พระผงหลวงปู่ทวดพิมพ์เปิดโลก สูตรพระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร(หลวงตาม้า)

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 25 กรกฎาคม 2006.

  1. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    ขอลงประวัติของพระอาจารย์ของผมทั้ง2ท่านโดยคร่าวๆนะครับโดยหลวงปู่ดู่ท่านมาสอนในนิมิตแต่หลวงตาม้าผมเคยไปบวชเณรอยู่กับท่านครับและปัจจุบันไปหาท่านบ่อยๆ


    [​IMG]






    หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ


    วัดสะแก ม.๗ บ้านสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    [​IMG]
    นามเดิม :- มีชื่อว่า “ดู่”
    เกิด :- เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ซึ่งเป็นวันเพ็ญวิสาขปุรณมี ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กำเนิดในตระกูล “หนูศรี”
    โยมบิดา - มารดา :- ชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พ่วง มีพี่สาวร่วมบิดามารดา ๒ คน ท่านเป็นคนที่ ๓ เป็นบุตรคนสุดท้อง
    อาชีพของโยมบิดามารดาเป็นชาวนา มีฐานะไม่ร่ำรวย เมื่อหมดหน้านา โยมทั้งสองจะช่วยกันทำขนมไข่มงคลออกเร่ขาย หารายได้อีกทางหนึ่ง
    ขณะที่ท่านยังเป็นทารกน้อย ได้เกิดเหตุอัศจรรย์กับตัวท่านครั้งหนึ่ง กล่าวคือ เวลานั้นเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำเหนือได้ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ราบลุ่มแถบอยุธยาแทบทั้งหมด ท้องนาและบ้านเรือนที่อยู่อาศัยมีแต่น้ำเจิ่งนองไปทั่ว บ้านของโยมหลวงปู่ดู่ก็ถูกน้ำท่วมเช่นกัน วันนั้นโยมมารดาได้เอาเบาะซึ่งท่านนอนอยู่ไปวางตรงนอกชาน (ไม่มีระเบียงกั้น) ด้วยเห็นว่าเป็นที่โล่งโปร่ง ลมเย็นพัดโชยตลอดเวลา แล้วโยมมารดาก็ไปช่วยโยมบิดาทอดขนมไข่มงคลในครัว
    ขณะที่โยมทั้งสองกำลังง่วนอยู่กับการทอดขนม ก็ได้ยินเสียงสุนัขเลี้ยง เห่าขรมตรงนอกชาน แล้ววิ่งเข้ามาเห่าในครัวด้วยท่าทางลุกลน ก่อนจะวิ่งพล่านออกไปเห่าตรงนอกชานอีก โยมเห็นสุนัขแสดงกิริยาแปลก ๆ รีบออกจากห้องครัวมาดู มองไปที่เบาะลูกชาย ปรากฏว่า หายไปก็ตกใจสุดขีด วิ่งถลันไปที่สุดนอกชาน กวาดสายตามองหาไปรอบทิศ จึงได้เห็นเบาะหล่นจากชานเรือนลงไปในน้ำที่ท่วมเจิ่งด้านล่าง และลอยไปติดริมรั้ว
    กลางเบาะนั้นมีลูกชายตัวน้อย ๆ นอนร้องอ้อแอ้อยู่
    โยมบิดารีบโดดโครมลงไปในน้ำ ลุยไปที่เบาะลูกชาย เมื่ออุ้มลูกขึ้นมา ปรากฏว่าไม่เป็นอันตรายอย่างใด จึงประคับประคองกลับขึ้นบ้าน ด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจเหลือจะกล่าว
    โยมทั้งสองคิดหาสาเหตุที่ลูกตกไปในน้ำพร้อม ๆ กับเบาะก็นึกไม่ออกว่าลูกจะดิ้นจนเบาะเลื่อนไหลไปจนสุดนอกชาน แล้วตกลงไป ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะลูกยังไม่คว่ำเสียด้วยซ้ำ จะดิ้นรนตะกายอย่างไร ก็ไม่ทำให้เบาะขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไปไกลถึงเพียงนั้น หรือจะว่ามีลมพัดอย่างแรงถึงกับหอบเอาเบาะลูกหล่นน้ำ ตนอยู่ในครัวใกล้ ๆ ทำไมจึงไม่รู้ว่ามีลมพัด และถ้ากระแสลมรุนแรงถึงขั้นหอบเอาเบาะกับลูกปลิวตกเรือนไปได้ หลังคาบ้านก็คงเปิดเปิงด้วยกระแสลมไปแล้ว
    และที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์ก็คือ เมื่อเบาะมีเด็กทารกนอนอยู่ตกลงไปในน้ำ เหตุใดเบาะไม่พลิกคว่ำ หรือตัวเด็กเลื่อนไหลตกน้ำไป ซ้ำเบาะยังลอยน้ำได้ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว เบาะไม่ควรจะรับน้ำหนักเด็กไว้ได้ถึงเพียงนั้น
    โยมบิดามารดาจึงเชื่อมั่นว่า ลูกของตนมีบุญวาสนามาแต่กำเนิดแน่นอน ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะทารกน้อยผู้นี้เมื่อเจริญวัยขึ้นมา ก็ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จนชั่วชีวิต ได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติสมณธรรมจนกล่าวได้ว่า ท่านบรรลุอรหัตมรรคผลอีกรูปหนึ่ง
    ชีวิตเยาว์วัยของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านต้องเผชิญกับการพลัดพรากที่รุนแรงร้ายกาจอย่างยิ่ง นั่นคือโยมมารดาเสียชีวิตไปก่อนขณะท่านยังเป็นทารก ครั้นอายุได้ ๔ ขวบ โยมบิดาก็เสียชีวิตตามไปอีกคน ต้องอาศัยอยู่กับยาย โดยมีพี่สาวชื่อ สุ่ม เป็นผู้เลี้ยงดูเอาใจใส่ เมื่อเจริญเติบโตถึงวัยเรียน ก็เข้าศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ
    อุปสมบท :-

    อายุครบ ๒๑ ปี จึงได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๖ ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงปู่กลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่แด เจ้าอาวาสวัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่ฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “พรหมปัญโญ ภิกขุ”
    ในพรรษาแรก ๆ ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรม (สมัยนั้นเรียกวัดประดู่โรงธรรม) พระอาจารย์ผู้สอนคือ ท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม และหลวงปู่รอด (เสือ) เป็นต้น ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐาน ท่านได้รับการสอนจากหลวงปู่กลั่น ผู้เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ และหลวงปู่เภา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่กลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่านเอง นอกจากนี้ท่านยังได้ไปศึกษากับพระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานอีกหลายรูป ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดสระบุรี
    ประมาณพรรษาที่สาม หลวงปู่ดู่จึงออกเดินธุดงค์เดี่ยวจากพระนครศรีอยุธยา ไปยังสระบุรี เพื่อไปนมัสการพระพุทธฉาย และรอยพระพุทธบาท จากนั้นก็จาริกย้อนมาทางสุพรรณบุรี ตัดเข้ากาญจนบุรี แต่ธุดงค์ได้เพียง ๓ เดือน ก็ต้องกลับวัดสะแก เนื่องจากอาพาธอย่างหนัก ตลอดเวลาที่ครองเพศบรรพชิต หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ปฏิบัติธรรมกรรมฐานอย่างเคร่งครัดจริงจัง การกระทำความเพียรของท่าน ก็เพื่อตัดขาดจากสายใยของวัฏสงสารให้สะบั้นไปในชาตินี้ จะได้ไม่ต้องสืบภพสืบชาติต่อไปอีก
    นิมิตธรรม :-

    ในคืนหนึ่ง ในช่วงก่อน ปี พ.ศ.๒๕๐๐ เล็กน้อย หลังจากที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเข้าจำวัดแล้วนั้น เกิดนิมิตไปว่าได้ฉันดาว ที่มีแสงสว่างมากเข้าไป 3 ดวง ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกว่า กรอบๆ ดี เมื่อฉันหมดก็ตกใจตื่น ท่านจึงได้พิจารณานิมิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจในนิมิตนั้นว่า ดาวสามดวง ก็คือ ดวงแก้วไตรสรณาคมน์ นั้นเอง ท่านจึงท่อง
    “ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ” ก็เกิดปิติขึ้นในจิตท่านอย่างท่วมท้น เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และมั่นใจว่า การยึดมั่นพระไตรสรณาคมน์ เป็นวิธี ที่เข้าสู่แก่นแท้ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอา พระไตรสรณาคมน์ เป็นองค์บริกรรมภาวนา
    กล่าวได้ว่า ภูมิรู้ภูมิธรรมของหลวงปู่ดู่ มุ่งสู่มรรคผลนิพพานเป็นแนวตรง ซึ่งในอัตประวัติท่าน มีเกร็ดเล็ก ๆ ที่แสดงให้เห็นชัดเจนพอสมควร ดังจะนำมาเล่าดังต่อไปนี้
    กล่าวคือเมื่อครั้งที่หลวงปู่ดู่มีพรรษาไม่มากนัก ที่วัดสะแกมีเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ พวกโจรใจบาปหยาบช้า มักจะเข้ามาลักขโมยสิ่งของในวัดเนือง ๆ บางครั้งขณะที่หลวงปู่ดู่นอนอยู่ พวกมันก็ยังบังอาจเข้ามาลักขโมยเอาไปต่อหน้าต่อตา
    หลวงปู่ดู่เคยทราบจากตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่า พระอาจารย์ธรรมโชติ มีคาถาอาคมขลังอยู่บทหนึ่ง สำหรับกำหราบขโมย หากมีใครลักขโมยสิ่งของไป จะต้องกลับเอามาคืนหมด แต่พระอาจารย์ธรรมโชติได้ล่วงลับไปนานแล้ว และไม่มีผู้ใดสืบทอดวิชานี้เอาไว้ ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้พระอาจารย์ธรรมโชติมาสอนวิชาอาคมนี้แก่ท่านในนิมิต แต่ก็ไม่เคยมีนิมิตปรากฏเอาเสียเลย กระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี ทำให้ท่านลืมเรื่องที่อธิษฐานจิตเรื่องนี้โดยสนิท
    ท่านผู้อ่านอาจจะเลือน ๆ เรื่องของพระอาจารย์ธรรมโชติไปแล้วก็ได้ ดังนั้นจะขอทบทวนความทรงจำสักนิด
    กล่าวคือ ก่อนมหาธานีกรุงศรีอยุธยาจะถึงกาลล่มสลายในครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ด้วยน้ำมือของพม่าข้าศึก คนไทยทุกคนย่อมจะจำกันได้ถึง วีรกรรมค่ายบางระจัน นักรบไทยใจหาญกล้ามิว่าชายหญิง รวมตัวกันปักหลักสร้างค่ายสู้กับทหารพม่าอย่างยิบตา พม่ายกกองทหารมาตีคราวใดก็ต้องพ่ายแพ้กลับไปคราวนั้น
    ณ ที่ค่ายบางระจันนี้ นามของ พระอาจารย์ธรรมโชติ ก็เป็นที่ปรากฏ และได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ พระอาจารย์ธรรมโชติเป็นพระภิกษุผู้ทรงวิชาอาคมเป็นเลิศ ได้มาเป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้แก่ชาวค่ายบางระจันตลอดเวลาที่สู้ศึกกับพม่า ตราบกระทั่งค่ายบางระจันถูกถล่มจนค่ายแตก ประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับ วีรบุรุษวีรสตรีลูกค่ายบางระจันสู้ศึกจนตัวตายเกลื่อนค่าย เกลื่อนแผ่นดินเป็นที่เลื่องลือ
    และพระอาจารย์ธรรมโชติก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในประวัติศาสตร์มิได้บันทึกเอาไว้ว่า พระอาจารย์ธรรมโชติหายสาบสูญไปเช่นไร แต่เป็นที่เชื่อได้ข้อหนึ่งว่า คมดาบของพม่าข้าศึกคงไม่มีทางระคายแม้แต่เงาของท่าน
    นับแต่ค่ายบางระจันแตก กรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ตราบกระทั่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราช สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี แล้วมาถึงรัชสมัยของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขึ้นครองราชย์ ย้ายเมืองหลวงมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ คือ กรุงเทพมหานคร กาลเวลาล่วงเลยไปนานแสนนานเช่นนี้ พระอาจารย์ธรรมโชติย่อมมรณภาพไปแล้วตามวงวัฏแห่งอนิจจัง วิญญาณของท่านจะไปสถิตอยู่ ณ ที่แห่งใด ย่อมยากที่จะรู้ได้
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ในกาลต่อมา ท่านผ่านพรรษามานานหลายพรรษาแล้ว และรับศิษย์ไว้ผู้หนึ่ง ซึ่งกล่าวได้ว่า ศิษย์ผู้นี้กับท่านมีวาสนาเกื้อกูลกันโดยตรงก็ว่าได้ เพราะศิษย์คนนี้มิใช่พุทธศาสนิกชน หากนับถือศาสนาคริสต์ ระยะแรก ๆ ที่มาฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ เขาไม่มีศรัทธาปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ต่อมาจึงได้ยอมปฏิบัติ และก้าวหน้าในทางธรรมกรรมฐานอย่างเหลือเชื่อ กระทั่งวันหนึ่งเข้าไปเจริญสมาธิในกุฏิกับหลวงปู่ดู่ ได้ปรากฏหลวงปู่ทวดในนิมิต แต่ด้วยเหตุผลทางศาสนา จึงไม่ยอมกราบไหว้นมัสการหลวงปู่ทวด
    ในที่สุด เขาก็ต้องก้มกราบหลวงปู่ทวด ด้วยความเคารพศรัทธาอย่างหาที่เปรียบมิได้ วันหนึ่ง ศิษย์คนนี้มารายงานผลการปฏิบัติของตนต่อหลวงปู่ดู่ตามปกติ จากนั้น จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า
    “หลวงลุงครับ หลวงลุงรู้จักหลวงปู่พระอาจารย์ธรรมโชติไหมครับ”
    ได้ยินลูกศิษย์ถาม หลวงปู่ดู่เพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ท่านเคยอธิษฐานถึงพระอาจารย์ธรรมโชติ ขอคาถากำราบโจรไว้นานแล้วจนลืม จึงตอบลูกศิษย์ว่า “รู้จักซิ” แล้วเล่าให้ฟังที่ท่านเคยอธิษฐานขอให้พระอาจารย์ธรรมโชติมาปรากฏในนิมิต ศิษย์จึงกราบเรียนถวายว่า
    “พระอาจารย์ธรรมโชติ ท่านสั่งให้มาเรียนหลวงลุงว่า คาถาที่ของนั้นยังเป็นโลก ติดอยู่ในโลก ไปไม่ได้ แต่วิธีการของหลวงลุงเป็นการทำตัวให้พ้นโลก ที่ท่านทำนั้นสูงแล้ว”
    ขณะที่ศิษย์ซึ่งเคยนับถือศาสนาคริสต์ มารายงานผลการปฏิบัติ และเล่าเรื่องพระอาจารย์ธรรมโชติ (มาปรากฏในนิมิต) สั่งความมาถึงหลวงปู่ดู่ มีศิษย์คนอื่น ๆ นั่งฟังอยู่ด้วยหลายคน ท่านจึงพูดให้ได้ยินกันทุกคนว่า
    “ที่จริงข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะขอมานมนานกาเล แต่ท่านยังอุตส่าห์บอกถึงข้าจนได้”
    เมื่อนำเรื่องของหลวงปู่ดู่มาพรรณนาดังที่ท่านได้อ่านมาแล้ว ย่อมเห็นว่า ท่านมีแนวทางในการกระทำความเพียรเพื่อสิ้นทุกข์ สิ้นกิเลส ในชาตินี้ชัดเจน พร้อมกันนี้ ยังกอร์ปด้วยเมตตาบารมี ยินดีสงเคราะห์ญาติโยม ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ ซึ่งยากจะแก้ไขได้ด้วยตัวเองให้ผ่อนคลายลงได้
    เมตตาธรรม :-

    หลวงปู่ดู่ท่านให้การต้อนรับแขกอย่างเสมอเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ท่านจะพูดห้ามปรามหากมีผู้เสนอตัวเสนอหน้าคอยจัดแจงเกี่ยวกับแขกที่มาหาท่าน เพราะท่านทราบดีว่ามีผู้ใฝ่ธรรมจำนวนมากที่อุตสาห์เดินทางมาไกล เพื่อนมัสการและซักถามข้อธรรมจากท่าน หากมาถึงแล้งยังไม่สามารถเข้าพบได้โดยสะดวก ก็จะทำให้เสียกำลังใจ เป็นเมตตาธรรมอย่างสูงที่หลวงปู่มีให้ศิษย์ทั้งหลาย และหากมีผู้สนใจการปฏิบัติกรรมฐาน มาหาท่าน ท่านจะเมตตาสนทนาธรรมเป็นพิเศษอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
    หลวงปู่ทวด :-

    ท่านให้ความเคารพในองค์หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ เป็นอย่างมากทั้งกล่าวยกย่อง ว่าหลวงปู่ทวดท่านเป็นผู้ที่มีบารมีธรรมเต็มเปี่ยม เป็นโพธิสัตว์จะได้มาตรัสรู้ ในอนาคต ให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ยึดมั่น และระลึกถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อติดขัดในระหว่างการปฏิบัติธรรม หรือประสบปัญหาทางโลก ท่านว่า หลวงปู่ทวดท่านคอยที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้ว แต่ขอให้ทุกคนอย่าท้อถอย หรือละทิ้งการปฏิบัติ
    สร้างพระ :-

    หลวงปู่ดู่ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้าง หรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่องหรือพระบูชา ก็เพราะเห็นว่า บุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยงทางด้านจิตใจ เพราะศิษย์ หรือ บุคคลนั้น มีทั้งที่ใจใฝ่ธรรมล้วนๆ กับ ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า “ติดวัตถุมงคลยังดีกว่า ที่จะไปให้ติดวัตถุอัปมงคล” แม้ว่าหลวงปู่ดู่ท่านจะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านอธิฐานจิตให้ แต่สิ่งที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นก็คือการปฏิบัติ การภาวนา นี้แหละ เป็นสุดยอดแห่งเครื่องรางของขลัง บางคนมาหาท่านเพื่อต้องการของดีเช่นเครื่องรางของขลัง ซึ่งมักจะได้รับคำตอบจากท่านว่า “ ของดีนั้นอยู่ที่ตัวเรา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละของดี ”
    ปัจฉิมวาร :-

    นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมาสุขภาพหลวงปู่เริ่มทรุดโทรม เนื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุจากการที่ต้องต้อนรับแขก และบรรดาศิษย์ทั่วทุกสารทิศ ที่นับวันก็ยิ่งหลั่งไหลกันมานมัสการท่านมากขึ้นทุกวัน แม้บางครั้งจะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ท่านก็อุตส่าห์ออกโปรดญาติโยมเป็นปกติ พระที่อุปัฏฐากท่าน เล่าว่า บางครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่น และมีน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็ไม่เคยปริปากให้ใครต้องเป็นกังวลเลย ภายหลังตรวจพบว่า หลวงปู่ เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แม้ว่าทางคณะแพทย์ จะขอร้องท่านให้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ท่านก็ไม่ยอมไป
    ประมาณปลายปี พ.ศ.๒๕๓๒ หลวงปู่พูดบ่อยครั้ง เกี่ยวกับ การที่ท่านจะละสังขาร ซึ่ง ในขณะนั้นหลวงปู่ท่านได้ใช้หลักธรรม ขันติ คือความอดทนอดกลั้นระงับ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากโรคภัย จิตของท่านยังทรงความเป็นปรกติสงบเย็น จนทำให้คนที่แวดล้อมท่านไม่อาจสังเกตเห็นถึงปัญหาโรคภัยที่คุกคามท่านอย่างหนัก
    วันอังคารที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ช่วงเวลาบ่ายนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบท่านเป็นครั้งแรก หลวงปู่ท่านได้ลุกขึ้นนั่งตอนรับ ด้วยใบหน้าที่สดใส ราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ จนบรรดาศิษย์ เห็นผิดสังเกต หลวงปู่ยินดีที่ได้พบกับศิษย์ผู้นี้ ท่านว่า “ต่อไปนี้ ข้าจะได้หายเจ็บไข้เสียที ” คืนนั้นมีคณะศิษย์มากรายท่าน ท่านได้พูดว่า “ ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้อง ICU ไปนานแล้ว ” พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า “ข้าจะไปแล้วนะ” และกล่าวปัจฉิมโอวาทย้ำให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท “ถึงอย่างไรก็ขอให้อย่าได้ละทิ้งการปฏิบัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ ก็เหมือนนักมวย ขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า เงอะๆ งะๆ” หลังจากคืนนั้นหลวงปู่ก็กลับเข้ากุฏิ และละสังขารไปด้วยอาการสงบด้วยโรคหัวใจ ในกุฏิท่านเมื่อเวลาประมาณ ๕ นาฬิกา ของ วันพุธที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ รวมสิริอายุได้ ๘๕ ปี ๘ เดือน ๖๕ พรรษา ยังความเศร้าโศกและอาลัยแก่ ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง อุปมาดั่งดวงประทีปที่เคยให้ความสว่าง ดับไป แต่เมตตาธรรมและคำสั่งสอนของท่านยังปรากฏ อยู่ในดวงใจของ ศิษยานุศิษย์ตลอดไป
    พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕
    ธรรมโอวาท :-

    อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงปู่ดู่มักจะกล่าวเตือนศิษยานุศิษย์ ทั้งที่ใกล้ชิดและห่างไกล ตลอดจนสาธุชนญาติโยมทั้งหลาย ให้พึงสังวรอยู่เสมอก็คือ เรื่องควรงดเว้นกระทำกรรมชั่วโดยเด็ดขาด โดยท่านจะนำเอาพุทธพจน์ที่ว่า “ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า” มาเป็นข้อเตือนสติแก่ทุกคน เพราะการกระทำกรรมใด ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมเลวก็ตาม จิตของผู้นั้นจะบันทึกเก็บงำข้อมูลเอาไว้โดยละเอียด เมื่อใดที่ถึงกาลมรณะ จิตตัวนี้จะเป็นตัวชี้นำไปสู่สุคติ หรือทุคติอย่างชัดเจน
    จิตตัวนี้สำคัญนัก แม้เพียงไปยึดติดหรือข้องอยู่กับกรรมเพียงน้อยนิด ขณะใกล้จะสิ้นใจตาย ก็ยังสามารถเบี่ยงเบนจุดหมายปลายทางที่จะไปเกิดได้ ลักษณะที่จิตไปจับกรรมในขณะกำลังจะถึงมรณกาล เรียกว่า “มรณาสันนวิถี” นี้ หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวถึง พระภิกษุผู้ปฏิบัติกรรมฐานขั้นสูงรูปหนึ่ง พระภิกษุรูปนี้ หรือ อาจารย์รูปนี้เป็นที่แน่ใจว่า ไม่มีทางไปสูทุคติ หรือ ภูมิแห่งความทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน ท่านถึงกับบอกแก่บรรดาศิษย์ของท่านว่า “หากท่านมรณภาพวันใด ทุกคนจะได้ยินเสียงปี่พาทย์ราดตะโพนมารับ” (คงหมายถึง เหล่าเทวดาแสดงเสียงดนตรีสวรรค์ต้อนรับ)
    ต่อมาอาจารย์รูปนี้อาพาธ และมีอาการทรุดหนักเกินกว่าจะเยียวยารักษาได้ กระทั่งมรณภาพ ในวันมรณภาพนั้น ศิษยานุศิษย์ และทายก ทายิกา มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก เมื่ออาจารย์สิ้นลมหายใจ ทุกคนก็คิดว่า จะได้ยินเสียงปี่พาทย์ราดตะโพน แต่กลับไม่ได้แว่วเสียงอะไรเลย ทุกคนต่างพากันผิดหวังระคนเสียใจ ที่อาจารย์ของตนไม่ได้ไปดีดังที่ท่านตั้งปณิธาน และเชื่อมั่น อีกทั้งยังเกิดห่วงใยอาจารย์ไปต่าง ๆ นานา
    เหตุที่อาจารย์มิได้ไปตามวิถีดังที่ตั้งใจ หลังจากมรณภาพแล้วนั้น เนื่องจากก่อนท่านจะอาพาธ มีโยมนำอ้อยมาถวาย ท่านจึงได้นำไปปลูกไว้ และเอาใจใส่รดน้ำอยู่เสมอ จนอ้อยเจริญงอกงามขึ้น เรื่อย ๆ ขณะที่ท่านใกล้จะถึงกาลมรณภาพ เกิดคิดไปถึงอ้อยกำลังเจริญงามเต็มที่ น่าจะตัดอ้อยไปปอกถวายพระฉัน
    ด้วยเหตุที่จิตไปข้องอยู่กับอ้อย เมื่อสิ้นใจตาย จึงไปเกิดเป็นตัวเล็น ติดอยู่ที่ต้นอ้อย ไปไหนไม่รอด
    พิธีงานศพของอาจารย์ยังดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ ๗ ทายกเห็นอ้อยกำลังงาม จึงได้ตัดไปปอกเปลือกแล้วควั่นอ้อยถวายพระ เป็นโอกาสดีของอาจารย์ท่าน จึงโมทนาไม่ติดเกาะอยู่ที่นั่นอีก
    ทันทีที่อาจารย์หลุดพ้นจากอัตภาพตัวเล็น เสียงปี่พาทย์ราดตะโพนก็ดังกังวานขึ้นในอากาศ เป็นที่ประจักษ์ของผู้ร่วมงานทุกคน ทำให้ทายก ทายิกา และบรรดาศิษย์ทั้งหลาย บังเกิดความปีติปราโมทย์กันทั่วหน้า เพราะเป็นไปตามวาจาของอาจารย์ทุกประการ
    เหตุนี้ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ จึงกล่าวย้ำซ้ำเตือนตามพุทธพจน์เสมอว่า “ขึ้นชื่อว่าความชั่ว ไม่ทำเสียเลยจะดีกว่า” เพราะถ้าจิตไปยึดติดกรรมเพียงน้อยนิด ก็ยังไม่อาจไปสู่สุคติได้ ดังเช่น อาจารย์ซึ่งปฏิบัติธรรมกรรมฐานมาอย่างเคี่ยวกรำ กระทั่งจิตหมดจดสดใสแล้ว เพียงแค่เกิดความห่วงใย “อยาก" จะนำอ้อยไปถวายให้พระฉันเท่านั้น ถึงกับไปไหนไม่รอดเอาดื้อ ๆ ดังเรื่องราวซึ่งได้กล่าวมาแล้ว
    คติธรรม :-

    พระนิพพานอุปมาขนาดเท่าเส้นผม ผู้ที่จะผ่านพ้นในขั้นสุดท้ายไปได้หรอืไม่ได้อยู่เพียงนิดเดียวในการทำจิตตัดจุดนี้ได้หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านได้ปรินิพพานไประหว่างรูปฌานและอรูปฌาน เป็นการดับขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์เหนือสมมติโดยสิ้นเชิง"

    [​IMG]
    [​IMG]
    พระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร(หลวงตาม้า)วัดพุทธพรหมปัญโญ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงไหม่

    ในเรื่องของประวัติท่านหลวงตาเองขอบอกว่าหายากมากๆครับเพราะท่านเองไม่ค่อยให้ลายระเอียดเท่าใดมีครั้งหนึ่งนิตยสารโลกทิพย์ไปขอทำประวัติท่านท่านก็บอกปัดไป



    ประวัติคร่าวๆท่านเท่าที่ทราบคือท่านเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ดู่และก่อนที่หลวงปู่ดู่ท่านจะมรณภาพไปนั้นหลวงปู่ท่านก็ได้สั่งให้หลวงตาม้าขึ้นไปอยู่ที่เหนือโดยท่านได้บอกหลวงตาม้าครั้งนั้นด้วยว่า "จำไว้เองไปไหนข้าก็อยู่ด้วย"



    หลวงตาท่านได้ธุดงรอนแรมอยู่เป็นเวลานานจนได้ไปถึงถ้ำเมืองนะที่ อ.เชียงดาว ซึ่งถ้ำเมืองนะเองก็อยู่ใน ต. เมืองนะ

    [​IMG]


    และท่านก็ได้สร้างวัดขึ้นที่นั้นเรื่อยมาจนบัดนี้โดยแนวคำสอนท่านจะเน้นในด้านบุญญฤทธิ์และการสัมพัสภพภูมิต่างๆและท่านยังเดินทางไปทั่วประเทศกับคณะลูกศิษย์ไม่ว่าจะไปเป็นประธานเจ้าภาพในงานหล่อพระหรือการไปสอนกรรมฐานตามที่ต่างๆและท่านสร้างพระออกมาหลากหลายรุ่นตามสูตรหลวงปู่ดู่ โดยพระที่ท่านสร้างมานั้นเป็นที่รู้จักกันดีในทางเหนือและท่านยังชอบแจกพระผงห้อยคอให้แก่คนที่ท่านพบเจอด้วย

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    สาเหตุที่นำมาลงเนื่องจากเรื่องนี้ครับนำมาแบ่งปันกันโดยเป็นประสปการ์ณของผม

    ประสบการ์ณสนทนาธรรมกับพรหม <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]

    "ขอให้มี ขันติ ความอดทน ให้มากๆนะลูกเพราะจากโลกสภาพสังคมมนุษย์ทุกวันนี้การจะสร้างบุญบารมีในพระศาสนานั้นหากขาดข้อนี้แล้วอาจจะถอดใจไปก่อนเพราะทนต่อสิ่งเร้ายั่วยุภายนอกไม่ได้ข้อนี้จึงสำคัญมากและขอฝากไว้ทุกวันนี้สิ่งเร้ามีเยอะทุกครั้งที่ประคองจิตตนเองไม่อยู่ให้นึกถึง ความอดทนอดกลั้นไว้นะลูกแล้วเจริญเมตตาให้จิตเป็นสุขทุกขณะที่จิตตั้งในกุศลก็เป็นบุญแล้ว"

    อ่านเรื่องนี้ทำใจให้เป็นกลางสิ่งใดเป็นแก่นสารก็ขอแนะนำให้น้อมมาปฎิบัติสิ่งไหนไม่เป็นที่พอใจขอขมา มา ณที่นี้ด้วย
    <!-- / message --><!-- sig -->


    เรื่องมีอยู่ว่า

    เมื่อประมาณต้นปี...

    เป็นช่วงบ่ายที่แดดสลัวๆตัวข้าพเจ้าเองนั่งเลคเชอร์งานจากอาจารย์ในห้อง

    มองออกไปนอกหน้าต่าง...

    มองไปไกลๆสังเกตุเห็นหลังคาวัดวัดหนึ่ง ณ ตำแหน่งบริเวณพระอุโบสถ

    ด้วยความที่ข้าพเจ้ามีความวิเวกสันโดษอยู่ท้ายห้อง

    ในห้องคนอื่นๆก็ไม่ค่อยเสียงดังเพราะแทบจะหลับกันหมดแล้ว...

    ท่านอาจารย์ก็สอนไป...(วิชาคณิตถ้าจำไม่ผิด)

    ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้และประกอบกับเข้าใจบทเรียนแล้วเล็กน้อย

    จึงนั่งสงบเข้ากำหนดสมาธิพิจรณา

    สิ่งใดครูบาอาจารย์ข้าพเจ้าสอนดีแล้วก็ทำตามไม่ออกนอกกรอบ

    อารธนากำลังครูบาอาจารย์มาทั้งหมดทั้งมวลโดยมีพระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์ปฐม
    เป็นประธาน...และกำลังของหลวงปู่ครูบาอาจารย์เป็นที่สุด

    จิตรวมแล้วจึงกำหนดไป...

    ไป ณ ที่เหนือหลังคาพระอุโบสถแห่งนั้นนั่นเอง

    สำรวจดูรอบๆ

    เช่นปกติทุกครั้งมักมีอากาสเทวดานำวิมานมากระจุกรวมกันเป็นจำนวนมากบริเวณรอบๆพระอุโบสถ

    เทพระดับสูงๆขึ้นไปก็มีเช่นกัน

    สนทนาแค่พอเป็นพิธี

    กำหนดมาไม่ให้เสียเที่ยว...สวดพระพุทธมนต์ในจิตแล้วแผ่บุญให้แก่เหล่าเทพเทวดาทั้งหลาย

    รวมถึงอนุโมทนาที่มาช่วยพระศาสนาปกป้องคุ้มครองดูแลวัดแห่งนี้

    บุญใดๆที่พวกท่านทำมาดีแล้วก้อขออนุโมทนาเทิอด...

    แต่ที่สะดุดตา

    เหนือท้องฟ้าขึ้นไปมีวิมานพรหมหลังใหญ่มาประจำอยู่โดยเป็นวิมานทิพย์ที่อยู่ในชั้นของพรหม(เกร็ดความรู้:แม้ว่าวิมานจะอยู่ใกล้พื้นโลกแต่จริงๆแล้วก็ยังซ้อนกับชั้นของพรหมอยู่ด้วยนั้นเอง)

    เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวประกอบกับที่สงสัยข้อธรรมบางข้อจึงกำหนดจิตเข้าไป

    เข้าไปถึงวิมานทิพย์รัศมีสว่างไสวโน้มกราบพรหมผู้เจริญซึ่งประทับนั่งอยู่ ณ กลางวิมาน...(เข้าไปรู้สึกชุ่มชื้นและเย็นดี)

    พรหมเองเมื่อเข้าใกล้ท่านรับรู้ได้ถึงกำลังเมตตาอันสูงส่ง
    (เบื้องซ้ายข้าพเจ้าพระครูบาอาจารย์รูปหนึ่งของข้าพเจ้าแวะมาร่วมด้วย(เพราะอรธนาท่านมาแจมด้วยนี่)ท่านยิ้มให้อย่างมีเมตตาเช่นเคยบายมือไปยังตำแหน่งที่พระพรหมประทับอยู่กล่าวนัยๆว่าสนทนากับท่านสิ)

    จึงเริ่มการสนทนา(อาจคลาดเคลื่อนบ้างเพราะเที่ยวนี้หลายเดือนแล้วขอขมา)

    ข้าพเจ้า:ขอกราบสวัสดีครับไม่ทราบว่าท่านประทับวิมาน ณ ที่นี้นานหรือยังครับ

    พรหม:ตั้งแต่ก่อตั้งวัดนั้นและลูก

    ข้าพเจ้า:แล้วอาณาบริเวณนี้ละครับเป็นเช่นไรเทวดาเบื้องล่างใช่บริวารท่านไหมครับ

    พรหม:มีบางส่วนบางส่วนนั้นมาร่วมสร้างบุญรักษาพระศาสนานั้นละ

    ข้าพเจ้า:บุญอันใดนำท่านมาเป็นพรหมครับ

    พรหม:พรหมวิหาร 4 นั้นละเจริญโดยมีความเมตตาเป็นอารมณ์อย่างต่อเนื่องต่อสัตว์โลกทั้งหมดทั้งมวลละเสียซึ่งความอาฆาตพยาบาททิฐิถือตน

    ข้าพเจ้า:แต่ข้าพเจ้าเรียนมาว่าการจะมาเป็นพรหมได้นั้นต้องได้ณาณไม่ใช่เหรอขอรับ **หมายเหตุพรหมที่สนทนาด้วยเป็นรูปพรหม

    พรหม:การเจริญพรหมวิหารได้มั่นคงแล้วจิตก็ทรงอารมณ์ได้เป็นอารมณ์ที่นำมาเกิดเป็นพรหม

    รู้สึกคล้ายๆทางกายเนื้อข้าพเจ้าสภาพแวดล้อมเริ่มวุ่นวายละข้าพเจ้าจึงขอกราบลาท่าน

    ข้าพเจ้า:ขออนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลครับมาครั้งนี้ปลื้มปิติมากครับ

    กราบ...

    ข้าพเจ้า:มีข้อธรรมอันใดที่เหมาะแก่ข้าพเจ้าที่ท่านเห็นสมควรไหมครับ

    พรหม:ขอให้มี ขันติ ความอดทน ให้มากๆนะลูกเพราะจากโลกสภาพสังคมมนุษย์ทุกวันนี้การจะสร้างบุญบารมีในพระศาสนานั้นหากขาดข้อนี้แล้วอาจจะถอดใจไปก่อนเพราะทนต่อสิ่งเร้ายั่วยุภายนอกไม่ได้ข้อนี้จึงสำคัญมากและขอฝากไว้ทุกวันนี้สิ่งเร้ามีเยอะทุกครั้งที่ประคองจิตตนเองไม่อยู่ให้นึกถึง ความอดทนอดกลั้นไว้นะลูกแล้วเจริญเมตตาให้จิตเป็นสุข
    ทุกขณะที่จิตตั้งในกุศลก็เป็นบุญแล้ว

    ข้าพเจ้า:ข้อน้อมรับมาเป็นข้อเตือนใจและปฎิบัติครับ

    กราบลาท่านหันมากราบลาหลวงปู่กำหนดจิตกลับกายเนื้อกายเนื้อฟุบอยู่บนโต๊ะเงยขึ้นมาเลคเชอร์ต่อโดยไม่มีใครสังเกตุว่าข้าพเจ้าฟุบไปครู่หนึ่ง
    (เพราะคนอื่นก็ฟุบแต่ฟุบหลับ)

    ขอนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลกับทุกๆท่านด้วย

    หมายเหตุ* ภาษาที่ใช้สนทนาเป็นภาษาจิตเมื่อจิตกระทบจิตก็รู้ความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อแล้วแล้วสมอง หรือสัญญาด้านภาษาหรือญาณนำมาแปลเป็นภาไทยให้เข้าใจ.......

    หมายเหตุ* สววรค์ก็ใช้ภาษาจิตส่วนพวกภาษาเทพต่างๆที่คนสัมพัสกันแล้วบอกว่ามีหลายๆภาษาแตกต่างกันก็เป็นเพราะระดับความละเอียดของจิตของเทวดาที่อยู่ในสววรค์แต่ละชั้นที่เทวดาหรือพรหมเหล่านั้นอยู่นั้นเอง.......



    คำเตือน-นี้ยังไม่ใช่หนทางสูพระนิพพานโดยตรง

    ยังอยู่ในช่วงการสร้างบารมีและศึกษาสังสารวัฎอันนี้


    ใครที่ต้องการไปพระนิพพานให้เร็วที่สุดก็ขอให้ไปเทิอดครับ

    อย่ามาเสียเวลาตรงนี้รีบตัดความยึดถือในขันธ์ 5 ให้เร็วที่สุดจิตเกาะพระนิพพานไว้เป็นอารมณ์

    แต่หากใครยังไม่รีบก็มาแจมกัน

    มาสร้างบารมีร่วมกัน

    เพื่อพระศาสนาในภายภาคหน้า

    สุดแท้แต่ใครจะปราถนาอะไรไว้

    สาวกภูมิ ปัจเจกภูมิ ...และ...พุทธภูมิ

    มาประคองจิตตนกันเพื่อเวไนยสัตว์เถอะครับ

    อะไรที่เป็นประโยชน์มาแบ่งปันกัน

    อะไรที่ตนทำได้ที่จะเป็นประโยชน์เพื่อพระศาสนาก็ทำเถอะครับ

    ขออนุโมทนานะครับ....

    ______________

    เวลาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลหลายๆคนชอบลืมเทวดาประจำตัวกัน

    อย่าลืมพวกเขานะครับ

    หากคุณหมั่นแผ่ให้

    พวกเขามีแต่จะเยอะขึ้น

    กำลังเพิ่มขึ้น

    และจะช่วยคุณได้มากทั้งตอนนี้และต่อไปในภายภาคหน้า

    แต่ขอให้มีศีล 5 เป็นพื้นฐานกันนะครับ

    จึงจะนับว่าเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

    และพึงสังวรไว้ว่า กรรมไม่มีใครใหญ่เกินขอให้หมั่นทำดี

    แต่ใม่ใช่ให้กลัวกรรม

    แค้ต้องการให้เข้าใจตามสภาพ

    ขอให้เจริญในธรรมกันครับ.................

    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    อ๋อลืมบอกไปนะครับ Wisdom กับ Messenger เป็นคนดียวกันนะครับ

    แต่ผมจะใช่ชื่อ Wisdom ในโอกาสทำเกี่ยวกับงานบุญการติดต่อการแจกพระหรืออะไรๆที่เกี่ยวกับการจัดการ

    แต่ชื่อ Messenger นี้เรื่องการภาวนาล้วนๆครับหากผมมาโดยใช้ชื่อนี้ก็หมายถึงว่าสนทนาธรรมล้วนๆครับ

    จึงขอบอกกล่าวตั้งเป็นข้อสังเกตุไว้ด้วยและสาเหตุที่ทำแบบนี้จะได้แบ่งความสำคัญให้ถูกด้วยไม่เอางานกับธรรมมาปนกัน
    ซึ่งสูตรนี้ผมก็ใช้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน
    (verygood) ​
     
  4. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    LINK กระทู้ต่างๆที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับแนวคำสอนและเรื่องราวของหลวงปู่ดู่และลูกศิษย์เอกของท่านหลวงตาม้า

    ประสบการ์ณสนทนาธรรมกับพรหม
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?p=286392#post286392

    พระผงหลวงปู่ทวดพิมพ์เปิดโลกสร้างโดยพระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร(หลวงตาม้า
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=45224

    บทสวดของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ที่หลวงตาม้าท่านแนะนำลูกศิษย์
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=45443

    สนใจร่วมบุญค่าจัดส่งพระบูชาพระหรือทำบุญกับ หลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    ติดต่อผมได้ที่ Wisdom 05-7334168


    หรือเมล์

    nikolaas_bs@hotmail.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2006
  5. ธรรมจักร

    ธรรมจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    700
    ค่าพลัง:
    +4,151
    ผมขอไว้บูชาสักองค์นะครับถ้ายังพอมีอยู่เพราะศรัทราหลวงปู่ดู่อยู่แล้วท่านเป็นพระดีมาก26/1หมู่1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี11140
     
  6. ธรรมจักร

    ธรรมจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    700
    ค่าพลัง:
    +4,151
    ผมขอไว้บูชาสักองค์นะครับถ้ายังพอมีอยู่เพราะศรัทราหลวงปู่ดู่อยู่แล้วท่านเป็นพระดีมาก26/1หมู่1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี11140
     
  7. manote

    manote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +6,000
    ขอบคุณคุณ Wisdom & Messenger มากครับ
    ขออธิฐานเช่นกันครับ
    อิมินา ปุญญะกัมเมนะ พุทโธ โหมิ อะนาคะเต กาเล
     
  8. mc

    mc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    599
    ค่าพลัง:
    +5,633
    ขอบพระคุณมากครับ และขออนุโมทนาบุญกับคุณwisdom ด้วยครับที่นำพระดีๆมาแจกและข้อมูลหลวงปู่ดู ไม่เคยทราบปรวัติท่านมาก่อน ขอบคุณครับ สาธุ....................
     
  9. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    ขอลงข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อยนะครับพอดีเพิ่งได้ข้อมูลมาจากลูกศิษย์หลวงตา

    หากใครต้องการทำบุญไปที่วัดของหลวงตาม้าโดยตรงนะครับสามารถโอนเงินเข้าบัญชีของทางวัดพุทธพรหมปัญโญได้เลยนะครับที่

    ชื่อบัญชี พระวรงคต วิริยธโร

    หมายเลขบัญชี 383-223-9258

    ธราคาร กสิกรทย

    สาขามูลเมือง จ.เชียงใหม่

    จึงประกาศมาโดยถ้วนหน้าและขออนุโมทนากับผู้ที่มีจิตกุศลทุกๆท่านด้วยครับ
     
  10. Paully99

    Paully99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +133
    ขอโมทนารับ 1 องค์ครับ

    พิพัฒน์ โชติจิระอาภา
    101/62 หมู่บ้านซื่อตรง ถ.รัตนาธิเบศร์
    ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
     
  11. Paully99

    Paully99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +133
    ขอโมทนารับ 1 องค์ครับ

    พิพัฒน์ โชติจิระอาภา
    101/62 หมู่บ้านซื่อตรง ถ.รัตนาธิเบศร์
    ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
     
  12. loveg

    loveg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +1,079

    ได้รับพระแล้วครับ ขอบคุณมากครับ
     
  13. บางคน

    บางคน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +27
    ในหลวงท่านชอบสอนให้ทำดี โดยปิดทองหลังพระด้วย

    เพราะถ้าไม่มีคนปิดทองข้างหลัง พระจะเป็นพระที่งามสมบูรณ์ได้อย่างไร



    บางที ด้วยเหตุผลนี้ครูอาจารย์หลายท่านไม่ใคร่บอกเล่าประวัติตนเอง

    หลายท่าน ทำงานในที่ลับ จะสะดวกที่จะทำให้งานสมบูรณ์ได้ยิ่งๆขึ้น

    ควรมีในหลวงท่านเป็นตัวอย่าง และเหล่าข้าราชบริพารที่ทำงานหนักเพื่อท่านโดยไม่เปิดเผยตัวด้วย

    เหล่าผู้มุ่งมั่นในโพธิญาณทั้งหลาย

    เมื่อโมทนาต่อมรรค ผล การสร้างบารมีอันยิ่งของผู้อื่น และผู้บำเพ็ญด้วยกันแม้อายุเขาจะน้อยกว่าก็ตาม จะทำให้ท่านสำเร็จมุฑิตาเจโตวิมุติ ได้ง่าย
    ขึ้นด้วย การกระทำบารมีข้อที่บกพร่องอยู่จะง่ายขึ้นด้วย

    อายุขัย บำเพ็ญก่อน-หลัง ความพิสดารในการกระทำต่างๆไม่ใช่เครื่องวัดความเต็มเปี่ยมแห่งกำลังใจ
    แต่ใจที่กว้าง-เบาเหมือนฟ้า แต่ หนักแน่นดังแผ่นดิน จึงจะโปรดสัตว์ได้มากและฟ้า-ดิน หวั่นไหวยอมรับ


    โมทนา กับ สิ่งดีที่ทำ

    อย่าประมาท เพราะ กับดักแห่งมาร นั้นยังมีอีกมาก
    <!-- / message -->
     
  14. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]
    ระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลี ศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ วัดหน้าพระเมรุ


    พระองค์อินทร์ ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสร้างวัดหน้าพระเมรุเมื่อ พ.ศ.2046 เดิมชื่อ วัดเมรุราชิการาม อยู่ริมสระบัว ตรงข้ามพระราชวังหลวง ครั้งแผ่นดินพระมหา จักพรรดิ์ได้ทรง ตั้งพลับพลาระหว่างวัดหน้าพระเมรุและวัดหัสดาวาสเป็นที่ทำสัญญาสงบศึกกับ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง สถาปัตยกรรมของวัดอยู่ในสมัยอยุธยาตอนต้นคือ พระอุโบสถไม่มี หน้าต่างแต่เจาะช่องไว้เป็นลูกกรง พระประธานเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ทรง เครื่องปราง มารวิชัย งดงามเป็นที่ยิ่ง หน้าบันไม้สักลงรักปิด ทองสลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ หยุดเศียรนาคหน้าราหูล้อมรอบด้วยหมู่เทพพนม 26 องค์ ตรงอาสนสงฆ์มีจารึก เป็นกาพย์ ์สุภาพและกาพย์ยานี วัดหน้าพระเมรุได้รับการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วิหารน้อยหรือ วิหารเขียน มีบานประตูไม้แกะสลักฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ภายในเคยมีจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบปัจจุบันลบเลือนมาก และมีพระพุทธรูปประทับห้อย พระบาทสมัยทวารวดีประดิษฐานอยู่
     
  15. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    ช่วงนี้พระที่ส่งไปคงจะทยอยได้รับกันเร็วๆนี้แล้วครับยังไงก็ช่วยเข้ามารายงานผลการส่งนะครับหากได้รับแล้วขอขอบพระคุณและอนุโมทนาล่วงหน้า
     
  16. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    หากใครต้องการทำบุญไปที่วัดของพระอาจารย์วรงคต วิริยธโร(หลวงตาม้า)โดยตรงนะครับสามารถโอนเงินเข้าบัญชีของทางวัดพุทธพรหมปัญโญ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว
    จ.เชียงใหม่ได้เลยนะครับที่

    ชื่อบัญชี พระวรงคต วิริยธโร
    หมายเลขบัญชี 383-223-9258
    ธนาคาร กสิกรไทยสาขามูลเมือง จ.เชียงใหม่

    หากมีข้อสงสัยใดๆ
    ติดต่อผมได้ที่ Wisdom / Messenger 05-7334168 (คุณนิก)
    หรืออีเมล์
    nikolaas_bs@hotmail.com <!-- / sig -->
     
  17. พงศ์

    พงศ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +845
    ขออนุโมทนาบุญครับ

    ผมได้รับพระแล้วครับ

    ภาณุพงศ์
     
  18. taewy

    taewy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ขออนุโมทนาค่ะ ได้รับพระแล้ว แต่ว่าขอไปองค์เดียวแต่ได้มา 2 องค์ ค่ะ ไม่รู้ว่าส่งผิดรึเปล่า
     
  19. chakrawut

    chakrawut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +76
    ถ้าไม่เป็นการรบกวนขอบูชา ลป.ทวด 2 องค์ครับ (เผื่อให้ลูกครับ)
    วาลิส นาคงศรี
    54/186 ซ.สนอง ถ.เพชรเกษม 81 แขวงหนองค้างพลู
    เขตหนองแขม กรุงเทพ 10160

    ขออนุโมทนาครับ
     
  20. roy04

    roy04 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +350
    วันนี้ได้รับพระแล้วครับ ขอบคุณมาก
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...