว์มิได้ แต่เราสามารถที่จะปลูกผักสวนครัว ไว้รับประทาน ประทังให้มีชีวิตอยู่รอดได้ ถ้าไม่ฝึกเสียแต่วันนี้ ความเคยชินก็จะไม่มี บางท่านอาจบอกว่า หากกินแต่พืชก็ขาดโปรตีน จะทำอย่างไรดี ก็ขอเรียนว่า โปรตีนจากพืชก็มี ความจริงในโรงพยาบาลบางแห่ง เช่น โรงพยาบาลมิชชั่น ทั้งหมอและพยาบาล ตลอดจนผู้ป่วยทุกราย รับประทานอาหารมังสวิรัติตลอดชีวิต เขาอยู่อย่างปกติสุข มีสุขภาพที่ดี ก็มีมากให้เราพบเห็นในปัจจุบัน "โปรดอย่าอ้างว่า กินแต่ผัก จะทำให้อ่อนแอ" แท้จริงนักโภชนาการ กลับบอกว่า "ผู้ที่กินเนื้อสัตว์ต่างหาก จะมีความอ่อนแอ ภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าผู้ที่รับประทานพืชผัก"

    พวกเราจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตที่หวนคืนกลับเข้าหาธรรมชาติให้มากขึ้น ผู้ใดเข้ากับธรรมชาติของมนุษย์ในสมัยโบราณได้ จะมีความเป็นอยู่ปกติสุขได้มาก ในยามโลกวิกฤติ ท่านจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำประปาใช้ ไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเติมรถยนต์ขาย.......... โปรดไตร่ตรองให้ดี พิจารณาให้รอบคอบ ผู้เขียนไม่ปรารถนาให้เกิดมีขึ้น ไม่ว่าจะเกิดใน 3 ปี ข้างหน้า (ปี 2551) หรืออีก 12 ปี ข้างหน้า นับจากมกราคม 2548 (ปี 2560) แต่เราก็คงจะหลีกหนีเหตุการณ์ณ์ดังกล่าวมิได้ อย่างมาก ก็คงช่วยให้เหตุมหันตภัยดังกล่าวขยายเวลาออกไปให้ยาวไกลที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น แต่ถ้าไม่มีเหตุวิกฤติหรือมหันตภัยใด ๆ เกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ โดยแลกกับการที่ผู้เขียนต้องถูกประฌามด่าว่า "ไอ้บ้า ทำให้คนตกใจกลัวทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดในโลกใบนี้" ผู้เขียนยินดีให้ประฌามด่าว่า ผู้เขียนอยากให้เรื่องเลวร้ายและมหันตภัยไม่เกิดขึ้น ผู้เขียนอยากให้เรื่องของมหันตภัยเป็นเรื่องเหลวไหล หลอกลวง เลอะเทอะ ผู้เขียนยอมให้เวลาที่ผู้เขียนค้นคว้าในวันหยุดและตอนกลางคืนวันละหลายชั่วโมง สูญเสียไปโดยไร้ประโยชน์ ถ้าไม่มีเรื่องเลวร้ายใด ๆ เกิดขึ้น กับมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง ความจริงนั้น ผู้เขียนไม่ต้องการเห็นมนุษย์และสัตว์ต้องทุกข์ทรมาน จากภัยพิบัติที่ร้ายแรง ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มนุษย์ทั้งหลายตกอยู่ในความประมาท ในที่สุด ก็ต้องสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ในยามโลกเข้าสู่วิกฤติอีกทั้งไปเพิ่มความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เป็นการเพิ่มความรุนแรง ด้วยการฉกชิง วิ่งราว จี้ปล้น และฆ่าผู้มีทรัพย์สิน หรืออาหาร หรือยารักษาโรค ผู้เขียนขอวิงวอนท่านที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้ ได้โปรดไตร่ตรองและอ่านทบทวนโดยรอบคอบ แม้จะเป็นชีวิตของท่าน ที่ท่านจะเลือกทางเดินอย่างไร ได้ตามใจชอบ แต่ผู้เขียนก็ไม่อยากให้ท่านทุกข์ยากเข็ญใจหนักหนาสาหัสกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น สิ่งใดที่ผู้เขียนจะชี้แนะให้พ้นภยันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ ก็ขอทำหน้าที่ดังกล่าวสักนิด

    6. ถิ่นที่อยู่อาศัยในยามโลกเข้าสู่แดนมิคสัญญี เกิดโรคร้ายแรงระบาด สารพิษแพร่กระจายเต็มไปในอากาศและน้ำดื่มน้ำใช้ เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด การสื่อสารทุกชนิดงดให้บริการหมด "อยู่ในภาวะสิ้นสุดของโลกยุคโลกาภิวัตน์" เป็น "การสิ้นสุดของโลกไร้พรมแดนในการติดต่อสื่อสาร" สภาพดังกล่าว พวกเราอาจจะได้พบได้ใน 3 ปี ข้างหน้า มิฉะนั้นก็ภายใน 12 ปี ข้างหน้า (เวลาผ่อนปรนสุดท้าย) ไม่อาจหลีกหนีพ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำสอนในพุทธศาสนา คริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม ขงจื๊อหรือเต๋า และนิกายศาสนาอื่นใด มีคำเตือนมาแต่โบราณกาล กล่าวถึง "วันพิพากษาโลก / วันชำระล้างคนบาป / วันที่ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก" เพียงแต่อาจจะมาเกิดให้เห็นในยุคของเราเท่านั้น

    สถานที่ต้องระวังและต้องขยับขยายถิ่นฐานคือ จังหวัดชายทะเลทุกจังหวัดบริเวณที่ลุ่ม บริเวณใต้เขื่อนต่าง ๆ และสถานที่ควรเข้าใกล้ คือ สถานที่ใกล้พุทธสถาน สถานที่ใกล้วัดป่า สถานที่ใกล้บริเวณที่ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

    สถานที่อยู่อาศัย จะต้องหาบริเวณไว้ปลูกผักสวนครัว พืชไร่ พืชสวน และพื้นที่เลี้ยงสัตว์สำหรับประกอบอาหาร (สำหรับผู้ที่ยังติดในรสชาติเนื้อสัตว์ที่เลิกรับประทานมิได้ ก็เตรียมไว้ จะเป็นไก่ เป็ด หมู ปลา กุ้ง หอย ท่านก็จะต้องวางแผนไว้) หรือเลี้ยงสัตว์ที่จะใช้แทนยานพาหนะ เพื่อการติดต่อหรือเดินทางในยามจำเป็น และถ้าเป็นไปได้ ขอให้สร้างห้องใต้ดินไว้ทุกบ้าน ห้องใต้ดินควรปูด้วยแผ่นหินที่จะช่วยให้เกิดความเย็น หรือใช้วัสดุใดก็ได้ที่มีความเย็นเป็นหลัก มีระบบระบายอากาศที่มีคุณสมบัติในการกรองอากาศเสีย เพื่อมิให้ควันพิษจากข้างนอกเข้าไปภายในห้องใต้ดินได้

    7. ต้องจัดเตรียมเสบียงอาหาร โดยเฉพาะเครื่องกระป๋องให้มาก (ต้องดูวันหมดอายุให้ดีด้วยครับ) ปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่าง ๆ อุปกรณ์เครื่องใช้และเครื่องช่วยดำรงชีพในป่า เพราะทุกแห่งหน จะมีสภาพเหมือนป่า โดยให้จัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ เช่น

    - เชือกชนิดดี มีความเหนียวทน ความยาวประมาณ 10 เมตรต่อคน

    - ยารักษาโรคที่จำเป็นต่าง ๆ อาทิ ยาแก้ปวดศรีษะ ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้อักเสบ ยาแก้ไข้หวัดและยาประจำตัวต่าง ๆ ก่อนวิกฤติดังกล่าว

    - อุปกรณ์ให้แสงสว่างต่าง ๆ เช่น ไฟฉาย ไฟแช็ค ไม้ขีดไฟ น้ำมันก๊าด เป็นต้น

    - ถังใส่น้ำดื่มขนาดใหญ่ หรือภาชนะสำรองน้ำดื่ม (น้ำใช้มีความจำเป็นน้อยกว่ามาก ช่วงเวลานั้นไม่มีการซักเสื้อผ้า ไม่มีการอาบน้ำกันแล้ว)

    บทความนี้ ขอให้ท่านเก็บไว้อ้างอิง และเป็นแนวทาง เมื่อโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ซึ่งท่านทั้งหลายจะได้เห็นในปี 2548 เป็นต้นไปว่า จะมีความรุนแรงอันเกิดจากภัยธรรมชาติมากขึ้นถี่ขึ้น ดินฟ้าอากาศจะปรวนแปรมากขึ้น พายุใต้ฝุ่นและน้ำท่วมมีมากขึ้น แผ่นดินไหวมีเพิ่มขึ้น การฆ่าทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามในประเทศต่าง ๆ มีมากขึ้น การแย่งชิงอำนาจในการเข้าบริหารประเทศชาติมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งก็ได้เกิดให้เห็นแล้วในปัจจุบันหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอัลบาเนีย ซาอีร์ ปาปัวนิวกินี เป็นต้น และจะมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่เป็นจริง ก็สบายใจไปได้ 50% แสดงว่าเงื่อนเวลาขยายออกไปอีกช่วงหนึ่ง ประมาณ 9 ปี นั่นคือ
    ความพยายามในการสงบระงับเหตุร้ายแรงนั้น ทำได้สูงสุดไม่เกิน พ.ศ.2560 หรือภายใน 12 ปีข้างหน้า ถ้าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นจริง เกิดใน 12 ปีข้างหน้า นับจากมกราคม 2548 ย่อมดีกว่าเกิดภายใน 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2551) แต่ถ้ารอไปอีก 12 ปีข้างหน้า ผู้คนทั้งหลายยังตกอยู่ในความประมาท ตกอยู่ในความมัวเมา ก่อกรรมทำเข็ญมากขึ้น หลีกหนีจากความดีงาม ไม่สนใจที่จะงดกระทำสิ่งที่เป็นบาปกรรม ไม่สนใจที่จะฝึกจิตให้ผ่องใส หากจะเกิดเหตุร้ายใน 3 ปีข้างหน้า ก็คงจะหนีชะตากรรมไปมิได้ เมื่อนั้น ต่างก็คงจะต้องหาทางช่วยตัวเองและรับการตัดสินจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่ติดค้างมานานถึง 60,000 ปี จะได้ขุดรากถอนโคนให้หมดหนี้กรรมไปวาระหนึ่ง โดยผู้โชคดี หรือมีหนี้กรรมน้อย จะได้ตายในทันที ไม่ทรมาน แต่ผู้ที่มีกรรมชั่วมากจะตายก็ไม่ตาย แต่ได้รับความทรมานแสนสาหัส อยู่อย่างแร้นแค้น ยากเข็ญร้อนก็ร้อน สุดโหด หนาวก็หนาวสุดขีด ซึ่งก็คงจะได้พบเห็นกันในเร็ว ๆ นี้ โดยจะได้เห็นหิมะตกในประเทศไทยด้วย

    ด้วยความปรารถนาดี

    จาก นายมงคล กริชติทายาวุธ

    วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2547

    เวลา 02.35 น.

    คัดลอกมาจากhttp://nouchiko.diaryhub.com/?20050225</LARGFONT>

    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2006
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    หนทางแก้ไข

    <LARGFONT>
    โลกมนุษย์ก็จะรอดได้อีกนานเท่าที่จะนานได้ แต่ต้อง
    ปลุกระดมให้มนุษย์ทั่วโลกสวดมนต์ภาวนา และอนุรักษ์
    สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยปลูกป่าให้มาก อย่าทำลายป่า
    ก็จะมีทางรอดได้มากกว่านี้



    --------------------------------------------------------------------------------


    คนที่รอดชีวิตภายหลังเหตุการณ์ครั้งนี้
    จำแนกได้เป็น ๓ ประเภท คือ


    ๑.พวกที่รอดชีวิตแต่สูญเสียสติสัมปชัญญะอย่าง
    สิ้นเชิง ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากมีจิตใจและสติที่
    ไม่เข้มแข็งพอ เพราะไม่ได้ฝึกเจริญกรรมฐานมาก่อน
    ไม่สามารถทนต่อสภาพของเหตุการณ์ต่างๆ ได้ เช่น
    คนตายจำนวนมาก แผ่นดินไหว แผ่นดินแยกฯลฯ


    ๒.พวกที่รอดชีวิตแต่สูญเสียสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะ
    หรือบางส่วน ที่เรียกว่ากึ่งดีกึ่งบ้า พวกนี้ได้แก่
    พวกที่ฝึกหัดกรรมฐานมาบ้างจนมีพื้นฐานพอสมควร
    แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอ


    ๓.พวกที่รอดชีวิตและมีสติสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์
    ซึ่งมีจิตใจเข้มแข็ง มองเห็นการเกิดแก่เจ็บตายเป็น
    ของธรรมดาของมนุษยโลก หรืออาจจะกล่าวว่า
    ผู้ที่เคยเจริญมรณานุสติมาเป็นประจำแล้ว
    จนไม่กลัวความตาย และมองเห็นความตายเป็นเรื่อง
    ธรรมดาของมนุษย์นั่นเอง


    หลังจากเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ผ่านพ้นไปแล้ว โลกก็จะ
    คงเหลือแต่ผู้มีศีลธรรม คนชั่วทั้งหลายจะเสียชีวิตไปหมด
    หรือกลายเป็นคนบ้า สูญเสียสติสัมปชัญญะ

    เพชรนิลจินดาและทรัพย์สมบัติทั้งหลายจะผุดขึ้นมา
    เกลื่อนพื้นโลก พันธุ์ไม้ต่างๆ แปลกๆ จะออกดอกออกผล
    เต็มไปหมด

    อาหารการกินจะอุดมสมบูรณ์มาก แต่ใช้เวลาอกหลายร้อยปี
    โลกมนุษย์จะค่อย ๆ วิวัฒนาการขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
    ภายหลังจากถาวรวัตถุทั้งหลายถูกทำลายลงไปหมด

    ทัศนคติและค่านิยมในยุคนี้จะตรงกันข้ามกับในยุคก่อน
    เกิดภัยพิบัติ คือ มีความเจริญทางจิตใจและมีคุณธรรม
    สูงขึ่น แต่ความเจริญทางวัตถุจะมีน้อยมาก เพราะจะต้อง
    ก่อสร้างกันใหม่หมด เพชรนิลจินดาทั้งหลายที่กองเกลื่อน
    พื้นดิน จะไม่มีค่า อาหารการกินจะมีค่ามากกว่า

    ประเทศไทยซึ่งจะมีคนรอดชีวิตมากกว่าประเทศอื่นๆ จะค่อยๆ
    เจริญขึ้นมาจนภาษาไทยอาจเป็นภาษาหลักของโลกในที่สุด
    เนื่องจากคนในประเทศอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะรอดชีวิตก็จะมีสติ
    วิปลาสไปหมด

    ชาวไทยผู้มีศีลธรรม ซึ่งเหลือรอดจากภัยพิบัตินี้จะ
    เป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้เอาไว้ให้คนรุ่นต่อไป
    รับทราบ โดยเฉพาะกลุ่มชนที่สวดมนต์ภาวนาจะมีบทบาทมาก

    จากนี้ไปอีก ๓๐๐-๔๐๐ ปี วิชาการสิ่งก่อสร้าง ฯลฯ
    จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ควบคู่กับจิตขอมนุษย์ในโลกซึ่ง
    เจริญเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ คือ มีชีวิตที่งดงาม



    --------------------------------------------------------------------------------


    การเตรียมตัวในขณะนี้


    ให้ชาวโลกทุกคนเร่งรีบทำจิตใจให้สงบและเข้มแข็ง
    คือ ให้บำเพ็ญภาวนานั่นเองให้ทุกคนพยายาม
    หาเวลาฝึกกรรมฐานอย่างเข้มแข็ง รวมทั้ง
    พากเพียรเจริญมรณานุสติไว้ว่า การตาย
    เป็นธรรมดาของคนทุกคน ไม่มีใครสามารถ
    หลีกเลี่ยงได้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมไว้ หากแม้น
    ต้องเสียชีวิตในภัยพิบัติ จิตใจจะได้สงบเวลาตาย
    จิตวิญญาณจะได้ไปอุบัติในภพภูมิที่ดี


    ให้ชาวโลกทุกคนรักษาศีล ๕ ให้ได้ เพื่อลดการ
    เบียดเบียน ทำให้มีความสงบเย็น และสันติสุข
    เกิดขึ้นในโลก อย่าได้ทำสงครามและทะเลาะวิวาทกัน
    จะได้ไม่เพิ่มพลังแห่งความชั่วร้ายให้สูงขึ้น เพราะ
    จะเร่งให้ภัยพิบัติเกิดเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น


    ให้ชาวโลกทุกคนมีความเมตตา กรุณา เท่ากับ
    ทำบุญทำทาน ช่วยเหลือแบ่งปันให้แก่ผู้ที่
    ขาดแคลน เพื่อไม่ให้มีผู้ทุกข์ใจร้อนใจ ก่อให้เกิด
    ความร่มเย็นขึ้นในโลกมนุษย์



    --------------------------------------------------------------------------------


    การเตรียมตัวในระยะที่ภัยพิบัติใกล้จะเกิดขึ้น

    จะต้องหาบทสวดมนต์ภาวนา ซึ่งใช้ในการสวดเพื่อระงับ
    หรือบรรเทาภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น แผ่นดินไหว แผ่นดินแยก
    ภูเขาไฟระเบิด สวดพระพุทธมนต์ พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุง ฯ)
    มงคลจักรวาฬใหญ่ (สิริธิติ ฯ) และ สวดพระคาถาชินปัญชร
    หรือ นะมะพะทะ



    --------------------------------------------------------------------------------


    การปฏิบัติตัวในขณะที่เกิดภัยพิบัติ



    หนีไปอยู่ในเขตพื้นที่ซึ่งไม่เกิดภัยพิบัติ
    ผู้ที่มีความสามารถมากจะหยั่งรู้ได้ด้วยญาณ


    ผู้ที่รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ อาจจะรอดชีวิตได้
    ถ้าไม่มีกรรมเก่าอันหนักหนาจริง ๆ


    ผู้ที่ฝึกกรรมฐานมาบ้าง และสามารถทำจิตใจ
    ให้สงบได้แต่ยังไม่ถึงขึ้นฌาน ก็อาจจะรอดชีวิต
    แต่หากตาย จิตวิญญาณจะไปอุบัติในภพภูมิที่ดี


    ในขณะที่เกิดเหตุ คือจันทรุปราคาหรือสุริยุปราคา
    ก็ให้ทำพิธีสวดมนต์กลางแจ้ง


    ให้ทุกๆ คนในโลก หยุดการใช้เครื่องจักรกล
    เครื่องใช้ไฟฟ้า และหยุดการเคลื่อนไหวต่างๆ ให้หมด
    แม้แต่การเคลื่อนที่ของมนุษย์และสัตว์
    คือให้ทุกคนอยู่เฉยๆ ถ้านั่งกรรมฐานได้ก็นั่ง
    กรรมฐาน เนื่องจากว่าการเคลื่อนไหวและการใช้
    พลังงานไฟฟ้า หรือแม่เหล็กต่าง ๆ จะเป็นการ
    ซ้ำเติมให้เกิดความสับสนของสนามพลังงาน
    ในระบบสุริยจักรวาลมากขึ้น
    อาหารจะขาดแคลนตลอดจนถึงปัจจัยสี่
    ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมตัวดังต่อไปนี้



    --------------------------------------------------------------------------------


    อุปกรณ์การดำรงชีวิตในป่า
    ( แล้วแต่จะคิดหาได้ )


    เชือกอย่างเดียว ๑๐ เมตร ต่อคน
    จักรยานวิบาก ๑ คัน ต่อ ๑ คน พร้อมทั้งอะไหล่
    เช่น ยางใน ลูกปืน (ถนนหนทาง จะพังพินาศหมดในเวลานั้น)
    ผ้าร่ม ผ้าปูที่นอน มุ้งธุดงค์ และกลด
    มีด หม้อสนาม กระติกน้ำ แก้วพลาสติก
    เรือไฟเบอร์กล๊าส หรือ เรือยาง ถ้าสามารถนั่งได้
    จำนวนมากคนแล้วยิ่งดี
    ที่สำคัญมากคืออาหาร และแหล่งเสบียงอาหาร
    ยารักษาโรค เช่น ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้อักเสบ
    ยาแก้ไข ฯลฯ
    เชื้อเพลิงและอุปกรณ์ให้แสงสว่าง เช่น เทียน
    น้ำมันก๊าด ไฟฉาย ฯลฯ

    นอกจากนี้ในช่วงภัยพิบัติ นั้นขอให้ผู้ที่มีปัจจัยสี่
    แบ่งปัน ช่วยเหลือผู้ที่อดอยากขาดแคลน ในเวลาเช่นนั้น
    ทรัพย์สมบัติ และทอง ไม่มีความหมายแล้ว

    เหตุการณ์ที่เล่ามานี้ ไม่ได้ต้องการให้ท่านเชื่อ
    เพียงแต่บอกให้ท่านตั้งอยู่บนความไม่ประมาท แต่
    มนุษย์อย่าตั้งตนอยู่ในความประมาทแหละดี ความจริง
    เหตุการณ์เหล่านี้ได้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๐ แล้ว
    แต่เกิดน้อย ทำให้สังเกตไม่ชัด เนื่องจาก เทพพรหม
    และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้านทานไว้ เช่น ท้าวมหาพรหมชินนะ
    ปัญจะระ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี หลวงปู่ทวด
    (เหยียบน้ำทะเลจืด) และผู้สำเร็จอื่น ๆ อีกมาก แต่มนุษย์
    ไม่รู้สึก เพราะฉะนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔
    จะรุนแรงขึ้น แต่เนื่องจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)
    พรหมรังษี เป็นผู้ช่วยดูแลโลกมนุษย์ร่วมกับมนุษย์
    กลุ่มหนึ่ง หาวิธีช่วยเหลือให้เหตุการณ์เบาบาง
    ลงและอย่าเกิดเร็วเกินไป ให้เลื่อนออกไปอีก ๓๐ ปี

    ฉะนั้นจึงขอเชิญชวนมนุษย์ผู้มีสัมมาทิฐิรวมผนึกกำลัง
    เพื่อลดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ให้เบาบางลง
    เนื่องจากเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อไรเร็วหรือช้า
    ย่อมขึ้นอยู่กับมนุษย์ในโลกนี้เท่านั้น เพราะเป็นความ
    อยู่รอดของมนุษย์ ไม่ใช่ความอยู่รอดของเทพพรหม
    ฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับมนุษย์ต่อมนุษย์ เมื่อท่านได้อ่าน
    คำบอกเล่านี้แล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง?
    ถ้าเชื่อก็ขอให้รวมกลุ่มสวดมนต์ และขอให้ผู้ที่
    ปรารถนาดีต่อมนุษยชาติรวมกลุ่ม เพื่อให้พลังจิต
    ที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ช่วยลดเหตุการณ์ธรรมชาติ
    ที่จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ให้เบาบางลง อย่าถึงขึ้น
    แตกสลาย ท่านที่ไม่เชื่อ ก็ขอให้กาลเวลาเป็นเครื่อง
    พิสูจน์

    เราไม่ขอรับรองว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อไร
    เพราะเป็นเรื่องของฟ้าดินและมนุษย์เท่านั้น ทุกคน
    มีพลัง ขอให้ชาวโลกใช้พลังในทางที่ถูก อย่าแก่งแย่ง
    ชิงดีชิงเด่นทำลายกัน ธรรมชาติกำลังจะทำลาย
    เราอยู่แล้ว ขอให้โลกมนุษย์จงมีความสามัคคีกัน
    เราไม่กล้ารับรองว่าบารมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)
    พรหมรังษี จะสามารถชะลอเหตุการณ์ออกไปได้ ๓๐ ปี
    เพราะ พลังอภิญญาฝ่ายดำขณะนี้มีถึง ๙๕% แล้ว
    ถ้าพลังอภิญญาฝ่ายขาวไม่รวมสามัคคี ผนึกเป็นหนึ่ง
    ก็คงไม่สามารถหลีกเหลี่ยงเหตุการณ์ครั้งนี้ได
    โอ้อนิจจามนุษย์เอ๋ย ความตายกำลังตามใกล้ท่านเข้ามา
    ทุกขณะแล้ว ท่านยังหลงอยู่หรือ?

    *หมายเหตุ* ข้อมูลจากท่านผู้รู้ผู้มีฌานญาณ และจาก
    หนังสือ " พระสูตรพ้นเคราะห์ภัย " ในบทพุทธทำนาย
    ( รายละเอียดอ่านได้จากรายการเอกสารเพิ่มเติม )


    --------------------------------------------------------------------------------


    มหันตภัยของโลก

    มหันตภัยที่กำลังคุกคามโลกมนุษย์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต พอสรุปได้ดังนี้


    ภัยจากน้ำท่วม และมลภาวะสิ่งแวดล้อม
    ภัยจากสงครามเศรษฐกิจ
    ภัยจากสงครามพลังจิต
    ภัยจากสงครามโลกครั้งที่ ๓
    ภัยจากสงครามจักรวาลระหว่างดวงดาว
    ภัยจากอุกกาบาตขนาดยักษ์ที่หลุดจากดวงอาทิตย์
    กำลังเดินทางมาชนโลก

    "ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์เราควรจะดำรงชีวิตอยู่อย่างธรรมชาติ
    ปฏิบัติยึดมั่นในปัญจศีล พัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรม ศีลธรรม
    เพื่อให้ธรรมนำโลก ก็คงจะช่วยผ่อนคลายจากหนักเป็นเบา
    ในการที่มนุษย์จะเผชิญมหันตภัยข้างต้นได้ไม่มากก็น้อย..."

    เชื่อหรือไม่เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนตัวของท่าน?


    คัดลอกมาจากhttp://www.4floor.com/nextcom/sawas...00/book1-1.html</LARGFONT>
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...