คนบนโลกสมัยนี้รอดนรกเพียงแค่10%อีก90%ตกนรกหมดหลวงพ่อพูดแต่มีวิธีให้พวกนี้รอดได้ดังนี้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย lotte, 5 มิถุนายน 2006.

  1. sornchai-k

    sornchai-k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +672
    บางที คนที่เขาไม่ได้ปฏิบัติเข้มแข็งมากมาย ก็จะกลัวเหมือนกันนะ เพราะเหมือนโดนวางกรอบ แล้วในความเป็นจริงคนที่เขาอยากเป็นคนดี แต่บางครั้งก็เคยชั่ว (มาบ้าง )ก็คงไม่อยากเข้ามา .........เพราะคนที่เขียนกระทู้ ไปไหน ต่อไหน แต่คนอ่านยังไม่ไปถึง ไหน และไม่แน่ใจว่ามีหรือปล่าว (สำหรับคนใหม่ที่ยังไม่เคยมาสัมผัส เพียงผ่านมาอ่านเจอ ) ดูแล้วเหมือนมีม่านบัง ยังไงไม่รู้ ครับ ที่จริง ผมว่านำเสนออย่างที่คุณอำนาจ ว่าก็ไม่รู้สึกจะถอยหลังเท่าไหร่นะ ด้วยความจริงใจ (คงเพราะผมมีความรู้บางอย่างน้อยเกินไป ถ้าผิดถูกอย่างไร ก็ขอ อภัย )
     
  2. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +4,545
    เรียน คุณอำนาจที่เคารพครับ
    คืออย่างนี้หลวงพ่อท่านกล่าวก็ถูกแล้วเรื่องของส่วนรวมอย่างขโมยของรัฐ มันก็ตกนรกอเวจีแต่มันมีอยู่หลายกรณีเช่น หลอยเล่นอินเตอร์เนตเป็นอาจิณกรรม หลอยส่วนรวมเล่น ในพระไตรปิฏกกล่าวไว้เลยนะครับลองถามพระที่ได้อภิญญาเช่นหลวงพี่เล็กหรืออาจารย์ไก่ก็ได้ว่าถ้าทำเป็นอาจิณกรรม เช่นขโมยของส่วนรวมมันลงนรกโลกันตร์ได้อย่างไร อันตรายนะครับของส่วนรวม ถ้าเรารีบชำระหนี้สงฆ์ ของสงฆ์คือของส่วนรวม เราต้องนึกอธิษฐานในใจว่าขอชำระหนี้ที่เคยเล่นหลอยเนตมา แบบนี้มันจะได้ชำระหนี้ได้ถูก อย่างพระเณร ที่เกาะผ้าเหลืองกิน อย่างนี้ก็เอาเงินสงฆ์ไปใช้ส่วนตัว มีเจตนาแบบอาศัยผ้าเหลืองกินไปวันๆถ้าไม่รีบชำระหนี้สงฆ์ถ้าทำหนักก็โลกัน ถ้ากรรมเบาบางก็อเวจี มันจะโลกันถ้ามันทำเป็นอาจิณกรรม ครับ ลองถามอาจารย์ไก่ก็ได้ครับ 040590180 หรือหลวงพี่เล็กก็ได้ ส่วนถ้าแพทย์อนุญาติให้กินเป็นยาบำรุงร่างกายก็ได้ครับ ผมจะบอกคุณอำนาจอะไรอย่างหนึ่งนะคับพระไตรปิฏกกล่าวไว้ว่าถ้าใครไม่เชื่อบาปบุญ นรกสวรรค์ไม่เชื่อก็ลงโลกันต์นะครับ ด่าพ่อแม่ พระอริยะ พระโพธิสัตว์หรือกระทำกรรมใดๆที่ทำเป็นอาจิณกรรมเช่น ฆ่าสัตว์ทุกวัน กินเหล้าทุกวัน ชิงสุกทุกวัน หรือพนันบอลทุกวัน ถ้าทำทุกวันก็โลกัน หรือเบาลงมาก็อเวจีครับถ้ายังไงลองคุยกับหลวงพี่เล็กดูนะครับ
    หลวงพี่เล็กใจดีอนุญาติให้คุยครับ แต่คุยได้ไม่นานแต่ถ้าอาจารย์ไก่คุยได้เป็นชั่วโมงครับ รู้สึกว่าคุณอำนาจยังไม่เข้าใจบาปแบบอาจิณกรรมนะครับ อย่างอาชีพที่เสี่ยงโลกัน คือโชว์ห่วยขายเหล้าทุกวัน เธค ผับ แม่ค้าขายปลาฆ่าปลาในตลาด หรือไม่ก็พวกหวยใต้ดิน ร้านพนันบอล ที่รับพนันทุกวัน แบบนี้หลวงพี่เล็กกับอาจารย์ไก่จะตอบว่าถ้าทำทุกวัน จะลงโลกันไหมลองถามดูนะครับ พระไตรปิฏกท่านกล่าวไว้ในพระอภิธรรมปิฏก มีอยู่ครับอยู่เรื่องขุมนรกอยู่บรรทัดเกือบสุดท้ายของขุมครับ ผมอ่านมาสิบๆรอบแล้วเรื่องบาปถ้าทำเป็นอาจิณกรรมมักลงโลกันต์ครับ ถ้าไม่หนักมากเบามานิดนึงก็อเวจี ถ้าเบามาก็มหานรก ถ้าเบามาก็ยมโลกียนรก ถ้าเบามาก็อุทสุทนรก ครับ

    ส่วนเรียนคุณยายที่เคารพ ท่านอยากให้เราพุทธานุสติเข้าเฝ้าพุทธองค์อยู่เรื่อยๆ
    แล้วก็อยากให้เราไม่สงสัยเรื่องสวรรค์นรก อยากให้เราถึงนิพพานพลัน สามหัวข้อนี้คือจุดประสงค์หลักๆของท่านครับ
     
  3. อำนาจ

    อำนาจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    579
    ค่าพลัง:
    +11,487
    ขอบคุณคุณ lotte ครับที่กรุณาชี้แจง ความจริงแล้วผมไม่ชอบที่จะเอาชื่อครูบาอาจารย์มาแอบอ้างเนื่องด้วยกลัวจะทำให้ท่านเสื่อมเสีย เพราะมีศิทย์ที่เลวอย่างผม แต่ในเมื่อคุณ lotte อ้างท่านมา ผมคงหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงท่านไม่ได้ ผมกราบขออภัยครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

    หลวงพี่เล็ก ท่านเป็นครูบาอาจารย์ผม ท่านเป็นคนบอกไม่ให้ผมมายุ่งมาตอบในอินเตอร์เน็ตเองครับ ท่านมาเตือนทั้งกายมนุษย์และอทิสมานกายเสมอๆ

    อ. ไก่ เป็นผู้มีพระคุณ ท่านเคยบอกผมว่า "ในกึ่งพุทธกาลนี้ ต้องการคนที่มีปัญญาอย่างผม เพื่อ......"

    ผมยังยืนยันครับว่าของสงฆ์กับของส่วนรวมนั้นต่างกันครับ คุณ lotte ลองกลับไปศึกษาดูใหม่นะครับ คุณ lotte คงต้องกลับไปกราบเรียนถามหลวงพี่เล็ก หรือ อ.ไก่อีกครั้งนะครับ

    ส่วนเรื่องอเวจีมหานรกหรือโลกันตนรกนั้น สุดแล้วแต่คุณ lotte จะเชื่อครับ คุณ lotte ลองถามลุงพุฒิดูนะครับ ท่านรอให้คุณไปถามอยู่ ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไปกราบเรียนถามหลวงพี่เล็ก หรือ อ.ไก่อีกครั้งนะครับ


    เรื่องการทำอาจิณกรรมนั้น ผมพอทราบอยู่บ้างครับ วิธีที่จะช่วยเหลือคนไม่ให้ตกนรกเพราะทำอาจิณกรรมนั้น ทำได้ง่ายมากใช้ "พุทธานุสสติกรรมฐาน" ครับ ตัวอย่างมีอยู่แล้วครับ คือท่านสุปติฏฐิตเทพบุตร และท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรครับ

    ป.ล. คุณ lotte กรุณาเอาเบอร์โทรศัพท์ของหลวงพี่เล็กออกจากกะทู้ด้วยครับ คุณ lotte ขออนุญาติท่านหรือยังครับ การกระทำอย่างนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง เป็นการไม่เคารพครูบาอาจารย์และเพิ่มภาระให้กับท่าน ทำให้ท่านเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ผมบอกหลายครั้งแล้วว่า ให้ใช้สติปัญญาคิดไคร่ครวญก่อนที่จะทำอะไรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2006
  4. อำนาจ

    อำนาจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    579
    ค่าพลัง:
    +11,487
    ผมขอยกบางส่วนของคำสอนของหลวงพ่อฯ ท่านบอกไว้ชัดเจนเรื่องการทำอาจิณกรรม http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=421

    โอวาทหลวงพ่อฯ เล่ม 4----> หน้า 13 "พุทธานุสสติ"

    ทุกวันถ้าเวลาของเรามีน้อย ก็ใช้เวลาก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ นี่สำหรับท่านที่ไม่ได้มโนมยิทธินะ พวกที่ได้มโนมยิทธินี่เขาได้กำไรมาก นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ คิดว่าองค์นี้คือพระพุทธเจ้าแล้วก็ภาวนาว่าพุทโธ หายใจเข้านึกว่าพุท หายใจออกนึกว่า โธ สัก ๒ - ๓ ครั้ง ก็ได้ตาม

    ความพอใจ มากก็ได้น้อยก็ได้แล้วก็หลับไป พอตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอีก แล้วก็ภาวนาว่าพุทโธ อีก ทำอย่างนี้ทุกวัน จนกระทั่งถึงวันไหนถ้าเราไม่มีโอกาสจะทำ วันนั้นรำคาญต้องทำ วิธีทำก็ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธิก็ได้ กลางวันทั้งวันเราเหนื่อยยากในการงานมากก็นอน เวลาจะนอนก็กราบหมอนสัก ๓ ครั้ง นึกกราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระอริยสงส์ หลังจากนั้นเมื่อหัวถึงหมอนก็นอนภาวนา พุทโธ

    ทำอย่างนี้เพียงแค่ ๒ - ๓ ครั้ง แล้วก็หลับ แล้วตื่นขึ้นมาใหม่เอาอีกแหละ เอาแบบนี้ จนกระทั่งมีอาการชิน วันไหนถ้าไม่ได้ภาวนา พุทโธ วันนั้นรำคาญ ไม่สบายใจ ไม่ได้ ต้องภาวนา อย่างนี้ถือว่าทรงฌานใน พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าอารมณ์ของท่านทรงฌานใน พุทธานุสสติกรรมฐาน แล้วถึงแม้ศีลมันจะขาด มันจะบกพร่องบ้าง ถึงอย่างไรก็ตาม ตายแล้วต้องไป สวรรค์แน่นอน เอาแค่สวรรค์ก่อนนะ
     
  5. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    (b-ng) อนุโมทนา กับผู้ที่คุยธรรมมะโดยไม่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้ง4
    แม้ว่าไครเห็นไม่ตรงกับเราก็ตาม ทุกๆท่านเลยครับ(verygood) [b-wai]
     
  6. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ขออนุญาตชี้แจงอย่างเป็นกลางนะคะ และต้แงขออภัยด้วยค่ะที่อาจตอบไม่ค่อยได้ใจความนัก เนื่องจากช่วงนี้สังขารไม่เอื้อให้ตอบได้อย่างถี่ถ้วย

    ไปบอกคนที่เขากลัวความจริง(พุทธธรรม) เพราะรู้สึกเหมือนโดนล้อมกรอบ ก็แสดงว่าเขาไม่กล้าที่จะทำตัวเขาให้เป็นคนดี เขาไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง ก็ปล่อยเขาไป พระพุทธเจ้าท่านวางรากฐานตีกรอบไว้ครอบหมดเลย อะไรดี อะไรไม่ดี ท่านวางกรอบไว้ตั้งแต่สองพันปีกว่าแล้วค่ะ เราหนีกรอบนี้ไม่พ้นค่ะ ถ้าเราหนี ก็บอกคนที่กลัวโดนล้อมหรอบนั้นนะคะว่า จงหนีให้สุดๆนะคะ การหนีกรอบแห่งคุณงามความดีนั้น มีแต่อบายภูมิ ยายผีป่าเข้าใจค่ะว่าคุณหมายถึง ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็เป็นหนี้สงฆ์ เป็นการปรามาส เป็นการเสี่ยงนรกทั้งหมด ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงได้วางกรอบไว้งัยคะว่า อย่าเบียดเบียนผู้อื่นและตนเองด้วย(อย่าสร้างทุกข์ให้ตัวเองและผู้อื่น) จงมีจิตใจที่มั่นคง ไม่หลงกลหลุดเข้าไปในอบาย (กำหนดรู้ หรือที่เรียกว่า อาณาปานสติ) มีสติ มีปัญญา ศีลนี่ล่ะที่เป็นกรอบ ถ้าคุณเลี่ยงศีล มันทุกข์ค่ะ อย่างดื่มเหล้ามันไม่ดี ท่านห้ามไว้(หลังจากมีพระเมาในสมัยพุทธกาล) แม้จะอ้างว่าดื่มนิดดื่มหน่อย คุมตัวเองได้ แต่มันไม่ดีก็คือไม่ดี หนึ่งมันไม่มีผลดีต่อสุขภาพ สองเงินที่ซื้อเหล้ามันเบียดเบียนตัวเองในทางที่มิควร บางทีขอหรือบังคับเอาจากผู้อื่นเพื่อซื้อเหล้า บางทีไม่มีเงินแต่ไปขอเขากิน เขาเต็มใจให้บ้างไม่ให้บ้าง มันก็เบียดเบียนผู้อื่นเช่นกันค่ะ คนเมามักไม่รู้ตัวว่าเมา(ยายผีป่าเคยกระดกสดๆ ชีวาสคืนล่ะขวดเกือบสิ้นชีวิต)มันทำให้เราขาดสติ ทำบาปต่อเนื่องอย่างอื่นได้ เช่นพอเมาก็หน้ามึน ไปจับก้นสาวๆที่เดินผ่าน โดนตบหน้า โดนจับ ลูกเมียก็ละอาย เห็นไหมคะพระท่านตีกรอบไว้ดีเพียงไร ก็แค่เราอดใจไม่ดื่ม มันก็ไม่มีบาปลูกโซ่นะคะ ถ้าอยากดื่มโดยไม่ทำให้ใครทุกข์ด้วยก็ดีค่ะถ้าเราตัวคนเเดยว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็นอนตายกลางป่ารออีแร้งมากินซากศพ ไม่ต้องมีคนมาห่วงมาวิ่งหาเงินรักษาพยาบาล ไม่ต้องวิ่งหาเงินจัดงานศพ จึงต้องการบอกว่า เราไม่ต้องมานั่งเกร็งอยากเห็นนั่นเห็นนี่ก็ได้ค่ะ บางท่านเคร่งมาก ก็ยังไปได้ไม่ถึงไหนหรอกค่ะ แม้กระทั่งพระในสมัยพุทธกาลยังไม่บรรลุอรหันต์ในทันทีที่สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าก็มีหลายองค์ค่ะ เพราะท่านยังตีข้อธรรมไม่แตกฉาน ก็ทำๆไปตะบี้ตะบันไปไม่ละวาง จนต้องไปย้อนขอให้พระพุทธเจ้าท่านเทศนาแก้ที่ติดให้อีกครั้ง จึงบรรลุ แต่บางท่าน แค่พิจารณาธรรมได้ดวงตาเห็นธรรมขณะที่พระพุทธองค์หรือสาวกได้เทสนาตอนนั้น วินาทีที่ดวงตาเห็นธรรมก็บรรลุได้บัดนั้นค่ะ


    การเป็นนักปฏิบัติทางสายพระพุทธเจ้าที่ใช่นั้นคือรู้อะไรถูก อะไรควร ไม่ควร ไม่ใช่เออ...ท่านเก่งนะได้วิชานั่นวิชานี่ เห็นสวรรค์เห็นนรก (นี่เป็นของแถม ถ้าจิตเราสงบ เราเห็นได้ไม่ต่างกันค่ะ)คนไม่เห็นเลยกลายเป็นว่า ของปลอม เขาจะเห็นหรือไม่เห็น เขาไม่จำเป็นต้องโร่มาบอก เพราะมันเป็นการอวดดี การอวดดีนั้นหากอารมณ์ใจเรามันเบี่ยงไปเบี่ยงมา มันเสี่ยงนรกได้เช่นกันค่ะ พระพุทธองค์ท่านทรงสอนให้ทรงอารมณ์หรือทำอะไรให้เป็นกลางเข้าไว้

    บางคนที่เคยทำชั่ว(ดีแล้วที่รู้ว่าตัวเองเคยชั่วแสดงว่าเริ่มรู้จักมองตัวเอง คนอย่างนี้น่านับถือ) ไม่กล้าเข้ามาศึกษาธรรมน่ะเหรอคะ เขาไม่ต้องเข้าเวบ ธรรม(ศีล) ก็อยู่รายล้อมเขาตลอดเวลาไม่ว่าหลับหรือตื่นค่ะ นั่นคือ ไม่หายใจเข้าก็ตาย ไม่หายใจออกก็ตาย แล้วทีนี้เขาอยากตายแบบเสียชาติเกิด หรือตายแบบไปดี เมื่อเขาอยากไปดี เขาต้องรู้ว่าความดีทำได้อย่างไร ก็ต้องศึกษาเรื่องศีลก่อน ถ้าคิดว่าตำราทางธรรมมันน่าเบื่อ เข้าสู่สังคมไม่ได้ ตำราทุกอย่างให้คติธรรมทั้งนั้นค่ะ

    อย่างหนังสือ ศาลาคนเศร้า ทำไมเขาถึงเศร้ากันนัก ศิราณีเขาตอบอย่างไร โน่น ย้อนไป อ๋อ พระท่านตรัวว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์

    หนังสือเรื่องวิเคระห์เศรษฐกิจ ก็เป็นข้อธรรม อ้าวทำไมตอนนี้สังคมไทยมันย่ำแย่ เงินทองไม่สพัด คนตกงานแยะ ก็ไม่รู้จักความพอเพียง และตกอยู่ในความประมาท พระท่านสอนไว้แล้ว ฯลฯ

    การสงสัยนั้นมันเกิดขึ้นได้กับทุกคนค่ะ แต่ทางที่ดี เราต้องพิจารณาให้เป็น อะไรที่เราไม่รู้ เราก็อย่าปักใจเชื่อไปหมดทุกอย่าง(พระท่านก็สอนไว้เช่นกัน แม้กระทั่งสอนว่าอย่าเชื่อธรรมของท่านก่อนเห็นจริง)

    แต่จะไปว่าคนตั้งกระทู้ไปถึงไหนๆ แล้ว คุณหมายถึงเขาปฏิบัติได้ระดับที่คนที่วนมาตอบปฏิบัติได้ไม่เท่าเทียมเขาน่ะหรือคะ อันนี้ขอให้วางกำลังใจให้เป็นกลางค่ะ อย่าคิดติเตียนผู้อื่นโดยที่เรายังไม่เคยรู้ว่าเขาตัวตนที่แท้จริงเป็นเช่นไร การมีอคติ คนที่ภูมิเท่ากัน หรือสูงกว่าเท่านั้นถึงจะติเตือนหรือติงกันได้ ผู้บารมีเสมอกันเท่านั้นที่จะเห็นเสมอกัน ผู้บารมีสูงกว่าเท่านั้นที่จะรู้ว่าผู้ใดเป็นอย่างไร แต่ส่วนมากผู้มีสัมมาณาณบารมีจะไม่ยุ่งวุ่นวายถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆ เพราะถ้าต้องทำให้ผู้อื่นเขวเพราะเข้าข้างความเห็นแห่งตนไปเสียส่วนใหญ่ มันจะพากันหลงทางไปไกลกว่านั้น ดังนั้นผู้มาแย้ง มาติเตือน มาติง ย่อมมีเหตุ และมีใจเมตตา ไม่ใช่มาหักหน้าใครๆ ให้รู้สึกผิด เราต้องยอมรับข้อท้วงติงต่อกันและกัน ด้วยใจที่เบาๆ ไม่มีมิจฉาทิฐฐิมาละเมิดอารมณ์นั้นๆ

    หรือคุณคิดว่าคนตั้งกระทู้เขามาตั้งแล้วไม่ย้อนมาอ่านข้อโต้แย้งน่ะเหรอคะ อันนี้ขอบอกว่าเป็ฯไปไม่ได้ค่ะ แต่เขาจะตอบโต้ หรือชี้แจงหรือไม่นั้น อยู่ที่การพิจารณาของเขาเอง อย่างยายผีป่าหากอยากปั่นกระทู้นี้ให้คนมาอ่านเยอะๆ ยายก็ทำได้ค่ะ มันไม่ยากเลย แต่การปั่นเราต้องมีเป้าหมายค่ะว่าเราต้องการอะไร อย่างไร เพื่ออะไร ไม่ปั่นไม่ตอบ จะได้ไหม เพราะอะไร ทำไม
     
  7. sornchai-k

    sornchai-k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +672
    โมทนา สาธุครับ คุณยายผีป่า อธิบายละเอียดเลยครับ ขอบคุณที่ให้ความกระจ่าง ผมเป็นคนที่สนใจทางนี้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลยครับ แต่เมื่อมาอ่านในเวปนี้ ก็เหมือน เปิดโลกทัศน์ครับ เพราะ ไปยุ่งอยู่กับทางโลกเสียนาน....มากครับ
    ขอบคุณครับ
     
  8. aonvisut

    aonvisut สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    สา....ธุ ไม่กล้าหลบภาษีแล้วคร๊าบบบ.........
     
  9. attaphol

    attaphol สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +15
    เห็นด้วยกับคุณอำนาจนะครับ ท่านพูดไว้หมดแล้ว การแนะนำสั่งสอนธรรม
    พระพุทธเจ้าท่านปรับนะครับ ว่าถ้าไม่รู้จริงแล้วมาสอน หรือปฏิบัติไม่ได้แล้วตู่ว่าตัวได้ โทษนั้นรู้นะครับ...........ปราชิก ถ้าเป็นฆาราวาส โทษนั้นก็หนักไม่แพ้พระเหมือนกัน ดังนั้นธรรมใดที่ไม่รู้ก็อยากเอาความคิดของตัวเองมากล่าว
    อ้าง มันรู้สึกแปลกๆที่ กินเหล้าต้องขออนุญาตแพทย์ก่อน แสดงว่าแพทย์ต้องใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าทางห้ามเอาไว้ในศิล 5....ฯลฯ

    ผู้มีปัญญา ย่อม พูดในสิ่งที่ตนรู้นะครับ ไม่งั้นปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว
    ที่ผมพูดเพราะหวังดีนะครับ เป็นผู้ศรัทธาในพระรัตนตรัยเหมือนกัน
     
  10. kasin84000

    kasin84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +997
    เข้ามาอ่านอีกที
    เห็นด้วยกับพี่อำนาจทุกอย่างครับ
     
  11. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ... ทั้งสองท่านมีเจตนาดี ขออนุโมทนาครับ ...
    ขอฝากพระพุทธศาสนสุภาษิตไว้เพื่อสดับประเทืองปัญญา

    ข้อหลังนี่หลวงพ่อกล่าวว่า จงกล่าวโจทก์ตัวเองอยู่เสมอ
     
  12. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +4,545
    หลวงพี่เล็กท่านถามองค์พุทธเจ้ามาครับว่าต้องขออนุญาตแพทย์ก่อนว่าควรกินเป็นยาแบบไหนดี กินเยอะขนาดไหนบำบัดโรคใด ถ้าเรากินเอง ก็เสพรส ผิดศีลห้า ปรามาสพระรัตนตรัย แถมยังสนับสนุนร้านมอมเมาเยาวชนอีก เรามอมเมาไม่พอเราก็อย่าชวนคนอื่นเมาด้วยครับ อีกอย่างหลวงพี่เล็กท่านบอกมากับปากจริงๆไม่เชื่อโทรไปถามได้ครับ มันต้องกินเป็นยาแก้รักษาบำบัดโรค แล้วเราต้องเป็นโรคจริงๆครับ แล้วพระไตรปิฏกกล่าวว่าการกินเหล้าต้องทำเป็นยาดอง ห้ามมีกลิ่น มีรส ไม่มีให้สารเมา คือเอาสมุนไพรไปใส่เหล้าดองให้กลายเป็นยาครับ อ่านดูในพระอภิธรรมปิฏกได้ อันนี้ผมก็ไม่เคยแตะเลยครับ กินแต่โค้ก ชิงสุกก่อนห่ามผมก็ไม่เคยทั้งๆที่มีแฟนตั้งหกคนนะ คนหนึ่งพ่อแม่รวยหกหมื่นล้าน อีกคนรวยห้าร้อยไร่ และอื่นๆอีก ก็เคยอยู่ในห้องนอนเดียวกันแต่ไม่เคยมีอะไร พนันบอลก็ไม่เคยเล่น หวยก็ไม่เคย แต่ไม่เป็นไรครับใครทำผิดเล็กๆน้อยๆแค่นี้ก็ขอขมาพระรัตนตรัยแล้วถือศีลใหม่แล้วก็พิจารณาร่างกายทุกวันเป็นการฝึกละกิเลสอันนี้ถ้าละได้ได้บุญมากกว่าอภัยทานร้อยครั้งอีก ธรรมะเป็นทานร้อยครั้งไม่เท่ากับอภัยทานครั้งเดียว แต่ทว่าถ้าเราละกิเลสได้บางตัว เราก็จะได้บุญมหาศาลครับ อย่างเช่นไม่โกรธให้อภัยโจรก่อการร้ายนับญาติเขาเป็นญาตเรา แค่นี้บุญมหาเมตตาก็มหาศาล เทวดาอยากเข้าใกล้ อานิสงค์อภัยทานเมตตา อย่างนี้ทุกท่านคงจะเจริญปัญญาอยู่ที่สวรรค์แล้วนิพพานเร็วครับ
     
  13. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    พระพุทธวจนะที่ตรัสสอนข้อปฏิบัติง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก เพียง ๔ ข้อ ดังต่อไปนี้ คือ
    ๑. เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสถึงพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ หรือที่พึ่งที่ระลึก
    ๒. เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสตั้งใจรักษาศีลห้า
    ๓. เจริญหรือแผ่เมตตาจิต คือไมตรีจิตคิดจะให้ผู้อื่นเป็นสุข แม้กระทั่งระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่รีดนมโคจากบนลงล่าง
    ๔. เจริญอนิจจสัญญา หรือกำหนดหมายความไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนของสิ่งที่มีปัจจัย ปรุงแต่งทั้งหลาย แม้ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แค่งอนิ้วหรือเหยียดนิ้ว

    คุณธรรมทั้ง ๔ ข้อนี้ปฏิบัติได้ง่ายและมีคุณค่ามาก เพราะไม่ใช่คุณธรรมของผู้อื่น แต่เป็นการลงมือกระทำด้วยตนเองของแต่ละบุคคล เป็นคุณธรรมจากระดับต่ำสุดถึงสูงสุด ซึ่งจะเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้ปฏิบัติ ขนาดที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีผลมากกว่าการถวายทานแด่พระอริยบุคคล ๔ ระดับ มีผลมากกว่าการถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า มีผลมากกว่าการถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผลมากกว่าการถวายทานแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข มีผลมากกว่าการสร้างที่อยู่อาศัยถวายพระสงฆ์จากสี่ทิศ เมื่อทุกคนมีสิทธิจะได้รับผลดีและสูงยิ่ง ด้วยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยไม่ต้องเสียกำลังแรงงาน หรือค่าใช้จ่ายใดๆ อย่างนี้ จึงน่าจะได้รับพระพุทธวจนะนี้ ไว้เป็นแนวปฏิบัติประจำวันของเราทั้งหลาย อันเป็นการบูชาด้วยการปฏิบัติ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่ามีค่ายิ่งกว่า การบูชาด้วยอามิส มีดอกไม้ธูปเทียน เป็นต้น
     
  14. montree

    montree Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +49
    อนุโมทนากับคุณอำนาจด้วยครับ

    มีเหตุและผล ใช้ได้ครับ ถือว่าใช้ปัญญาระดับหนึ่งแล้ว
    อึม..ก็ปัญญาอยู่เหนืออารมณ์นะครับ พิจารณาตามความเป็นจริงๆ
    มองโลกตามความเป็นจริง ไม่มองโลกในแง่ดี หรือเง่ร้าย
    ก็ดีครับ อนุโมทนายิ่งครับ
     
  15. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒

    [๒๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสดงธรรมของพระตถาคต ๒ อย่างนี้
    ๒ อย่างเป็นไฉน คือ โดยย่อ ๑ โดยพิสดาร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสดง
    ธรรมของพระตถาคต ๒ อย่างนี้แล ฯ
    [๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอธิกรณ์ใด ที่ภิกษุผู้ต้องอาบัติและภิกษุ
    ผู้เป็นโจทก์ ยังมิได้พิจารณาตนด้วยตนเองให้ดี ในอธิกรณ์นั้น พึงหวังได้ว่า
    จักเป็นไปเพื่อความยืดเยื้อ เพื่อการมีวาจาหยาบคาย เพื่อความร้ายกาจ และภิกษุ
    ทั้งหลายจักอยู่ไม่ผาสุก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนในอธิกรณ์ใด ที่ภิกษุผู้ต้องอาบัติ
    และภิกษุผู้เป็นโจทก์ พิจารณาตนด้วยตนเองให้ดี ในอธิกรณ์นั้น พึงหวังได้ว่า
    จักไม่เป็นไปเพื่อความยืดเยื้อ จักไม่เป็นไปเพื่อการมีวาจาหยาบ จักไม่เป็นไป
    เพื่อความร้ายกาจ และภิกษุทั้งหลายจักอยู่ผาสุก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้ต้อง
    อาบัติ ย่อมพิจารณาตนด้วยตนเองให้ดีอย่างไร คือ ภิกษุผู้ต้องอาบัติในธรรมวินัยนี้
    ย่อมสำเหนียกดังนี้ว่า เราแลต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกายแล้ว
    ฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงได้เห็นเราผู้ต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกาย
    ถ้าเราจะไม่พึงต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกาย ภิกษุนั้นก็จะไม่
    พึงเห็นเราผู้ต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกาย ก็เพราะเหตุที่เรา
    ต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกาย ภิกษุนั้นจึงได้เห็นเราผู้ต้องอาบัติ
    อันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกาย ก็แหละภิกษุนั้นครั้นเห็นเราผู้ต้องอาบัติ
    อันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกายแล้ว เป็นผู้ไม่ชอบใจ ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่
    ชอบใจ ได้ว่ากล่าวเราผู้มีวาจาไม่ชอบใจ เราผู้มีวาจาไม่ชอบใจถูกภิกษุนั้นว่ากล่าว
    แล้ว ย่อมไม่ชอบใจ เมื่อไม่ชอบใจ ได้บอกแก่ผู้อื่นว่า ด้วยเหตุนี้ โทษใน
    เหตุนี้จึงครอบงำ แต่เฉพาะเราคนเดียวเท่านั้น เหมือนกับในเรื่องสินค้า โทษ
    ครอบงำ ผู้จำต้องเสียภาษี ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ต้องอาบัติย่อม
    พิจารณาตนด้วยตนเองให้ดีด้วยประการฉะนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้เป็น
    โจทก์ ย่อมพิจารณาตนด้วยตนเองให้ดีอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เป็น
    โจทก์ในธรรมวินัยนี้ ย่อมสำเหนียกดังนี้ว่า ภิกษุนี้แลต้องอาบัติอันเป็นอกุศล
    อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกายแล้ว ฉะนั้น เราจึงได้เห็นภิกษุนี้ต้องอาบัติอันเป็นอกุศล
    อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกาย ถ้าภิกษุนี้จะไม่พึงต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใด
    อย่างหนึ่งด้วยกาย เราจะไม่พึงเห็นภิกษุนี้ต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ด้วยกาย แต่เพราะเหตุภิกษุนี้ต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกาย
    เราจึงได้เห็นภิกษุนี้ต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกาย ก็แหละเรา
    ครั้นได้เห็นภิกษุนี้ต้องอาบัติอันเป็นอกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกายแล้ว เป็นผู้ไม่
    ชอบใจ เราเมื่อเป็นผู้ไม่ชอบใจ ได้ว่ากล่าวภิกษุนี้ผู้มีวาจาไม่ชอบใจ ภิกษุนี้มี
    วาจาไม่ชอบใจ เมื่อถูกเราว่ากล่าวอยู่เป็นผู้ไม่ชอบใจ เมื่อเป็นผู้ไม่ชอบใจ ได้
    บอกแก่ผู้อื่นว่า ด้วยเหตุนี้ โทษในเหตุนี้จึงครอบงำแต่เฉพาะเราคนเดียวเท่านั้น
    เหมือนกับในเรื่องสินค้า โทษครอบงำผู้จำต้องเสียภาษี ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุผู้เป็นโจทก์ย่อมพิจารณาตนด้วยตนเองให้ดีด้วยประการฉะนี้แล ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ในอธิกรณ์ใด ที่ภิกษุผู้ต้องอาบัติและภิกษุผู้เป็นโจทก์ ยังไม่ได้พิจารณา
    ตนด้วยตนเองให้ดี ในอธิกรณ์นั้น พึงหวังได้ว่าจักเป็นไปเพื่อความยืดเยื้อ เพื่อ
    ความมีวาจาหยาบคาย เพื่อความร้ายกาจ และภิกษุทั้งหลายจักอยู่ไม่ผาสุก ส่วน
    ในอธิกรณ์ใด ที่ภิกษุผู้ต้องอาบัติและภิกษุผู้เป็นโจทก์ พิจารณาตนด้วยตนเองให้ดี
    ในอธิกรณ์นั้น พึงหวังได้ว่าจักไม่เป็นไปเพื่อความยืดเยื้อ จักไม่เป็นไปเพื่อความ
    มีวาจาหยาบคาย จักไม่เป็นไปเพื่อความร้ายกาจ และภิกษุทั้งหลายจักอยู่ผาสุก ฯ
    [๒๖๒] ครั้งนั้นแล พราหมณ์คนหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
    ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไป
    แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
    พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อ
    แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พระผู้มีพระภาคตรัส
    ตอบว่า ดูกรพราหมณ์ เพราะเหตุแห่งการประพฤติไม่สม่ำเสมอ คือ ประพฤติ
    เป็นอธรรม สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป จึงเข้าถึงอบาย ทุคติ
    วินิบาต นรก ฯ
    พ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้สัตว์บาง
    พวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
    ภ. ดูกรพราหมณ์ เพราะเหตุแห่งการประพฤติสม่ำเสมอ คือ ประพฤติ
    เป็นธรรม สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป จึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
    พ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่
    พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศ
    ธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่
    ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น
    ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอ
    ท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วัน
    นี้เป็นต้นไป ฯ
    [๒๖๓] ครั้งนั้นแล พราหมณ์ชานุสโสณีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
    ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไป
    แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
    พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อ
    แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พระผู้มีพระภาคตรัส
    ตอบว่า ดูกรพราหมณ์ เพราะกระทำด้วย เพราะไม่กระทำด้วย สัตว์บางพวกใน
    โลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป จึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฯ
    ชา. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้สัตว์บาง
    พวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
    พ. ดูกรพราหมณ์ เพราะกระทำด้วย เพราะไม่กระทำด้วย สัตว์บาง
    พวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
    ชา. ข้าพระองค์ย่อม ไม่รู้ทั่วถึง เนื้อความแห่งภาษิต ที่ท่านพระโคดมตรัส
    แล้วโดยย่อได้โดยพิสดาร ขอประทานพระวโรกาส ขอท่านพระโคดมจงทรงแสดง
    ธรรม โดยที่ข้าพระองค์จะพึงรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตที่ท่านพระโคดมตรัสแล้ว
    โดยย่อได้โดยพิสดารเถิด ฯ
    พ. ดูกรพราหมณ์ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เราจักกล่าว
    พราหมณ์ชานุสโสณีได้ทูลสนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มี-
    *พระภาคได้ตรัสพระพุทธวจนะดังนี้ว่า ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้
    ย่อมทำแต่กายทุจริต มิได้ทำกายสุจริต ย่อมทำแต่วจีทุจริต มิได้ทำวจีสุจริต
    ย่อมทำแต่มโนทุจริต มิได้ทำมโนสุจริต ดูกรพราหมณ์ เพราะกระทำด้วย เพราะ
    ไม่กระทำด้วย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย
    ทุคติ วินิบาต นรก ดูกรพราหมณ์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมทำแต่
    กายสุจริต มิได้ทำกายทุจริต ย่อมทำแต่วจีสุจริต มิได้ทำวจีทุจริต ย่อมทำแต่
    มโนสุจริต มิได้ทำมโนทุจริต ดูกรพราหมณ์ เพราะกระทำด้วย เพราะไม่กระทำ
    ด้วย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
    ชา. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่
    พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศ
    ธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอก
    ทางแก่ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น
    ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอ
    ท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้
    เป็นต้นไป ฯ
    [๒๖๔] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
    ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เรากล่าวกายทุจริต
    วจีทุจริต มโนทุจริต ว่าเป็นกิจไม่ควรทำโดยส่วนเดียว ท่านพระอานนท์ทูลถาม
    ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อบุคคลทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ที่
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นกิจไม่ควรทำโดยส่วนเดียว โทษอะไรอันผู้นั้นพึง
    หวังได้ ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ เมื่อบุคคลทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ที่เรา
    กล่าวว่าเป็นกิจไม่ควรทำโดยส่วนเดียว โทษอย่างนี้ อันผู้นั้นพึงหวังได้ คือ
    ๑. แม้ตนก็ติเตียนตนเองได้ ๒. ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วย่อมติเตียนได้ ๓. กิตติศัพท์
    ชั่วย่อมกระฉ่อนไป ๔. เป็นคนหลงทำกาละ ๕. เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึง
    อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฯ
    ดูกรอานนท์ เมื่อบุคคลทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ที่เรากล่าวว่า
    เป็นกิจไม่ควรทำโดยส่วนเดียว โทษอย่างนี้อันผู้นั้นพึงหวังได้ ดูกรอานนท์ เรา
    กล่าวกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ว่าเป็นกิจควรทำโดยส่วนเดียว ฯ
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อบุคคลทำกายสุจริต วจีสุจริต มโน-
    *สุจริต ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นกิจควรทำโดยส่วนเดียว อานิสงส์อะไรอัน
    ผู้นั้นพึงหวังได้ ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ เมื่อบุคคลทำกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ที่เรา
    กล่าวว่าเป็นกิจควรทำโดยส่วนเดียว อานิสงส์อย่างนี้ อันผู้นั้นพึงหวังได้ คือ
    ๑. แม้ตนก็ติเตียนตนเองไม่ได้ ๒. ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วย่อมสรรเสริญ ๓. กิตติศัพท์
    อันดีย่อมกระฉ่อนไป ๔. ไม่เป็นคนหลงทำกาละ ๕. เมื่อแตกกายตายไป ย่อม
    เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
    ดูกรอานนท์ เมื่อบุคคลทำกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ที่เรากล่าว
    ว่าเป็นกิจควรทำโดยส่วนเดียว อานิสงส์อย่างนี้อันผู้นั้นพึงหวังได้ ฯ
    [๒๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละอกุศล อกุศลอันบุคคล
    อาจละได้ ถ้าบุคคลไม่อาจละอกุศลได้ เราไม่พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เธอทั้งหลายจงละอกุศล ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะอกุศลอันบุคคลอาจละ
    ได้ ฉะนั้น เราจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละอกุศล
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอกุศลนี้อันบุคคลละได้แล้ว จะพึงเป็นไปเพื่อไม่เป็น
    ประโยชน์ เพื่อทุกข์ไซร้ เราไม่พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอ
    ทั้งหลายจงละอกุศล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะอกุศลอันบุคคลละได้แล้ว ย่อม
    เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ฉะนั้น เราจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละอกุศล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังกุศล
    ให้เกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุศลอันบุคคลอาจให้เกิดได้ ถ้าบุคคลไม่อาจให้เกิดได้
    เราไม่พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังกุศลให้เกิด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะกุศลอันบุคคลอาจให้เกิดได้ ฉะนั้น เราจึงกล่าวอย่างนี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังกุศลให้เกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ากุศลนี้อัน
    บุคคลให้เกิดแล้ว จะพึงเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ไซร้ เราไม่พึง
    กล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังกุศลให้เกิด ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ก็เพราะกุศลอันบุคคลให้เกิดแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อ
    ความสุข ฉะนั้น เราจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังกุศล
    ให้เกิด ฯ
    [๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความ
    ฟั่นเฟือนเลือนหายแห่งสัทธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ บทพยัญชนะที่ตั้งไว้ไม่ดี ๑
    อรรถที่นำมาไม่ดี ๑ แม้เนื้อความแห่งบทพยัญชนะที่ตั้งไว้ไม่ดี ก็ย่อมเป็นอันนำมา
    ไม่ดี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือน
    เลือนหายแห่งสัทธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อ
    ความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งสัทธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ
    บทพยัญชนะที่ตั้งไว้ดี ๑ อรรถที่นำมาดี ๑ แม้เนื้อความแห่งบทพยัญชนะที่ตั้งไว้
    ดีแล้ว ก็ย่อมเป็นอันนำมาดี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล ย่อมเป็น
    ไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ

    จบอธิกรณวรรคที่ ๒

     
  16. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    ขอโอกาศแสดงความคิดเห็นครับ

    คุณ Lotte กล่าวธรรมชอบแล้วผมพิจารณาแล้วเป็นการกล่าวธรรมะในพระพุทธศาสนาจริงครับ เหตุเพราะ

    ผู้อ่านครั้งแรกย่อมนึกกลัวนรกกันทุกคนนะครับ และตั้งใจว่าจะรักษาศีลให้ดี

    นี่เป็นธรรม เพราะ ทำให้คนระงับจากกิเลส สาธุ สาธุ สาธุ

    แต่ที่นี้ทำไมคุณอำนาจจึงออกมาแสดง กรุณาในความเป็นญาติธรรมกันด้วยความเมตตาอันพึงมีในร่มโพธิ์พระพุทธศาสนาของสมเด็จพระโคดม เนื่องด้วยว่าธรรมของคุณ Lotte นั้นหากพิจารณาดูดีๆแล้วเป็นธรรมที่ ผู้จะเข้าใจได้นั้นต้องมีปัญญาในระดับหนึ่ง คือ หากคนอ่านเข้าใจตามตัวหนังสือทั้งหมด ความเข้าใจก็จะคาดเคลื่อนจากเจตนาของคุณ Lotte ได้คุณอำนาจจึงออกมาแสดงความห่วงใยในความเป็นลูกพุทธะลูกหลวงพ่อเหมือนกัน กอดคอกันร่วมบำเพ็ญมานับชาติไม่ถ้วน(มีโอกาสเกิดในยุคเดียวกัน ในจักรวาลเดียวกันนี้ต้องเคยบำเพ็ญร่วมกันมาไม่มากก็น้อยแน่นอนครับ)


    ดังนั้นกระผมขอโอกาสชี้แจงในความไม่เข้าใจกันว่าในทางคุณ Lotte ท่านคงบำเพ็ญมาทางอภิญญา คือ ทางฤทธิ์ ส่วนทางคุณอำนาจท่านคงบำเพ็ญมาทาง ปฎิสัมภิฐา คือ มีปฏิภานเชี่ยวชาญในการสอน การแสดงธรรม

    ซึ่งผมว่าเราควรหันหน้าเข้าหากันรับฟังกันนะครับ

    ตรงจุดนี้คุณ Lotte คงทราบว่าธรรมที่คุณ Lotteนำมากล่าวนั้ไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน
    เพียงต้องเป็นในฐานะที่กล่าวกันในวงแคบในผู้ที่มีภูมิรู้พอพิจารณาได้พอสมควร ดังจะแสดงให้เห็นจากที่ว่าคุณ Lotte ต้องกลับมาอธิบายธรรมะซ้ำอีกรอบทำให้ธรรมที่กล่าว ไม่งามในเบื้องต้น ท่ามกลางและท้ายสุด คือ เป็นธรรมที่อาจจะขาดในการขยายความและความเข้าใจอย่างชัดแจ้ง แบบชนิดที่ว่าหงายของที่คว่ำอยู่ให้เปิดขึ้น หรือดังการจุดไฟในห้องมืด


    และขอกล่าวว่ากระผมขอกราบอภัยอย่างสูงนะครับหากความเห็นไปผิดใจใครซึ่งกระผมไม่ต้องการเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่มีความเป็นห่วงในญาติธรรมกันเท่านั้น


    ที่นี้คุณ Lotte ลองพิจารนาความห่วงใยทางคุณอำนาจดูนะครับ ท่านเป็นห่วงคุณจริงๆดูจากการตอบได้มีกลิ่นแห่งการรักษาน้ำใจอบอวนไปหมด ภาษาก็ภาษาดอกไม้ ที่นี้ผมอยากให้ทางฤทธิ์มากฟังทาง ปัญญามากก็ไม่เสียหายอะไรลูกหลวงพ่อทั้งคู่ ที่นี้คุณLoteeก็จะมีความเด่นทั้งฤทธิ์ทั้งปัญญาเลยนะครับ
    ที่นี้กิเลส อวิชชา ความไม่รู้ไม่ได้แอ้มคุณ Lotte แน่นอนครับ ผมติดตามกระทู้คุณlotte อยู่c]tทราบว่าคุณก็ทำงานเพื่อศาสนาเยอะพอสมควรเหมือนกัน กระผมขออนุโมทนานะครับและขอเป็นกำลังใจให้ในการบำเพ็ญ


    สุดท้ายขออำนาจพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ได้โปรดบันดาลให้เหล่าปวงข้าพเจ้าทั้งหลายพ้นจากกองทุกข์นี้ด้วยเทิญ สาธุ สาธุ สาธุ

    รักญาติธรรมทั้งหลายอย่างยิ่ง
    ด้วยว่าเกิดมาเป็นคนนั้นยากยิ่ง
    อีกหนึ่งเกิดมาพบพระพุทธศาสนานั้นยากแท้
    อีกทั้งเกิดมาได้ฟังธรรมและปฎิบัติตามธรรมนั้นยากจริง
    แต่เราก็ได้ทั้งสาม
    เราทั้งหลายร่วมเกิดมาในวัฎฎะสงสาร
    บำเพ็ญบุญร่วมกันมานานเท่าใดแล้วหนอ
    มาเถอะญาติธรรมแสวงหาดวงตาแห่งธรรมด้วยกันเถิด
    ด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา
    และ รู้ เห็น ฟัง พูด คิด กระทำ แต่สิ่งที่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน


    สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้ทุกท่านเจริญในทางธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2007
  17. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +10,787
    รักกันไว้คร้าบ ลูกหลวงพ่อทั้งนั้น อย่าลืมครับ พวกเรามีงานที่ต้องทำอีกมาก ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ในอดีตชาติ เราก็ทำกันมามาก มาชาตินี้ ที่ต้องหัวทิ่มลงมาเกิดนี่ก็เพราะหลวงพ่อของเรา ลาพุทธภูมิกระทันหัน ตามปกติแล้ว หลายคนในเว็บนี้ อันนี้เป็นความรู้สึกของผมเองน่ะว่า หลายคนในเว็ปนี้จะต้องไปสำเร็จธรรมตอนที่หลวงพ่อเป็นพระพุทธเจ้า ดูให้ดี ๆ ครับ หลายคน ในที่นี้ก็ ลากกํนลงมาจากข้างบน แทบหัวทิ่มหัวตำ พวกเดียวกันทั้งนั้น กลัวตามหลวงพ่อไม่ทันน่ะซิ อันนี้ไม่ต้องไปถามใคร ถามใจคุณทุกคนเองก็รู้แล้ว ก็คือพวกที่เกิดปี 2507 เป็นต้นไปนั้นแหละครับ บางคนในนี้ตามหลวงพ่อมาก่อนที่หลวงพ่อจะเป็นคนไทยเสียอีก ลูกหลวงพ่อทั้งนั้น รักกัน ๆๆๆๆๆๆ มาก ๆๆๆน่ะครับ จาก น้อง คนเล็ก ความรู้น้อยครับ
     
  18. parnparn

    parnparn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +199
    90% ยังน้อยไป ถ้าไม่อยากลงนรก ต้องรักษาศีล ๕ และต้องมีสติ ก่อนตาย
     
  19. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    ดูรูปโป๊ตกนรกด้วยเหรอ ดูแล้วไม่ได้ไปข่มขืนใครเนี่ยตกนรกไหม ผิดศีลข้อ3 ไหม
     
  20. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    โอว้หนอนรก สิ่งที่ทุกคนหวาดกลัว
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
     

แชร์หน้านี้

Loading...