มารแบบผู้ดีมาแบบแยบยล

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 18 มีนาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    ก๊อปปี้เพียงบางส่วน มาจาก http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare052.htm

    ๑)เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ผิด แต่ประพฤติถูกบางส่วน

    หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อในการใช้ชีวิตแบบไม่เบียดเบียนใคร เลื่อมใสการเกื้อกูลสังคม หรือกระทั่งศรัทธาในสันติสุขและการมีเมตา ทว่าไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก ไม่เชื่อว่านิพพานมีจริง อาจจะเพราะได้รับการปลูกฝังให้เชื่อแบบนั้นมาแต่เล็ก หรืออาจจะเพราะโตแล้วคิดเอง คาดคะเนแล้วปักใจเข้าข้างตัวเองอย่างเหนียวแน่น แถมยังขยายความเห็นผิดของตนให้กว้างไกลออกไป ผ่านรูปแบบการถกเถียง ถากถาง กล่าวโจทก์โพนทะนาด้วยเจตนาให้คนทั้งโลกหมดความเชื่อถือ หรือกระทำพุทธศาสนาให้หมดความชอบธรรมที่จะตั้งอยู่ กรรมที่เผยแพร่ศาสนาตนด้วยวิธีย่ำยีศาสนาอื่นในวงกว้างนี้แหละตัวการสำคัญอันจะทำให้เป็นมาร

    ที่บุคคลประเภทนี้มีโอกาสไปสวรรค์ ก็เพราะความดีที่เขาทำได้น้ำหนักเกินความชั่วที่เขาก่อ แต่หากครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญได้น้ำหนักแค่พอดีกับบาป ตายแล้วจะไปเป็นอสูร ซึ่งจัดเป็นพวกครึ่งเปรตครึ่งเทพ คอยรบกวนทั้งมนุษย์และเทวดาที่ใฝ่ดีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา อาจจะในรูปของการทำร้ายตรงไปตรงมา ดังเช่นเมื่อครั้งพุทธกาลมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง เดินจงกรมอยู่กลางแจ้ง มารก็เข้าไปรบกวนท้องไส้ท่านให้รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆถ่วงอยู่ แต่ท่านรู้ทันด้วยญาณ จึงเกลี้ยกล่อมโดยเล่าให้ฟังว่าอดีตชาติท่านก็เคยประพฤติตนเป็นมารอย่างนี้แหละ แต่พอพ้นจากภพของมารก็ต้องลงไปเสวยมหันตทุกข์ หมกไหม้อยู่ในมหานรกนานแสนนาน ไม่คุ้มกันเลย (ตัวท่านเองในครั้งอดีตเป็นญาติเก่ากับมารที่มารบกวนท่านในชาติสุดท้ายเสียด้วยครับ ถึงมีสายสัมพันธ์ที่เปิดช่องให้มารบกวนกันได้)

    ๒) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูกส่วนหนึ่ง แต่เห็นผิดอีกส่วนหนึ่ง

    หมายถึงกลุ่มคนที่ศรัทธาในกรรมวิบากระดับให้ทานและรักษาศีล เชื่อว่ากรรมมีผล เชื่อว่าทำดีย่อมมีสุคติเป็นที่หวัง แต่น่าเสียดายยังเห็นผิดเกี่ยวกับนิพพานและวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงนิพพาน ลำพังความเห็นผิดเงียบๆอยู่คนเดียวก็ไม่กระไรนัก แต่หากเกิดเป็นขบวนการจัดตั้ง พยายามล้มล้างแนวความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับมรรคผลนิพพานดั้งเดิม อันนี้ก็ต้องกลายไปเป็นพลพรรคมารกันโดยไม่รู้ตัว

    อย่างไรก็ตาม พวกนี้จะเป็นมารแบบผู้ดีขึ้นมาหน่อย คือเวลารบกวนจะไม่มาในลักษณะการของทำร้ายกันดื้อๆ แต่จะมาในรูปของการดลใจในสมาธิ เช่นทำให้พระซึ่งมีบุญมากๆหลงเห็นนิมิตบางอย่าง ได้ยินเสียงบางอย่าง แล้วบังเกิดความเชื่อมั่นว่านั่นคือการบรรลุถึงมรรคถึงผล โดยมากเป็นดอกบัวบานหรือนิมิตพระพุทธรูปที่มีเสียงระฆังกังวานสดใส หรือคำรับรองว่าเช่นนี้เป็นมรรคผลที่ถูกต้องแล้ว

    นอกจากนั้น ปัจจุบันยังมีอรหันต์ดิบเกิดขึ้นเยอะ กล่าวคือปฏิบัติธรรมแล้วเกิดมหาอุเบกขา รับผัสสะกระทบแล้วเฉยชา ไม่รู้สึกรู้สาทางกาม ก็เข้าใจว่าตนหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์แล้ว ทั้งๆที่เป็นอำนาจสมาธิหรืออำนาจของศีล ๘ ที่แข็งแรงเท่านั้น อีกพวกหนึ่งเกิดปรากฏการณ์บางอย่างทางจิตครั้งเดียว เช่นเกิดความว่างหายเฉียบพลันซึ่งคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์มรรคผลของจริง ก็พลัดหลงไปเข้าใจว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้งที่กิเลสยังอยู่ครบ ยังโลภอยากสะสมสมบัติ ยังเกิดราคะอยากร่วมเพศ ยังเกิดโทสะหงุดหงิดรำคาญใจ และยังสำคัญตนไปต่างๆนานาว่ารู้เห็นเยี่ยงผู้วิเศษ ใครเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง จะฟังแต่ครูบาอาจารย์ที่ให้รางวัลเขา แต่งตั้งให้เขาเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

    พวกนี้ไปเกิดเป็นเทวดาได้เพราะบุญซึ่งทำจริงๆตลอดชีวิต แต่พอเป็นเทวดาก็มักมีความพอใจประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ มาสนทนากับมนุษย์ผู้มีญาณ หรือผ่านมนุษย์ผู้มีเป็นร่าง ก็จะต้องการให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนหมดกิเลสแล้ว บางครั้งก็มีวิธีบังคับ หรือวิธีสำแดงตนแปลกๆได้พิสดาร สุดที่มนุษย์ธรรมดาๆจะแข็งขืนไม่ยอมศิโรราบให้

    เทวดาพวกนี้จะบรรยายสภาพของนิพพานไปต่างๆนานาสารพัด โดยรวบรัดคือเป็นดินแดนอันสงบสุข หาความทุกข์มิได้ ซึ่งที่แท้ก็คือภพหนึ่งของเทวโลกหรือพรหมโลกเท่านั้น และจะปฏิเสธนิพพานแบบไร้นิมิต ไร้ที่ตั้ง เห็นเป็นของน่าเบื่อ ไม่มีตัวตนให้สนุกอีก โดยไม่เฉลียวคิดถึงแก่นสารที่แท้จริงว่าการไร้สภาพปรุงแต่งให้เกิดดับนั่นเอง คือบรมสุข คือความสงบอันเป็นที่สุดทุกข์

    ๓) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูก แต่ปรามาสผู้ทรงคุณ

    หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...