ญาณระลึกชาติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 1 พฤษภาคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    ในเรื่อง บุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือ ญาณระลึกชาติ ได้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลวงปู่จะมีหรือไม่ สมเด็จพระพุทธองค์ได้ญาณนี้เมื่อคืนวันตรัสรู้ในเวลาปฐมยาม เป็นญาณลำดับแรกที่ทรงบรรลุ ทรงทราบรู้ระลึกถึงชาติหนหลังได้ ทั้งของพระองค์เองและสัตว์โลกอื่นๆ ตั้งแต่หนึ่งชาติ จนถึงอเนกชาติ...หาประมาณมิได้ ญาณนี้ทำให้ทรงทราบถึงอดีตชาติที่ท่องเที่ยว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป และทรงทำให้รู้สึกสลด รันทด เกิดความสังเวชพระทัยจนน้ำพระเนตรไหล ทรงสลด สังเวช สงสารชาติของพระองค์ ชาติของสัตว์อื่น ที่ท่องเที่ยว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทนทุกข์ทรมานมา ไม่แต่จะเคยเสวยพระชาติเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ นาค มนุษย์ ซึ่งเป็นทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ พระเจ้าจักรพรรดิ แต่เป็นคนยากจน เข็ญใจ ก็มีมาก และนอกจากทรงเคยเสวยพระชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่การตกนรกหมกไหม้ก็เคยผ่านขุมนรกต่างๆ มาแล้วเช่นกัน ทำให้พระองค์ทรงเบื่อหน่ายในชาติกำเนิด การเวียนว่ายตายเกิดเป็นที่ยิ่ง การจุติ แปรผัน ตาย - เกิด เกิด - ตาย ของสัตว์โลกไม่มีที่สิ้นสุด
    ญาณนี้เองเป็นเบื้องต้น เป็นบันไดขั้นแรกในคืนวันเพ็ญเดือนหก เมื่อสองพันห้าร้อยสามสิบห้าพรรษากาลที่ผ่านมา ที่ทำให้พระองค์สาวทอดไปสู่การตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ !

    ญาณระลึกชาติได้เช่นนี้ เป็นญาณซึ่งปวงปราชญ์ท่านถือเป็นเครื่องเตือนใจให้สลด สังเวชในภพชาติ และเร่งพิจารณาให้รู้ถึง ทุกข์ รู้ เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ และรู้ ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์
    เร่งพิจารณาทวนกระแส ตัดภพ ตัดกระแสของภพ
    ตัดกระแสของภวังค์ ให้ขาดสิ้นไป
    ท่านตรวจตรา ทวนกระแสดู ใน ปฏิจจสมุปบาท ปัจจยาการว่า...
    เมื่ออวิชชาดับ สังขารก็ดับ

    สังขารดับ วิญญาณก็ดับ

    วิญญาณดับ นามรูปก็ดับ
    นามรูปดับ อายตนะก็ดับ
    อายตนะดับ ผัสสะก็ดับ
    ผัสสะดับ เวทนาก็ดับ
    เวทนาดับ ตัณหาก็ดับ
    ตัณหาดับ อุปาทานก็ดับ
    อุปาทานดับ ภพก็ดับ
    ภพดับ ชาติก็ดับ
    ชาติดับ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความเศร้า ความร้องไห้ ร่ำไร รำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความเสียใจ ความคับแค้นใจ ก็ดับไปตาม ๆ กัน
    และทวนหวนกลับกระแสอีกว่า

    เมื่อชาติดับ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความเศร้า ความร้องไห้ ร่ำไร รำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความเสียใจ ความคับแค้นใจ ก็ดับ
    เพราะชาติดับ ภพก็ดับ
    ภพดับ อุปาทานก็ดับ
    อุปาทานดับ ตัณหาก็ดับ
    ตัณหาดับ เวทนาก็ดับ
    เวทนาดับ ผัสสะก็ดับ
    ผัสสะดับ อายตนะก็ดับ
    อายตนะดับ นามรูปก็ดับ
    นามรูปดับ วิญญาณก็ดับ
    วิญญาณดับ สังขารก็ดับ
    สังขารดับ อวิชชาก็ดับ
    อวิชชาดับ แล้วสิ่งทั้งหมดก็ดับไปตาม ๆ กัน

    ปราชญ์ท่านจะค้นดูในปัจจยการ ปฏิจฺจสมุปบาท อย่างละเอียดลออ ท่านจะพยายามทำให้อาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป ดับไป ไม่ให้เหลือเชื้อ เพื่อท่านจะได้เป็นผู้สิ้นไปแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เป็นผู้เสร็จกิจ จบพรหมจรรย์ ไม่มีกิจที่จะต้องทำอีกต่อไป
    การเป็นผู้เสร็จกิจ ท่านหมายถึง กิจ ใน การละ การวาง การถอดถอนกิเลส การประหารกิเลส การดับกิเลส... นั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะท่านได้ละ ได้วาง ได้ถอดถอน ได้ประหาร และดับหมดสิ้นแล้ว จึงเป็นผู้เสร็จกิจ ไม่มีกิจที่ต้องทำอีก เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็มีแต่กิริยาจิต ปฏิปทากิจ ที่จะต้องดำเนินตามปฏิปทาอริยมรรค อริยประเพณี เพื่อความเหมาะสมและดีงามเท่านั้น
    สำหรับญาณการระลึกรู้อดีตชาตินี้ ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ผู้ใฝ่ในการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ได้เคยขอโอกาสกราบเรียนถาม หลวงปู่ก็ยอมเล่าให้ฟังบ้าง
    ท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้ระลึกชาติได้มากมายอะไร ที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงระลึกได้อเนกชาติหาประมาณมิได้นั้น เพราะท่านทรงมหาสติ มหาปัญญา มหาบารมี
    สำหรับท่านนี้ เท่าที่ระลึกได้ ท่านไม่เคยเป็นกษัตริย์ มักจะเป็นแต่คนทุกข์ยากเสียมากกว่า
    <TABLE width="32%" align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พ่อเชียงหมุน หรือ เชียงมั่น คือ ชายที่อยู่ทางด้านขวาของภาพ​




    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="20%" align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พ่อเชียงหมุน หรือ เชียงมั่น​




    </TD></TR></TBODY></TABLE>เคยเกิดเป็นพ่อค้าขายผ้าชาติลาว ออกเดินทางมากับพ่อเชียงหมุน (อุปัฏฐากคนหนึ่งในชาตินี้) ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งนี้ มาทานผ้าขาวหนึ่งวา และเงินเป็นมูลค่าประมาณเท่ากับ ๕๐ สตางค์ ในปัจจุบันนี้ บูชาถวายพระธาตุพนม พร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ได้บวช ได้พ้นทุกข์ ท่านเล่าว่า ท่านเคยมาสร้างพระธาตุพนมด้วย สมัยพระมหากัสสปเถรเจ้า พระธาตุพนมนี้สร้างก่อนพระปฐมเจดีย์
    ท่านเคยเกิดเป็นคนยางอยู่ในป่า เคยเกิดเป็นทหารพม่า มารบกับไทย ยังไม่ทันฆ่าคนไทย ก็ตายเสียก่อน เคยเกิดอยู่เมืองปัน พม่า ชาตินี้ท่านก็ได้กลับไปดูบ้านเกิดในชาติก่อนที่เมืองปันด้วย
    เคยเป็นทหาร ไปหลบภัยที่ถ้ำกระ เชียงใหม่ และเคยตายเพราะอดข้าวที่นั่น
    ท่านเคยเป็นพระภิกษุ รักษาศีลอยู่กับพระอนุรุทธะ เคยเป็นสามเณรน้อยลูกศิษย์พระมหากัสสปะ
    เคยเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในพรหมโลก
    สำหรับการเกิดเป็นสัตว์นั้น ท่านเล่าว่า ท่านก็ผ่านมาอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญเช่นกัน เช่น เคยเกิดเป็นผีเสื้อ ถูกค้างคาวไล่จับเอาไปกิน ที่ถ้ำผาดิน
    เคยเกิดเป็นฟาน หรือ เก้ง ไปแอบกินมะกอก กินไม่ทันอิ่มสมอยาก ถูกมนุษย์ไล่ยิง เขายิงที่โคกมน ถูกที่ขา วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตายที่บ้านม่วง
    เมื่อครั้งเกิดเป็นหมี ไปกินแตงช้าง (แตงร้าน) ของชาวบ้าน ถูกเจ้าของเขาเอามีดไล่ฟัน ถูกหัวและหู เคราะห์ดีไม่ถึงตาย แต่ก็บาดเจ็บมาก ต้องทุกข์ทรมานจนกระทั่งหายไปเอง
    เคยเกิดเป็นไก่ มีความผูกพันรักชอบนางแม่ไก่สาว จึงอธิษฐานให้ได้พบกันอีก ทำให้กลับมาเกิดเป็นไก่ซ้ำถึง ๗ ชาติ
    เคยเกิดเป็นปลาขาว อยู่ในสระ ณ บริเวณซึ่งปัจจุบันคือ ที่สวนบ้าน พล.อ.อ. โพยม เย็นสุดใจ
    ท่านเล่าชีวิตของการเป็นสัตว์นั้นแสนลำเค็ญ อดอยากปากแห้ง มีความรู้สึกร้อน หนาว หิว กระหาย เหมือนมนุษย์ แต่ก็บอกไม่ได้ พูดไม่ได้ ต้องซอกซอนไปอยู่ตามป่า ตามเขา ตามประสาสัตว์ ฝนตกก็เปียก ก็หนาวสั่น แดดออกก็ร้อน ก็ไหม้เกรียม อาศัยถ้ำ อาศัยร่มไม้ไปตามเพลง บางทีมาอยู่ใกล้หมู่บ้านหิว กระหาย เห็นพืชผลที่ควรกินชีวิตได้ พอจะหยิบฉวยจับใส่ปากใส่ท้องได้บ้าง ก็กลับกลายเป็นของที่เขาหวงห้ามมีเจ้าของ ต้องถูกเขาขับไสไล่ทำร้าย
    มะกอกสักหน่วย กล้วยสักลูกส้มสูกลูกไม้ แตงสักผล... หยิบปลิดมาใส่ปาก กินยังไม่ทันอิ่มท้อง มนุษย์ก็ไล่ยิง ไล่ฟัน ของเพียงน้อยนิด แต่ต้องแลกด้วยชีวิตทั้งชีวิต ชีวิต...ซึ่งจะเป็นชีวิตของคน หรือชีวิตของสัตว์... ของสัตว์ใหญ่ หรือ ... ของสัตว์เล็ก ก็คือ ชีวิตดวงหนึ่งเหมือนกัน
    ชีวิตที่เวียนว่ายวนอยู่ในกองทุกข์ ตามอำนาจกรรมที่กระทำมานี้ แต่บางทีภพชาตินั้นก็ยืดยาวต่อไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหา ยกตัวอย่างเช่น ตอนท่านเกิดเป็นไก่ ใจนึกปฎิพัทธ์รักใคร่นางแม่ไก่ ชื่นชอบภพชาติที่เป็นไก่ของตน ปรารถนาขอให้ได้พบนางแม่ไก่อีก ท่านก็ต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อยู่เช่นนั้น ท่านเล่าว่า แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง เมื่อท่านระลึกชาติได้เห็นภพชาติที่เวียนวนกลับไปเกิดเป็นสุนัขถึงหมื่นชาติ ท่านบังเกิดความสังเวชถึงกับขออธิษฐาน เลิกปรารถนาพุทธภูมิ เพราะการจะบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตนั้น ท่านจะต้องบำเพ็ญต่อไปอีกเป็นแสนกัปแสนกัลป์ และหากเกิดกิเลสตัณหา ติดข้อง ผูกพันรักใคร่ปรารถนาพบรัก พบทุกข์อยู่นั่นแล้ว การเดินทางในภพชาติก็จะยืดเยื้อเยิ่นยาวต่อไปเป็นอนันตกาล เคราะห์ดีที่ท่านเกิดสลดสังเวชคิดได้ ขอตัดขาด ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสามารถดำเนินความเพียรเร่งรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จได้
    พร้อมกับที่เล่าให้ศิษย์ฟังเรื่องการระลึกชาติ ท่านจะชี้ภัยของการท่องเที่ยว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปในภพชาติต่าง ๆ ให้ฟังเสมอ
    ท่านเตือนย้ำว่า การกำหนดระลึกรู้ได้เหล่านี้ เป็นเพียง ผลพลอยได้ จากการบำเพ็ญเพียรภาวนาให้จิตสงบ หากเกิดขึ้นก็รับรู้ นำมาพิจารณาให้เห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นอริยสัจ ๔ ถือเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเจ้าของฟาดฟันกิเลสให้ย่อยยับอัปราไปโดยเร็ว
    ไม่ใช่ มัวนึกหลง นึกดีใจ เกิดมานะ ว่าเราเก่งกล้าสามารถกว่าคนอื่น
    นั่นเป็นทางหายนะ....!
    เพราะปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นเพียงโลกียญาณ ไม่ใช่โลกุตรญาณ...! ถ้าเจ้าของไม่เร่งดำเนินเข้าสู่ทางไปสู่อาสวักขยญาณ หรือญาณซึ่งถอดถอนอาสวกิเลสให้สิ้นไปดับไป แม้ญาณระลึกรู้อดีตชาติ ซึ่งเป็นโลกียญาณก็ย่อมจะเสื่อมได้
     
  2. รสิตา

    รสิตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +475
    โมทนาบุญด้วยค่ะ ..
    โดยเฉพาะวรรคท้าย ๆ ที่หลวงปู่ย้ำไว้ใน 7 บรรทัดสุดท้ายให้เร่งความเพียรในการขจัดกิเลส ไม่หลงมัวเมาในโลกียฌานที่ปรากฏ
     
  3. tassanai_k

    tassanai_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,518
    โมทนา สาธุ ครับ
    จิตตั้งมั่นน้อมรับและนำไปปฏิบัติ
     
  4. หยุย

    หยุย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +350
    ขอให้ได้แม้เพียงน้อยนิดก็พอครับ
     
  5. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ...พระอริยสงฆ์ที่สมควรเคารพบูชา...
    และนำธรรมของท่านไปปฏิบัติพัฒนาจิตใจของตนเองให้รู้ยิ่งๆ ขึ้นไป...
    สาธุ...สาธุ...สาธุ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...