กรรมเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NUI, 26 กรกฎาคม 2006.

  1. NUI

    NUI เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    389
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +983
    กรรมเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กรรมแปลว่าการกระทำ การกระทำแบ่งออกเป็น๒ฝ่าย คือกรรมฝ่ายดีและกรรมฝ่ายชั่ว กรรมฝ่ายดีเรียกว่ากุศลกรรม ส่วนกรรมฝ่ายชั่วเรียกว่าอกุศลกรรม<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เราสามารถพิสูจน์กรรมและผลกรรม<o:p></o:p>
    ทำอะไรได้อย่างนั้น เช่นถ้าเราอยากสอบได้เราต้องอ่านหนังสือ ถ้าเราไม่อ่านหนังสือเราก็สอบไม่ได้(อ่านคือกรรม) สอบได้คือผล(วิบาก) , ถ้าเราอยากได้ผลมะม่วงเราต้องปลูกมะม่วง และถ้าเราอยากได้ทุเรียนเราต้องปลูกทุเรียน แต่ถ้าเราอยากได้ทุเรียนแต่กลับไปปลูกตำแยเราจะได้ทุเรียนได้ไง เช่นเดียวกับการทำกรรมดีกรรมชั่ว เราอยากได้ผลกรรมดีแต่เราชอบทำกรรมชั่วแล้วผลแห่งกรรมดีจะเกิดขึ้นกับเราได้หรือ ผลที่จะได้รับย่อมเป็นผลของกรรมชั่ว <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คนที่ไม่เข้าใจกรรมสำคัญผลกรรมผิด<o:p></o:p>
    เช่นอยากปลูกมะม่วงไว้ในสวนเพราะต้องผลการมะม่วงไปรับประทานหรือไปขาย แต่ไม่รู้จักต้นมะม่วงเป็นอย่างไร เมื่อพบต้นตำแยจึงสำคัญว่าต้นตำแยเป็นต้นมะม่วงนำตำแยไปปลูกในสวน ถึงเวลาที่คิดว่าน่าจะเก็บเกี่ยวผลได้แล้ว แต่กลับไม่มีผลมะม่วงให้เก็บ มีแต่ใบตำแยเข้าไปใกล้ไปสัมผัสถูกเกิดอาการคันไปทั่ว ฉะนั้นอยากได้ผลมะม่วงก็ต้องนำต้นมะม่วงมาปลูก อยากได้ผลทุเรียนก็ต้องนำต้นทุเรียนมาปลูก ถ้านำต้นผิดมาปลูกก็จะไม่ได้ผลตามที่ต้องการ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เช่นเดียวกับคนที่สำคัญกรรมผิดไปค้ายาเสพติด,ยาบ้าเป็นต้น คิดว่าการค้าครั้งนี้ทำให้รวยง่ายและรวยเร็วได้เงินสบาย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนงานสุจริตอย่างอื่นซึ่งเหน็ดเหนื่อยและรวยยาก และไม่สนใจว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทำลายคนในชาติคิดแต่ได้เพียงผู้เดียวไม่คิดถึงสังคม ผลสุดท้ายหนีไม่พ้นมือของตำรวจถูกจับจำคุกเพราะสิ่งที่ทำ นี่คือผลกรรม<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    บางคนเข้าในเรื่องกรรมผิด เช่นบางคนเข้าใจว่าการทำบุญให้ทานนั้นทำให้ตนต้องจนลงเสียเงินไปเปล่าๆฟรีๆ คนทำบุญทำทานเป็นคนโง่ คนงมงาย เป็นต้น ไม่อยากเป็นผู้ให้ไม่อยากเป็นผู้เสีย อะไรที่ได้ฟรีเอาเพราะมันได้ แต่อะไรที่ทำให้เสียไม่อยากเสียเพราะมันต้องเสีย ถ้าคนเราคิดแบบนี้กันหมดทุกคนภายในสังคมก็จะไม่เอื้ออาทรกัน ไม่ช่วยเหลือสงเคราะห์ สงสารกัน จะมีแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ มีแต่ความละโมบขาดความเห็นใจผู้ที่ด้อยกว่าและผู้ที่เดือดร้อน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การทำบุญทำทานช่วยเหลือสังคมบำรุงศาสนานั้น มีอานิสงส์ที่เห็นได้ก่อนคือได้รู้จักเสียสละในสิ่งที่มีอยู่เพื่อผู้อื่น รู้สึกคลายความโลภไปบ้างไม่มากก็น้อย และมีอานิสงส์ในตัวที่ให้ผลต่างกาลต่างเวลาไปตามเหตุปัจจัยของกรรมแต่ละบุคคล บางคนเห็นผลของบุญทานส่งให้เร็ว บางคนผลของบุญทานส่งให้ช้าจนแทบนึกว่าบุญทานนั้นไม่มีผลจริง <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เพราะผลบุญทานนั้นไม่สามารถแสดงให้เห็นผลทันทีทันใด ไม่สามารถเห็นผลในชาตินี้คืออาจไปมีผลส่งผลในชาติต่อไป เป็นต้น บางคนจึงไม่เชื่อว่ากรรมนั้นมีจริงและมีผลวิบากจริงๆ จึงเข้าใจว่ากรรมและผลของกรรมเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเรื่องของคนล้ายุคล้าสมัย ไม่ใช่เรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้เห็นผลทันทีทันใด <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การส่งผลของบุญของทานนั้นจะช้าหรือเร็วเกิดจากปัจจัยหลายๆอย่าง แต่ละคนมีเหตุปัจจัยแต่ละอย่างไม่เหมือนกันไม่เท่ากัน <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เปรียบได้กับการปลูกต้นมะม่วงเพื่อให้ได้ผลมะม่วงรับประทานหรือสำหรับไปขาย โดยสมมติว่าการทำบุญคือการปลูกต้นมะม่วง พันธ์ของมะม่วงคือสิ่งที่เราเอาไปทำบุญทำทานเช่นสิ่งของต่างๆหรือเงิน เป็นต้น ดินที่ปลูกมะม่วงคือผู้ที่รับของที่เราให้ การดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืชและแมลงรบกวน เปรียบกับขณะที่ผู้ทำบุญนั้นมีจิตใจดีขณะที่ให้ทานหรือทำบุญ ผลของบุญเปรียบดั่งกับผลมะม่วง <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เฉกเช่นเราคิดจะปลูกต้นมะม่วงในสวนของเรา เพื่อเก็บผลรับประทานหรือขายก็ตาม เราต้องเตรียมหาต้นมะม่วงตามพันธ์ที่เราต้องการเช่นต้องการปลูกมะม่วงพันธ์เขียวเสวย หรือพันธ์น้ำดอกไม้ หรืออาจจะเป็นมะม่วงพันธ์เปรี้ยวก็แล้วแต่ผู้ปลูก พันธ์ที่ดีก็ต้องลงทุนหาซื้อมาแพงหน่อย พันธ์ที่ถูกๆรสชาติไม่อร่อยอาจมีคนให้มาฟรีๆหรือหาซื้อในราคาถูกๆ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อได้ต้นได้พันธ์แล้ว ก็มาลงมือปลูกในดินที่มีอยู่ เจ้าของที่ดินบางคนมีที่ดินดีปุ๋ยดีดินร่วน บางคนมีที่ดินเป็นดินเหนียว บางคนมีที่ดินเป็นดินทราย เป็นต้น เมื่อปลูกแล้วเจ้าของสวนบางคนดูแลรดน้ำต้นมะม่วง และใส่ปุ๋ยกำจัดวัชพืชและแมลงที่รบกวน เจ้าของสวนบางคนปลูกแล้วปล่อยปละละเลยตามเลยไม่สนใจดูแล ทีนี้ตอนถึงเวลามะม่วงออกดอกออกผล เจ้าของสวนที่มีปัจจัยต่างๆกันไม่ว่าจะพันธ์ของมะม่วง ดินที่ปลูก การดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ยต้นมะม่วง การกำจัดวัชพืชและแมลงรบกวน ส่งผลให้มะม่วงออกดอกออกผลช้าเร็วต่างกัน ติดผลมากน้อยต่างกัน ผลเล็กผลใหญ่ต่างกันตามสายพันธ์และการดูแล รสชาติต่างกันหวานหรือเปรี้ยวตามสายพันธ์ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฉะนั้นกรรมของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน และผลของกรรมจึงส่งผลต่างกันต่างกาลต่างเวลา เพราะต่างเหตุต่างปัจจัยกัน เฉกเช่นการปลูกมะม่วงของแต่ละคน แล้วบางคนก็ไม่ได้ปลูกเพียงต้นมะม่วงอย่างเดียวปลูกพืชผสมผสาน อาจปลูกมะละกอไว้บ้าง ปลูกพริกขี้หนูด้วย ปลูกกระเพราบ้าง เป็นต้น ( กรรมดี ซึ่งกรรมแต่ละอย่างไม่เหมือนกันเหมือนปลูกต้นไม้แต่ละชนิด จะเป็นต้นไม้ยืนต้นหรือพืชล้มลุก ก็ตามแต่ละชนิด จะใช้เวลาให้ผลช้าเร็วไม่เท่ากัน เช่นปลูกมะม่วงใช้เวลานานหน่อยกว่าจะให้ผล ส่วนพริกจะใช้เวลาปลูกให้ผลเร็ว เป็นต้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เช่นเดียวกับกรรมของการทำทาน กรรมของการรักษาศีล กรรมของการปฏิบัติกรรมฐาน เปรียบได้กับการปลูกพืชแต่ละชนิดเป็นกรรมต่างกันให้ผลต่างกัน ( ถ้าปลูกแล้วเป็นอาหารเป็นยาก็เปรียบเป็นกรรมฝ่ายดี ) บางคนอาจแอบปลูกกัญชา แอบปลูกฝิ่น มีหญ้าวัชพืช( กิเลสต่างๆ)แซมอยู่ในสวนด้วย (เปรียบเป็นกรรมฝ่ายไม่ดี) เราควรคอยถอนต้นหญ้าต้นวัชพืชต่างๆที่ไม่เป็นประโยชน์ (ละความชั่ว) เพื่อไม่เบียดเบียนแย่งน้ำแย่งอาหารแย่งปุ๋ยกับต้นไม้ที่ให้คุณให้แก่เรา ซึ่งเก็บผลทานได้ (ความดี) เราจึงจะได้รับผลของกรรมดีไม่มีผลของกรรมชั่วมาคอยเบียดเบียน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การทำบุญให้ทานนั้นมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ผลบุญทานนั้นสมบูรณ์หรือบกพร่องต่างกัน ๓ เหตุปัจจัย<o:p></o:p>
    ๑. ผู้ให้นั้นขณะที่ทำบุญให้ทานมีจิตใจดีบริสุทธิ์หรือไม่<o:p></o:p>
    ๒. สิ่งของหรือปัจจัยต่างๆที่ทำบุญให้ทานนั้นได้มาโดยบริสุทธิ์ หรือไม่ ( ยกตัวอย่างบางคนไปแอบสอยมะม่วงข้างบ้านมาทำบุญ นั่นคือทานที่ไม่บริสุทธิ์เป็นทานที่ได้มาจากการผิดศีลข้อ๒ ลักทรัพย์ เป็นต้น)<o:p></o:p>
    ๓. ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ มีคุณธรรมหรือไม่ ( เปรียบได้กับดิน,นา ถ้าหว่านเมล็ดพืชลงไป ดินดีนาดีย่อมทำให้พืชเจริญเติบโตเร็ว ถ้าได้ดินไม่ดีนาไม่ดีเมล็ดพืชที่หว่านลงไปย่อมไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร แคระแกนตามเหตุปัจจัย เป็นต้น )<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เหตุปัจจัยแห่งกรรมเก่าในชาติก่อนมีผลมาให้เห็นในชาตินี้จริง อย่างน่าสนเท่ห์<o:p></o:p>
    เราสามารถดูได้จากคนรอบข้างคนภายในสังคมเดียวกันหรือสังคมภายนอกก็ตาม เราจะมองเห็นว่าบางคนทำไมเขาจึงมีฐานะดีมีบ้านสวยรถแพงๆ ได้เกิดกับพ่อแม่ที่ร่ำรวย ทำไมบ้างคนเกิดมาสวย,หล่ออย่างพระเอกนางเอก บางคนทำไมจึงแขนขาพิการ บางคนทำไมขี้ริ้วขี้เหร่ บางคนจนหาเช้าไม่พอกินถึงค่ำ เป็นต้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สงสัยหรือไม่ว่าทำไมคนแต่ละคนจึงแตกต่างกัน บ้างต่างกันราวฟ้ากับดิน ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของกรรมที่แต่ละคนทำมาในอดีตชาติ ส่งผลให้ปัจจุบันชาติมีวิถีชีวิต รูปร่างหน้าตา ความเป็นอยู่ต่างระดับกัน เรื่องกรรมจึงไม่ใช่เรื่องงมงาย ไร้สาระ และพิสูจน์ได้เห็นได้จริง ทำกรรมดีตั้งแต่วันนี้มีผลให้รับสิ่งที่ดีในวันหน้า แต่อย่าลืมละความชั่ว ถ้าทำกรรมดีผสมกรรมชั่วด้วยทำให้ส่งผลเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุข ๓เดือนสุข๔เดือนทุกข์ เป็นต้น คละเคล้ากันเพราะทำทั้งดีทั้งชั่วคละกัน <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตัวอย่างเรื่อง นายจอซื้อหวยบนดินถูกรางวัลที่๑ สามใบ ดีใจสุดชีวิต (ผลกรรมดีทำไว้ชาติก่อนเคยทำบุญใหญ่) จึงซื้อของเครื่องใช้เครื่องเสียง รถใหม่ราคาแพง ฯลฯ อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา มีหัวขโมย รู้ว่าบ้านนี้ถูกรางวัลที่๑ ซื้อของใช้มีเงินทองมากมายเก็บไว้ภายในบ้าน จึงงัดแงะเอาไป ทำให้นายจอเกือบหมดตัว (ผลกรรมชั่วทำไว้ชาติก่อนเคยเกิดเป็นโจรปล้นเขากิน แต่ก็ได้เอาเงินไปทำบุญใหญ่ด้วย แบบว่าโจรมีศรัทธาทำบุญ) ผลกรรมดีกรรมชั่วจึงส่งผลให้เป็นดังนี้ เป็นต้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เรื่องอโหสิกรรมสำคัญมาก<o:p></o:p>
    เนื่องจากการทำอกุศลกรรมคือกรรมฝ่ายไม่ดีกรรมชั่วนั่นเอง เช่นเราเคยไปทำร้ายเขา เขาเจ็บปวดเกิดความโกรธจึงแก้แค้นตามจ้องเล่นงานเอาคืนกับเรา เมื่อเขาทำเราเจ็บได้แล้ว เราก็โกรธเคืองแค้นหวังเล่นงานเอาคืนเช่นกัน โกรธกันไปโกรธกันมาทำร้ายกันไปทำร้ายกันมาจนตายกันไปข้างหนึ่ง ฝ่ายตายก็ผูกใจเจ็บก่อนตายว่าจะไปเอาคืนชาติหน้า ชาติต่อไปก็เกิดมาเจอกันก็จองเวรกันอีกไม่จบสิ้น ถ้าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพักรบ อโหสิกรรมให้ก่อนก็ยังจองเวรจองกรรมกันไปเรื่อยๆหาจบสิ้นไม่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตระหนักถึงโทษของกรรมขออโหสิกรรม ฝ่ายตรงข้ามแม้จะยังมีโทสะแรงกล้าอยู่ก็ตามก็จะโอนอ่อนผ่อนไป (ตบมือข้างเดียวไม่ดัง) เป็นเหตุให้เว้นจากการเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...