ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนผู้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธฉือจี้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 19 พฤษภาคม 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,491
    ธรรมาจารย์'เจิ้งเหยียน'ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธฉือจี้

    [​IMG]

    เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1937 ที่ตำบลเล็กๆ ชื่อ ชิงสุ่ย เมืองไทจุง ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของไต้หวัน เดิมชื่อ "หวัง จิ่น หยิน"

    ในวัยเยาว์ถูกยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของคุณอา จึงนับถือคุณอาและอาสะใภ้เป็น "พ่อแม่" ต่อมาย้ายตามพ่อแม่บุญธรรมไปอยู่เมืองฟงหยวน

    พ่อบุญธรรมทำกิจการเกี่ยวกับโรงภาพยนตร์หลายแห่ง ท่านธรรมาจารย์จึงต้องช่วยงานธุรกิจนี้เพื่อแบ่งเบาภาระของพ่อแม่บุญธรรมตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี

    ปี ค.ศ.1952 เมื่ออายุ 15 ปี มารดาป่วยเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ต้องผ่าตัด การผ่าตัดสมัยนั้นนับว่าอันตรายมาก ดังนั้น ท่านธรรมาจารย์จึงสวดมนต์ภาวนาและสวดฉายาเจ้าแม่กวนอิมด้วยความศรัทธา เพื่อสะเดาะเคราะห์แก่มารดา และตั้งจิตอธิษฐานว่า หากมารดาหายจากการเจ็บป่วยครั้งนี้ ท่านจะขอลดอายุขัยของตัวเองลง 12 ปี จะกินอาหารมังสวิรัติเพื่ออุทิศส่วนกุศลนี้เป็นการเพิ่มอายุขัยให้มารดา

    5 ปีต่อมา ขณะนั้นบิดาอายุได้ 51 ปี เป็นโรคความดันโลหิตสูง กระทั่งเส้นโลหิตแดงใหญ่แตก หมอบอกหมดหนทางรักษาเยียวยา ท่านธรรมาจารย์รู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาด วันรุ่งขึ้นบิดาก็ถึงแก่กรรม

    การเสียชีวิตของบิดาทำให้เศร้าโศกเสียใจอย่างยิ่ง อยู่อย่างคนไร้จิตวิญญาณตลอดทั้งวัน คำนึงอยู่เรื่องเดียวว่าบิดาไปอยู่ ณ ที่ไหน

    วันหนึ่ง เพื่อนทนเห็นอาการไมได้จึงบอกให้ไปวัดฟงเหยียน ท่านธรรมาจารย์ที่วัดมอบหนังสือให้เล่มหนึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม แล้วบอกให้เอากลับไปอ่านแล้วจะรู้ว่าโยมพ่ออยู่ที่ไหน

    ความจริงหนังสือเล่มนั้นไม่ได้บอกอะไรเลย นอกจากเขียนไว้ว่า "คนเราเมื่อมีเกิดก็ต้องมีตาย"

    ต่อมามีเพื่อนอีกคนพาไปวัดฉือหยินเพื่ออ่านหนังสือ เหลียงหวางป่าวช่าน เมื่อได้อ่านแล้วท่านธรรมาจารย์เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า คนเราเมื่อตายไปแล้วจะเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ มีแต่กรรมดีหรือกรรมชั่วที่เราทำในชาตินี้ติดตัวไปเท่านั้น

    นับตั้งแต่นั้นมา ท่านธรรมาจารย์จึงไปวัดทุกวันและคิดจะบวช แต่เพราะยังต้องดูแลมารดาที่สุขภาพไม่แข็งแรง จึงตัดสินใจลำบาก กระทั่งวันหนึ่งได้พบกับธรรมาจารย์ซิวเต้า ที่วัดฉือหยิน ได้ถามท่านซิวเต้า ว่า "ผู้หญิงประเภทใดที่มีความสุขที่สุด" ท่านซิวเต้าตอบว่า "ผู้หญิงที่หิ้วตะกร้าซื้อกับข้าวนั่นแหละเป็นผู้มีความสุขที่สุด" ท่านธรรมาจารย์ตอบกลับไปว่า "ฉันหิ้วตะกร้าซื้อกับข้าวทุกวันแต่ทำไมยังเป็นทุกข์เช่นนี้" ท่านซิวเต้าขอให้กลับบ้านไปพิจารณา

    ในที่สุด ท่านธรรมาจารย์ก็ได้ออกบวช และสร้างกระท่อมเล็กๆ เป็นที่พำนัก ต้องทำงานหนัก อดมื้อ กินมื้อ เพราะไม่รับบิณฑบาต เนื่องจากประชาชนทุกข์ยากอยู่แล้ว ท่านธรรมาจารย์มีลูกศิษย์ และร่วมกับลูกศิษย์ปลูกผักกินเอง

    ท่านธรรมาจารย์ตั้งใจทำให้ชาวโลกได้รู้ว่าศาสนาพุทธก็ทำในสิ่งที่เป็นกุศล จึงก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการกุศลช่วยเหลือผู้ยากไร้ขึ้น และสั่งสอนผู้มั่งมี เพราะผู้ยากไร้ขาดวัตถุในการครองชีพ ส่วนผู้มั่งมีขาดอาหารทางใจ

    ท่านยังได้นำธรรมะ คำสอน ไปสู่การปฏิบัติในชีวิตจริง และตัดสินใจทำตามปรัชญาที่ว่า "ลงมือทำเลย" ท่านบอกลูกศิษย์ทุกคน ว่า "อย่าเพียงแต่ศึกษาหลักธรรมหรือกระทำพิธีกรรมต่างๆ เพราะจะไม่ได้รับผลบุญโดยการกราบพระทุกเช้าเย็น แต่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของธรรมะ คือการทำให้มวลมนุษย์หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งจะอาศัยเพียงการศึกษาธรรมะอย่างเดียวไม่ได้ ปุถุชนธรรมดาต้องใช้เวลายาวนานในการศึกษาและเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง

    ท่านธรรมาจารย์บอกว่า "ผู้ยากไร้ต้องการความเมตตาและการช่วยเหลือ ดังนั้น จึงขอร้องให้ทุกคนลงมือทำ เพราะยิ่งทำกรรมดีเร็วเพียงใด ก็จะยิ่งมีผู้คนจำนวนมากได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์มากขึ้นเท่านั้น"


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...