๖ สร้อยฟ้ามาลา พาเที่ยววัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ กระทู้นี้ เป็นกระทู้ติดค้างมาจากกระทู้ทริปเหนือสุดแดนสยาม ทีแรกคิดจะตั้งชื่อว่าสร้อยฟ้ามาลาพาเที่ยวสงกรานต์(แบบไม่เปียกน้ำ) แต่เมื่อมาดูวันที่ไปเที่ยวแล้ว เลยสงกรานต์มา ๑ วัน เลยจะบอกให้เต็มปากเต็มคำว่าเที่ยวสงกรานต์คงไม่ได้ ก็เลยต้องนึกชื่อกระทู้ใหม่ แต่กว่าจะนำมาลงเป็นกระทู้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านก็เลยเข้ามาเดือนพฤษภาคมแล้ว ความร้อนของเรื่องคงจะคลายลงเมื่อพ้นเมษา แต่คงไม่ว่ากันมั้งว่านำมาลงช้าไปหน่อย เพราะกว่าจะเสร็จกระทู้เหนือสุดแดนสยามก็สิ้นเมษาเลย ก็รูปที่ถ่ายไว้เยอะมากกว่าจะเลือกได้ กว่าจะย่อขนาดลง กว่าจะนำลงมาให้อ่านก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่งนะเจ้าคะ เอ... เริ่มพูดมากอีกแล้วเรา เข้าเรื่องดีกว่า ...... วันนี้เป็นวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๒ เลยสงกรานต์ มา ๑ วัน รัฐบาลสั่งหยุดราชการต่ออีก ๒ วัน นั่งอยู่บ้านที่นครสวรรค์ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ไปทำบุญที่วัดแถวบ้านแล้วก็รีบกลับเข้าบ้าน กลัวโดนสาดน้ำ คิดไปคิดมา มีแต่คนถามว่าไปวัดพระพี่นางหรือยัง ก็บอกเลยว่าไม่เคยไป อยู่ตรงไหนเหรอ ก็อยู่อำเภอท่าตะโกงัย แล้วท่าตะโกอยู่ตรงไหนของนครสวรรค์หล่ะนี่ ตายหล่ะสิอยากไปแต่ไม่รู้จัก ก็เลยต้องกางแผนที่ แล้วก็คลำทางกันไป ระยะทางจากอำเภอเมืองถึงอำเภอท่าตะโกประมาณ ๕๐ กิโลเมตร เห็นจะได้โดยใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๐๐๔ ผ่านสนามบิน, สถานีรถไฟ, บึงบอระเพ็ด แล้วจะหลงไหมนี่ อิ อิ งานนี้ไม่หลง แต่ขับรถเลยเจ้าค่ะ เพราะป้ายบอกทางเข้าไม่ค่อยสะดุดตา จากปากทางเข้าถึงวัดประมาณ เกือบ ๑๐ กิโลเมตรเห็นจะได้..... ถึงวัดเวลาประมาณ ๑๑.๓๐ น. เกือบเที่ยง ย้ำอีกที เกือบเที่ยง แสงอาทิตย์กำลังแผดกล้าเลย วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตั้งขึ้นโดยคณะศิษย์สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม กรุงเทพมหานครนำโดย พระเทพโมลี (สุนทร สุนฺทราโภ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชผาติการามเจ้าคณะเขตดุสิต (ธรรมยุติ) สร้างถวายสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ในโอกาสเจริญชนมายุครบ๘๐ ปี เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ ต่อมาวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ได้รับอนุญาตจากกรมธนารักษ์ให้ใช้สถานที่จำนวน๙๖ ไร่ ๒ งาน ๕๘ ตารางวาเพื่อสร้างวัดขึ้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา และได้รับพระราชทานวิสุงคามเสมาในปีพ.ศ. ๒๕๔๘ วันที่๖ ธันวาคม๒๕๔๙ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงพระกรุณาบริจาคทุนทรัพย์ร่วมทำบุญพื้นที่สร้างเจดีย์ศรีพุทธคยาในวันที่๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ได้ทรงรับเป็นองค์ประธานงานสร้างเจดีย์ศรีพุทธคยาเฉลิมพระเกียรติวันที่๑๒มิถุนายน ๒๕๕๕๐ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมทรงรับวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์เป็นวัดในพระองค์แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การก่อสร้างเจดีย์ศรีพุทธคยายังไม่แล้วเสร็จก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน ตราสัญลักษณ์วัด “กว” พระนามย่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ประดิษฐานด้านบนตราสัญลักษณ์ ดอกบัวสื่อถึงพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปตรงกลางดอกบัวหมายถึงพระพุทธศาสนาที่เป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวจิตใจชาวพุทธ ภิกษุ 2 รูปนั่งพนมมือหันหน้าเข้าหากันหมายถึงภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่วนเลข ๘๔ ที่เขียนเป็นตัวเลขไทย หมายถึงพระชนมายุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ตัวเลขใช้สีเหลือง ๒ เฉด แทนสีของจีวรพระสงฆ์ไทย ๒ นิกาย และตราสัญลักษณ์ออกแบบโดย ณัฐกฤตตา ผิวอ่อน วัดจะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน การจะชมวัดหรือไปนมัสการปูชนียวัตถุปูชนียสถานต้องเดินออกแรกกันหน่อย ส่วนแรก ที่จะถึงก่อนคือ สังฆาวาส จะประกอบด้วย ศาลาการเปรียญ กุฏิ เป็นต้น และเป็นที่จอดรถด้วย ส่วนรถบัสไม่อนุญาตให้ขึ้นชั้นบน ต้องใช้รถอื่นขึ้นไปทางค่อนข้างลาดชันมาก หรือไม่ก็เดินขึ้นไปตามบันได ระยะจากส่วนที่ ๑ ถึงส่วนที่ ๒ซึ่งเป็นส่วนของเรือหลวง นับขั้นบันไดได้ ๑๙๕ ขั้น และจากส่วนที่ ๒ ถึงส่วนที่ ๓ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ศรีพุทธคยา นับขั้นบันไดได้ ๒๑๐ ขั้น สร้อยฟ้ามาลาจอดรถไว้ในส่วนที่ ๒ แล้วเดินขึ้นบันไดไปได้เหงื่อพอดูเลย แดดร้อนเปรี้ยง ร่มก็ไม่มี หมวกก็ไม่มี ไม่มีอะไรจะบังแดดสักกะอย่าง มาแล้วห้ามบ่น (ก็ใครจะไปรู้หล่ะว่าร้อนนี่) ขอบอกอีกอย่างเพราะความไม่รู้นึกว่าวัดป่าจะตั้งอยู่บนพื้นราบมีต้นไม้ครึ้ม แต่คิดผิดวัดตั้งอยู่บนเขา ก็ทางเดินขึ้นเขาจะหาต้นไม้ที่ไหนมาบังแดดเล่า ส่วนที่ ๒ จะเห็นว่าวัดสร้างเป็นรูปของเรือหลวงขนาดใหญ่ ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน เห็นแต่พระอุโบสถอยู่ในเรือ แต่ที่นี่วัดอยู่ในเรือ ซึ่งมีความหมายว่า เป็นพาหนะที่จะช่วยขนสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งสังสารวัฎ (ทะเลวน) ให้พ้นจากโอฆะสงสาร ห้วงน้ำคือกิเลสที่ทำให้เหล่าสัตว์หล่นลงไปแล้วจมน้ำตายอยู่ในสังสารวัฏ เวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มี ๔ อย่างคือ กาม ทิฏฐิ ภพ อวิชชา เรือที่ตั้งอยู่บนเกาะหรือภูเขา หมายถึง เป็นสถานที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง หรือท่วมทับแก่บุคคลที่มีปัญญาไม่ได้ ผู้มีปัญญา มีความขยัน ไม่ประมาทตามกิเลส มีความสำรวมระวังดี ก็จะอยู่บนเรือลำนี้ได้โดยปลอดภัย เรือหลวงลำนี้มีชื่อว่า "ราชญาณนาวาทีฆายุมงคล" เพราะสร้างขึ้นในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เรือหลวงนี้มีความกว้าง ๓๐ เมตร ยาวประมาณ ๖ ไร่เศษ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงสถาบันแห่งชาติทั้งสิ้น ความงดงามและสิ่งที่น่าดูน่าชมในวัดแห่งนี้พรรณนาอย่างไรก็สู้ไปดูด้วยตัวเองไม่ได้อยู่ดี แต่ที่อยากจะบอกก็คือ สิ่งที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นภายในวัดล้วนเป็นความประสงค์ของผู้สร้างที่ต้องการจะให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ที่นอกจากจะได้รับความสุขสงบทางใจแล้ว ยังให้เกิดจิตสำนึกในความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วย ทั้งนี้เพราะหลายสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานอกเหนือจากที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาโดยตรง ก็ยังมีที่เกี่ยวกับสถาบันชาติและพระมหากษัตริย์มากมาย มาชมชั้นที่ ๒ กันดีกว่าเริ่มจากหัวเรือไปเรื่อยๆ จนถึงท้ายเรือ มีลำดับดังนี้ พระพุทธเอกนพรัตน์ ประดิษฐานอยู่ ณ บริเวณหัวเรือราชญาณนาวาฑีฆายุมงคล ซึ่งสร้างขึ้นในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ พระเทพโมลี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มสร้างวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ได้คิดรวบควมพระพุทธจริยาปางต่างๆ ที่ประจำวันของเทพนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์ มี อาทิตยเทพ จันทรเทพ เป็นต้น คนทั้งหลายก็นำมาเป็นนิมิตหมายแห่งเทพประจำวันเกิดของตน เทพแต่ละองค์ก็จะมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่เคารพนับถือบูชาประจำพระองค์ มนุษย์ทั้งหลายที่ได้ถือนิมิตหมายแห่งเทพประจำวันเกิด ก็จะต้องยอมรับนับถือพระพุทธรูปที่ประกอบด้วยพุทธจริยาปางต่างๆ มาประจำตัวด้วย จึงเป็นที่มาของพระพุทธรูปประจำวันเกิดทั้ง ๗ วัน โดยเพิ่มวันพุธกลางคืน คือพระราหู และพระเกตุ เข้าอีก ๒ พระองค์ จึงรวมเป็น ๙ องค์ เรียกว่า “เทพนพเคราะห์” สำหรับมาดูแลรักษามนุษย์ให้มีความสุขความเจริญ ศาลของกรมหลวงชุมพระเขตอุดมศักดิ์ ที่ทางวัดสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในฐานะพระบิดาแห่งทหารเรือไทยและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่เรือราชญาณนาวาทีฆายุมงคลด้วย ศาลนี้เป็นศาลแห่งที่ ๑๑๖ ในประเทศไทยจากการรวบรวมของกองทัพเรือ ลานพระธรรมจักร เป็นลานกว้างขนาด ๗ x ๗ เมตร บนลานแห่งนี้ประดิษฐานแท่นพระธรรมจักร มีหินทรายแกะสลักเป็นรูปกวาง และแท่นหิน ๘ เหลี่ยม ที่แกะจากหินทรายสลักเป็นรูปมงคลต่างๆ ตั้งไว้ด้านหน้า เป็นนิมิตหมายว่า พระพุทธเจ้าได้ประกาศพระธรรมคำสอนอันยอดเยี่ยมให้เป็นไปในโลกทั้ง ๒ อันใครจะปฎิวัติ ปรับปรุง เปลี่ยนเปลี่ยนไม่ได้ เพราะมีความสมบูรณ์ บริบูรณ์ยุติธรรม ในการวางแนวทางไว้อย่างประเสริฐ แก่เหล่าเทพยาและมนุษย์ทั้งหลาย พระอุโบสถ ปางประสูติ พระประธานในพระอุโบสถ พระพุทธนิรันตราย มณฑปเรือนแก้ว เป็นอุโบสถของวัด เป็นสถาปัตยกรรมประยุกต์ไทยอินเดีย ทีแรกไม่ทราบหรอกว่าเป็นพระอุโบสถแต่พอพิจารณาเดินดูรอบๆ แล้ว สร้อยฟ้ามาลาเห็นว่ามีใบเสมาอยู่ตามมุม แสดงเป็นเขตอยู่จึงได้ทราบว่านี่คือ พระอุโบสถของวัดนั่นเอง / ยังไม่จบนะ ตอนนี้ Upload รูปไม่ได้ขอค้างไว้แค่นี้ก่อน นะจ๊ะ...
เจดีย์ศรีมหาราช สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นราชสักการะปูชนียานุสรณ์ในปีกาญจนาภิเษกภายในเจดีย์นี้มี ๓ ชั้น แต่ละชั้นมีห้องให้เข้าไปสัมผัสใกล้ๆ ทว่าดูแล้วเลือดรักชาติพุ่ง ใจสงบเยือกเย็น ชั้นที่ ๑ ห้องมหาราช ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อของพระมหากษัตริย์ไทยทั้ง ๙ พระองค์ คือ พ่อขุนรามคำแหง สมเด็จพระนารายณ์ สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเจ้าตากสิน รัชกาลที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และรัชกาลปัจจุบัน ชั้นที่ ๒ มีหลายห้องอาทิ ห้องพระนางจามเทวี ห้องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ห้องสมเด็จพระสุริโยทัย ห้องสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมฺรังสี) ห้องพระไตรปิฎก มีรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แสดงธรรม รูปหล่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร) หลวงพ่อทวด และหลวงปู่โง่น โสรโย ส่วนชั้นบนสุดของเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ และวัตถุมงคลต่างๆ พระภควัมบดี (พระอยู่เย็นเป็นสุข พระไม่มีหน้า) เป็นพระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์เหมือนพระสังกัจจายน์ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ปางขัดสมาธิเพชร บนกลีบบัว ๓ ชั้น เห็นครั้งแรกสร้อยฟ้ามาลาสงสัย ว่าทำไมพระสังกัจจายน์ถึงไม่มีหน้า หรือว่ายังสร้างไม่เสร็จ แต่ที่ได้รับคำตอบก็คือว่าเจตนาสร้างเพื่อสอนคนที่ว่า “ปิดหู ปิดตา ปิดปากเสียบ้าง ทำให้มีสุข” ซึ่งมีคำอธิบายไว้ว่า "พระภควัมบดี ศรีสุทธินายก โพธิสัตว์สาธก โพธิญาณนิมิต " ไม่พูดสิ่งที่เป็นพิษให้ปิดปาก ไม่ฟังสิ่งที่เป็นพิษให้ปิดหู ไม่เห็นสิ่งที่เป็นภัยอย่าไปดู ปิดประตูใจกลั้นกันชั่วกวน ส่วนที่ ๓ เดินขึ้นบันได ๒๑๐ ขั้น ระหว่างทางขึ้นจะมีที่พักให้อยู่ ๒ ที่ ที่แรกจะเป็นพระบัวเข็ม(พระอุปคุต) ตรงฐานจะมีน้ำให้ดื่ม และล้างหน้า น้ำนี้เย็นชื่นใจมาก ซึ่งจะไหลผ่านจากพระบัวเข็ม(พระอุปคุต)เหมือนกับได้รับน้ำมนต์จากองค์พระ จุดพักที่ ๒ จะเป็น เอ่อ ถ้าสร้อยฟ้ามาลาจำไม่ผิดคงจะเรียกว่า “เสาอโศก” เสาอโศก ณ เจดีย์ศรีพุทธคยา เป็นสิ่งก่อสร้างสำคัญสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับเจดีย์ศรีพุทธคยา สร้างด้วยหินทรายสีเหลืองสูง ๙ เมตร พร้อมแกะสลักหินภาพพุทธประวัติทั้ง ๔ ด้าน ด้านบนของเสาอโศกเป็นรูปสิงห์ในท่านั่ง แกะสลักจากหินทราย และที่ฐานสิงห์บนยอดเสาอโศก เพิ่มหน้าสิงห์เข้าไปอีก ๔ หน้า ๔ ทิศ จึงมีสิงห์บนยอดเสาอโศกรวม ๕ สิงห์ รอยพระจริยวัตรของพระเจ้าอโศกมหาราชในการสร้างเสาอโศกนั้น ความว่า พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างแท่งหินกลมทรงกระบอก ปลายสอบ เพื่อเป็นเครื่องบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเครื่องแสดงถึงการหยุดทำสงครามทางโลก แต่มาทำสงครามทางธรรมของพระเจ้าอโศกมหาราชแทน เสาอโศกจารึกหลักฐานทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับพระจริยวัตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตำแหน่งของสังเวชนียสถาน อาทิ สวนลุมพินีวัน สถานที่ประสูติ แม่น้ำเนรัญชรา สถานที่ตรัสรู้ และเมืองกุสินารา สถานที่นิพพาน…………… และแล้ว สร้อยฟ้ามาลาก็เดินมาถึง เจดีย์ศรีพุทธคยา .......................... /ยังไม่จบนะ พักเหนื่อยก่อน เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังต่อ... ...................................
แล้วผิวเกรียมหายยังจ๊ะแม่สร้อย สวยงามคุ้มค่ากับการลงทุนไปเดินถ่ายภาพมาจริงๆ เห็นบอกว่าร้อนมาก ^_____^
สวยงามมากขึ้นเรื่อยๆเลยครัย ผมเป็นวิศวกรคุมงาน ตอนนั้นก่อสร้างวิหารเทพสถิตย์ และต่อเติมเจดีย์ศรีมหาราช ไปอยู่มาปีกว่าเลยครับ สมัยนั้นท่านเจ้าคุณฯ (พระเทพโมลี) ขณะนั้นยังดำรงสมณศักดิ์เป็น พระราชญาณปรีชา และ หลวงพี่นก (เจ้าอาวาส) ปัจจุบันน่าจะเลื่อนสมณศักดิ์แล้วน่ะครับ ดูจากภาพของคุณสร้อยฟ้ามาลาที่โพสไว้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเลยนะครับ มีการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกมากมาย หลังก่อสร้างเสร็จไม่ได้แวะกลับไปกราบนมัสการเลย คงต้องหาเวลาไปซ่ะแล้วล่ะครับ
หายไปหลายวัน วันนี้เข้ามาเล่าความต่อ จ้า.... ซุ้มประตูทางเข้าของลานหน้าเจดีย์ รูปสลักหินที่เสาซุ้มประตูและแล้วสร้อยฟ้ามาลาก็เดินขึ้นมาถึงเจดีย์ศรีพุทธคยา ซึ่งจะต้องเดินผ่านลานกว้างๆ กลางแดดยามบ่าย ลานหน้าเจดีย์ เจดีย์ศรีพุทธคยา จำลองแบบมาจากเจดีย์ศรีพุทธคยา ณ รัฐพิหาร เมืองคยา ประเทศอินเดียทุกประการ เพียงแต่ย่อสัดส่วนลงมาให้เหมาะกับพื้นที่ มีความสูง ๒๘ เมตร เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ และมีความกว้างประมาณ ๑๖ x ๒๐ เมตร ภายในองค์เจดีย์จะมี ๓ ชั้น เริ่มการก่อสร้างโดยวางศิลาฤกษ์เมื่อ วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ มีลักษณ์เป็นรูปสี่เหลี่ยมทรงกรวยยอดเจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำ ประดับลวดลายปูนปั้น ทางเข้าสู่เจดีย์จะเป็น โทรณะ หรือซุ้มประตูปราสาทพร สำหรับผู้ที่เข้าไปสักการะองค์เจดีย์ มีลักษณะเป็นเสาสลักลวดลายแบบอินเดีย เมื่อเข้าถึงเจดีย์จะผ่านประตูชั้นล่าง จะมีซุ้มพระพุทธรูปยืนศิลปะอินเดียทั้งสองข้าง มีหน้าบันใหญ่อยู่ด้านบนประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งและรอบๆ จะเป็นซุ้มพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ มีซุ้มพระพุทธรูปนั่งอยู่รอบฐานเจดีย์ ชั้นที่สอง มีลักษณะเป็นมุขเด็จทั้งซ้ายขวาในระดับนี้มีการตกแต่งแผงกลาง ๔ ทิศ รายรอบด้วยมุมพระพุทธรูป ส่วนเหนือขึ้นไป ตรงกลางจะเป็นหน้าบันประดิษฐานพระพุทธรูปตามมุม แกะลวดลายปูนปั้นหน้ากาลโดยรูปพระสถูป ๔ ปาง คือ ปางปฐมเทศนา ปางมารวิชัย ปางประทานพร และปางสมาธิ ที่งดงามตามแบบอย่างเจดีย์ศรีพุทธคยาจำนวน ๒๘๔ องค์ เป็นเครื่องเตือนสติว่า ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะกาลเวลากลืนกินทุกอย่างแม้แต่ตัวเอง องค์พระเจดีย์แต่ละด้านประดับด้วยหน้าบัน ซุ้มพระ และหน้ากาลลดหลั่นกันไปถึงยอด สิงห์เฝ้าหน้าประตูทางเข้าเจดีย์ พระพุทธเอกนพรัตน์ ปรัชญาและความมุ่งหมาย ในการสร้างเจดีย์ศรีพุทธคยา เฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อเป็นเครื่องหมายของการตรัสรู้ การเกิดและดับ เป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไปในประเทศไทยและในโลกครบ๕,๐๐๐ ปี เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสาวกทุกพระองค์ แด่ผู้มีคุณต่อแผ่นดินไทยทั้งสิ้นทั้งปวง ที่สำคัญเพื่อเป็นการทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี และเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ วัตถุประสงค์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เพื่อรองรับการประกาศสันติภาพของโลก ที่องค์การสหประชาชาติให้ วันวิสาขบูชา เป็น วันวิสาขบูชาโลก ซึ่งจะบังเกิดสันติสุขและสันติธรรมแก่เมธีชนชาวโลกสืบไป อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกของชนในชาติให้รู้จักสามัคคี เชิดชูเอกลักษณ์ของชาติที่เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น และเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ ได้มีพิธีสมโภชองค์เจดีย์ ระหว่างเดินเข้าเจดีย์จะพบพระพุทธรูปสลักหิน ศิลปะอินเดีย ถ้าจำไม่ผิดสร้อยฟ้ามาลาว่าอยู่ในยุคศิลปะปาละ ภายในองค์เจดีย์ จะมีทั้งสิ้น ๔ ชั้น ชั้นล่าง เป็นสถานที่ใช้ปฏิบัติธรรม ประดิษฐาน สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพ่อดำ แกะสลักจากหินพิเศษ ซึ่งได้จากภายในวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในพระองค์ฯ เป็นพระประธาน ซึ่งห้องนี้ได้ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของ พระนวกะในโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่ ๘๕ รูป เทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๔ พรรษา ระหว่างวันที่ ๒๘ เมษายน – ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่ผ่านมาด้วย พระพุทธเมตตาสันติภาพ โคมไฟประดับเพดาน ชั้นที่ ๑ เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธเมตตาสันติภาพ เนื้อสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง ๘๙ นิ้ว สูง ๔.๑๙ เมตร สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ .................... ขอขึ้นหน้าใหม่ก่อน ต่อชั้นที่ ๒
ประตูทางออกสู่ชั้น ๒ ชั้นที่ ๒ เป็นห้องที่ประดิษฐาน พระศรีอริยเมตไตรยศรีศากยสิงห์ ขนาดหน้าตัก ๑๐๙ นิ้ว สูง ๔ เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสที่เฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ พระศรีอริยเมตไตรยศรีศากยสิงห์ ลายประดับบนผนัง รอยพระพุทธบาทจำลอง บัวสี่เหล่า...หรือเปล่า? ประตูออกจากห้องบนชั้นสอง สู่ระเบียงชานทางเดินรอบๆ... ประพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในสุ้มบนชั้นสอง ทิวทัศน์บนชั้นสอง ชั้นที่ ๓ ในชั้นนี้ ได้จำลอง พระคันธกุฎีที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาไว้ ผู้ที่จะขึ้นมายังห้องนี้ได้จะร้องรับสัจจะว่าจะถือศีลบริสุทธิ์อย่างน้อย ๑ ข้อถวายเป็นธรรมบูชาแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูปพระคันธกุฎี บนชั้น ๓ ..............................
มาชมพระพุทธรูปปูนปั้นปางต่างที่อยู่โดยรอบพระเจดีย์นะเจ้าคะ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เจ้าแม่กวนอิม มี ๒ องค์ นะ ......................................
วันนี้ที่วัดป่าสิริวัฒนาวิสุทธิ์ มีการสรงน้ำพระกัน แต่สร้อยฟ้ามาลาลงมาจากเจดีย์ศรีพุทธคยาไม่ทัน เลยอดสรงน้ำพระเลย กลับจากวัดออกมาประมาณเกือบบ่าย ๓ โมง หิวมาก ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน ขับรถผ่านอำเภอท่าตะโกหวังว่าจะหาร้านอาหารทานแต่เงียบเชียบเนื่องจากปิดร้านเที่ยวสงกรานต์กันหมด ทำอย่างไรดี เลยขับรถเข้าบึงบอระเพ็ดได้ข้าวเหนียว ส้มตำไทยใส่ปู ไก่ย่าง หมูน้ำตก ฯลฯ อิ่มแล้วเลยเที่ยวบึงบอระเพ็ดต่อเลย เสียค่าบัตรเข้าชมอุโมงค์น้ำผู้ใหญ่คนละ ๒๕ บาทมั้งจำไม่ได้ ส่วนจะมีปลาอะไรบ้างสร้อยฟ้ามาลาก็จำไม่ได้อีกและก็ไม่รู้จักด้วยเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะมีใครพอจะอนุเคราะห์บอกได้ไหมว่ามีปลาอะไรบ้าง ห้องจัดแสดงนิทรรศการเครื่องจับสัตว์น้ำ ชั้น๒ บริเวณด้านนอกของอาคาร ชั้น ๒ ที่จริงเรื่องนี้ไม่อยากบอกใครให้ทราบ สร้อยฟ้ามาลาสับสนระหว่างบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ กับบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร เพราะขึ้นชื่อว่าบึงเหมือนกันเลยจำสับกันแถมเป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่ติดกันเสียอีกเลยสับสนไปกันใหญ่ ออกจากบึงพอระเพ็ดประมาณ ๔โมงเย็น มุ่งหน้ากลับบ้าน..... สรุปว่า วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สวยงามมาก สงบ และเป็นสถานที่เหมาะแก่การเจริญธรรมเป็นอย่างยิ่ง ใครไม่เคยไป อยากให้ลองไปสักครั้ง แล้วจะทราบว่าต้องมีครั้งที่ ๒ และครั้ง ๓ และครั้งต่อๆ ไป อย่างแน่นอน ปล. อย่าลืมร่ม หมวก และถุงเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงเท้า เพราะว่าถ้าจะเดินเข้าไปยังเจดีย์พุทธคยา ต้องถอดรองเท้า และพื้นที่เป็นกระเบื้องดินเผาถูกกับแดดก็จะร้อนมาก เห็นหลายคนต้องวิ่งกันเลยทีเดียว แต่เผอิญสร้อยฟ้ามาลาสวมถุงเท้าเลยไม่ร้อน เดินถ่ายรูปได้สบายๆ แต่จะร้อนตรงที่ไม่มีร่มนี่แหล่ะกลับมาตัวดำเลย... แต่ถ้าถือร่ม ใสหมวกเข้าวัด รู้สึกขัดๆ พิกล... ถ้าทนร้อนได้อย่าใส่เลยดีกว่าเนอะ เป็นการเคารพสถานที่ด้วย... สุดท้ายนี้อันกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำในครั้งนี้ขออุทิศถวายแด่ คุณพระพุทธ คุณพระธรรมคุณพระสงฆ์ คุณบิดาคุณมารดา วงศาคณาญาติ คุณครูบาอาจารย์ เจ้าฟ้า พระมหากษัตริย์เทพยดาทั้งหลาย พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ท่านท้าวเวสสุวรรณ คุณเจ้ากรุงพาลี ภูมิเจ้าที่ทั้งหลาย คุณแม่พระธรณี พระคงคา พระพาย พระเพลิง พระโพสพ พระยายมราช เจ้ากรรมนายเวรและขอให้ผลบุญจงได้สำเร็จผลแด่เพื่อนๆ สมาชิกในเว็ปพลังจิต ทุกท่าน ..................... เดี๋ยวมีประมวลภาพมาให้ชมกันอีก.....
ขอบคุณจ้าคุณบุษฯ ^_^ เดี๋ยวมีอีกทริปหนึ่งมาให้ชม เป็นทริปเที่ยวอยุธยาอีกแล้ว..... โปรดติดตามชมตอนต่อไป....
มาอ่านกระทู้ของตัวเองใหม่ ว่าลืมลงอะไร เพิ่งจะนึกออก ภาพวิหารเทพสถิตย์ ในวิหารเทพสถิตย์ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมา แต่ถ่ายรูปมาเพียงเท่านี้เอง แถมโบกี้รถไฟ ที่ตั้งอยู่ด้านนอก ใกล้ๆ กับทางเข้าวิหารเทพสถิตย์ ไว้เป็นที่นั่งพักชมวิว และหลบแดด ดีทีเดียว คงจบกระทู้จริงแล้วหล่ะ อิ อิ...
อนุโมทนากับแม่สร้อยด้วย ภาพสวยมากค่ะ วันอาทิตย์นี้หญิงและชาวคณะฯ ก็จะได้ไปร่วมชมสถานที่จริงด้วยตาตัวเองแทนการมองผ่านภาพเสียที ฮิ ฮิ ฮิ