สะเดาะเคราะห์ สะเดาะกรรม มีจริงหรือ ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 23 มิถุนายน 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    [​IMG]

    รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เนต


    เป็นคำถามฮิตกันมากครับในยุคนี้
    ข้อเขียนวันนี้อาจจะไปขัดใจบางท่านเข้าก็เป็นได้ เพราะผมกำลังจะบอกว่า
    ไม่มีหรอกครับที่จะมาสะเดาะเคราะห์ สะเดาะกรรม ได้
    ไม่มีจริง ๆ ครับ
    "กรรม" คือการกระทำ เมื่อเป็นการกระทำ ก็ต้องมีผล และมีการชดใช้
    ไม่ชดใช้ก็ไม่หมดหรอกครับ ไม่มีการให้คนอื่นมารับแทน หรือทำแทน
    ใครทำกรรมอย่างไรไว้ คน ๆ นั้นก็ต้องรับเอง
    ทำเอง ก็ต้องรับเองครับ

    ที่ผมบอกว่าไม่มีใครสะเดาะเคราะห์ สะเดาะกรรมได้ ก็เพราะว่า แม้แต่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ยังทรงต้องชดใช้กรรม
    บางท่านอาจจะแย้งว่า ไหนว่าพระอรหันต์ ท่านอยู่เหนือกรรมอย่างไรล่ะ ?
    ไม่เถียงครับ ว่าพระอรหันต์ท่านอยู่เหนือกรรม
    แต่จะอยู่เหนืออย่างไร และเพราะอะไรท่านถึงอยู่เหนือกรรมทั้งหลายทั้งปวง ผมไม่ทราบครับ เพราะผมไม่ใช่พระอรหันต์
    และสูงเกินกว่ามันสมองและสติปัญญาของผมที่จะรู้ได้
    พระอรหันต์ท่านไม่มีกรรมแน่ ๆ แต่อย่าลืมนะครับว่า พระอรหันต์ไม่ใช่เกิดมาปุ๊บก็เป็นพระอรหันต์เลย ต้องผ่านชีวิตผ่าน
    ร้อนผ่านหนาว ผ่านกิเลสมาบ้างไม่มากก็น้อย
    ไม่ชาตินี้ก็ชาติที่แล้ว ยังไง ๆ ก็ต้องเคยทำ "กรรม" มาก่อน
    เพราะฉะนั้นเมื่อพระอรหันต์มาเกิด ก็ยังคงต้องรับกรรมก่อน ก่อนที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์
    เพราะเป็นกรรมที่ทำก่อนจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
    แต่นับตั้งแต่วินาทีที่ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ วินาทีนั้นท่านจะหมดกรรม ไม่มีกรรม อีกต่อไป
    พระพุทธเจ้าเองก็ทรงเป็นเช่นนั้น
    ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเป็นพระอรหันต์ และทรงเป็นหัวหน้าพระอรหันต์ทั้งปวง ท่านก็ยังคงต้องรับกรรม ก่อนหน้าที่
    พระองค์จะทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
    ยังทรงต้องมีการเจ็บไข้ได้ป่วย ให้พระเดชพระคุณ ท่านบรมครุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์ ถวายการรักษา (ท่านพ่อหมอผู้นี้เก่ง
    ระดับโลกนะครับ เมื่อ 2540 กว่าปีนี่ ท่านสามารถผ่าตัดสมองคนได้ด้วยครับ เรื่องนี้ถ้าท่านสนใจ ผมจะหามาให้อ่านกัน ด้วยสำนึก
    ในความเป็นพระอาจารย์ที่ดีสุดยอด)
    ยังคงโดนลอบทำร้ายจากพระเทวทัต จนถึงพระโลหิต (เลือดตกยางออก) ทรงโดนทำร้ายจากพระเทวทัตโดยการกลั่นแกล้ง
    ต่าง ๆ นานา
    ต้องโดนคนนินทาว่าร้าย (คนที่ไม่เชื่อในพุทธศาสนา)
    ต้องทรงเหนื่อยกับการเดินทางไปโปรดสัตว์
    นี่ก็เป็นกรรมที่พระองค์ต้องชดใช้ครับ
    ใช่ว่าจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะสบายอย่างที่ใคร ๆ คิด
    เหมือน "ในหลวง" ของคนไทย
    ทรงประสูติมาในฐานะที่สูงส่งอย่างนั้น สูงกว่าชนทั้งปวง แต่ทุกวันนี้ยังทรงเสด็จพระราชดำเนิน ไปไหนต่อไหน เพื่อไป
    "เยี่ยมเยียน ดูแล" และพระราชทานความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อคน ต่อชุมชน ต่อองค์การ เพื่อให้เกิดความสุขทั่วไป
    ผมไม่เคยเห็นคนที่มีฐานะเช่นพระองค์ท่านคนไหนในโลกที่เป็นอย่างนี้ !!!
    ที่ (ทรง) เหนื่อยตลอดชีวิต เพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อพระองค์เองเลย
    ขอโทษครับ ออกนอกไปนิด ก็เพราะชื่นชม และเทิดพระองค์อยู่เหนือเกล้าน่ะครับ
    เห็นมั้ยครับว่าพระพุทธเจ้าท่านเองก็ยังต้องทรงรับกรรม
    สุดยอดขนาดพระพุทธเจ้ายังคงต้องรับกรรม พระองค์ไม่ได้สะเดาะเคราะห์กรรมให้พระองค์เองเลย
    ก็ขนาดพระองค์ยังไม่สามารถสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมของพระองค์เองได้เลย
    นับประสาอะไรกับพระรูปต่าง ๆ เกจิอาจารย์เก่ง ๆ หลายคน หรือใครก็ตาม จะมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมได้
    เหลวไหลทั้งนั้นครับ

    แต่ก็ยังมีพิธีหรือการกระทำอย่างนี้บ่อย ๆ หลายที่กับหลายคนหลายรูป
    แยกแยะได้ว่า
    1. ทำไปเพราะไม่รู้ความเป็นจริงว่าไม่มีทางสะเดาะกรรมได้ เพราะคิดว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นพ่อรุ่นปู่ จากครูบา
    อาจารย์ ว่าพิธีแบบนี้แหละที่สามารถช่วยได้ หรือตัวเองมีความรู้ผิด ๆ คิดว่าน่าจะสะเดาะกรรมได้
    2. ทำไปเพราะรู้ แต่เนื่องจากเห็นแก่ญาติโยมว่ากำลังมีทุกข์ หวังจะให้ "กำลังใจ" มากกว่าความเป็นจริงหรือ ธรรมะ
    เป็นเพียงกำลังใจ หรือกุศโลบาย (อุบายอันเป็นกุศล) พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพระ พิธีที่ทำก็มีตั้งแต่สวดมนต์ ทำบังสุกุลเป็น บังสุกุล
    ตาย ผูกด้ายสายสิญจน์ ทำเทียน ต่ออายุ ใส่บาตรพระ ฯลฯ พวกนี้ยังไม่เท่าไหร่ เพราะทำไปด้วยเจตนาที่ดี แต่ต้องหมายความว่าไม่
    เรียกร้องเงินทอง หรือปัจจัย
    3. ทำไปเพราะหวังอยากได้เงินทอง หรืออามิสสินจ้าง พวกนี้กะ "ฟัน" ลูกค้าอย่างเดียว มีทั้งพระและฆราวาส มีตั้งแต่
    ทำบุญ ทำสังฆทาน (ส่วนใหญ่จะเป็นจำนวนเงินไม่น้อย อาจจะบอกว่าต้องทำสังฆทานเท่าอายุ แล้วคนที่มีอายุน้อย ๆ น่ะ เค้าจะ
    ไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์กันทำไม ต้องโน่น 30 ขึ้นไป สังฆทานถูก ๆ กระป๋องละ 200 บาท คูณ 30 ก็ 6,000 แล้ว)
    สร้างพระ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างศาลาการเปรียญ บริจาคโลงศพ (บริจาคกันจัง) และหนทางเสียเงินอีกมามากมาย
    โดยเฉพาะตามตำหนักทรงนั้น ชอบเรียกร้องให้ทำเงินกันเหลือเกิน บางทีอาจจะพูดแบบเหมือนไม่ต้องใช้เงิน แต่ฟังดี ๆ หรือฟัง
    ด้วยความเป็นจริงจะรู้ว่าตำหนักทรง หรือแม้แต่วัดบางวัดก็ตามเถอะครับ แฝงด้วยการ "ดูดทรัพย์" ของชาวบ้านที่มาให้ทำพิธีทั้งนั้น
    พวกนี้เลวครับ เป็นกาฝากศาสนา เป็นกาฝากสังคมจริง ๆ
    พระที่ทำอย่างนี้ อย่าเรียกว่าพระครับ ต้องเรียกว่า
    "คนห่มเหลือง"
    พระ แปลว่า ผู้ประเสริฐ ผู้ดีเลิศ ต้องรู้จักให้ครับ ไม่ใช่รู้จักโกย

    อย่าเรียกร้อง โดยหวังอามิสสินจ้าง ถ้าญาติโยมจะบริจาค จะอนุโมทนา ขอให้เป็นไปด้วยศรัทธา และความต้องการจริง ๆ
    ส่วนคนที่ผ่านพิธีอย่างนี้ไปแล้ว เกิดโชคดี เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่าคิดนะครับว่าเป็นเพราะสะเดาะเคราะห์
    สะเดาะกรรมมาแล้ว
    ไม่จริงหรอกครับ ที่ดีได้ก็เพราะตัวคุณเอง
    เพราะคุณเองทำดี กรรมดี เลยตามาตอบสนอง

    แต่การทำดีไม่จำเป็นต้องได้ดีก่อนเสมอ
    ผลของการได้รับของการกระทำนั้น ไม่ว่าจะดีจะชั่ว มีลำดับขั้นครับ อะไรที่ "มากกว่า" ก็จะส่งผลก่อน
    อย่างเช่น เคยใส่บาตรพระวันแรก วันที่สองช่วยคนที่กำลังจะตายให้ดีขึ้น วันที่สามตีหัวพระเพื่อชิงเงิน
    ถามว่าคุณจะได้รับผลการกระทำไหนก่อน?
    ครับ ก็ต้องได้รับกรรมจากการตีหัวพระก่อน และก็ได้รับกรรมดีจากการช่วยคนที่กำลังจะตาย และการใส่บาตรพระเป็น
    ลำดับสุดท้าย
    ไม่ได้เรียงตามลำดับวันที่ทำนะครับ
    เพราะผลของมันไม่เท่ากัน ไม่ได้จัดเรียงตามวันเวลานะครับ
    เพราะฉะนั้นบางคนจึงสงสัยว่า ทำไม (ชาตินี้) ทำดีเหลือเกิน ทำบุญทำกุศลมากมายมหาศาล แต่ทำไม ไม่เคยได้รับผล
    กรรมดีเลย มีแต่ต้องทนรับกรรมที่ไม่ดีตั้งมากมาย
    ตรงนี้อธิบายได้อย่างที่บอกครับ คือเรียงตามลำดับการกระทำ
    คุณอาจจะทำไม่ดีมาก่อน (เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ล่ะครับ อาจจะนาน ๆ จนเป็นชาติที่แล้วก็ได้) เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องรับกรรมที่
    ไม่ดีมาก่อน
    แต่พอหมดกรรมที่คุณทำไม่ดี คุณก็จะได้รับกรรมดี ผลดีทันที
    ตรงที่ได้รับผลกรรมดีนี่แหละครับ คือจังหวะที่คุณได้
    แต่ได้เพราะตัวคุณเอง เพราะผลกรรมดีที่คุณเคยทำ
    ไม่ใช่เพราะการกระทำของพวกพระ พวกเกจิอาจารย์ที่ช่วยคุณ

    คุณสังเกตเห็นมั้ย? พวกพระ พวกเกจิอาจารย์ที่ชอบทำพิธีสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมน่ะ บางทียังเอาตัวเองแทบไม่รอด
    จะเป็นจะตาย มีทุกข์ส่วนตัวก็หลายครั้ง
    เก่งขนาดนั้น ทำไมไม่สะเดาะเคราะห์ให้ตัวเองล่ะครับ
    และพวกนี้เก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรือครับ?
    ขนาดพระพุทธเจ้ายังสะเดาะกรรมไม่ได้เลย แล้วพวกนี้เก่งมาจากไหน
    ไม่งั้น เราก็ไปทำความชั่วร้าย ความเลวทราม ทำอะไรไม่ดี ๆ มาก ๆ เข้าไป พอถึงเวลาก็เอาเงินหมื่น 2 หมื่นไปให้พวกนี้
    สะเดาะกรรม จะได้ไม่มีกรรม ไม่มีเคราะห์ ไม่ต้องรับกรรม
    เป็นอย่างนั้นหรือครับ???
    ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยนะครับ
    ย้ำอีกครั้งว่า การสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมนั้น ไม่มี ที่ทำกันนั้น เป็นจิตวิทยา เป็นการสร้างกำลังใจเท่านั้น
    นึกไว้แค่นี้ก็พอนะครับ
    ว่าพระพุทธเจ้ายังคงต้องรับกรรม ยังสะเดาะกรรมไม่ได้ และพวกนี้เก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร?
    ถึงสามารถสะเดาะกรรมได้
    "กรรม" เมื่อทำ ก็ต้องชดใช้
    การชดใช้ (หรือการรับกรรมที่ทำไว้) คือการทำให้กรรมหมดไป ได้ถูกต้องที่สุด
    แต่เชื่อไหมครับ? มีการหนีกรรมได้

    หนีกรรมได้จริง ๆ ครับ
    ถ้าสนใจ ต้องรออ่านตอนหน้าครับ
    ผมก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ ต้องมีขยักไว้สักหน่อย
    รักกันจริงก็ต้องติดตามกันนะครับ
    คราวหน้าผมจะมาบอกวิธีการ "หนีกรรม" ให้
    อย่าลืมรออ่านนะครับ



    บทความนี้คัดลอกจากหนังสือ "สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้" คลิกดูรายละเอียดหนังสือที่นี่


    ที่มา : http://www.extrasoul.com/



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2006
  2. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ไม่มีหรอก สะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมได้ด้วยคนอื่น มีแต่ตนเองเท่านั้นที่จะสกัดเคราะห์จากกรรมอันไม่ควร

    จงเชื่อในสัจธรรม " ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว "

    อย่าหลงลมๆ แล้งๆ กับมายาสารไถชั้นเชิงเหนือเมฆและวาจาจิตวิทยาขั้นสูงชักจูงใจของผู้ที่อ้างตนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลวงให้เสียทรัพย์เพื่อทำพิธีกรรมต่างๆ

    เพราะที่สุดแล้ว สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมของตนเอง ทั้งสิ้น
     
  3. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    หลักแก้กรรมของพระพุทธเจ้ามีปรากฎมนพระไตรปิฎกดังนี้
    "เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน น้ำในขันเพียงเล็กน้อยนั้น พึงเค็มดื่มกินไม่ได้ เพราะก้อนเกลือโน้นใช่
    ไหม ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าใช่พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ฯ
    ภิ. เพราะในขันน้ำมีน้ำนิดหน่อย ฉะนั้นน้ำนั้นจึงเค็ม ดื่มไม่ได้ เพราะก้อนเกลือนี้ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. เปรียบเหมือนบุรุษพึงใส่ก้อนเกลือลงในแม่น้ำคงคา เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน แม่น้ำคงคาพึงเค็ม ดื่มไม่ได้ เพราะก้อนเกลือโน้นหรือไม่ ฯ
    ภิ. หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ฯ
    ภิ. เพราะในแม่น้ำคงคานั้น มีห้วงน้ำใหญ่ ฉะนั้น ห้วงน้ำใหญ่นั้นจึงไม่เค็ม ดื่มได้เพราะก้อนเกลือโน้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาเข้านรก ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ทำบาปกรรมเล็กน้อยเช่นนั้นเหมือนกัน บาปกรรมนั้นให้ผลทันตาเห็น ส่วนน้อยไม่ปรากฏ ปรากฏแต่เฉพาะส่วนมาก ... ฯ"
    พุทธวิธีในการแก้ไขบาปก็คือทำบุญให้เยอะๆเพื่อไปเจือจางผลบาปให้ลดน้อยลง แจ่บาปก็ไม่ได้ไปไหน ยังอยู่เท่าเดิมแต่เราพอทนได้ แน่นอนเราใช้บุญไปหักล้างผลบาป เราก็จะต้องสูญเสียบุญที่ทำไปเพื่อทำหน้าที่อย่างนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...