โทษในโลกันตนรก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 26 มีนาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table border="0" width="550"><tbody><tr><td> .....แดนโลกันตนรก
    .....๑) อยู่ทางเหนือของท้องพระโรงที่ตัดสิน ของท่านท้าวพระยายมราช
    ......๒) มีเทือกภูเขาใหญ่ ใต้เขามีถ้ำใหญ่ มืดสนิท
    ......๓) ในถ้ำ มีลำธารน้ำใส่สะดาอ แต่เป็นน้ำกรดพิเศษ สามารถที่จะย่อย เนื้อและหนังของเหล่าอทิสมานกาย ได้
    ...... ๔) ในถ้ำมีความเยือกเย็นสุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    .......๕) ริมลำธารมีแต่ ต้นหวายมีหนามแหลม เป็นเหลี่ยมคมดังมีดโกน สั้นยาวได้ตามกฎแห่งกรรมของสัตว์นรกที่ผ่านมา หนามมีหลายแบบในต้นเดียวกันคอยบาดเฉือนสัตว์นรกที่ผ่านเข้ามา ให้บาดเจ็บ ตลอด เส้นทางมีความลาดชัน ริมตลิ่ง
    ........๖) ริมลำธารมีความลื่น ด้วยเมือก ที่เย็น มีความลาดชัน ตั้งแต่ ๓๐ ถึง ๙๐ องศา

    ......" การอุบัติของสัตวนรก ในโลกันตนรก ด้วยกฎของกรรม"
    .......๑) ถ้าอุบัติของสัตวนรก ในน้ำกรดเย็นก่อนครั้งแรก ก็จะถูกน้ำกรดเย็นกัดกร่อน อทิสมานกายที่เป็นเสมือน เนื้อ และหนัง ก่อนจนเหลือแต่กระดูก
    .........จากนั้น อทิสมานกายจะรวมขึ้นมาใหม่ แล้วหนีขึ้นชายฝั่ง ป่ายปีนขึ้นไปถึงข้างบนฝั่ง
    ..........ในระหว่างทางที่ขึ้นมา ต้องชนกับหนามแหลมของต้นหวาย ทางที่ลื่นและลาดชัน สัตว์นรกอื่นที่กลิ้งลงมาจากข้างบน ต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง
    ..........เมื่อมาถึงที่ราบริมตลิ่งแล้ว ก็จะหิวขึ้นมาทันที แต่ด้วยภายในถ้ำนั้นมีความมืดสนิท ก็ได้แต่มือไขว่คว้าไปข้างหน้า พบสัตว์นรกด้วยกันก็นึกว่าเป็นอาหารที่ตนกินได้ เพราะมีกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปหมด......ต่างตนต่างคิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นอาหารของกันและกัน เพื่อฉีกเนื้อกินซึ่งกันและกัน จนกลิ้งลงจากตลิ่งลงลำธาร ระหว่างนั้นก็ถูกหนามต้นหวาย บาดตามเนื้อตัว เป็นริ้วรอย
    ......ในที่สุดก็ ก็จะถูกน้ำกรดเย็นกัดกร่อน อทิสมานกายที่เป็นเสมือน เนื้อ และหนัง ก่อนจนเหลือแต่กระดูก

    .......๒) ถ้าอุบัติของสัตวนรก ในดงป่าหวาย.....ก็มีวงจรคล้ายๆกัน ไม่ปีนขึ้นก็ปีนลง

    .......๓) ถ้าอุบัติของสัตวนรก ที่ราบริมตลิ่ง....ต้องพบกับสัตว์นรกก่อน แล้วนึกว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นอาหารของตน

    .......เวียนกันไปมาไม่รู้จบ
    """"""""""""""""""""""""""""""
    ........อายุของการถูกลงโทษ....ไม่มีอายุ จนกว่าจะหมดสิ้นกรรม นัยว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่ ๑ จนถึงพระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่ ๒ ก็เพิ่งจะพ้นโทษจากโลกันตนรก จากนั้นจึงมาเสวยกรรมในอเวจีมหานรกและไล่เบี้ยจนครบแปดขุมใหญ่และแยกประเภทของกรรมอีก ๑๐ ขุม ตามโทษของศีลห้า และกรรมบถ ๑๐ จากนั้นจึงเป็นเปรต ๑๒ จำพวก อสุรกาย ๘ จำพวกที่ไม่มีอายุ จึงได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตามจำนวนที่เคยฆ่า จึงได้มาเกิดเป็นคนอีกครั้ง

    <table border="0" width="550"><tbody><tr><td>


    มูลเหตุพื้นฐานของการตกโลกันตนรก
    ๑. กรรมยักยอกทรัพย์สินของหลวง ของราชการหรือนักการเมือง ไม่ว่าจะระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ เหมือนกันหมดเป็นอาจิณกรรม หรือ ยักยอกครั้งเดียว ใช้จ่ายตลอดชีวิต หากเป็นบ้านเรือนก็ถือว่าปลดเกษียณออกจากราชการก็ถือว่ายังยักยอกอยู่เพราะได้บ้านและที่ดินเป็นอาจิณกรรม และหากลงทุนเงินที่งอกเงยขึ้นมาถือว่าเป็นผลกำไรที่ได้จากหยาดเหงื่อแรงงานภาษีอากรที่รัฐเก็บมาได้ หากทำบุญก็ไม่เกิดอานิสงค์ จะได้ก็เพียงโมทนาบุญ หากไม่รู้กฎระเบียบนี้บุญไม่เกิด ขณะจิตก่อนตายย่อมมีเจ้ากรรมนายเวรมาปรากฏภาพให้เห็นให้เกิดทุกข์ใจ เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วไม่ต้องมีนายนิรยบาลมาเชิญตัว อาทิสมายกายจะลอยด้วยความเร็วสูงเหนือความเร็วแสง ๑๐ ล้านเท่า ไปปรากฏที่โลกันตนรกเลย
    ๒. ในกรณีนักบวชในพระศาสนา เปลี่ยนแปลงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในเนื้อหาหลัก เช่น ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป หรือ ภูมิของอาทิสมานกายมีผี สัตว์นรก เทวดา พรหม และนิพพาน ไม่มี ตายแล้วดับสูญเหมือนควันไฟที่ลอยไปในอากาศ ไหว้เทวดา ไหว้หมาดีกว่า และเนื้อหาอื่นๆ ที่บอกว่าในพระไตรปิฏกเชื่อได้แค่ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ อีก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นนิทานที่แต่งขึ้นเพื่อเอาใจชนโบราณที่นับถืบพราหมณ์เป็นหลัก ดั่งนี้เป็นต้น ขณะจิตก่อนตายย่อมมีเจ้ากรรมนายเวรมาปรากฏภาพให้เห็นให้เกิดทุกข์ใจ เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วไม่ต้องมีนายนิรยบาลมาเชิญตัว อาทิสมายกายจะลอยด้วยความเร็วสูงเหนือความเร็วแสง ๑๐ ล้านเท่า ไปปรากฏที่โลกันตนรกเลย
    ๓. ผู้ที่เคยบวชในพระศาสนาแล้วนำเงินในระหว่างที่เป็นสมมติสงฆ์ถวายเป็นการส่วนตัว ปล่อยเงินกู้แก่ฆราวาส ยักยอกเงินสังฆทาน ของสังฆทานให้ญาติตนเอง ถือว่าต้องอาบัติปราชิก
    ....ในกรณีที่นำเงินจากรายได้ในขณะที่บวชอยู่แล้วเมื่อลาสิกขาแล้วนำมาใช้ ถือว่ามีโทษ แอบอิงธงชัยพระอรหันต์คือ ผ้าเหลืองเพื่อหากินพอรวยแล้วจึงสึกออกมาแต่งงานมีลูกมีเมีย ตรงนี้ถือว่ามีเจตนาแอบแฝงทำลายพระศาสนาทางอ้อม ก็เพราะเหตุที่บุคคลต่างๆ มาถวายเงินส่วนตัวก็เห็นว่าเป็นบุตรแห่งพระพุทธองค์ หากผู้ใดสังเกตในประวัติหลวงปู่ปานและที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เคยกล่าวไว้ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ถือเป็นของสงฆ์หมด หากจะเก็บไว้เพื่อเป็นยารักษาโรคก็ไม่ควรเกิน ๑๐๐๐ บาท
    ....เท่าที่รวบรวมได้มีเพียงเท่านี้ ท่านท้าวพยายมราชฝากบอกมาด้วยประเภทนี้ไม่ผ่านสำนักพยายมช่วยไม่ได้เลย

    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table>
     
  2. casyrybacksed

    casyrybacksed Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +66
    ลงโลกันต์นี่ ลงง๊ายง่าย แต่อยู่นานชะมัด
     
  3. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    จริง ๆ เสียด้วยซิครับ....

    และขอโมทนากับคุณ rinnn เป็นอย่างยิ่ง....

    นับได้ว่า เป็นกับดัก ที่สร้างจาก กิเลส ตัณหา และอุปทาน อย่างสมบูรณ์....

    กิเลส ตัณหา....
    เมื่อมีอำนาจ มีช่องทางที่จะมาแห่งทรัพย์สิน โกงมา ก็เงิน ไม่โกงก็เงิน....
    มีเงินอยู่ในกระเป๋าของเรา มันก็ย่อมเป็นของเรา....
    ถึงจะยักยอกมา โกงมา ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น มันจะเป็นไรไป....
    เมื่อมีเงิน ก็เสริมอำนาจ เสรืมวาสนา ผู้คนเคารพ นบนอบ....

    นี่ อุปทาน ก็กินใจ.... คิดผิด ก็คิดว่าถูก(ก็มันถูกใจเราเองนี่นา....)

    ก็เป็นไปตามกรรม และบุญบารมีแห่งตน ของใครของมัน....

    หากยังคงเป็นบารมีต้น.. คนพูดอธิบายจนฟันหัก.. ก็ไม่เข้าใจ....
    (ดีไม่ดี ปากแตกเสียก่อน ที่ฟันจะหัก)

    หากบารมีกลาง ก็เคี่ยวเข็นกันนานนนน กว่าจะพอรู้ได้บ้าง....

    ปรมัตถบารมีต้น ๆ ก็รู้ได้ว่าไม่ดี....

    ปรมัตถ์ปลาย ๆ .... ต่อให้ตาย ข้าก็ไม่แตะ (ทรัพย์อัน ทุศีล)

    ........................................................................

    เรื่องลงนรกนี่.... ทุกคนก็ย่อมจะเคยลง เคยผ่าน ความทุกข์ยาก ความเจ็บปวด
    มาด้วยกันทุกคน ไม่มียกเว้น แม้แต่พระพุทธองค์ในสมัยที่ยังบำเพ็ญเพียร....

    หากทุกคน จำได้ ว่ามันร้อนเพียงใด มันทรมานแค่ไหน....
    โลกนี้ ก็จะมีแต่ความสุข.... เพราะว่าย่อมไม่มีใครที่อยากจะเลว มันกลัวนรก....

    แต่สัญญา คือ ความจำของคนเรา มันเป็นระเบียบว่า....

    หากตายไปแล้ว ไปเกิดที่ภพไหน ภูมิไหนก็ตาม ไม่ว่าสุขคติ หรือทุกคติ....
    เมื่อมาเกิดใหม่ จะจำความอะไร ไม่ได้เลย....

    ยกเว้น 2 ประการ....

    1. ตายจากการเป็นคน แล้วมีบุญบารมีพอ หรือว่าไม่ทันหมดบุญที่จะเป็นคน
    ตายจากคนปุ๊บ ยังไม่ทันไปไหนได้ กลับไปเข้าท้องคนอีก เกิดเป็นคนอีก....
    อย่างนี้ สามารถจำได้ 1 ชาติ ในชาติที่พึ่งผ่านมา....

    (มีตัวอน่างเยอะ ที่เด็กเกิดมาอายุ 7-8 ปี ระลึกชาติได้ เที่ยวไประบุว่า คนที่มีอายุรุ่นป้า น้าอา ว่า เคยเป็นเมีย เป็นลูก เป็นหลานของเขา อย่างนี้เป็นต้น...
    หรือเกิดมาก็ฉลาดมาก เพราะก่อนตายเป็นด็อกเตอร์ กลับมาเกิด อย่างนี้ ก็มี)

    2. ผู้ที่เคยบำเพ็ญได้ฌานสมาบัติในอดีตชาติ.... ชาตินี้มาบำเพ็ญต่อ ก็เกิดฌาน
    ได้ญาณ อันเป็นเครื่องรับรู้เรื่องในอดีต .. อตีตังสญาณ.. อย่างนี้ ก็จำได้

    .............................................................................

    สรุปแล้ว....
    1. อัตนา โจทยัตตานัง สำหรับท่านที่ ปรารถนาความไม่เกิด.... จะประเสริฐสุด

    2.ผู้ปรารถนาการเกิด เพื่อสงเคระห์คนอื่น ก็ต้องเพียรหาวิธี ที่ชาญฉลาด นำพากลุ่ม
    บริวาร สมัคร พรรคพวก ให้สามารถพ้นบ่วงทุกข์(อันเป็นกับดัก) ให้ได้ ให้พ้น

    แต่ก็เป็นไปตามกรรม ของบุญ บารมี ทั้งสิ้นทั้งปวง....

    ทุกข์ ยาก ความลำบาก ไม่ค่อยมีคนคิด คำนึงถึง ในวันข้างหน้า....
    จ้องหา และมองเห็น เพียงแต่ความสุข อันเนื่องด้วยกิเลสในปัจจุบัน....

    วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่ใคร่คิคำนึง....

    หากเพียงคิดได้ว่า....
    วันนี้ เราอาจจะตายก็ได้ เพราะความตายมันไม่แน่นอน ว่าจะมาถึงเราเมื่อไร
    เราก็จะไม่ประมาท เพียรสร้างความดีไว้ ก็จะรอดพาตัวเองสู่สุคติได้....

    แต่ทว่า อย่างนี้ก็หายากแล้ว....

    โอ้.. ใครจะใหญ่เกินกรรม.. คิดได้.. ยอมรับได้ในกฏแห่งกรรม....

    จิต ก็มีความสุข....

    ขอกราบโมทนาในกุศลจิต....
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ............................
     

แชร์หน้านี้

Loading...