ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เนี่ย. แบบนี้ล่ะจะแจกฟรีบนรถ ตอนนี้แดดดีทำไว้เยอะแล้ว แหมแต่เก่าเหมือนกันเด๊ะ ผู้ตรวจๆ แล้ว กลายเป็นหลวงพ่อเงิน ท่านอธิษฐานไว้จริงๆ ด้วย (การตรวจองค์ผู้เสก เป็นความรู้เฉพาะตนเช่นพี่ใหญ่ และ อาจารย์ประถม)

    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER>
    หลวงพ่อเงิน บางคลาน เนื้อดิน พิมพ์พระเจ้า 5 พระองค์

    เปิดราคา 12,000 บาท
    http://images.google.co.th/imgres?i...0%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99&gbv=2&hl=th&sa=G
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2009
  2. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
     
  3. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886

    ที่ต้องการประกาศในกระทู้เพราะว่าบางท่านไม่ได้ไปทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์ แต่โอนเงินทำบุญทุกๆเดือน จะได้มีโอกาสบูชาพระหลวงปู่หมุน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางเวปว่าจะเห็นอย่างไร ตอนนี้เลยขอยุติเรื่องนี้ไว้ก่อน วันทำบุญที่22กุมภาพันธ์นี้ผมจะติดพระหลวงปู่หมุนไปด้วยท่านใดสนใจก็สอบถามได้ เงินทุกบาทสตางค์ไม่หักค่าพระหรือค่าใช้จ่ายเข้าช่วยสงฆ์อาพาธทั้งหมดครับ
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ผมนำใบโมทนาบุญของโรงพยาบาลต่างๆที่ทางทุนนิธิฯได้บริจาคเงินให้และได้รับตอบกลับมา เพื่อนำมาให้ทุกๆท่านได้ร่วมโมทนาบุญร่วมกันนะครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    กราบขอบพระคุณและโมทนาในบุญในครั้งนี้กับทุกๆท่านด้วยนะครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ<o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    สังขารทั้งหลายมีมายาไม่น่ายึดมั่น โดย ก. เขาสวนหลวง

    วันนี้อยากจะแนะให้ผู้ปฏิบัติได้มีการพิจารณา
    รู้จักลักษณะของสังขารให้ถูกต้องและละเอียดยิ่งขึ้น
    เพราะว่าอะไรๆ ก็เป็นสังขารไปทั้งหมด

    ทีนี้เรารู้จักสังขารกันนิดหน่อย
    รู้แต่ความปรุงแต่ง หรือสังขารร่างกายอะไรเท่านี้
    คำว่า
     
  7. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    อนุโมทนา ด้วยครับ

    ได้ความรู้มากๆเลยครับ
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๙๘ | ทรงพาพระนันทะไปชมนางฟ้า
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๙๘ : ทรงพาพระนันทะไปชมนางฟ้า

    พระนันทะใคร่จะได้เป็นชายา
    ทรงรับรองจะให้สมหวัง

    หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธบิดา และพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว ได้เสด็จกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารที่ตามเสด็จในการนี้ พระภิกษุนันทะ พระอนุชาผู้ถูกจับให้บวช และราหุลสามเณรก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย

    ต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนมากได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ซึ่งเป็นเมืองและแคว้นใหญ่ พอๆกับกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พระนันทะก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย แต่ตลอดเวลานับตั้งแต่บวชแล้วเป็นต้นมา พระนันทะไม่เป็นอันปฏิบัติกิจของสมณะ ใจให้รุ่มร้อนคิดจะลาสึกอยู่ท่าเดียว เพราะความคิดถึงนางชนบทกัลยาณี เจ้าสาวคู่หมั้นซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับตน


    [​IMG]


    ความเรื่องนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้า อรรถกถาท่านเขียนเรื่องตอนนี้เป็นปุคคลาธิษฐาน (วิธีแสดงธรรมโดยยกบุคคลขึ้นอ้าง) ว่า พระพุทธเจ้าจึงพาพระนันทะเสด็จไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ระหว่างทางทรงชี้ให้พระนันทะดูนางลิงลุ่นตัวหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บนตอไม้ไฟไหม้ในทุ่งนาชายป่าแห่งหนึ่ง (นางลิงลุ่น คือ ลิงตัวเมียหูขาดจมูกแหว่ง) จากนั้นเมื่อถึงสวรรค์ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้พระนันทะดูสาวสวรรค์ ที่แต่ละนางมีฝ่าเท้าแดงเหมือนเท้านกพิราบ และสวยยิ่งกว่าสาวชาวโลกมนุษย์หลายเท่านัก

    "นันทะ! ระหว่างนางชนบทกัลยาณี เจ้าสาวของเธอ กับสาวสวรรค์เหล่านี้ ใครสวยกว่ากัน" พระพุทธเจ้าตรัสถาม

    พระนันทะทูลตอบพระพุทธเจ้าว่า "เวลานี้นางชนบทกัลยาณีเหมือนนางลิงลุ่นตัวนั้น"

    ถอดความที่กล่าวให้เห็นก็คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้นันทะเห็นแจ้งว่า ความรักความสวยไม่มีที่สิ้นสุด ที่ยึดถือว่าสิ่งนี้สวย และน่ารักก็เพราะยังไม่เห็นสิ่งอื่นที่สวย และน่ารักกว่า

    พระนันทะได้ฟังแล้วเกิดเบื่อหน่ายคลายความรัก และความยินดีในความสวย ตั้งใจปฏิบัติธรรม ไม่ช้าจึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระราชกรณียกิจในวันที่ 9 แห่งการทรงพระผนวช
    วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2499


    ในวันนี้ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เพื่อทรงนมัสการพระอัฐิ
    กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ อดีตสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และทรงอุทิศพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
    จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังอนุสรณ์รังษีวัฒนา (สุสานหลวง) ภายในวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระราชบิดากรมหลวงสงขลานครินทร์ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับวัดบวรนิเวศวิหาร
    ในตอนเย็น เสด็จขง ณ พระตำหนักเพชร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภริยาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายดอกไม้ ธูป เทียน เสร็จแล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าจอมในรัชกาลก่อน ๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายดอกไม้ ธูป เทียน
    จากนั้นเสด็จลง ณ บริเวณหน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ผู้เป็นพระราชอนุสาวนาจารย์ และพระศาสนโศภณ เจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยารามผู้เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ พร้อมด้วยพระภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร เสร็จแล้วฉายพระบรมฉายาลักษณ์เดี่ยว
    หลังจากเสร็จการฉายพระบรมฉายาลักษณ์แล้ว เสด็จเข้าระอุโบสถทรงทำวัตรเย็น แล้วทรงสดับพระนิพนธ์ของสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช เรื่อง
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์

    อาจารย์มั่นอบรมธรรมแก่หลวงพ่อวิริยังค์ ว่า

    การเดินธุดงค์นั้น มุ่งหมายเพื่อถ่ายทอนกิเลส

    ธุดงค์ แปลว่า คุมเครื่องกำจัดความอยาก

    เช่น การฉันหนเดียว, ฉันในบาตร, การอยู่ในป่า, ในโคนต้นไม้ เป็นต้น

    สถานที่ธุดงค์คือ ยิ่งสงบเท่าใดยิ่งดี ยิ่งปราศจากผู้คนเท่าไรก็ยิ่งดี

    หรืออยู่ในดงสัตว์ร้ายเท่าใดยิ่งดี และพยายามอย่าอยู่แห่งเดียว

    เปลี่ยนที่อยู่เสมอ เพื่อแก้ความเคยชินต่อสถานที่

    อย่าเอาการอยู่ป่า, ภูเขา, ถ้ำ เป็นเครื่องมือโฆษณาเป็นอันขาด



    หลวงปู่กงมา อบรมหลวงพ่อวิริยังค์ว่า
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE class=gbTopLeftNoPad style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=tblBG></TD></TR><TR align=middle><TD class=tblBG>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=tblBG>
    สมเด็จพระสังฆราช ขณะเป็นพระมหาเจริญ สุวฑฺฒโน
    ทรงถ่ายภาพร่วมกับพระภิกษุสามเณร วัดเทวสังฆราราม จังหวัดกาญจนบุรี
    (แถวนั่ง องค์ที่ ๓ จากขวา)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระคติธรรม



    ความดี ย่อมเป็นอาภรณ์เป็นอิสริยยศของคนดี เพราะคนดีย่อมเห็นว่าความดีนี้แหละเป็นยศอันยิ่งใหญ่ และย่อมพอใจประดับความดีเป็นอาภรณ์ กล่าวได้ว่า "ความดีนั้นเป็นอิสริยาภรณ์ของคนดี"



    ความดีนั้นเกิดจากกรรมที่ดี ดังที่พระองค์ตรัสไว้ "คนเป็นคนดีก็เพราะกรรม เป็นคนถ่อยก็เพราะกรรม" ฉะนั้นเมื่อละเลิกกรรมทำไม่ดี ทำกรรมที่ดีที่ชอบ ก็ได้เป็นคนดีแล้ว



    แต่คนที่ทำกรรมชั่วผิด แม้จะได้รับบัญญัติว่าดีอย่างไร ก็หาชื่อว่าเป็นคนดีไม่ ผู้ที่รู้และค้านเป็นคนแรกก็คือตนนั่นเอง เว้นไว้แต่จะมีตาใจบอดด้วยความหลงตนไปอย่างยิ่งนั่นแหละจึงจะไม่รู้ ความดีที่จะให้สำเร็จการชนะนั้นก็ต้องใช้ปัญญาค้นหา



    คือวิธีชนะที่จะต้องไม่เบียดเบียนใคร เป็นความดีชั้นตรี

    ถ้าเป็นการชนะชนิดที่เกื้อกูลเขา ทำให้เขากลับเป็นคนดี ก็นับว่าเป็นความดีชั้นโท

    ส่วนความดีชั้นเอกก็คือ "ความดีที่ชนะความชั่วของตนเอง"



    สมเด็จพระญาณสังวร

    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
     
  12. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ผู้มีส่วนและไม่มีส่วนแห่งสามัญผล

    <O:p [​IMG]</O:p



    ผู้มีส่วนและไม่มีส่วนแห่งสามัญผล


    พระพุทธภาษิต<O:p


    พหุมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน

    น ตกฺกโร โหติ นโรปมตฺโต
    โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ
    น ภาควา สามญฺญสส โหติ ฯ
    อปฺปมฺปิ เจ สหิตํภาสมาโน
    ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี
    ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ
    สมฺมปฺปชาโนสุวิมุตฺตจิตฺโต
    อนุปาทิยาโน อิธ วา หุรํ วา
    ส ภาควา สามญฺญสฺส โหติ



    คำแปล

    บุคคล แม้จะกล่าวธรรมที่มีประโยชน์ได้มากแต่มิได้ประพฤติตามธรรมนั้น ก็จัดว่าเป็นผู้ประมาท ย่อมไม่มีส่วนแห่งสามัญผลเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค คอยนับโคให้คนอื่น ไม่ได้ดื่มปัญจโครส
    ฝ่ายบุคคลแม้จะกล่าวธรรมที่มีประโยชน์ได้น้อย แต่เป็นผู้ประพฤติตามธรรม ละราคะโทสะและโมหะได้ เป็นผู้รอบคอบ มีจิตหลุดพ้นด้วยดีไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งในโลกนี้และโลกอื่นย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล

    อธิบายความ

    สามัญผลแปลตามตัวอักษรว่า ผลแห่งความเป็นสมณะ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในสามัญผลสูตรอันมีตั้งแต่ผลเบื้องต่ำ เช่นเคยเป็นทาส จนถึงขั้นสูง คือหลุดพ้นจากอาสวะทั้งมวล
    มองอีกปริยายหนึ่งตีความให้ใช้ได้ทั้วไปทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ สามัญผล อาจหมายถึงผลแห่งความรู้ คือไม่รู้เสียเปล่า นำเอาความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์มาปฏิบัติตามให้เกิดความดีงามขึ้นในตน มิใช่เพียงรู้ธรรม กล่าวธรรมแต่ไม่ประพฤติธรรม
    คนที่รู้ธรรม กล่าวธรรมแต่ไม่ประพฤติธรรมนั้นทรงเปรียบเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค รุ่งขึ้นก็รับโคไปเลี้ยงเย็นลงก็นับโคส่ง แต่ไม่ได้กินนมโค ไม่ได้อะไรจากโค นอกจากค่าเลี้ยงประจำวันเทียบกับผู้รู้มากแสดงธรรมมาก มีศิษย์มาก ผลที่เขาได้รับก็คือปัจจัย 4 ความเคารพนับถือจากสิษย์ แต่ไม่ได้สมาธิและวิปัสสนาอย่างนี้ท่านว่ายังประมาทอยู่
    ท่านบางท่าน รู้ธรรมน้อย กล่าวธรรมได้น้อยแต่ปฏิบัติตามธรรมได้มาก สามารถละกิเลสอันละได้ยาก คือราคะ โทสะและโมหะจิตหลุดพ้นด้วยดี ไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้ท่านว่าได้เป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผลได้รับผลแห่งความเป็นสมณะ
    จุดใหญ่ใจความก็คือให้ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่เพศภูมิของตนๆเพื่อมิให้ความรู้และการเรียนเสียเปล่าอีกนัยหนึ่งให้ได้ผลคุ้มค่าดังเรื่องต่อไปนี้

    เรื่องประกอบ..ภิกษุสองสหาย

    ชาย 2 คน ชาวเมืองสาวัตถี ฟังพระธรรมของพระศาสดาแล้วเกิดเลื่อมใส ออกบวชพร้อมกันอยู่ในสำนักอุปัชฌายาจารย์ 5 พรรษาแล้ว รูปหนึ่งเรียนกัมมฐานออกป่าซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "วิปัสสกภิกษุ" อีกรูปหนึ่งพอใจเรียน ปริยัติ หรอคันถธุระซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "คันถิกภิกษุ"
    พระวิปัสสกะพยายามอยู่ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
    ส่วนพระคันถิกะเรียนพระไตรปิฎกแตกฉานได้เป็นอาจารย์ของภิกษุประมาณ 500 เป็นอาจารย์ของคณะถึง 18 คณะรวมความว่าเป็นคณาจารย์ใหญ่
    ภิกษุเป็นอันมากเรียนกัมมฐานในสำนักพระศาสดาแล้วไปสู่สำนักพระวิปัสสกะ สมัครตนเป็นศิษย์ของท่านอยู่บำเพ็ญวิปัสสนาไม่นานก็ได้สำเร็จอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
    ภิกษุเหล่านั้นมีความประสงค์จะเฝ้าพระศาสดาจึงเรียนท่านว่า"กระผมทั้งหลายใคร่ไปเฝ้าพระศาสดา"
    "ไปเถิดท่านผู้มีอายุ"พระวิปัสสกะกล่าว "ท่านทั้งหลายจงถวายบังคมพระศาสดา และนมัสการพระสาวกผู้ใหญ่ 80 รูป ในนามของเราด้วย(ฝากนมัสการ) อนึ่ง มีภิกษุผู้เป็นสหายของเราอยู่รูปหนึ่งท่านทั้งหลายจงนมัสการภิกษุนั้นในนามของเราด้วย"
    ภิกษุเหล่านั้นไปถวายบังคมพระศาสดาพระอสีติมหาสาวกและภิกษุผู้เป็นสหายของอาจารย์ตามลำดับ
    "ใครคืออาจารย์ของพวกท่าน"พระคันถิกะภิกษุถาม
    "ภิกษุผู้เป็นสหายของท่านที่บวชพร้อมกัน"ภิกษทั้งหลายตอบ
    เมื่อภิกษุทั้งหลายเดินทางมาเชตวนารามวิปัสสกภิกษุได้ฝากข่าวมาเยี่ยมเยียนภิกษุผู้สหายเนืองๆ จนภิกษุผู้สหายประหลาดใจว่า "สหายของเราบวชแล้วเข้าป่า ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎกเลย ไม่รู้ธรรมอะไรมากยังสามารถมีศิษย์ได้มากมายถึงปานนี้ เมื่อท่านมาเฝ้าพระศาสดาเราจักถามปัญหาดู"
    ต่อมาพระวิปัสสกภิกษุมาเฝ้าพระศาสดาเก็บบาตรและจีวรไว้ในสำนักพระคันถิกะเมื่อเฝ้าพระศาสดาและนมัสการพระอสีติมหาสาวกเสร็จก็ไปพักที่สำนักของพระคันถิกะผู้สหาย
    พระคันถิกะให้ศิษย์ของตนปฏิบัติพระวิปัสสกะแล้วนั่งบนอาสนะเสมอกันตั้งใจจะถามปัญหา
    พระศาสดาทรงทราบเหตุการณ์นั้นด้วยพระญาณทรงดำริว่า"พระคันถิกภิกษุจะพึงตกนรก เพราะเบียดเบียนพระวิปัสสกภิกษุ" ดังนี้แล้วทรงอาศัยเมตตานุเคราะห์ในคันถิกภิกษุนั้นจึงทรงกระทำประหนึ่งว่าเสด็จเที่ยวจาริกในวิหารมาถึงสำนักของคันถิกภิกษุแล้วประทับนั่งบนอาสนะ แล้วตรัสถามปัญหาหลายอย่างเริ่มต้นแต่ปัญหาเกี่ยวกับปฐมฌานแก่คันถิกภิกษุไปจนถึงปัญหาในรูปสมาบัติและอรูปสมาบัติ แต่ภิกษุนั้นตอบไม่ได้สักปัญหาเดียวเมื่อทรงถามวิปัสสกภิกษุ ท่านตอบได้
    ท่านถามปัญหาเกี่ยวกับโสดาปัตติมรรคจนถึงอรหัตตผล คันถิกภิกษุตอบไม่ได้แต่วิปัสสกภิกษุตอบได้
    พระศาสดาทรงประทานสาธุการแก่วิปัสสกภิกษุนั้นพวกเทวดาก็ช่วยกันสาธุการด้วย พวกสัทธิวิหาริกอันเตวาสิกของพระคันถิกะตำหนิพระศาสดาว่าทรงประทานสาธุการแก่พระเถระแก่ซึ่งไม่รู้อะไร ส่วนอาจารย์ของตนพระศาสดาไม่กระทำแม้สักว่าการชมเชยสรรเสริญ อาจารย์ของพวกตนเป็นอาจารย์ของภิกษุถึง 500
    พระศาสดาจึงว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย!อาจารย์ของพวกเธอเป็นเหมือนคนเลี้ยงโค ได้เพียงค่าจ้างในศาสนาของเราส่วนวิปัสสกภิกษุบุตรของเราเป็นเหมือนเจ้าของโคได้บริโภคแล้วซึ่งปัญจโครสตามใจของตน"ดังนี้แล้วตรัสว่า
    "บุคคลแม้จะกล่าวธรรมที่มีประโยชน์ได้มาก แต่มิได้ประพฤติตามธรรมนั้นก็จัดว่าเป็นผู้ประมาท ย่อมไม่มีส่วนแห่งสามัญผล เหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโคคอยนับโคให้คนอื่น ไม่ได้ดื่มปัญจโครส
    ฝ่ายบุคคล แม้จะกล่าวธรรมที่มีประโยชน์ได้น้อยแต่เป็นผู้ประพฤติตามธรรม ละราคะ โทสะและโมหะได้ เป็นผู้รอบคอบ มีจิตหลุดพ้นด้วยดีไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งในโลกนี้และโลกอื่นย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล".

    หมายเหตุ ปัญจโครส หมายถึง รสอันเกิดแต่โค 5 อย่าง คือ นมสด นมส้ม เปรียง เนยใสเนยข้น<O:p<O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.5 KB
      เปิดดู:
      730
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2009
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เวบไซด์ของสมเด็จพระสังฆราช ลองเข้าไปเยี่ยมชมน๊ะครับ ไปดูพระราชประวัติและคุณงามความดีของท่าน....ลองดูตัวอย่างพระชาติภูมิของท่าน


    <TABLE class=gbTopLeftNoPad style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR class=tblBG><TD colSpan=5></TD></TR><TR class=tblBG><TD colSpan=5>
    [​IMG]

    </TD></TR><TR class=tblBG><TD colSpan=5 height=14></TD></TR><TR class=tblBG><TD class=Angsana20Left vAlign=top colSpan=5>สมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามเดิมว่า เจริญ นามสกุล คชวัตร ประสูติที่ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ เวลาประมาณ ๑๐ ทุ่ม มีเศษ (หรือเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ นาฬิกาเศษ แห่งวันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ ตามที่นับแบบปัจจุบัน) พระชนกชื่อ นายน้อย คชวัตร (ถึงแก่กรรม พุทธศักราช ๒๔๖๕) พระชนนีชื่อ นางกิมน้อย คชวัตร (ถึงแก่กรรม พุทธศักราช ๒๕๐๘)
    </TD></TR><TR class=tblBG><TD colSpan=5 height=1></TD></TR><TR class=tblBG><TD class=tblTextPaddingLeft vAlign=top width=200 height=270>[​IMG]
    </TD><TD class=Angsana20Left width=10 rowSpan=2></TD><TD class=tblBG width=125 rowSpan=2></TD><TD width=10 rowSpan=2></TD><TD vAlign=top width=200>[​IMG]</TD></TR><TR class=tblBG><TD class=imgDesc vAlign=top width=200>นายน้อย คชวัตร
    พระชนกของสมเด็จพระสังฆราช

    (ถึงแก่กรรมพุทธศักราช๒๔๖๕)
    </TD><TD class=imgDesc vAlign=top>นางกิมน้อย คชวัตร
    พระชนนีของสมเด็จพระสังฆราช
    (ถึงแก่กรรม พุทธศักราช ๒๕๐๘)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2009
  14. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    สุดยอดพระเครื่องสำคัญ วัดโมลีโลกยาราม(วัดท้ายตลาด)
    โดย จ.ส.อ. เอนก เจกะโพธิ์
    ( หน้า 1/1)


    <TABLE class=a4 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="6%"><TABLE class=a4 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=670 bgColor=#000000>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle width=670>พระเครื่องวัดท้ายตลาด
    พิมพ์สมาธิ บัวสองชั้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width="94%">วัดโมลีโลกยาราม
     
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    พระกรุวัดเงินคลองเตย
    โดย จ.ส.อ. เอนก เจกะโพธิ์
    ( หน้า 1/1)


    <TABLE class=a4 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="6%"><TABLE class=a4 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=670 bgColor=#000000>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle width=670>พระกรุวัดเงินคลองเตย
    พิมพ์สังกัจจายน์ไม่มีหู
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width="94%">พระกรุวัดเงินคลองเตย
    (พระเศรษฐีรามัญ) ผู้อุดมด้วยลาภ

     
  16. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    วันนี้เวลา 15.47 น. ได้โอนตังทำบุญเข้าไปดังนี้นะครับ
    ชาญณวิทย์/ภรรยาและลูกๆ 1000 บาท
    ปู่พระ... 300 บาท
    เพื่อนๆในที่ทำงานแผนก EM 700 บาท
    ขอผลบุญอันยิ่งใหญ่ที่ได้ทำในครานี้นั้น
    ครอบครัวของข้าพเจ้าทั้งหมด
    ครอบครัวของผู้ร่วมบุญที่ข้าพเจ้าได้บอกบุญทั้งหมด
    เพื่อนๆพี่ๆน้องๆครอบครัวชาวทุนนิธิสงฆ์อาพาธทั้งหมด
    เจ้ากรรมนายเวรของเราท่านทั้งหลายทั้งหมด
    เทพเทวาทั้งหลายที่ปกปักรักษาเหล่าท่านทั้งหมด
    รวมถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของท่านทั้งหลายทั้งหมด
    จงมีส่วนแห่งบุญอันยิ่งใหญ่ที่ข้าพเจ้า/ครอบครัวและเพื่อนๆได้ร่วมกันทำบุญนี้ในครั้งนี้
    ขอความมีโชคดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายทั้งหมดนะครับ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระดีที่น่ากราบไหว้องค์หนึ่ง หากทริปอยุธยาไปคราวนี้ ก็ไปกราบองค์นี้ล่ะ ท่านได้ชื่อว่าเสร็จกิจแล้วเช่นกัน ใครไม่ได้ไปในทริป ก็ไปกราบท่านเพื่อเป็นบุญก็ได้ครับ ที่สำคัญก็คือท่านมีเอกคุณด้านเมตตาเป็นหลัก อย่างตัวอย่างข้างล่างนี่ล่ะ...ไม่ไปจะเสียใจนา...



    วันพุธ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552
    เยี่ยมหลวงปู่ทิม วัดพระขาว


    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>เมื่อวันเสาร์ที่ 31 ม.ค. 2552 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปไหว้พระที่วัดพระขาว อ.บางบาล จ.อยุธยา ด้วยความตั้งใจยิ่งว่าจะกราบหลวงปู่ทิมให้จงได้เนื่องด้วยในครั้งหลังๆนั้นไปวัดหลายครั้งแล้วไม่ค่อยได้เจอ....

    [​IMG]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คราวนี้เล่นไปแต่เช้าเลยครับ 7 โมงกว่าๆผมก็ถึงวัดแล้วแต่ผลปรากฎว่า.........[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]หลวงปู่ไม่อยู่ไปพักผ่อนต่างจังหวัด.....อันนี้ถามเจ้าหน้าที่ที่อยู่ที่หน้าตู้วัตถุมงคลนะครับ[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมถามไปว่าหลวงปู่ไปพักจังหวัดอะไรก็ไม่ยอมบอก.....[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ความลับเยอะจริงๆ......[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมเองก็มีสายสืบเป็นถึงหลวงพี่ที่เป็นพระใกล้ชิดหลวงปู่จึงไปกราบเรียนถามท่าน...[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ท่านก็บอกว่าหลวงปู่ไปพักรักษาโรงพยาบาลแถวๆจังหวัดนนทบุรี ใกล้บ้านผมนั่นแหละ หลวงปู่ท่านไม่ค่อยสบายคือเสียงหาย เป็นไข้ ... ต้องพักที่โรงพยาบาล10 กว่าวัน...[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แหมลองท่านบอกใบ้มาอย่างนี้ก็เสร็จผมน่ะสิครับ[/FONT]มีอยู่แค่แห่งเดียวเท่านั้นที่หลว'ปู่จะมาพักรักษาตัวได้ในจ.นนทบุรีและแล้วไม่นานผมก็ได้กราบหลวงปู่ทิมในวันที่ท่านออกจาก ร.พ.สมใจในวันพุธที่ 4 ก.พ. 2552 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันที่หลวงปู่อยู่ ร.พ.เป็นวันสุดท้ายพอดีเหมือนกัน....

    ผมเข้าไปกราบแทบเท้าหลวงปู่ทิม ซึ่งท่านยิ้มตอบด้วยความอ่อนโยน....

    ภาพต่อไปนี้ผมถ่ายด้วยกล้องมือถือ ภายในห้องพักของหลวงปู่ครับ
    <!--colorc-->
    <!--/colorc-->


    [​IMG]

    ผมคิดเอาเองว่าที่ทางวัดไม่ได้แจ้งเรื่องหลวงปู่เข้าร.พ.อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าลูกศิษย์จะตามไปรบกวนหลวงปู่ถึงที่ ร.พ. แต่ที่ผมไปนั้นต้องการที่จะสอบถามเฉยๆว่าองค์หลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง

    แต่จากการที่มองดูที่กระจกห้องหลวงปู่แล้วเห็นมีคนอยู่หลายคณะตัวผมเองเลยเดินเป๋ๆเข้าไปไหว้สาท่านได้

    ไม่น่าเชื่อเหมือนกันครับว่าหลวงปู่ท่านจะยังจำผมได้แถมยังทักชื่อผมถูกอีกต่างหากแถมหลวงปู่ยังแอบบ่นด้วยว่าผมไม่ค่อยได้ไปวัด....

    ผมก็ได้แต่อมยิ้มแต่ก็อยากจะบอกท่านเหมือนกันครับว่าผมน่ะไปวัดพระขาวบ่อยแต่ไม่ค่อยได้เจอองค์หลวงปู่เสียมากกว่า .....

    [​IMG]




    อย่างที่เล่าไปในตอนที่แล้วว่าผมเริ่มไปวัดพระขาวครั้งแรกเมื่อปี 2525 หลังจากนั้นก็ไปประมาณปีละคั้งสองครั้งบ้างแล้วแต่โอกาสจะอำนวยเนื่องจากตอนนั้นยังเด็กต้องนั่งรถสาย นนทบุรี-บ้านแพน แล้วไปต่อ รถสองแถวอยุธยาสายในที่ตลาดบ้านแพนอีกทอดหนึ่ง ค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร แต่ก็ไปเพราะใจ

    หลังจากนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ไปกราบหลวงปู่บ่อยขึ้นเพราะต้องไปเก็บข้อมูลโรงงานแถบ อยุธยา บ้านแพนอยู่บ่อยๆไปทุกทีก็แวะกราบหลวงปู่ทุกครั้งสมัยนั้นท่านยังไม่โด่งดังระดับประเทศเหมือนเดี๋ยวนี้เข้าไปวัดทีก็นั่งอยู่ได้เป็นวัน...

    [​IMG]

    ในสมัยนั้นจะมีคนนำรถไปเจิมกับหลวงปู่ ผมจะมีหน้าที่หิ้วบาตรน้ำมนต์แลขันใส่แป้งเจิมเดินตามหลวงปู่ทุกคราวไป



    เรียนจบมาก็พอดีกับเศรษฐกิจประเทศไทยล่มปี 2540พอดี...หางานก็ไม่ค่อยได้หมดรูปไปประมาณ 12 โหลก็ยังไม่ได้งานไปมาทุกที่ทั้งชลบุรี ระยอง ลำพูน และ บางกระดี สุดท้ายก็มาสมัครงานที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันนี้ก็นึกถึงหลวงปู่ทิมขึ้นมา

    ว่าให้หลวงปู่ช่วยที....ลูกไม่มีที่ไปแล้ว....ไม่น่าเชื่อครับว่าสมัครเช้าเสร็จพอตกบ่ายบริษัทเรียกสัมภาษณ์ในวันรุ่งขึ้น...ผมเองงง ไปหมดทำอะไรไม่ถูกนึกได้อย่างเดียวว่าต้องไปหาหลวงปู่ทิมเดี๋ยวนั้น...

    พอไปถึงวัดหลวงปู่นั่งอยู่ที่เดิม ผมก็กราบเรียนเรื่องราวให้ท่านทราบ ท่านก็หยิบพานใส่ลูกอมชานหมากมาหนึ่งลูกแล้วให้คำแนะนำว่า

    [​IMG]


     
  18. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ร่วมบุญเพิ่มเติม ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ครับ
    ฝากเงิน เข้าบัญชี 348-123-245-9
    วันที่ 12 กพ 2552 เวลา 13:36 น. จำนวน 200 บาท ครับ
    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  19. tanya123

    tanya123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +544
    09/02/2552--19701 interbank transfer 085000902090057 by SCB :)
    I and my family transfer money to tumboon 330 B
    We sa tue boon with every body ka, pls sa tue boon with us na ka.:)

    Tanya klyne and family:)
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    "มนุษย์ต่างดาว"ร้องไห้เสียใจ
    เมื่อ"พระพุทธเจ้า"ปรินิพพาน!!!!

    เรื่องเกิดเมื่อ 2 อสงไขย แสนมหากัปที่ล่วงมาแล้ว ในสมัยนั้นนั่นแล มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงพระนามว่า "พระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้า"
    ก็พระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ทรงมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ นั่นก็คือ ในขณะที่พระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆ มีพระรัศมี 6 ประการแวดล้อมพระวรกาย 1 วา(4ศอก) บ้าง , 1 โยชน์( 16 กิโลเมตร)บ้าง แต่พระรัศมีของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้นแผ่ซ่านไปตลอด"หมื่นโลกธาตุ"หรือ"หมื่นGalaxy"เป็นนิตย์นิรันดร์.!!!!!!
    โดยการทั้งปวงนี้ พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันได้ทรงตรัสไว้ในพระไตรปิฏก "ขุททกนิกาย พุทธวงศ์" มีความตอนหนึ่งว่า


    <DL><DD>"ส่วนรัศมีแห่งพระสรีระ พระมงคลพุทธเจ้า มีเกินยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ รัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์ ไม่เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ซึ่งมีรัศมีพระสรีระ ประมาณ ๘๐ ศอกบ้าง วาหนึ่งบ้างโดยรอบ ส่วนรัศมีแห่งพระสรีระของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น แผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุเป็นนิจนิรันดร์ ต้นไม้ ภูเขา เรือน กำแพง หม้อน้ำ บานประตูเป็นต้น ได้เป็นเหมือนหุ้มไว้ด้วยแผ่นทอง พระองค์มีพระชนมายุถึงเก้าหมื่นปี. รัศมีของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดวงดาวเป็นต้นไม่มีตลอดเวลาถึงเท่านั้น การกำหนดเวลากลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายทำการงานกันทุกอย่างด้วยแสงสว่างของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เหมือนทำงานด้วยแสงสว่างของดวงอาทิตย์เวลากลางวัน โลกกำหนดเวลาตอนกลางคืนกลางวัน โดยดอกไม้บานยามเย็นและนกร้องยามเช้า...."</DD></DL><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ตำแหน่งของโลกในจักรวาล
    <!--sizec--><!--/sizec-->



    โลก (The Earth)
    โลกของเรามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,756 กิโลเมตร โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 150 ล้านกิโลเมตร แสงอาทิตย์ต้องใช้เวลาเดินทางนาน 8 นาที กว่าจะถึงโลก

    ระบบสุริยะ (Solar System)
    ประกอบด้วยดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์อยู่ตรงศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ 9 ดวง เป็นบริวารโคจรล้อมรอบ ดาวเคราะห์แต่ละดวง อาจมีดวงจันทร์เป็นบริวารโคจรล้อมรอบอีกทีหนึ่ง ดาวพลูโตอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 6 พันล้านกิโลเมตร แสงอาทิตย์ต้องใช้เวลาเดินทางนานมากกว่า 5 ชั่วโมงกว่าจะถึงดาวพลูโต

    ดาวฤกษ์เพื่อนบ้าน (Stars)
    ดาวฤกษ์แต่ละดวงอาจมีระบบดาวเคราะห์เป็นบริวาร เช่นเดียวกับระบบสุริยะของเรา ดาวฤกษ์แต่ละดวงอยู่ห่างกัน เป็นระยะทางหลายล้านล้านกิโลเมตร ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดของดวงอาทิตย์ชื่อ "ปร๊อกซิมา เซนทอรี" (Proxima Centauri) อยู่ห่างออกไป 40 ล้านล้านกิโลเมตร หรือ 4.2 ปีแสง ดาวฤกษ์ซึ่งมองเห็นเป็นดวงสว่างบนท้องฟ้า ส่วนมากจะอยู่ห่างไม่เกิน 2,000 ปีแสง

    กาแล็กซี (Galaxy)
    กาแล็กซีคืออาณาจักรของดวงดาว กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา มีรูปร่างเหมือนกังหัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 แสนปีแสง ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณ 1 พันล้านดวง ดวงอาทิตย์ของเราอยู่ห่างจากใจกลางของกาแล็กซีเป็นระยะทางประมาณ 3 หมื่นปีแสง หรือ 2 ใน 3 ของรัศมี

    กระจุกกาแล็กซี (Cluster of galaxies)
    กาแล็กซีมิได้อยู่กระจายตัวด้วยระยะห่างเท่า ๆ กัน หากแต่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Group) หรือกระจุก (Cluster) "กลุ่มกาแล็กซีของเรา" (The Local Group) ประกอบด้วยกาแล็กซีมากกว่า 10 กาแล็กซี กาแล็กซีเพื่อนบ้านของเรา มีชื่อว่า "กาแลกซีแอนโดรมีดา" (Andromeda galaxy) อยู่ห่างออกไป 2.3 ล้านปีแสง กลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ล้านปีแสง

    ซูเปอร์คลัสเตอร์ (Supercluster)
    ซูเปอร์คลัสเตอร์ ประกอบด้วยกระจุกกาแล็กซีหลายกระจุก "ซูเปอร์คลัสเตอร์ของเรา" (The local supercluster) มีกาแล็กซีประมาณ 2 พันกาแล็กซี ตรงใจกลางเป็นที่ตั้งของ "กระจุกเวอร์โก" (Virgo cluster) ซึ่งประกอบด้วยกาแล็กซีประมาณ 50 กาแล็กซี อยู่ห่างออกไป 65 ล้านปีแสง กลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นของเรา กำลังเคลื่อนที่ออกจากกระจุกเวอร์โก ด้วยความเร็ว 400 กิโลเมตร/วินาที

    เอกภพ (Universe)
    "เอกภพ" หรือ "จักรวาล" หมายถึง อาณาบริเวณโดยรวม ซึ่งบรรจุทุกสรรพสิ่งทั้งหมด นักดาราศาสตร์ยังไม่ทราบว่า ขอบของเอกภพสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่พวกเขาพบว่ากระจุกกาแล็กซีกำลังเคลื่อนที่ออกจากกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าเอกภพกำลังขยายตัว เมื่อคำนวณย้อนกลับนักดาราศาสตร์พบว่า เมื่อก่อนทุกสรรพสิ่งเป็นจุด ๆ เดียว เอกภพถือกำเนิดขึ้นด้วย "การระเบิดใหญ่" (Big Bang) เมื่อประมาณ 13,000 ล้านปีมาแล้ว

    ที่มาข้อมูล : http://www.lesa.in.th/space/earth_space_in...0in space.htm <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    <DL><DD>ถามว่าอานุภาพนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ไม่มีหรือ. ตอบว่า ไม่มี หามิได้ ความจริง พระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น เมื่อทรงประสงค์ ก็ทรงแผ่พระรัศมีไปได้ตลอดหมื่นโลกธาตุ หรือยิ่งกว่านั้น แต่รัศมีแห่งพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้ามงคล แผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุเป็นนิจนิรันดร์ เหมือนรัศมีวาหนึ่งของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ก็ด้วยอำนาจความปรารถนาแต่เบื้องต้นฯ
    (ขุททกนิกาย พุทธวงศ์)
    </DD></DL><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    สำหรับบุพกรรมที่ทำให้พระมงคลพุทธเจ้ามีพระรัศมีแผ่ซ่านไปตลอดทั้ง10,000 กาแลกซี่หรือแสนโกฏิจักรวาล ซึ่งเป็น"โลกธาตุอย่างใหญ่"นั้น เกิดเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ พระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระโอรสและพระชายา ในอัตภาพเช่นเดียวกับอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ประทับอยู่ ณ ภูเขาเช่นเดียวกับเขาวงกต. ครั้งนั้น ยักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่งกินมนุษย์เป็นอาหาร ชอบเบียดเบียนคนทุกคน ชื่อขรทาฐิกะ ได้ข่าวว่า พระมหาบุรุษชอบให้ทาน จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เข้าไปหา ทูลขอทารกสองพระองค์กะพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์ทรงดีพระทัยว่า เราจะให้ลูกน้อยสองคนแก่พราหมณ์ดังนี้ ได้ทรงประทานพระราชบุตรทั้งสองพระองค์แล้ว ทำให้แผ่นดินหวั่นไหวจนถึงน้ำ ขณะนั้น ทั้งที่พระมหาสัตว์ทรงเห็นอยู่ ยักษ์ละเพศเป็นพราหมณ์นั้นเสีย มีดวงตากลมเหลือกเหลืองดังเปลวไฟ มีเขี้ยวโง้งไม่เสมอกันน่าเกลียดน่ากลัว มีจมูกบี้แบน มีผมแดงหยาบยาว มีเรือนร่างเสมือนต้นตาลไหม้ไฟใหม่ๆ จับทารกสองพระองค์ เหมือนกำเหง้าบัวเคี้ยวกิน พระมหาบุรุษมองดูยักษ์ พอยักษ์อ้าปาก ก็เห็นปากยักษ์นั้น มีสายเลือดไหลออกเหมือนเปลวไฟ ก็ไม่เกิดโทมนัสแม้เท่าปลายผม เมื่อคิดว่าเราให้ทานดีแล้ว ก็เกิดปีติโสมนัสมากในสรีระ. พระมหาสัตว์นั้นทรงทำความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งทานของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอรัศมีทั้งหลายจงแล่นออกโดยทำนองนี้ เมื่อพระองค์อาศัยความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว รัศมีทั้งหลายจึงเปล่งออกจากสรีระ แผ่ไปตลอดสถานที่มีประมาณเท่านั้น.
    บุพจริยาอย่างอื่นของพระองค์ยังมีอีก. เล่ากันว่า ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ พระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นี้เห็นเจดีย์ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง คิดว่าควรที่จะสละชีวิตของเราเพื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ให้เขาพันทั่วทั้งสรีระโดยทำนองพันประทีปด้าม ให้บรรจุถาดทองมีค่านับแสนซึ่งมีช่อดอกไม้ตูมขนาดศอกหนึ่ง เต็มด้วยของหอมและเนยใส จุดไส้เทียนพันไส้ไว้ในถาดทองนั้นใช้ศีรษะเทินถาดทองนั้นแล้วให้จุดไฟทั่วทั้งตัว ทำประทักษิณพระเจดีย์ของพระชินเจ้าให้เวลาล่วงไปตลอดทั้งคืน เมื่อพระโพธิสัตว์พยายามอยู่จนอรุณขึ้นอย่างนี้ ไออุ่นก็ไม่จับแม้เพียงขุมขน ได้เป็นเหมือนเวลาเข้าไปสู่ห้องดอกปทุมจริงทีเดียว ชื่อว่าธรรมนี้ย่อมรักษาบุคคลผู้รักษาตน ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

    <DL><DD>ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ <DD>ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ <DD>เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ <DD>น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี. <DD><DD>ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติ ธรรม ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรม ย่อมไม่ไปทุคติ <DD><DD>ด้วยผลแห่งกรรมแม้นี้ แสงสว่างแห่งพระสรีระของพระองค์จึงแผ่ไป ตลอดหมื่นโลกธาตุ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า <DD>"ต่อจากสมัยของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ผู้นำโลก พระนามว่ามงคล ก็ทรงกำจัดความมืดในโลก ทรงชูประทีปธรรม รัศมีของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น ไม่มีผู้เทียบ ยิ่งกว่าพระชินเจ้าพระองค์อื่น ๆ ครอบงำแสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ หมื่นโลกธาตุก็สว่างจ้าฯ"</DD></DL><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    เพราะเหตุที่พระพุทธรัศมีแห่งพระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แผ่ซ่านไปตลอดหมื่นจักรวาลดังนี้ มนุษย์และเทวดาทุกจักรวาลต่างล้วนได้รับความสุขสวัสดีและความอบอุ่นแห่งพระพุทธเมตตาบารมีอยู่โดยตลอดถึง 90,000 ปี จนเมื่อพระมงคลพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน แสงสว่างที่ครอบโลกธาตุทั้งสิ้น ก็พลันดับวูบลง ทำให้มนุษย์และเทวดาทุกสุริยจักรวาลต่างเศร้าโศกเสียใจ คร่ำครวญหวนไห้เป็นการใหญ่ ดังที่องค์สมเด็จพระโคตมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ด้วยพระองค์เองว่า


    <DL><DD>ก็พระผู้มีพระภาคมงคลพุทธเจ้า มีพระนคร ชื่อว่า อุตตรนคร แม้พระชนกของพระองค์เป็นกษัตริย์ พระนามว่า พระเจ้าอุตตระ แม้พระชนนีพระนามว่า พระนางอุตตระ คู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสุเทวะและ พระธรรมเสนะ มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตะ มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสีวลา และ พระอโสกา ต้นไม้ที่ตรัสรู้ ชื่อต้นนาคะ[กากะทิง] พระสรีระสูง ๘๘ ศอก พระชนมายุประมาณเก้าหมื่นปี ส่วนพระชายาพระนามว่า ยสวดี พระโอรสพระนามว่า สีวละ เสด็จอภิเนษกรมณ์โดยยานคือ ม้า ประทับ ณ พระวิหาร อุตตราราม อุปัฏฐากชื่อ อุตตระ
    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นดำรงพระชนม์อยู่เก้าหมื่นปีก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน หมื่นจักรวาลก็มืดลงพร้อมกัน โดยเหตุอย่างเดียวเท่านั้น มนุษย์ทุกจักรวาล ก็พากันร่ำไห้คร่ำครวญเป็นการใหญ่
    ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    <DD>"พระมงคลพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีนคร ชื่ออุตตรนคร มีพระชนกพระนามว่า พระเจ้าอุตตระ พระชนนีพระนามว่า พระนางอุตตรา. <DD>มีคู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสุเทวะ พระธรรมเสนะ มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตะ มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อพระสีวลา และพระอโสกา ต้นไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เรียกว่าต้นนาคะ.
    พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก พระรัศมีแล่นออกจากพระสรีระนั้นหลายแสน.
    <DD>ในยุคนั้น ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่เท่านั้น ก็ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร
    คลื่นในมหาสมุทร ใครๆ ไม่อาจนับคลื่นเหล่านั้นได้ฉันใด สาวกของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น ใครๆ ก็ไม่อาจนับสาวกเหล่านั้นได้ ฉันนั้นเหมือนกัน
    <DD>พระมงคลสัมพุทธเจ้า ผู้นำโลก ยังดำรงอยู่เพียงใด ความตายของผู้ยังมีกิเลสในศาสนาของพระองค์ ก็ไม่มีเพียงนั้น <DD>พระผู้มีพระยศใหญ่พระองค์นั้น ทรงชูประทีปธรรม ยังมหาชนให้ข้ามโอฆสงสาร แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เหมือนดวงไฟลุกโพลงแล้วก็ดับไปฉะนั้น <DD>พระองค์ ครั้นทรงแสดงความที่สังขารทั้งหลายเป็นสภาวธรรมแล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพานเหมือนกองไฟลุกโพลงแล้วก็ดับ เหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างแล้ว ก็อัสดงคตฉะนั้นฯ"</DD></DL><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    เพราะเหตุที่พระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน "มนุษย์ทุกจักรวาล ก็พากันร่ำไห้คร่ำครวญเป็นการใหญ่"ดังกล่าว จึงเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดว่า เว้นจากโลกของเรานี้แล้ว สิ่งชีวิตที่มีความเจริญเสมอหรือยิ่งกว่ามนุษย์เราในโลกอื่นๆหรือที่เรียกโดยรวมว่า"มนุษย์ต่างดาว" นั้น เป็นสิ่งที่"มีอยู่จริง" แน่แท้
    และครั้งหนึ่ง "มนุษย์ต่างดาว"เหล่านั้น ยังมีปัญญาล่วงรู้ถึงพระคุณอันประเสริฐสุดแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างดี จนถึงกับต้อง"เสียน้ำตา" เมื่อพระองค์ดับขันธปรินิพพานจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีกด้วยดังนี้แล..........


    "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต"
    (ที.สี.14/90)
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.phuttawong.net
     

แชร์หน้านี้

Loading...