สถานที่ที่วิญญาณต้องรอคอย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 14 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    การจำพรรษาที่น้ำตกแม่ตื๊ด อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนี้เป็นครั้งที่๒ คือเป็นการจำพรรษาซ้ำกันในการตั้งสัจจาธิษฐาน ไว้ว่าจะไม่จำพรรษาซ้ำจังหวัด แต่การจำพรรษาครั้งนี้มีพระภิกษุร่วมจำพรรษาด้วย ๔รูป และมีอุบาสิกาจากจังหวัดจันทบุรีมาจำพรรษาด้วยอีก ๕ ท่าน[​IMG] อุบาสิกาทุกท่านล้วนมีอายุมากและมีครอบครัวแล้วทั้งนั้น แต่ได้เลื่อมใสและมาปฏิบัติด้วยในพรรษาซึ่งได้จัดทำกุฏิมุงแฝกไว้คนละฝั่งของแม่น้ำ
    พรรษานี้เป็นปีแรกที่ไม่มีโยมพ่อมาจำพรรษาด้วย เพราะท่านเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อต้นปีนี่เอง
    ครั้งนี้เรามีความตั้งใจว่า ท่านเสียชีวิตแล้วอยากรู้ว่าท่านไปอยู่ยังที่ใดกันแน่ แม้จะสามารถใช้กสิณอาโลกสิณได้ก็ตาม แต่การทำเช่นนั้นถ้าเราฟุ้งซ่านอยู่ย่อมสามารถสร้างภาพปลอมขึ้นมาได้เสมอ จึงไม่แน่เสมอไปว่าเป็นของจริงยกเว้นว่าเป็นอรหันต์แล้ว
    ได้ตั้งสัจจาธิษฐานว่า ถ้าแม้นเรามีคุณธรรมจริงและอาจเป็นประโยชน์ต่อศาสนาในอนาคต
    "ขอให้เรามีโอกาสได้ไปพบโยมพ่อได้ด้วยกายนี้ไม่ใช่การนั่งเห็น" ตั้งแต่อธิษฐานแล้ว ก็เริ่มทำความเพียรทันทีโดยการ กำหนดอิริยาบถของกายทุกขณะ ทั้ง หยุดอยู่ ก้าวเดิน เอี้ยวตัว นั่งเฉย โดยกำหนดซ้อนลงไปว่ามีร่างโครงกระดูกซ้อนอยู่ ใช้การสร้างภาพว่าเรามีโครงกระดูกซ้อนอยู่
    เมื่อตั้งสติ ได้ว่า รู้ก่อนเคลื่อนไหว และรู้สติสัมปชัญญะ เป็นไปในกายอย่างละเอียดแม้กระทั่งเคี้ยวอาหาร กลืน เข้าสู่ลำคอลงสู่กระเพาะอาหาร พอตอนนั่งกัมมัฏฐานใช้กำหนดรู้ทำความรู้สึกที่ระหว่างคิ้ว ตามแบบการสอนที่ อ.ยุทธพงศ์ แสงอรุณโกศล เคยสอนไว้ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียน และไปปฏิบัติด้วยที่สำนักแห่งหนึ่งแถวบางแค
    ครั้งนี้รื้อฟื้นขึ้นมาทำสลับกับการกำหนดอานาปานสติ ทำเท่าไหร่ ให้รู้สึกเวียนหัว แถมตาเขที่เคยเป็นจนต้องเลิกทำไปเมื่อ ๑๐ปีก่อน เริ่มกลับมาเป็นอีกแล้ว
    รู้สึกว่าอับจนปัญญาอยู่ หาทางออกต่อการถอดกายทิพย์ไม่ได้เสียเลย เป็นที่น่าอัศจรรย์เสียเหลือเกิน พอถึงกลางพรรษานั่นเอง มีโยมจากกระทรวงศึกษาธิการส่งตัวแทนมาเยี่ยม บังเอิญโยมที่มาเยี่ยมได้รับการฝากหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า
    "สมาธิแบบธิเบต"เขียนโดย ที.ลอบซัง รัมปา [​IMG]ซึ่งอ.เกรียงศักดิ์ เป็นผู้แปล (เข้าใจว่า อ.เกรียงศักดิ์คงเคยมาฟังเทศน์ที่กระทรวงสมัยนั้น จึงได้ฝากมา)ในหนังสือนั้นมีอยู่ตอนหนึ่งเขียนถึงวิธีถอดกายทิพย์ โดยการนอน พออ่านจบทำให้รู้ถึงบางอ้อ ว่าวิธีนี้ด้วยจิตของเราขณะนี้ช่างง่ายดายแน่นอน
    พออ่านจบได้บอกญาติโยมว่า พระอาจารย์กอบเกียรติ อนุตตโร จะขออนุญาติต่อคณะสงฆ์และญาติโยมว่า จะขอตั้งสัจจาธิษฐานไม่พูดเป็นเวลา ๑๕ วัน โดยจะออกมาบิณฑบาตและกลับไปฉันที่กุฏิ ขอญาติโยมช่วยเร่งความเพียรด้วย[​IMG]
    ทำความเพียรทั้งเดินจงกรมบนทางจงกรม ยืน นั่ง ด้วย อานาปานสติอย่างละเอียด พอง่วงมากๆจะลงนอน แม้เป็นเวลากลางวัน จะลงนอนในท่าหงาย เสร็จแล้วจะกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เน้นและแน่วแน่ที่ลมหายใจเหมือนท่าเดินและนั่ง ไม่ให้ต่างกันเมื่อลมหายใจรู้ละเอียดเข้าที่แล้วได้กำหนดว่าเห็นร่างของเรานอนเหนือขึ้นไปประมาณ ๒ เมตร พยายามสร้างภาพตัวเราให้เป็นสีขาว ซึ่งเป็นหลักเดียวกับการเพ่งกระดูก เมื่อทำไประยะหนึ่งนั่นเองปรากฏว่ากายภายในหมุนเคว้งไปมาซึ่งเป็นอำนาจของการรวมตัวกันของจิตเพราะลมหายใจที่เรากำหนดนั่นเอง
    พอรู้ว่าปีติกำลังเกิดยิ่งเพิ่มความละเอียดในการเห็นกายนั้นมากขึ้น คือใส่ความรู้สึกในกายซ้อน สูงขึ้นไปทำอย่างแน่วแน่อยู่หลายวันขณะทำอยู่นั้นเกิดแผ่นดินไหวตลอดเขาดอยสุเทพพอดี กุฏิที่พักอยู่นั้นก็ไหวเอียงไปด้วย
    อยู่มาวันหนึ่ง ตื่นขึ้นตอนเช้ารู้สึกกายเบาและเห็นกายก้าวเดิน เหยียดคู้อย่างละเอียดเหมือนกับตอนที่เคยเข้าฌาณ ๔ หรือตอนพิาจารณาอนิจจังและอนัตตาแห่งผู้รู้ทั้งปวงจนคราวนั้นเข้าสู่ความเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลธรรมทั้งปวง, รู้ทันทีว่าสิ่งที่ทำมานานจะสำเร็จในวันนี้อย่างแน่นอน และวันนี้จะสำรวมอย่างละเอียดไม่ให้รับอารมณ์ใดๆเข้ามา
    ทำความเพียรจวบจนสามทุ่มจึงล้างเท้าจากทางจงกรม กลางกลดแล้วตั้งจิตอธิษฐานขอพบพ่อให้ได้ เสร็จแล้วหลับตาลงกำหนดลมหายใจสลับกับสร้างภาพกายอีกกายนอนเหนือกายนี้ พอทำสักพักหนึ่งปรากฎว่า ความรู้สึกของกายล่างได้ไหลเลื่อนขึ้นไปสู่กายบนที่สูงจนมองเกือบจะเป็นจุด
    พลันขณะนั้นให้รู้สึกว่าช่างแคบเสียนี่กระไร เหมือนเราจะขาดใจตายเสียให้ได้ ขณะนั้นรู้ได้ทันทีว่าจิตได้รวมตัวกันแล้ว เพราะฉนั้นเราจะไม่ยอมปล่อยโอกาสทองอันพยายามพากเพียรมาให้เลยจากไป จึงรวบรวมความแน่วแน่ทั้งปวงหักห้ามจิตไม่ให้คิดออกมาจากจุดหรือต่อมของจิตที่เล็กที่สุด ไม่ว่าจะแคบเหมือนตายขอยอมตายกันคราวนี้
    เมื่อรวบรวมได้ดังนั้นจิตก็แคบลงถึงที่สุด พลันความรู้สึกกายทั้งปวง เหมือนกำลังจะขาดใจไป ก็ปรากฏแสงสว่างภายในกายมารวมตัวกันเป็นรูปทรงกลมอยู่กลางลำตัวนั่นเอง แล้วความรู้สึกตัวก็ดับลง แต่ในความดับพลันรู้ตัวตื่นขึ้นทันที แต่เป็นที่น่าแปลกว่าทำไมตอนนี้เราจึงมาลุกนั่งอยู่ได้
    ขณะหันรีหันขวางอยู่นั้น เมื่อหันมาทางขวามือซึ่งเป็นฝาห้อง กลับปรากฏว่ามีโยมพ่อนั่งอยู่ กับชายแต่งชุดขาว ๒ท่านนั่งยองๆอยู่ เมื่อโยมพ่อเห็นเราหันมามอง พลางพูดว่า "ทำไมช้าจัง รอตั้งนานแล้ว"เมื่อเราได้ยินเช่นนั้น นึกในใจว่า แหมเราทำเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะได้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ
    เมื่อโยมพ่อเห็นเราไม่ตอบอะไร ก็พูดขึ้นว่า "มาเถอะ ไปด้วยกัน" พลางยกมือขึ้นจับแขนของเราไว้แล้วยกตัวขึ้น เพียงแค่ยกตัวขึ้นนั้นกายของเราก็หลุดลอยออกจากร่างที่นอนทันที เมื่อปลายเท้าหลุดจากกันนั่นเอง เรารีบหันกลับไปมองเกิดอะไรขึ้นกับร่างบ้างหนอ แต่กลับกลายเป็นกลุ่มหมอกขาวปิดปกคลุมร่างและพื้นปฐพีไปสิ้นไม่เห็นอะไรเลย
    เราและโยมพ่อลอยมาในแนว ๔๕ องศา เมื่อลอยมาระยะหนึ่งหันเหลียวหลังยังคงเห็นชาย ๒ท่านลอยตามมาไม่คลาดสายตา การลอยนั้นเป็นกายที่เบาสบายนุ่มนวล ร่างยังคงนุ่งห่มจีวรคล้ายๆเดิมแต่ดูเลือนลางให้พอรู้ว่าเป็นจีวรที่ห่มอยู่ มองไปโดยรอบมีแต่กลุ่มหมอกขาวอยู่ไกลๆ ไม่เห็นอะไรพอจะบ่งบอกหรือจดจำได้ กำลังสำรวจร่างกายทิพย์และโดยรอบกายอยู่นั้น รู้สึกว่าเท้าสัมผัสอะไรที่อ่อนนุ่ม
    เมื่อรู้สึกว่าเท้าสัมผัสอะไรอ่อนนุ่มอยู่นั้น ฉับพลันนั้นกลุ่มหมอกที่อยู่โดยรอบก็อันตรธานหายไป แต่ปรากฏว่ามีอาคารกว้างใหญ่ไพศาลมากมองเข้าไปภายในอาคารเห็นแต่เสาขนาดใหญ่ มีหลังคาดูไปก็คล้ายศาลาวิหารใหญ่โต มองลึกเข้าไปหาฝาผนังไม่เจอ ไกลจนสุดลูกหูลูกตา ผู้คนภายในอาคารนั้นดูเหมือนเดินแต่เป็นการลอยไปลักษณะต่ำๆ มีจำนวนมากมายล้วนแต่งชุดขาว สว่างๆ พยายามจะยิ้มให้ผู้คนที่ผ่านมาใกล้ๆไม่มีใครยิ้มตอบเลยสักคน ดูไปคล้ายหุ่นที่ไม่มีจิตใจ แต่เคลื่อนไหวไปมาได้
    โยมพ่อปล่อยให้เราพิศวงงงงวยกับสิ่งรอบข้างอยู่พักหนึ่ง ก็ฉุดมือพลางพูดว่า "มาทางนี้" ร่างกายทิพย์และโยมพ่อลอยต่ำมาหยุดอยู่ข้างเสาต้นหนึ่ง แล้วก็หันไปมองชาย ๒ ท่านที่ยังคงยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ไกลออกไป แล้วพูดว่า "เขามาบอกพ่อว่า พ่อจะต้องไปเกิดเป็นปลา จำนวนมากเมื่อตายจากปลาต้องมาอยู่สถานที่นี้ แล้วไปเกิดเป็นปลาหลายชาติ พ่ออยากจะขอให้ท่านช่วยบอกต่อกันให้ช่วยปล่อยปลาให้มากที่สุด ยิ่งมากเท่าใดพ่อจะได้เกิดเป็นปลาน้อยเท่านั้น เราถามว่า"จะไปเกิดที่ไหน" [​IMG]โยมพ่อบอกว่า "จะเกิดที่บ่อเลี้ยงปลา ชื่อ....................ประมาณคลอง ๑๔-๑๕ ถนนรังสิต-นครนายก เดี๋ยวพ่อจะพาไปดู มีอะไรจะถามไหมได้เวลากลับแล้ว"เราถามว่าแล้วที่นี้เป็นอะไรกันถึงได้มีคนมากมายไม่เห็นเป็นวิมานสงบเงียบ อย่างที่รู้มา" โยมพ่อบอกว่า "เขาไม่ให้บอกอะไรท่านมากนัก ให้บอกเฉพาะเรื่องของตนที่จะขอร้องบุตรชายได้ แต่ขอบอกว่าสถานที่นี้เป็นของผู้ที่ต้องรอคอย ทั้งการเกิด และการจะไปยังที่อื่นที่สมควรจะไป หากแต่ว่ายังไม่ถึงเวลา" เราถามต่อไปว่า "แล้วหลับนอนอยู่กันอย่างไร" โยมพ่อตอบว่า "ไม่มีใครนอนเลย เพราะไม่นานก็ต้องไปชดใช้ที่ต้องทำ" ไปเถอะพ่อจะไปส่ง"
    เช่นเคยพอโยมพ่อจับที่ข้อมือ เราก็ลอยตามใจปรารถนาแต่ครั้งนี้เร็วมากไม่นานมาลอยอยู่เหนือบ่อเลี้ยงปลา เห็นปลากรายกระโดดไปมา มีบ่อเป็นจำนวนมากแล้วโยมพ่อก็ปล่อยมือจากกัน เพียงปล่อยมือเท่านั้นรู้สึกว่ากำลังลงนอนบนกาย เมื่อศรีษะถึงศรีษะนั่นเอง ก็รู้สึกขึ้นทันที เวลาตีสี่ครึ่งแล้ว รู้สึกว่าไม่นานเลย รุ่งเช้าบอกญาติโยมว่าช่วยปล่อยปลากันมากๆเพื่อกรวดน้ำให้โยมพ่อหน่อย
    ตั้งแต่ปีนั้น ยังไม่เคยไปดูว่ามีสถานที่เช่นนั้นแถวคลอง ๑๔ รังสิต-นครนายกจริงหรือไม่ จนมา พ.ศ. ๒๕๓๙ ทดลองขับรถตะเวนดูพบว่ามีอยู่จริงตรงตามที่ท่านบอก เป็นสถานที่เพาะพันธุ์ปลา มีบ่อมากมายเป็นร้อยบ่อ มีปลาเกือบทุกชนิดที่คนนิยมรับประทานกัน หลังจากนั้นเมื่อว่างทีไร มักจะไปซื้อปลามาปล่อยตามคลองต่างๆ อย่างน้อยขอตอบแทนคุณท่านให้ถึงที่สุด
    (ตอนนี้จบแค่นี้ โปรดติดตามตอนอื่น นะครับ)
    [​IMG] ถ้าท่านเห็นว่าเรื่องราวนี้ พอมีประโยชน์ต่อตัวท่านและบุคคลอื่น กรุณาบอกต่อกันไป และลงนามใน สนทนากับอาจารย์กอบเกียรติ เพื่อ อจ.จะได้ทราบและจัดทำต่อไป
     
  2. PyDE

    PyDE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2005
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,318
    ทางช้างเผือกไง ^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...