"ระลึกชาติได้สองชาติ"ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ นักสะกดจิตบำบัด

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 1 เมษายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    "การสะกดจิต เป็นกระบวนการให้ข้อมูลกับจิตใต้สำนึก ซึ่งมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในของบุคคลนั้น เริ่มตั้งแต่นิสัย บุคลิกภาพ พฤติกรรม ความเชื่อ ไปจนถึงระบบการทำงานบางอย่างของร่างกาย การสะกดจิตเกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึก อีกวิธีที่ข้อมูลจะเข้าสู่จิตใต้สำนึกก็คือ ภาวะการทำซ้ำๆ เช่น คิดซ้ำๆ พูดซ้ำๆ ทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ จิตใต้สำนึกจะรับข้อมูลเข้าไปทีละน้อย ในภาวะที่เราตื่นอยู่ ซึ่งต้องอาศัยเวลานานแรมเดือนขึ้นไป"
    นี่เป็นวิธีเบื้องต้นการเข้าสู่ภาวะของการสะกดจิตแนวการสอนของ อ.ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ นักสะกดจิตบำบัด และประธานชมรมนักสะกดจิตบำบัดแห่งประเทศไทย
    อ.ชนาธิป เล่าว่า ก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นการสะกดจิตจากการที่ได้ทำงานด้านการฝึกอบรม โดยสนใจว่าทำอย่างไรให้การฝึกอบรมคนแล้วเขาสามารถนำไปใช้ได้จริง เช่น การอบรมการตลาดทำอย่างไรให้เขาขายของได้ ทำอย่างไรให้ใจเขาอยากขาย เพราะถ้าใจไม่อยากขายก็ขายไม่ได้ ตรงนี้จึงตัดสินใจไปเรียนเอ็มบีเอด้านการตลาด ที่เชื่อว่าจะตอบคำถามนี้ได้
    ประกอบกับเรียนวิชาโฆษณาที่สนใจเป็นพิเศษ โดยนำความรู้ด้านจิตวิทยามาใช้ในการโฆษณามาก และจิตวิทยาขั้นที่ลึกลงไปคือการสะกดจิต ทำให้ไปเรียนการสะกดจิต ซึ่งสามารถตอบคำถามคาใจในตัวเราได้มากมาย ตอบได้ ตั้งแต่วิทยาศาสตร์เรื่อยไปถึงไสยศาสตร์
    เมื่อเรียนจบ จึงนำวิชาสะกดจิตมาใช้ในประเทศไทย โดยนำความรู้ดังกล่าวมาถ่ายทอดให้ นายบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีความเชื่อในพลังจิต ในที่สุดก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวและธุรกิจ
    ทั้งนี้ อ.ชนาธิป อธิบาย คำว่า "ไสยศาสตร์" ให้ฟังว่า "ไสยศาสตร์" คือ
    ๑.สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังตอบคำถามไม่ได้ ๒.ไสยศาสตร์คือสิ่งที่เขาเล่นกล แต่เขาบอกว่าคืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ๓.ไสยศาสตร์คือภาพลวงตา ในทฤษฎีการสะกดจิตเราสามารถสร้างภาพลวงตาได้
    เมื่อถามถึงประโยชน์ส่วนตัวที่ได้จากการเรียนวิชาสะกดจิต อ.ชนาธิป บอกว่า ทำให้ย้อนอดีตชาติไปได้ถึง ๒ ชาติ คือ อดีตชาติภพหนึ่งเคยเป็นผู้หญิงฝรั่งมีลูก ๔ คน ลูกโตแล้วก็ออกจากบ้านไปหมด ทำให้อยู่คนเดียวเหงา
    แต่มีคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหญิงคนนี้ว่า เป็นผู้หญิงไม่เห็นสนุกเลย เลี้ยงลูกโต ลูกก็ปล่อยให้แม่เหงา ตรงนี้ก็อาจเป็นตัวตอบคำถาม
    ในชาติต่อมาที่ระลึกชาติได้เกิดมาเป็นผู้ชาย เห็นตัวเองเป็นคนแก่คนหนึ่ง โดยไม่ได้เห็นว่าวัยเด็กเป็นอย่างไร ดูท่าทางน่าจะเป็นคนที่มีสตางค์ เพราะมีคอร์ตแบดส่วนตัว แต่หน้าตาไม่มีความสุขเลยสักนิดเดียว พอรู้อย่างนั้นมาตอบคำถามตัวเองในชาตินี้ว่า
    ๑.ได้เป็นผู้ชายสมใจในชาติที่ผ่านมา ๒.ไม่มีความสุขอยู่ดี ชาติก่อนเกิดเป็นผู้หญิงก็ไม่มีความสุข ชาตินี้เกิดมาเป็นผู้ชายก็ไม่มีความสุข พอมาถึงชาติปัจจุบันจึงต้องมาแสวงหาความสุขอยู่ตรงไหน แท้จริงความสุขอยู่ที่ใจนั่นเอง ไม่ใช่ว่าอยู่เพศไหน
    อ.ชนาธิป อธิบายความเชื่อหลังความตายว่า ศาสนาพุทธของเรากล่าวเอาไว้ว่า ชีวิตนั้นเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตไม่ได้เกิดหนเดียว ตายหนเดียว เพราะฉะนั้น ชาตินี้เราเกิดมาเป็นอะไร หน้าตาเป็นยังไง บุคลิกภาพเป็นยังไง มีโชคร้ายแค่ไหน ก็สืบเนื่องมาจากชาติที่เราทำมาทั้งสิ้น บางคนระลึกชาติไม่ได้ชัดเจนจึงเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลเสียมากกว่า แต่ถ้าเรารู้เหตุของปัญหาเราก็สามารถเลี่ยงได้ที่จะทำให้เราไม่เจอสิ่งนั้นอีก หรือถ้าเจอได้จะช่วยลดความรุนแรงลง เหมือนเราจะไปสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ต้องไปแบบเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถเลี่ยงไปถนนอีกเส้นหนึ่งได้
    เมื่อเรารู้เรื่องการระลึกชาติ หรือเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่จำเป็นต้องไปวัดทำบุญ บุญตรงนี้คือการทำให้ใจว่าง ตื่นเช้ามาไม่หงุดหงิด ไม่โกรธคน ไม่เบื่อ ไม่เหงา ไม่เซ็ง ใครทำผิดรู้จักให้อภัยเขา เราไม่พอใจหยุดอารมณ์โกรธ อารมณ์โมโห อารมณ์เสียใจได้เร็วแค่ไหนก็เป็นบุญแล้ว และเราช่วยเหลือผู้อื่นได้เท่าที่เราช่วยได้ก็เป็นบุญ เพราะจริงๆ ถ้าถามพระสงฆ์ว่า ต้องการทำบุญต้องไปวัดไหม พระเองคงตอบว่าไม่ต้อง ถ้าเราทำใจให้เป็นสุขได้ทุกวันก็เป็นบุญอย่างหนึ่งแล้ว
    ส่วนการสะกดจิตสามารถนำพาไปสู่ภพภูมินรก หรือสวรรค์ได้หรือไม่นั้น อ.ชนาธิป บอกว่า ไม่อยากระบุชัดเจน เพียงแต่มีบางคนที่อยากไปนรกก็ลองสะกดจิตดู แล้วเขาก็ได้เห็นว่านรกอย่างไร แต่ตอบไม่ได้ว่าคนที่เห็น เขาเห็นจริงหรือเขาปรุงแต่งตามจินตนาการของผู้ถูกสะกดจิตเอง คงอยู่ที่ความเชื่อความมุ่งมั่นของแต่ละคน "ผมเป็นคนไม่แขวนพระเครื่อง เมื่อผมเรียนรู้เรื่องสะกดจิต การระลึกชาติ ถ้าพูดถึงพุทธคุณอยู่ที่องค์พระ หรืออยู่ที่ไหน เพราะจริงๆ พุทธคุณในองค์พระเปรียบเหมือนเป็นเสาอากาศส่งต่อไปยังอำนาจสากลทั้งหลาย แต่เมื่อผมรู้ผมทราบผมเข้าใจ ผมสร้างจิตของผมให้เป็นเสาอากาศแทน ผมรำลึกถึงพุทธคุณเสมอ ผมก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระ ไม่ต้องพึ่งเครื่องรางของขลัง บางคนมาหาเชื่อว่าตัวเองผีเข้า ผมก็เชื่อว่าผมรักษาได้ เพราะผมมีความดีเยอะกว่า แต่ถ้าไล่ผีไม่ได้แสดงว่าผีมีอำนาจเหนือกว่าผม เขาต้องไปหาบุคคลที่มีอำนาจเหนือกว่าผีตนนั้น" อ.ชนาธิป กล่าวทิ้งท้าย
     

แชร์หน้านี้

Loading...