ฆ่าตัวตายหนีกรรมได้จริงหรือ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 11 พฤษภาคม 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,491
    .
    .
    ประเทศฮังการี เป็นประเทศที่มีการฆ่าตัวตายสูงสุดอันดับ ๑ ของโลก โดยมีอัตราส่วนสูงถึง ๓๘.๖ : ๑๐๐,๐๐๐ คน
    อันดับ ๒ คือ ประเทศศรีลังกา ในขณะที่ ประเทศไทยนั้น ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกปี ๒๕๔๘ มีผลสำรวจพบว่า อยู่ในอันดับ ๗๑ ของโลก เฉลี่ยพบปีละ ๔,๖๒๒ ราย หรือวันละ ๑๓ คน โดยมีช่วงอายุอยู่ในระหว่าง ๑๕-๒๔ ปี
    จังหวัดที่มีการฆ่าตัวตาย ๕ อันดับแรก ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย ระยอง และจันทบุรี
    ข่าวและภาพข่าว ที่มักปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ คือ ผู้มีความรู้ ยิ่งเรียนสูง ยิ่งรู้มาก กลับฆ่าตัวตาย ซึ่งล่าสุดก็มีผู้พิพากษาท่านหนึ่งฆ่าตัวตาย

    ครั้งหนึ่ง พระพยอม กัลยาโณ วัดสวนแก้ว ได้ออกมาเทศน์อย่างดุเดือดว่า
    "ใครที่คิดฆ่าตัวตาย ให้อายหมาบ้าง หมาขนาดเป็นขี้เรื้อน ถูกหมาอื่นรุมกัด ฯลฯ กลับไม่มีความคิดที่จะไปโดดตึกตาย ซึ่งด่าว่า พวกสมองหมา ปัญญาควายก็ไม่ได้ เพราะควายมันก็ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย"

    "การฆ่าตัวตาย" ตามหลักทางพุทธศาสนาถือว่า เจตนาเท่านั้นเป็นกรรม คือ หากทำอันใดด้วยเจตนา จะปรารถนาดี หรือปรารถนาร้าย ถือว่า ต้องพร้อมด้วยเจตนา การฆ่าตัวตายของท่านไม่สำเร็จด้วยความพยายาม หรือด้วยความกลัวหากพยายามแล้ว แต่ไม่สำเร็จนั้น เจตนาของท่านถือว่า เป็นเจตนากรรม (คือทำด้วยความประสงค์) นั้นเป็นบาป
    หลักการฆ่าตัวตายอันถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์มีชีวิตให้ตายที่ทำแล้วเกิดผลตามแนวพุทธ ปาณาติบาตนั้นมีองค์ ๕ คือ
    ๑.ปาโณสัตว์มีชีวิต (ตัวเราก็เป็นสัตว์มีชีวิต)
    ๒.ปาณสญญิตาตนรู้ว่าสัตว์มีชีวิต (รู้ว่าตนเองมีชีวิต)
    ๓.วธกจิตตํมีจิตคิดจะฆ่า (ประสงค์ที่จะฆ่าตัวเอง)
    ๔.อุปกกโมมีความพยายาม (ลงมือฆ่าตัวเอง) และ
    ๕.เตนมรณํสัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น (ตัวตายตามประสงค์)
    ถ้าหากองค์ทั้ง ๕ สำเร็จครบทุกข้อ ถือว่าเจตนานั้นเป็นบาป และมีผลส่งถึงอนาคตหรือชาติต่อๆ ไป
    ผู้ป่วยเป็นโรคร้าย หรือโรคเรื้อรัง รักษาไม่หาย จึงฆ่าตัวตายหนีโรคร้าย เป็นบาป เพราะหนีการชดใช้กรรมฝ่ายอกุศล การฆ่าการทำร้ายร่างกายคน หรือสัตว์ เมื่อหมดกรมบาปจากนรกแล้ว (ในกรณีที่ตกนรก) มาเกิดเป็นคน จะมีโรคประจำตัว ส่วนจะเป็นโรคมาก โรคน้อย โรคร้ายแรง หรือไม่ร้ายแรง อยู่ที่ทำบาปมามากน้อยเพียงใด
    ทำให้เขาบาดเจ็บมากน้อย ทรมานเพียงใดเราก็ได้รับเพียงนั้น ครั้นถึงเวลาต้องชดใช้กรรมบาปต้องมีโรคร้ายติดตัวรักษาไม่หาย กลับฉลาด หนีกรรมบาป ด้วยการฆ่าตัวตายก็เหมือนผู้พิพากษาตัดสินความผิดให้ชดใช้กรรมบาปในคุก ๒๐ ปี หรือตลอดชีวิต แต่แหกคุกหนีออกมาได้ โทษเดิมก็ยังไม่หมด ต้องชดใช้ต่อไป แต่ต้องเพิ่มโทษใหม่ที่หนีการลงโทษให้ติดคุก
    กรณีการฆ่าตัวตายหนีโรคร้ายก็เช่นกัน กรรมเขาให้เกิดมาชดใช้กรรมบาป ที่ทำร้ายคนทำร้ายสัตว์ ความไม่รู้จึงหนี จึงต้องได้โทษเพิ่ม โทษเก่าก็ไม่หมดโทษใหม่ก็มา
    โทษเก่า คือ เมื่อเกิดมาใหม่ก็โรคร้ายหรือขี้โรคติดตัวตั้งแต่เด็ก หรือเล็กๆ เพราะเป็นคดีค้างเก่า
    โทษใหม่ คือ ฆ่าตัวตายหนีโรค ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายต่อไปอีก ๕๐๐ ชาติ หรืออีกหลายชาติ
    มนุษย์แม้จะยกย่องตัวเองว่า เป็นสัตว์ประเสริฐ มีสมองดีเลิศกว่าสัตว์ทั้งปวงในโลก แต่ในเรื่องฆ่าตัวตาย มนุษย์กลับกลายเป็นว่า เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีสมองคิดเรื่องฆ่าตัวตาย ไม่อาจเปรียบเทียบกับเชื้อโรคเชื้อรา ที่มนุษย์พยายามหาวิธีการฆ่า ในขณะที่ตัวมันเองไม่ยอมตายง่ายๆ พยายามทุกวิถีทางที่จะปรับตัวเองพัฒนาตัวเอง จนในที่สุดยาปฏิชีวนะไม่สามารถทำลายมันได้อีกต่อไป
    ถ้ามองในมุมของการฆ่าตัวตาย มนุษย์ไม่น่าจะใช้คำว่าสัตว์ประเสริฐ สัตว์อื่นๆ (ยกเว้นมนุษย์) ต่างหากที่น่าจะเรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐ

    ฆ่าตัวตายในพระไตรปิฎก

    พระอาจารย์เกษมสุข เขมสุโข วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ และพระนักแต่งเพลงเทศน์ อธิบายไว้ว่า ฆ่าตัวตายทำไมต้องบาป ในเมื่อมันก็ตัวของเรา เราไม่ได้ไปทำคนอื่นให้เป็นอันตราย ถ้าเกิดชาตินี้ชาติเดียวก็ไม่บาป แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ คนเกิดมานับภพนับชาติไม่ได้ เกิดมาแต่ละชาติก็ทำทั้งดีและไม่ดี ทำทั้งบุญและบาป การฆ่าตัวตายนั้นถือว่า บาปอย่างยิ่ง และถือว่าเป็นการทำกรรมอย่างหนักด้วย
    ทั้งนี้ เพราะยังไม่ถึงอายุขัย ยังไม่ถึงเวลาตาย เช่น อายุขัยของคนนี้ต้องตายตอน ๕๐ ปี แต่ฆ่าตัวตาย หรือมีอุบัติเหตุให้ตายตอนอายุ ๒๕ ปี เวลาที่เหลืออีก ๒๕ ปี ต้องเป็นวิญญาณจร จะไปทางบุญที่ทำก็ไม่ได้ ไปทางบาปที่ทำก็ไม่ได้ ไปเกิดก็ไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาตายนั่นเอง
    ในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ วัตถูปมสูตร เล่ม ๔ ปรากฏข้อความดังนี้
    พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมองมลทินจับ ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมไม่ดี มีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น
    ผ้าที่บริสุทธิ์สะอาด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมดี มีสีสด ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะผ้าเป็นของบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น
    คนทั่วไปก่อนฆ่าตัวตาย จิตจะน้อมไปในทางโทสะอย่างแรงกล้า (ความโกรธ เศร้า หดหู่ หมดหวัง กลัว ความทุกข์ทางใจทั้งหลาย) เพราะธรรมดาแล้ว ชีวิตของตนย่อมเป็นที่รักยิ่งของคนทั่วไป
    คนทั่วไปนั้น เมื่อรู้ตัวว่า ความตายกำลังจะมาถึง จะมีความหวาดหวั่น พรั่นพรึง กลัวตาย และจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ แม้จะต้องอยู่อย่างยากลำบาก ก็ยังดีกว่าจะต้องตายไป แม้สัตว์ทั้งหลายก็ยังดิ้นรนเพื่อหนีความตาย
    ดังนั้น คนที่จะสามารถฆ่าตัวตายได้นั้น จะต้องถูกความทุกข์ทางใจ (ทุกทางใจทุกชนิด เป็นจิตที่มีโทสะเป็นมูล) ครอบงำในขณะนั้นอย่างรุนแรง จึงจะสามารถทำลายชีวิตอันเป็นที่รักยิ่งของตนลงได้ ซึ่งความทุกข์ทางใจ หรือโทสะมูลจิตนี้ อาจจะมีสาเหตุจากเรื่องทางใจ หรือเรื่องทางกายก็ได้ เช่น อกหัก ผิดหวัง เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ความล้มเหลวในชีวิต ฯลฯ
    เมื่อเป็นดังนี้แล้ว หลังจากตายไปก็ย่อมจะต้องไปเกิดในทุคติภูมิอย่างไม่ต้องสงสัย และด้วยความรุนแรงของไฟโทสะที่ครอบงำจิตใจนั้น ทุคติภูมิที่ว่าก็คงไม่พ้นนรกอย่างแน่นอน เพราะเป็นภพภูมิที่มีสภาพใกล้เคียงกับโทสะที่สุดนั่นเอง ดังนั้น ผู้ที่คิดสั้น จะยุติปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย ขอให้คิดดูให้ดี เพราะนอกจากจะต้องไปพบกับทุกข์ครั้งใหม่ในนรก ซึ่งเป็นทุกข์ที่รุนแรงกว่าแล้ว ยังเป็นการสร้างทุกข์ สร้างปัญหาให้กับคนอื่นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ต้องรับความทุกข์ที่เขาไม่ได้ก่ออีกด้วย กรุณาให้ความเป็นธรรมกับเขาเหล่านั้นด้วย


    ที่มา
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2006
  2. sound

    sound Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2006
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +65
    เมตตา ปราณีต่อตัวเอง ไว้มาก ๆ บ่อย ๆคืออย่าทำปาบ
    อนุโมทนา สาธุ กับความรู้ที่ได้รับ
     
  3. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ยังไงทุกคนก็ตายอยู่ดี ใจเย็นๆไม่ต้องรีบ
     
  4. กิมท้ง

    กิมท้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +165
    (bb-flower ถ้าฆ่าตัวตายแล้วหนีกรรมได้ สงสัยกิมท้งต้องฆ่าตนเองวันละร้อยหนแล้วละจ้ะ การฆ่าตัวตายถือว่าเป็นบาปที่หนักนะจ้ะ ตายแล้วไปไหนคงรู้อยู่ และไม่มีใครในใลกนี้อยากฆ่าตัวตายหรอกจ้ะ ถ้ากฏของกรรมชั่วเดิมไม่เข้ามาลิดรอนชิวิตเสียก่อนจนขาดสติปัญญา (ที่ฆ่าตัวตายแล้วไปพระนิพพานได้ เห็นจะมีก็ คือพระโคธิกะเถระเจ้า ในสมัยพุทธกาลแหละจ้ะ)แต่เราอย่าไปลองนะจ้ะ..55555
     
  5. kunchaytae

    kunchaytae สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2006
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +23
    (ที่ฆ่าตัวตายแล้วไปพระนิพพานได้ เห็นจะมีก็ คือพระโคธิกะเถระเจ้า ในสมัยพุทธกาลแหละจ้ะ)
    พี่กิมท้ง หาข้อมูลมาลงไห้อ่านน๋อยจิ อยากรู้อะคับ
     
  6. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    ก็ไม่เสมอไปหรอกครับ จิตมีดวงเดียวท่องเที่ยวไป จิตผ่องใสคิดดีก่อนตายก็ไปสวรรค์ จิตหม่นหมองคิดชั่วก่อนตายก็ลงนรก หากจิตกลาง ๆ แบ่งแยกไม่ชัดเจนก็ไปสำนักพยายมให้ท่านตัดสิน โดยถามว่าเคยทำบุญอะไรบ้าง 3 ครั้ง ถ้ากรรมหนักบังตาจะนึกไม่ออกก็ต้องลงนรก เว้นแต่ทำบุญแล้วบอกให้พยายมท่านเป็นพยาน เมื่อท่านเห็นเราแล้วจะทวนความดีให้เรานึกได้เอง

    ในสมัยพุทธกาลครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านเทศน์ ภิกษุกลุ่มหนึ่งสดับฟังเกิดเห็นความเน่าเหม็นแห่งร่างกาย เกลียดกล้วยิ่งกว่าหมาเน่าแขวนคอ จึงได้จ้างให้ผู้อื่นมาฆ่าตัวเองบ้าง ฆ่าตัวเองบ้าง แต่ท่านเหล่านั้นก็ไปพระนิพพานหมด ด้วยเหตุแห่งการละสักกายทิฐถิฐานใหญ่ได้ ด้วยบุพกรรมเดิมที่ท่านเหล่านั้นต้องสิ้นชีวิตอยู่แล้ว แต่พระพุธเจ้าท่านก็สงเคราะห์ให้โดยเทศน์ให้เข้ากับจริตเฉพาะ ทำให้การฆ่าตัวตายแก่ภิกษุเหล่านั้นมีผลถึงพระนิพพาน จากนั้นพระองค์ก็บัญญัติวินัยว่าด้วยการฆ่ามนุษย์ ถึงขั้นปาราชิก ด้วยเห็นจะเป็นภัยแก่ผู้โง่เขาที่มิเข้าใจ

    ถามว่าผู้ฆ่าตัวตายหนีทุกข์จิตจะเป็นเช่นไร หม่นหมองเศร้าเสียส่วนมาก จึงมีที่ไปคือนรก มิอาจหนีทุกข์ได้ แต่ก็มีมิใช่น้อยทำจิตได้ถูกต้อง นายเรืองผู้เผาตัวเอง จึงไม่ได้ลงนรก นักโทษประหารโบราณที่ได้ทำบุญฟังเทศน์ก่อนตาย มิใช่น้อยได้ขึ้นสวรรค์ก่อน ทหารโบราณที่ปลุกพระก่อนรบหรือรบเพื่อปกป้องบ้านเมืองด้วยเมตตาต่อคนเบื้องหลัง มิได้ทำไปเพื่อความอหังกาเฉกเช่นปัจจุบันจึงมักได้ไปสวรรค์.......
     
  7. กิมท้ง

    กิมท้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +165
    (bb-flower ตามคำขอ น้องเอ๋ยเฮียจัดให้
    พระพุทธภาษิต
    เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ อปฺปมาทวิหารินํ
    สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ มาโร มคฺคํ น วินฺทติ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    คำแปล
    มารย่อมหาไม่พบซึ่งทางของท่านผู้มีศีลสมบูรณ์, ผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท ผู้หลุดพ้นเพราะรู้ชอบ
    <o:p> เรื่อง การนิพพานของพระโคธิกะ
    สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ สมัยนั้น พระโคธิกะ ทำความเพียรอยู่ที่ถ้ำกาฬสิลา (หินดำ) ข้างภูเขาอิสิคิลิ ท่านทำความเพียรจนได้เจโตวิมุติ (ความหลุดพ้น) เป็นครั้งคราวเช่น ตทังควิมุติ และวิขัมภนวิมุติ แต่วิมุตินั้นต้องเลื่อนไปเพราะโรคอันเรื้อรังประจำสังขาร บางอย่างของท่าน, ถึงกระนั้นท่านก็พยายามเรื่อยไป บางคราวยังฌานขั้นที่ 2 ที่ 3 ให้เกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปอีกถึง 6 ครั้ง พอถึงครั้งที่ 7 ท่านคิดว่า "เราเสื่อมจากฌานถึง 6 ครั้งแล้ว คติของผู้เสื่อมจากฌานเป็นของไม่แน่นอน คราวนี้เราจะทำฌานให้เกิดขึ้นแล้วจักฆ่าตัวตายเพื่อมิให้ฌานเสื่อมไปเสียก่อน" ดังนี้แล้ว นำมีดโกนมาวางไว้บนเตียงเพื่อจะตัดก้านคอ

    มารเห็นอาการของพระโคธิกะเช่นนั้นจึงคิดว่า "ภิกษุนี้นำศัสตรามาเพื่อปลงชีวิตของตน ภิกษุเช่นนี้ย่อมหมดอาลัยในชีวิตเธอเริ่มตั้งวิปัสสนาแล้ว อาจบรรลุอรหัตตผลได้ ถ้าเราจักห้ามเธอ เธอก็จะไม่เชื่อเรา อย่ากระนั้นเลย เราจักทูลให้พระศาสดาทรงห้าม" ดังนี้แล้ว ปลอมตนเข้าไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลอย่างนี้ว่า
    "
    ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า และมีบุญมาก ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระยุคลบาท บัดนี้สาวกของพระองค์ชื่อโคธิกะ กำลังจะฆ่าตัวตาย ขอพระองค์ทรงห้ามเถิด ข้าแต่พระองค์! สาวกนี้ของพระองค์เป็นผู้ยินดีในศาสนา ยังมิได้บรรลุธรรมอะไรเลย จะพึงทำกาละเสียกระไรอยู่ ขอพระองค์ทรงห้ามเถิด"
    ขณะเดียวกันนั้น พระโคธิกะนำศัสตรามา ทำฌานให้เกิดขึ้นแล้วเจริญวิปัสสนา ท่านได้บรรลุเป็นอรหัตน์พร้อมด้วยสิ้นชีวิต พระศาสดาทรงทราบโดยตลอด และทรงทราบว่าผู้มาทูลพระองค์นั้นเป็นมาร จึงตรัสว่า "ปราชญ์ทั้งหลายเป็นอย่างนี้ คือไม่อาลัยในชีวิต โคธิกะ ถอนตัณหาพร้อมทั้งรากขึ้นได้แล้ว ปรินิพพานแล้ว"
    พระผู้มีพระภาคมีภิกษุสงฆ์เป็นอันมากแวดล้อม เสด็จไปสู่ที่อยู่ของพระโคธิกะ ขณะนั้นมารเที่ยวแสวงหาวิญญาณของพระโคธิกะอยู่ว่า วิญญาณนั้นไปอยู่ที่ใด เมื่อไม่อาจแสวงหาให้พบได้ จึงแปลงเพศเป็นกุมารน้อยถือพิณสีเหลืองเข้ามาเฝ้าพระศาสดา และทูลถามว่า วิญญาณของพระโคธิกะอยู่ที่ใด
    พระศาสดาตรัสตอบว่า
    "
    ภิกษุชื่อโคธิกะ เป็นปราชญ์ มีศีลสมบูรณ์ ยินดีในฌาน มีความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ไยดีต่อชีวิต ชนะเสนาแห่งมัจจุราชได้แล้ว ไม่มาสู่ภพนี้อีก เธอถอนตัณหาพร้อมทั้งรากได้แล้ว ปรินิพพานแล้ว"
    มารได้ยินดังนั้นเสียใจเศร้าโศกหายไปแล้วพระศาสดาตรัสว่า "มารผู้ลามกต้องการอะไรด้วยวิญญาณของโคธิกะ คนอย่างมารแม้ตั้งร้อยตั้งพันก็ไม่อาจแสวงหาที่เกิดของกุลบุตรเช่น โคธิกะได้" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาว่า
    "
    เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ" เป็นอาทิ มีนัยดังพรรณนามาแล้ว </o:p>
     
  8. kunchaytae

    kunchaytae สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2006
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +23
    ขอบคุนพี่ กิมท้ง มากๆนะคับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...