พระเมตตา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 2 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    <CENTER>หนังสือ พระเมตตา เล่มที่ ๑
    โดย
    พระมหาวีระ ถาวโร ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)






    </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>http://www.praruttanatri.com/v1/special/books/prametta/</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>-----------------------</CENTER><CENTER></CENTER>

    พระราชปรารภ<O:p</O:p


    บทที่ ๑<O:p</O:p

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย หนังสือเล่มนี้อาตมาจะบรรยายเกี่ยวกับเรื่องพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวที่พระองค์เสด็จมาทรงบรรจุพระบมสารีริกธาตุในพระอุโบสถหลังใหม่ ของวัดจันทาราม ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี หรือที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจำกันได้ว่า วัดท่าซุงนั่นเอง
    <O:p</O:p
    คำว่าวัดท่าซุงนี้เป็นชื่อเรียกกันมาแต่เดิม การที่จะมาเปลี่ยนเป็นวัดจันทารามเมื่อไร่นี่ อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน เป็นอันว่าคำว่าวัดท่าซุงอยู่ในความทรงจำของญาติโยมพุทธบริษัท ฉะนั้น ในกาลต่อไป อาตมาจะใช้คำว่า วัดท่าซุง เพราะว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทรู้จักกันดี
    <O:p</O:p
    การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วทรงเททองหล่อรูปหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบูรพาจารย์ของอาตมา เป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง ที่อาตมามีความรู้มาแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ก็เพราะอาศัยหลวงพ่อปานเป็นต้นเหตุ เป็นปัจจัย สั่งสอนอาตมาให้มีความรู้ในพระพุทธศาสนาตามสมควรแก่ปัญญาที่จะทรงไว้ได้ แต่ความจริงความรู้ที่หลวงพ่อปานให้อาตมานั้น มากมายยิ่งกว่าที่อาตมาทรงอยู่นี้มาก แต่ทว่าสำหรับอาตมาเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส จึงไม่สามารถจะจดจำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ที่หลวงพ่อปานสอนได้หมด มีเหลือไว้บ้างประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไว้นำมาแจกจ่ายแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    <O:p></O:p>
    การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จมาในงานนี้คือวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ เวลาที่ถึงประมาณ ๑๕ นาฬิกา ๑๕ นาที ตามหมายกำหนดการเดิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาโดยเครื่องบิน มาลงที่กองบิน ๔ ตาคลี แล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายจังหวัด บรรดาข้าราชการและบรรดาท่านพุทธบริษัท ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการก่อสร้าง มีท่าน พล ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ เป็นประธาน จะไปรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สนามบินตาคลี เวลาที่จะกำหนดถึงในหมายกำหนดการแรกกำหนดว่าเวลา ๑๖ นาฬิกา แล้วต่อมาหมายกำหนดการได้เปลี่ยนไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จโดยสถลมารค คือทางรถยนต์ มาถึงวัดท่าซุงประมาณเวลา ๑๕ นาฬิกา ๓๐ นาที ครั้นวันเสด็จจริง ๆ ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงวัดท่าซุงก่อนเวลา ๑๕ นาที แต่ความมหัศจรรย์พร้อมไปด้วยอำนาจบุญบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าจะกล่าวกันไปก็ต้องถือว่า เป็นเรื่องปกติที่พระองค์เสด็จ นั่นก็คือ ฝนตกก่อนที่พระองค์เสด็จถึงประมาณ ๑๕ นาที ปรากฏว่าบรรดาประชาชนทั้งหลายหลั่งไหลกันมามาก เต็มไปทั้งบริเวณวัด แน่นขนัดติดต่อกันไปถึงจังหวัดอุทัยธานี ระยะทางตอนนี้ก็ประมาณ ๖ กิโลเมตรเศษ ๆ สองข้างทางเนืองแน่นไปด้วยประชาชน แล้วฝนก็ตกลงมาประมาณสัก ๕ นาที หรือ ๑๐ นาที ในระยะแรก ปรากฏว่าฝนตกลงมาเม็ดใหญ่มาก แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท และพสกนิกรของพระองค์ที่มีความจงรักภักดี พากันยืนรอเฝ้าพระองค์ในที่ต่าง ๆ แน่นขนัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตวัด ในบริเวณที่สร้างใหม่ เกือบจะหาที่ว่างไม่ได้ บุคคลทั้งหลายที่นั่งไปแล้วตั้งแต่เวลาเที่ยง ใกล้ลาดพระบาทคือ ทางเสด็จพระราชดำเนิน นั่งอยู่ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันแน่นไปหมดทั่วบริเวณ ไม่มีใครยอมลุกขึ้น อาตมาได้ไปเตือนว่า นี่ เวลาเพิ่งเที่ยงวัด ขอท่านทั้งหลายพักผ่อนกันเสียก่อน ประเดี๋ยวแดดจะร้อน หรือว่าฝนจะตก แต่บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้น ท่านบอกว่า ท่านคอยเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยมีความยินดีมากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านเป็นของหายากอย่างยิ่ง ที่จะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แดดจะร้อนฝนจะตกท่านไม่หนักใจ
    <O:p></O:p>
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าความดี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่บรรดาพสกนิกรของพระองค์ จะเสด็จไปทางไหนก็มีคนเนืองแน่นไปหมด เรื่องที่ถือกันเป็นธรรมดานั้นก็คือฝน ฝนต้องตก แต่เป็นเหตุน่าอัศจรรย์ ขณะที่ฝนตกลงมาในคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้ว คนที่ยืนอยู่กลางแจ้งจะเปียกโชกไปหมด พอฝนตกใหญ่ประมาณสัก ๑๐ นาที หลังจากนั้นฝนก็ตกเป็นละอองคล้ายฝนโบกขรพรรษ นี่อาตมาใช้คำว่าคล้ายฝนโบกขรพรรษที่องค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคเคยแสดงพระธรรมเทศนาไว้ ในเรื่องพระเวสสันดรชาดกว่า ฝนโบกขรพรรษนี้ ถ้าคนต้องการให้เปียกมาก็จะเปียกมาก ต้องการให้เปียกน้อยก็จะเปียกน้อย ไม่ต้องการให้เปียกเลย ก็ไม่เปียก นี่ฝนวันนั้น ในตอนต้นตกหนักเม็ดใหญ่แล้วต่อมาก็ตกเป็นฝอย อาตมาคิดว่าบรรดาพสกนิกรทั้งหลายที่มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีความลำบากมาก เพราะว่าเครื่องแต่งตัวจะเปียกกันไปหมด แต่ว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฝนตกเม็ดใหญ่หนามากประมาณ ๑๐ นาที พอฝนหายแล้ว อาตมาก็ออกไปเดินตรวจ ไปเยี่ยมประชาชน ว่าเปียกกันมากไหม ลำบากมากไหม ท่านทั้งหลายพวกนั้นก็ยกมือไหว้ ชี้ให้ดูที่เสื้อและผ้านุ่ง ก็ปรากฏว่ามีเม็ดฝนตกถูกผ้าของท่านเป็นลาย ๆ ไปนิดเดียวเท่านั้น นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์อันหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นบุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระเจ้าลูกเธอทั้ง ๒ พระองค์ นี่เป็นเหตุอัศจรรย์
    <O:p></O:p>
    แต่เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เรื่องฝนตกหรือไม่ตก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปไหนนี่ มีเหตุอัศจรรย์ปรากฏหลายวาระ เรียกว่าทุกวาระก็ได้เพราะวันนั้นทั้งวันปรากฏว่าไม่มีแสงแดดจะแผดออกมาให้ร้อนบรรดาท่านพุทธบริษัทเลยมีอากาศครึ้มเย็นสบายตลอดวัน ถ้าหากว่าแดดร้อนจ้าลงมาเมื่อไร บรรดาพสกนิกรทั้งหลายจะมีความลำบากมาก เพราะว่าทุกท่านมีการเบียดเสียดยัดเยียดซึ่งกันและกัน ไม่ใช่นั่งแบบสบาย ๆ หรือไม่ใช่ยืนแบบสบาย ๆ นี่จัดว่าเป็นเหตุอัศจรรย์อันหนึ่งที่อาตมากล่าวว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ เพราะว่าอาตมาไม่เคยเห็นใครที่ไปไหนมีฝนตกหรือฝนไม่ตก เท่าที่ทราบข่าวว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จเยี่ยมชาวเขา บางคราวก็ปรากฏว่ามีหมอกจัด เครื่องบินอาจจะลงไม่ได้ แต่ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไป ปรากฏว่าหมอกจางหายไป นี่ก็เป็นเหตุมหัศจรรย์ หากจะไม่กล่าวว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ อาตมาก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร เพราะอาตมาเคยไปไหน ถ้าฝนจะตกมันก็ตก ห้ามฝนไม่ได้ ถ้าฝนจะไม่ตก จะทำยังไงฝนก็ไม่ตก นี่อาตมาเอาตัวของอาตมาเข้าไปเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะเอาบุญบารมีไปเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะเอาบุญบารมีไปเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง ไม่มีความประสงค์เช่นนั้น มีความประสงค์แต่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ ต้องการให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า คนที่มีบุญญาธิการกับคนอย่างอาตมาไม่เหมือนกัน แต่ว่าสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน จะมีความรู้สึกเป็นประการใดนั้นอาตมาไม่ทราบ
    <O:p></O:p>
    แต่การเสด็จมาของพระเจ้าอยู่หัวในคราวนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ปรากฏว่ามีคนเขาสงสัยกันมากว่า อาตมานั้นมีดีอะไร ทำไมจึงเอาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาได้ การคิดอย่างนี้ เป็นเรื่องคิดมากเกินไป บรรดาท่านพุทธบริษัท การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จหรือไม่เสด็จ ไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ความชั่วของอาตมา ต้องถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เองต่างหาก เพราะวันเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ ใกล้กับวันเวลาที่พระองค์จะเสด็จไปประทับ ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ นั่นก็คือจะเสด็จไปภาคใต้ จังหวัดนราธิวาส เพราะเป็นวันใกล้กับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ นี่ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาในคราวนี้นั้น เขาจึงพากันโจษขานกันมากว่า เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง แล้วก็การเสด็จมา ถ้าจะกล่าวว่ามาเพราะอาตมาถวายพระพรเชิญเสด็จ ก็คงไม่ใช่ เรื่องนี้ไม่ใช่ ต้องยกความดีให้แก่คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ และท่าน พล. ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ สองสามีภรรยา พร้อมไปด้วยคณะศิษยานุศิษย์มีมากท่านด้วยกัน ที่มีความพร้อมใจกันตลอดจนจ้าวนายหลายพระองค์ที่ต่างคนต่างร่วมใจกันกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอัญเชิญให้เสด็จมา ปรารถนาจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หล่อรูปหล่อหลวงพ่อปานและยกช่อฟ้า แม้แต่งานฝังลูกนิมิต เพราะว่าสถานที่สร้างขึ้นมานี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหมดที่เป็นข้าราชบริพารและพระราชวงศ์ ประสงค์จะร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นการเพิ่มพูนพระบารมีของพระองค์ ฉะนั้น ทุกคนจึงตกลงใจกันกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ โดยคุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ ภรรยาท่าน พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุล คนนี้ ต้องเรียกว่า หม่อมราชวงศ์ คุณหญิงสุวรรณาภา เพราะท่านเป็นหม่อมราชวงศ์ ได้เข้ากราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ รับว่าจะเสด็จ แล้วทรงรับรองจะกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และในกาลต่อมา พล.ร.อ.จิตย์ สังขดุล ก็กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกสายหนึ่ง นี่ การเสด็จมาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องถือว่าเป็นคุณความดีของคณะท่านพุทธบริษัท ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการจัดสร้างวัดคราวนี้เพราะว่าทุกคนมีหุ้นส่วนในการก่อสร้างทั้งหมด.
    <O:p></O:p>
    การก่อสร้างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ใช้เวลามา ๑ ปี กับ ๔ เดือน แต่ความจริงวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถึงเป็นเวลา ๑ ปี กับ ๓ เดือนเศษ ๆ ซื้อที่ราคาแสนเศษ งานก่อสร้างทั้งหมดสิ้นเงินไปทั้งหมดถึงวันนั้น คือ จ่ายเงินสดไปแล้วนะ ยังเป็นหนี้เขาต่างหาก จ่ายเงินสดไปแล้ว ๔ ล้าน ๕ แสนบาทเศษ แล้วยังเป็นหนี้เขาอีกล้านบาทเศษ และยังจะสร้างต่อไปอีกประมาณ 3 ล้านบาทเศษ ๆ นี่อาศัยทุนรอนที่บรรดาท่านพุทธบริษัทพากันกันบำเพ็ญกุศล เนื่องในการก่อสร้างโดยตรงบ้าง ถวายแก่อาตมาเป็นส่วนตัวบ้าง จตุปัจจัยที่บรรดาท่านทั้งหลายถวายเป็นส่วนตัว อาตมาเห็นจะใช้ปีหนึ่งไม่เกิน ๑ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นก็รามเข้าไว้ในการก่อสร้างทั้งหมด อย่างนี้มันสบายใจ<O:p></O:p>
    ทีนี้ การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จในคราวนี้ เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของบุคคลบางท่าน และบางพวก บางคณะ ที่มาพูดให้ฟังว่า การกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ทำไปโดยลำดับ ไม่ผ่านอำเภอ ไม่ผ่านจังหวัด ไม่ผ่านกรมกองและกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ เขาหาว่าทำลัดตัดหน้า แถมมาโกรธอาตมาเสียด้วยว่าตัดหน้าหน่วยราชการ อันนี้ต้องขอเรียนให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน และท่านที่มีความเข้าใจอย่างนั้นโปรดทราบว่า การกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นเรื่องของคณะศิษยานุศิษย์เขาจัดทำกัน แล้วการราบบังคมทูลอัญเชิญมาคราวนี้ก็เป็นการกราบบังคมทูลอัญเชิญเป็นการส่วนพระองค์ไม่เกี่ยวข้องกับทางราชการ ทางราชการส่วนจังหวัดนั่นแหละอาศัยการกราบบังคมทูลเชิญของบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยมเยียนจังหวัดด้วย แล้วก็จัดลูกเสือชาวบ้าน แถมมีข่าวพิเศษอีก ว่าใครจะโดยเสด็จพระราชกุศลจงอย่ามารวมกันที่วัด เพราะที่วัดนี้ ถ้ามอบเงินให้แก่วัดไม่ถึงแสนบาท ทางวัดไม่รับ ต้องมอบเงินเป็นแสน ๆ บาท ทางวัดจึงจะรับ ถ้ามีเงินน้อยให้ไปช่วยที่อื่น นี่อาตมาได้ข่าวมาจาคนที่เขาจะร่วมโดยเสด็จพระราชกุศล แล้วก็มีบุคคลอีกหลายคนเตรียมสตางค์มาแล้วจะร่วมโดยเสด็จพระราชกุศล เตรียมสตางค์มาแล้ว แต่ไม่เห็นว่าทางวัดจัดอะไรไว้ อันนี้อาตมาเองก็ต้องขออภัยต่อบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนั้นคิดไม่ถึงจริง ๆ คือว่า การที่ไม่จัดไว้ก็เนื่องจากเกรงใจบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะหาว่าเป็นการรบกวนประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง คิดว่าท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า การราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ แล้วก็พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์มาคราวนี้ เลยฉวยโอกาสเรี่ยไรเงินโดยเสด็จพระราชกุศล อันนี้อาตมาคิดมากไปเอง ก็ต้องขออภัยบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่เตรียมเงินมาแล้ว แต่ทว่าไม่มีโอกาสได้บำเพ็ญกุศลร่วมด้วย อาตมาก็ต้องขอรับผิด จัดว่าเป็นความผิดอย่างหนักที่ทำลายศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีเจตนา ทั้งนี้เพราะว่า หลังจากงานแล้ว มีบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านด้วยกัน ควรจะนับว่าเป็นสิบ ๆ ท่าน ท่านบอกว่าฉันกำสตางค์มาแล้ว ฉันเอาสตางค์ใส่กระเป๋ามาแล้ว ตั้งใจจะรวมกับพวกที่โดยเสด็จพระราชกุศลแต่ก็เดินหาสถานที่ตั้งรับไม่ได้ เลยต้องหอบเงินกลับบ้าน อันนี้อาตมาถือว่า เป็นความผิดใหญ่ของอาตมา ถ้าบังเอิญโอกาสหน้าพึงมี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า อาตมาก็จะขอตั้งที่ไว้เป็นที่รวบรับโดยเสด็จพระราชกุศล สำหรับคราวนี้ ต้องขอประทานอภัยอย่างหนักที่ทำความผิดไป สร้างความเข้าใจผิดให้แก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย แล้วเป็นการทำลายกำลังใจของท่านพุทธบริษัทที่มีศรัทธา สำหรับการเสด็จมาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเริ่มต้นเห็นจะพอกันเพียงเท่านี้
    <O:p></O:p>
    ต่อแต่นี้ไปขอเข้าเรื่องกันใหม่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินถึงเขตวัดจันทารามหรือวัดท่าซุงแล้ว ก็ได้เสด็จเข้าไปในพระอุโบสถเก่า ซึ่งมีเจ้าอาวาสกับคณะกรรมการวัดรับรองอยู่ที่นั่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนมัสการพระพุทธปฏิมาพระประธานในพระอุโบสถเก่าแล้ว ได้ถวายผ้าไตรแก่เจ้าอาวาส ความจริงตอนนี้อาตมาไม่เห็น เป็นแต่เพียงข่าว มีข่าวบอกว่า เจ้าอาวาสก็ถวายของเป็นที่ระลึกแด่พระองค์ หลังจากนั้นพระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินมาที่พระอุโบสถใหม่ เจ้าหน้าที่สำหรับกั้นสัปทน หรือร่มอะไรก็ตาม อาตมาเรียกไม่ถูก ราชาศัพท์อาตมาไม่ทราบเขาเรียกอะไร เรียกกันตามภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าสัปทน หรือว่าร่ม ไม่ต้องกางให้ลำบาก พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ มีทหารกองเกียรติยศมหาดเล็กเดินข้างหน้า วันนั้น อาตมาก็ต้องขอบใจบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร และบรรดาประชาชนทั้งหมด ที่มีจิตใจพร้อมเพรียงกันถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ มาทราบภายหลังว่า เจ้าหน้าที่ทหารมาจากเชียงราย ๑ กองพัน แล้วมาจากนครสวรรค์ ตาคลี แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็มีท่านผู้บังคับการเขค ๖ รองผู้บังคับการ ผู้กำกับและเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าไรมากมายด้วยกัน ฝ่ายทหารได้ทราบว่ามาจากกรุงเทพ ฯ ก็มี หน่วยรักษาความปลอดภัยหรือศูนย์รักษาความปลอดภัยก็มามาก และบรรดาประชาชนทั้งหลายที่คอยเฝ้ารับเสด็จ ก็แสดงความจงรักภักดีเป็นพิเศษ ที่อาตมา ว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ธันวาคม 2011
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]
    บทที่ ๒<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ตอนนี้เป็นตอน ที่ ๒ เป็นตอนที่จะกล่าวถึงพระราชปรารถตอนแรก
    <o:p></o:p>
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินจากพระอุโบสถเก่าของวัดท่าซุง โดยมีเจ้าอาวาสเป็นผู้นำเสด็จสู่ศาลาที่ประทับ ประทับเรียบร้อยแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเบิกข้าราชการเข้าเฝ้า ตามหมายกำหนดการ แต่สำหรับอาตมาเองน่ะ เวลานั้นไม่ได้อยู่ที่พลับพลาที่ประทับ เพราะตามหมายกำหนดการเขาบอกว่า อาตมาคอยรับเสด็จอยู่ที่พระอุโบสถใหม่ที่เรียกว่าพระอุโบสถใหม่ก็เพราะว่า ทำไว้เพื่อเป็นพระอุโบสถ ในที่นั้นก็มีพระสุปฏิปันโนคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่ รวมด้วยกันทั้งหมดเป็น ๙ รูป ทั้งอาตมา
    <o:p></o:p>
    เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเบิกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าเฝ้าแล้ว ตอนนั้น พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ก็กราบบังคมทูลเรื่องการก่อสร้าง ฉะนั้น หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบความเป็นมาในการที่อาตมามาอยู่ที่วัดท่าซุงนี้เพราะเหตุใด ก็ขอได้โปรดอ่านคำกราบบังคมทูล ของ พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุล ซึ่งเป็นการถวายรายงานเรื่องการก่อสร้างเพราะว่าท่านเหล่านั้นท่านเป็นผู้จัดหาเงินมาเพื่อการก่อสร้าง อาตมามีหน้าที่อย่างเดียว คือคุมงานเท่านนั้น การก่อสร้างนี้เป็นที่ไม่ถูกใจของบุคคลอยู่มาก เพราะการทำไปแล้วไม่แบ่งเงินให้ใช้ ข้อนั้น อาตมาทำไม่ได้หรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าครูบาอาจารย์ไม่ได้สอนมาแบบนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนแบบนั้น สอนอย่างเดียวว่าให้พระเป็นผู้นำในการละ ไม่ใช่ให้พระเป็นผู้นำในการสะสม ถ้าอาตมามาเป็นผู้สะสมเสียเองแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะลงโทษ ลงโทษว่าเป็นเดียรถีย์ ไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระมหามุนี อาตมาทำไม่ได้<o:p></o:p>
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับทราบคำกราบบังคมทูล ของ พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหมแล้ว พระองค์จะทรงตรัสอย่างไรบ้างก็ไม่ทราบ เพราะในสถานที่นั้นมีพระราชาคณะหลายท่าน ท่านเจ้าคุณพรหมมุนี วัดราชผาติการาม แล้วก็มีท่านเจ้าคุณธรรมราชานุวัตร วัดสุวรรณาราม ท่านเจ้าคุณเทพ ๒ เทพ วัดประยุรวงศ์และวัดอนงคาราม (จำไม่ได้ว่าเทพมีสร้อยว่ายังไง) แล้วก็ท่านเจ้าคุณเทพ เจ้าคณะตรวจการภาค ท่านเจ้าคุณราช รองเจ้าคุณตรวจการภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ ครบหรือไม่ครบก็ไม่ทราบ จำไม่ค่อยได้ถนัด เป็นอันว่า พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระวันรัตก็ดี ท่านเจ้าคุณธรรมปัญญาบดี วัดสามพระยาก็ดี มีกรุณาธิคุณกับอาตมาเป็นล้นพ้น วันที่ไปนมัสการท่าน ท่านก็ทำตนของท่านเหมือนกับว่า อาตมาเป็นลูกที่รักของท่าน พอไปนมัสการท่าน ท่านเจ้าคุณวัดสามพระยา ท่านบอกว่าทำไป ๆ อย่าหยุด สร้างเรื่อยไป จงอย่าหยุด นี่เป็นกำลังใจแก่อาตมาเป็นอย่างมาก
    <o:p></o:p>
    มีคนเขาพูดกัน พระก็พูดกันว่าสร้างวัดที่นี้ผิดระเบียบ ผิดพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ สร้างวัดชิดวัด แต่ว่าท่านที่พูดทั้งหลายนั้นไม่ได้คิด ไม่ได้ฟัง ว่าท่านเจ้าภาพน่ะ เขาสร้างเพื่อเป็นการขยายเขตวัด ถวายไว้ในพระพุทธสาสนา นี่มันไม่มีอะไรจะผิด แล้วก็ท่านพูดกันไปได้ เพราะอาศัยที่ว่าไม่เคยดูพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ ไม่เคยศึกษาพระธรรมวินัย ไม่เคยดูกฎมหาเถรสมาคม ไม่นิยม คือ ไม่เคารพในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวร บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าเคยแนะนำให้บรรดาพุทธบริษัท คือ พุทธสาวก เป็นผู้เจริญศรัทธา แนะนำให้ชาวบ้านเป็นผู้เสียสละมีศรัทธาสร้างความดี แล้วนี่พวกชาวบ้านเขามีศรัทธาสร้างความดี ทุ่มเทเงินมาเป็นจำนวนล้าน ฝั่งวัดเก่าก็สร้างหมดไปประมาร ๔ ล้านเศษ ฝั่งใหม่ที่จะสร้างต่อไปอีกถึง ๑๐ ล้านบาท แต่ท่านไม่เห็นความดีของเขา คือถ้าเราจะไปดูตามพระวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านพวกนี้ไม่ได้แสดงความเคารพในพระพุทธเจ้าเลย บางถึงกับพูดออกมาว่าให้มันฝังลูกนิมิตให้ได้ทีเถอะ นี่ วาจาอย่างนี้ไม่น่าจะออกมาจากปากของพระ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ฉะนั้น เรื่องของพระจึงเป็นเรื่องสำคัญ ตรงกับพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาจากพลับพลาที่ประทับเข้าสู่พระอุโบสถใหม่ อาตมาขอให้นามว่าพระอุโบสถ ถึงแม้ว่ายังไม่มีการฝังลูกนิมิต สวดพัทธสีมาก็ตาม แต่ในเมื่อชาวบ้านเขามีความปรารถนาอย่างนั้น ตั้งใจอย่างนั้นแล้ว มันต้องเป็นได้ วิธีจะเป็นมีอยู่ ๓ ประการด้วยกัน คือ
    <o:p></o:p>
    ๑. มหานิกายรับรวมเข้าไว้ เป็นวัดมหานิกาย<o:p></o:p>
    ๒. ถ้ามหานิกายไม่รับ ก็ถวายเป็นวัดธรรมยุต<o:p></o:p>
    ๓. ถ้าพระธรรมยุตไม่รับก็ประกาศตั้งนิกายใหม่ขึ้นมาเลย อันนี้ไม่มีพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ห้ามไว้ ทำได้ เขาจะทำเป็นวัดของเขาโดยไม่มอบแก่คณะสงฆ์คณะใดคณะหนี่งก็ทำได้
    <o:p></o:p>
    ถ้าพระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ไม่ยอมเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ยอมเจริญศรัทธา เขาทำได้แน่ เราจะเอากฎหมายอะไรมาบังคับเขา เขาสร้างที่บำเพ็ญกุศลของเขา เขาทำได้สบาย
    <o:p></o:p>
    นี่ถ้าพวกเราไม่โง่เสียอย่างเดียว เรื่องร้าย ข่าวร้าย มันก็จะไม่บังเกิดขึ้น ไอ้ความไม่ดีอย่างนี้ทราบไปถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดทราบว่าเวลาพระองค์ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้น ดูจริยาของพระองค์ มีความละมุนละไมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสด็จเข้ามายังศาลาที่ประทับ ทรงรับศีล สมเด็จพระราชาคณะถวายศีล พระองค์ทรงถวายเครื่องไทยธรรมแล้ว พระสงฆ์ถวายพระพร สมเด็จพระราชาคณะ คือ สมเด็จพระวันรัตถวายอดิเรก เสร็จแล้วถวายพระพรต่อ พระองค์แสดงการนอบน้อมเป็นกรณีพิเศษ ที่อาตมาว่าพิเศษนี้ ความจริงอาตมาว่าเป็นปกติของพระองค์ แต่อาการอย่างนั้นที่อาตมาจะได้เห็นคนธรรมดามาแสดงกับอาตมานั้นน่ะ มันน้อยเต็มที มีแต่เพียงว่ามีแง่งมีบ่านิด ๆ หน่อย ๆ ก็ทำเต๊ะท่า ตอนก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ เวลานั้นกำลังปรับที่รับเสด็จ ปรากฏว่ามีคน ๆ หนึ่งเขายืนเก้ ๆ กัง ๆ แล้วคุณเกษม สุวินทวงศ์ อดีตช่างใหญ่กรมทาง ได้ไปถามเขาว่า เขามาธุระอะไร เขารายงานตัวว่าเขาเป็นอะไรใหญ่โตเหลือเกิน แล้วก็มาหาอาตมา มายืนเต๊ะท่า ยืนคำหน้า อาตมานั่งอยู่ พูดท่าอย่างผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มาก แล้ววาจาที่ท่านกล่าวมา อาตมาไม่เห็นมันเป็นสาระอะไร เพราะงานเขาทำกันจนเสร็จแล้ว จึงมาบอกว่าจะมาช่วย ความจริงถ้ามีงบประมาณก็น่าจะบอกกันก่อน นี่ทางวัดลงทุนไปตั้งหลายหมื่นแล้ว แล้วมาบอกว่า จะเอานั่นมาช่วย เอานี่มาช่วย มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร นี่เราดูจริยาของคนประเภทนี้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเทียบกันไม่ได้ ถ้าเป็นข้าราชการแล้ว ก็ควรจะต้องปฏิบัติตามพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะคำว่าข้าราชการ แปลว่า ทำงานเนื่องด้วยพระราชา มีพระราชาเป็นประมุข เมื่อพระราชามีพระราชจริยาวัตรอ่อนน้อม ละมุนละไม ข้าราชการชั้นผู้น้อยและชั้นผู้ใหญ่ ก็ควรจะปฏิบัติตาม แต่ว่านี่พระราชาท่านนอบน้อมละมุนละไม แต่ทว่าท่านผู้นั้นเป็นใครอาตมาไม่ทราบ ไม่รู้ว่าเป็นข้าราชการหรือเปล่า ท่าท่านใหญ่ผิดปกติเข้าใจว่าคงจะถือศาสนาอื่น ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่ว่าพวกเราคริสตศาสนาที่เขามาหาอาตมาก็เห็นเขาดีกันทุกคน บางทีพวกอิสลามเขามาเขาก็ดีทุกคน อย่างไปปักษ์ใต้พบชาวอิสลาม นี่เขาก็นอบน้อมดี มีจริยาดี แต่ท่านผู้นี้มีศาสนาอะไร อาตมาไม่ทราบ ถ้าจะเดา ๆก็คงเป็นศาสนาเบ่ง ตามใจท่าน
    <o:p></o:p>
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ก็ทรงถวายผ้าไตรแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย พระสุปฏิปันโน คือ มีเจ้าคุณธรรมวราลังการ วัดบุปผารามเป็นหัวหน้า แล้วมีหลวงพ่อชุ่ม วัดวังมุย (วัดชัยมงคล) หลวงพ่อคำแสนเล็ก หลวงพ่อคำแสนใหญ่ แห่งจังหวัดเชียงใหม่ด้วยกัน แล้วก็หลวงพ่อบุดดา แห่งอำเภอสวรรค์บุรี หลวงพ่อไชยวงศ์ แห่งอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน แล้วก็หลวงน้ามหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์ แล้วก็อาตมา นับให้ได้ ๘ องค์ก็แล้วกัน ถ้าขาดไปละไม่รู้ว่าใครบ้าง นึกชื่อไม่ออก เวลาพูดนี่ไม่ได้อ่านหนังสือ ไม่ได้จดไว้ เป็นอันว่าท่านมาด้วยกัน<o:p></o:p>
    เมื่อทรงประเคนของหมดแล้ว ตอนท้ายสุดก็ถึงอาตมา เมื่อประเคนของอาตมาแล้วก็ทรงปรารภ ก่อนที่จะทรงประเคน พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ กราบบังคมทูลว่า องค์นี้ คือ พระมหาวีระ ถาวโร พระองค์ทรงประเคนของด้วยความนอบน้อมทุก ๆ องค์นะ ไม่ใช่เฉพาะอาตมา ดูพระราชจริยาวัตรของพระมหากษัตริย์ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาตมารู้สึกปลื้มปิติใจเป็นกรณีพิเศษ ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้ตรัสไว้ว่า คนที่จะเป็นกษัตริย์นั้น ไม่ใช่เป็นกันได้ทุกคน ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ได้ต้องบำเพ็ญบารมีมาดีแล้ว นี่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสไว้อย่างนี้ ฉะนั้น กษัตริย์จึงจัดเป็นอัจฉริยบุคคลของบุคคลกลุ่มนั้น คือในประเทศนั้น ๆ อัจฉริยะนี่ แปลว่าอัศจรรย์ เป็นผู้มีบุญเป็นอัศจรรย์ เขายกให้ท่านเป็นหัวหน้า รนี่พระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตรละมุนละไมเป็นกรณีพิเศษ เท่าที่อาตมาเห็นมา คือเคยเห็นชาวบ้านนะ สำหรับพระองค์นั้นเป็นปกติ อาตมาดูภาพถ่าย ภาพยนตร์บ้าง ภาพถ่ายทางจอโทรทัศน์บ้าง ก็ชอบดูภาพที่พระองค์เสด็จไปยับสถานที่ต่าง ๆ แต่ภาพอื่นไม่ชอบดู ภาพยนตร์กอดกันบ้างจูบกันบ้างนี่ไม่ชอบดู จะนึกว่าดูแล้วแสลงใจก็เปล่า มันเบื่อ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่บวชอยู่นานก็เพราะเบื่อเรื่องนี้ เบื่อเต็มที เบื่อบอกไม่ถูก<o:p></o:p>
    ตอนนี้พระองค์ทรงปรารภกับอาตมาเป็นวาระแรก อาตมาต้องขออภัยบรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะว่าพระองค์ทรงมีพระราชปรารภ พระสุรเสียงที่ตรัสออกมาเบามาก แล้วก็ตรัสเร็วมาก อาตมาต้องใช้หูคอยระมัดระวังพระสุรเสียงของพระองค์ ไม่มีเวลาจะจำจำกระแสรับสั่งที่ตรัสกับอาตมา นี่ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท ทีนี้การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า อยากจะทราบนักว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสยังไงบ้าง เพราะเวลาที่ตรัส เจ้าหน้าที่จับเวลาทั้งหมดสองครั้งด้วยกัน ๔๕ นาที อาตมาขอพูดว่า ถ้าพูดตามแบบที่เราพูดกันก็ต้องเอา ๔ คูณ เพราะว่าพระองค์ตรัสเร็ว ต้องแข่งกับเวลา
    <o:p></o:p>
    อาตมาจำได้ว่าพระราชดำรัสที่ตรัสมาครั้งแรก วาระแรก เห็นจะปรารภเรื่องความสามัคคีภายในวัด ว่าพระองค์ทรงมีความปรารถนาอยากจะเห็นความสามัคคีของพระสงฆ์ ถ้าพระสงฆ์ไม่มีความสามัคคีกันแล้ว บรรดาประชาชนจะแตกเป็น ๒ ฝ่าย แล้วอีกประการหนึ่งในเขตนี้ก็มีผู้ก่อการร้าย หรืออีกนัยหนึ่ง เรียกว่าบุคคลผู้มีอุดมการณ์คนละฝ่ายกับเราที่จะยุแยงตะแคงแส่ใส่ให้คนในประเทศชาติแตกกัน มีอยู่มาก นี่ถ้าอาตมาจำไม่ผิด พระราชดำรัสตอนนี้คงเป็นอย่างนี้<o:p></o:p>
    ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะสงสัย ว่าที่วัดท่าซุงนี้มีการแตกสามัคคีกันด้วยเรื่องอะไร คำว่าแตกสามัคคีนี่ ถ้าจะถามอาตมา อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน สำหรับจิตใจของอาตมาเองนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่เคยคิดว่าจะแตกสามัคคีกับใคร ไม่ว่าใครทั้งหมด ถ้าอยู่ร่วมกันได้ด้วยธรรมวินัยแล้ว อาตมาอยู่ได้ทั้งนั้น เว้นไว้แต่ท่านหมู่นั้นและท่านคณะนั้นไม่เคารพในพระธรรมวินัย อันนี้อาตมาอยู่ร่วมด้วยไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าอาตมาบวชมาเพื่อปรารภพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แล้วอีกประการหนึ่งอาตมาชอบในการเสียสละ ไม่ชอบในการสะสม แล้วชอบสร้างสรรค์ไม่ชอบทำลาย ถ้าใครชอบทำลาย ชอบสะสม อาตมาอยู่ร่วมไม่ได้
    <o:p></o:p>
    เหตุที่ปรากฏขึ้นมาเป็นข่าวใหญ่ แม้ตอนใกล้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จก็มีหนังสือไปถึงกรมการศาสนา และมีคน ๔ คน ไปหาพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ ในทำนองว่าห้ามการยกช่อฟ้า ห้ามการจัดงาน ด้วยประการทั้งปวง แล้วเขาก็จะถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คัดค้านไม่ให้เสด็จ ในข้อกล่าวหาอาตมานั้น มีอยู่ ๑๐ ข้อ ด้วยกัน พลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ มาอ่านให้ฟัง อาตมาไม่ได้จำ เพราะไม่เป็นสาระ ถ้าเรื่องนั้นจะยกเป็นคดีก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าหนักใจ เพราะอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท คนเราถ้าบริสุทธิ์ใจเสียอย่างเดียว ความหนักใจไม่มีเลย การกล่าวหาประเภทที่หามูลความจริงไม่ได้นี่ ไม่มีอะไรเป็นเรื่อง อาตมาไม่เคยหนักใจ เพราะถูกมามากแล้ว ถ้ารู้ตัว่าบริสุทธิ์ (เพราะว่าบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ เราจะรู้ได้เฉพาะตัวเราเอง) นี่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องใหญ่
    <o:p></o:p>
    อาตมาเข้าใจว่า มีคนบางพวกคงจะพูดกัน โจษกันจนถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหนังสือนั้นเขาว่าคนในเมืองอุทัยนี้ ๙ ๐ เปอร์เซ็นต์ไม่เลื่อมใสในอาตมา นี่เป็นข้อสำคัญ อาตมาฟังแล้วไม่หนักใจ เลื่อมใสหรือไม่เลื่อมใสก็ไม่สำคัญดูผลงานกันก็แล้วกัน ท่านที่มีคนเลื่อมใสน่ะ ทำอะไรขึ้นมาได้บ้าง ส้วมยังสร้างไม่เสร็จเลย
    <o:p></o:p>
    ทีนี้ เหตุที่จะมีการแตกแยกกันภายใน อาตมาไม่ถือว่าเป็นการแตกแยก ถือว่าเป็นการแยกออกไป เพราะอาตมาไม่เกี่ยวกับการแยกไป ถ้าแยกไปเองแล้ว จะมาถือว่า อาตมาสร้างเรื่องให้แยก ทำให้แยก นี่มันไม่ถูก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เดือนกันยายน ปีนั้นอาตมาไปป่วยอยู่ที่อุทัยธานี ที่โรงพยาบาล มีข่าวบอกไปว่า ทางวัด มีพระกลุ่มหนึ่ง กับบุคคลกลุ่มหนึ่ง แยกออกไปทำบุญในสถานที่ใหม่ แยกตัวออกไป อาตมาฟังแล้วก็บอกว่าปล่อยเขาเถอะ จะไปทางไหนก็ช่าง เราอยู่กันตามพระธรรมวินัยก็แล้วกัน พอข่าวแยกตัวออกไปประมาณ ๒ วัน ก็ปรากฏว่ามีรถเรี่ยไรเข้าไปในตลาดอุทัยธานี ประกาศบอกว่าหลวงพ่อจะทำไอ้นั่น หลวงพ่อจะทำไอ้นี่ เขาไปเรี่ยไร ก็มีเจ้าหน้าที่วิ่งมาบอกว่า หลวงพ่อขอรับ มีรถจากวัดท่าซุงวิ่งเข้าไปในเมืองมาเรี่ยไร เขาบอกว่าหลวงพ่อจะทำอย่างนั้น จะสร้างอย่างนี้ ก็เลยบอกว่า อันนี้อาตมาบอกแล้วว่า การก่อสร้างนี่ไม่มีการเรี่ยไร จะใช้คนเดินไปเรี่ยไรก็ตาม เอารถไปเรี่ยไรก็ตาม ลงเรือไปก็ตาม แม้แต่แจกฎีกาเฉพาะอย่างก็ตาม ไม่มีการเรี่ยไร ให้บรรดาพุทธบริษัทที่จะมาทำ ทำด้วยความตั้งใจจริงเท่านั้น ฉะนั้นการเรี่ยไร ถ้าเกิดขึ้นละก็ ไม่ใช่เรื่องของอาตมา นี่อาตมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลจะใช้ใคร ก็ให้ท่านผู้นั้นไปดูว่า ที่ใช้คำว่าหลวงพ่อนั่น มีใครนั่งมาในนั้นบ้าง พวกนั้นก็วิ่งไปดูที่รถก็ปรากฏว่าไม่ใช่อาตมา (เขาเรียกกันว่าหลวงพ่อ) แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจกันว่าอาตมา แล้วต่อมาก็ปรากฏว่าคณะนั้นมีการปิดทางหลังวัด เรื่ยไรรถที่ผ่านไปผ่านมาอีก แล้วก็เรี่ยไรกันตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ จนกระทั่งถึงเวลานี้ ก็ไม่เห็นนะมีอะไรดีขึ้น ตั้งแต่แยกออกไปจนกระทั่งปัจจุบัน อาตมาสร้างไปประมาณ ๖
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ธันวาคม 2011
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บทที่ ๓<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ตอนนี้เป็นตอนที่สาม แต่ว่าพระราชปรารภเป็นตอนที่สอง สำหรับพระราชปรารภตอนที่สองนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปรารภเรื่องของพระศาสนา คือพระองค์ทรงปรารภว่า เรื่องของพระสงฆ์นี่มีความสำคัญ แต่ทว่าพระองค์ก็ไม่ได้ตำหนิว่า พระสงฆ์ในปัจจุบันไม่มีความสำคัญ หรือว่าเลวทรามยังไง พระองค์ไม่ได้ทรงตำหนิ เป็นแต่เพียงพระองค์ทรงมีพระประสงค์ว่า อยากจะให้กฎหมายช่วยเหลือพระวินัย เพราะว่าสถาบันของศาสนา เป็นสถาบันที่ยึดเหนี่ยวกำลังใจคน คนไทยเราทั้งหลายส่วนมาก ไทยหรือไม่ใช่ไทย คือท่านทั้งหลายที่มาอยู่ในประเทศไทย เช่น ชาวจีน หรือว่าชาติอื่นก็ตาม เช่นมีผรั่งหลายคนเหมือนกันที่มาปรารภกับอาตมาเองว่า มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา แล้วก็มีหลายท่านถึงกับมารับหนังสือขอวัตรปฏิบัติทางพระศาสนาไปเพื่อศึกษา แล้วก็วางศาสนาเดิม เข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติในด้านของพุทธศาสนา แต่ว่าท่านพวกนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท น่าสรรเสริยอย่างยิ่ง ท่านเอาจริงกันด้วยประการทั้งปวง มีหลายรายบอกว่าการเจริญพระกรรมฐานในพระพุทธศาสนานี่มีเหตุมีผลดีมาก แล้วก็มีผลเป็นที่พอใจ นี่เรื่องศาสนาจึงเป็นจุดหนึ่ง คือเป็นศูนย์รวมใจของบรรดาประชาชนหลายชาติหลายภาษา<o:p></o:p>
    การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภ เรื่องของพระศาสนา คือทรงปรารภว่า ถ้าทางศาสนามีความมั่นคง อาตมาพูดนี่ อาจจะมีความหมายยาวกว่านี่นิดหนึ่งก็ได้ เพราะว่าพระองค์ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงเบา ถ้าพลาดเป้าหมายไปบ้างจากคำพูดแล้ว ก็ต้องขอพระราชทานอภัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและขออภัยต่อญาติโยมพุทธบริษัทด้วย
    <o:p></o:p>
    กล่าวถึงการพูด ก็ต้องตีความหมายออกจะยึดถือเอาถ้อยคำ ถือพระสุรเสียงของพระองค์ที่มีพระราชดำรัสมา เอามาลงในหนังสือทุกคำไม่ได้ ต้องถือเอาความหมายเป็นสำคัญ
    <o:p></o:p>
    พระศาสนา เป็นที่ยึดเหนี่ยวใจคน พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์อยากจะให้กฎหมายสนับสนุนพระวินัย เพราะว่าถ้าพระปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยดีแล้ว จิตใจของบุคคลที่ยึดถือ ยึดเหนี่ยวคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วเป็นที่ประทับใจ ก็จะพากันมีความกลมเกลียว ประเทศชาติจะมีความสุข เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสมาอย่างนี้ อาตมาชื่นใจอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นความเห็นที่ตรงกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาเวลานี้ที่ชาวบ้านบางคนเขาบอกว่า
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บทที่ ๔<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนที่ ๔ แต่พระราชปรารภ ก็ควรจะกล่าวว่าเป็นตอนที่ ๓ หรือเป็นตอนที่ ๔ ก็ได้ เพราะว่าตอนที่ ๓ พูดมาเป็น ๒ ตอนด้วยกัน
    <o:p></o:p>
    สำหรับตอนที่ ๔ นี้ พระองค์มีพระราชปรารภว่าพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมากทั้งนี้ก็เพราะว่าพระองค์เอง ใคร ๆ ก็ทราบ บรรดาท่านพุทธบริษัท พระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตรห่วงใยพสกนิกรของพระองค์มาก การประทับอยู่ในกรุงเทพ ฯ ก็เต็มไปด้วยหมายกำหนดการ และการออกไปข้างนอก พระองค์ก็ไม่ได้ทรงพักผ่อน ที่พระองค์ทรงแปรพระราชฐานครั้งใด ก็ปรากฏตามข่าวว่าไม่ได้ทรงพักผ่อนอยู่กับที่ ความจริงอยู่ในกรุงเทพ ฯ ยังจะดีเสียกว่า อาตมาว่าเหนื่อยน้อยกว่า เพราะการที่พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานทุกครั้ง ก็เสด็จไปเยี่ยมที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ไปเยี่ยมชาวเขาชาวบ้านบ้าง อาตมามองดูภาพตามโทรทัศน์ในบางครั้ง (ไม่ได้ดูกับเขาเสมอ เพราะไม่ได้มีไว้ที่วัด) หรือดูตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เห็นพระองค์เสด็จตามยอดเขา ตามดอยต่าง ๆ ที่ชาวเขาอยู่ รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยมาก มอง ๆ ดูแล้วคิดว่าเวลานี้ถ้าใครเขาจะตั้งอาตมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วจะให้ปฏิบัติอย่างพระองค์ อาตมาเห็นจะไม่เอาแน่ จ้างให้เดือนสักพันล้านก็ไม่เอา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าทำไม่ไหวแน่ ร่างกายก็ไม่ไหว
    <o:p></o:p>
    เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า มีผู้มีความรู้บอกว่าพระองค์จะต้องทรงเหน็ดเหนื่อยมาก คนที่เขามีความรู้ทางหมอดู แต่พระองค์ไม่ได้ลงท้ายว่าหมอดู ว่าคนที่เขามีความรู้ ท่านทิ้งไว้ อาจจะเป็นพวกโหรหรือใครก็ได้ อาตมาเองสงสัยว่าพระองค์เองนั่นแหละทรงมีความรู้ในด้านนี้ พระองค์ตรัสว่า เขาบอกว่าพระองค์จะไม่มีโอกาสจะหายความเหน็ดเหนื่อยเลย ทรงปรารภเรื่องนี้ อาตมาก็ถวายพระพรว่า เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดาของพระมหากษัตริย์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร บรรดาพสกนิกรมีความทุกข์ร้อน ทุกข์ยากอยู่ที่ไหนก็ต้องมีความเหน็ดเหนื่อย ต้องไปเยี่ยมไปเยือนไปให้ความสุขเขาอย่างน้อยไปให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ แต่ความจริง การเยี่ยมเยียนราษฎร การเข้าถึงประชาชน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ และสมเด็จพระราชชนนี เรื่องนี้เป็นที่ประทับใจของบรรดาประชากรทั้งหลายโดยทั่วไป เราปฏิเสธกันไม่ได้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเห็นเป็นปกติ แล้วพระองค์จะเสด็จไปที่ไหนก็ตาม พระองค์มีแต่พระราชทาน พระองค์ไม่ได้ทรงขอเขานี่ พระราชจริยาวัตรแบบนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าหากว่าข้าราชการของพระองค์ (อาตมาหมายถึงข้าราชการทุกคน ทุกแผนก) ถ้าปฏิบัติเอาอย่างพระองค์บ้าง ประเทศชาติจะมีความสุข การที่จะมีผู้ก่อการร้ายหาไม่ได้แน่ เพราะเราจะไปทางไหน เราก็จะเจอะแต่ผู้ก่อการดี จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อข้าราชการ แล้วคนทั้งหมดนั้นก็จะมีความจงรักภักดีเป็นปึกแผ่นอยู่ในแผ่นดินไทย เมืองไทย ถึงแม้ว่า จะเป็นเมืองเล็ก เรามีกำลังน้อยบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเรารวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นก้อน เต็มไปด้วยความสามัคคีประเทศถึงแม้จะใหญ่เข้ามาโจมตี ก็รู้สึกว่าจะยาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความสามัคคีนี่มีกำลังมาก ยากที่คนจะทำลายได้
    <o:p></o:p>
    ดูตัวอย่างในนิทานสุภาษิต ครูสอนเด็กให้เอาไม้เล็ก ๆ มาทีละอันหักออกทิ้งได้ แล้วให้นำมาเป็นกลุ่มใหญ่รวมกันเข้าแล้วก็หักไม่ออก ในที่สุดหักไม่ได้ ทำลายไม่ได้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด พระราชจริยาวัตรของพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถก็ดี ของสมเด็จพระราชชนนีก็ดี พระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอก็ดี ที่แสดงออกต่อพสกนิกรของพระองค์ ถ้าบรรดาข้าราชการทั้งหมดกำหนดจิตจับเอาพระองค์ไว้เป็นแบบเป็นแผน ปฏิบัติตามนั้นเหมือนกันทุกคน ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกคนลองนั่งหลับตานึกดูทีรึว่า บ้านเราจะมีความทุกข์หรือมีความสุข เพราะว่าข้าราชการทุกคนเป็นผู้ได้ตามแบบฉบับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระราชชนนีเสด็จไปที่ไหน พระองค์ก็เป็นผู้ให้ แล้วท่านทั้งหลายลองคิดดูทีหรือว่า อะไรมันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เวลานี้คนที่จับเป็นกลุ่มเป็นก้อน เขาหาทางโจมตีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ตามข่าว เขาหาว่า สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถมีความสำรวยมาก ชอบแต่งตัวสวยเป็นนางแบบ นี่เขาหาทางโจมตีแบบนี้ แต่ความจริงสมเด็จพระนางเจ้า น พระบรมราชินีนาถท่านเป็นพระราชินี ถ้าจะเอาพระองค์เป็นแบบฉบับ อาตมาเห็นว่าสมควรอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะอะไร พระองค์เสด็จทุกจุด
    <o:p></o:p>
    ในสมัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์แทนพระองค์ พระองค์ทรงมีพระราชปฏิภาณ เฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ มีกระแสพระราชดำรัสตรัสออกมาซึ้งใจคน พระราชเสาวนีย์ของพระองค์ที่ตรัสแต่ละครั้ง จับใจคนมาก แล้วถึงยามเวลาที่ราษฎรก็ตามหรือตำรวจทหารเกิดความทุกข์ยาก พระองค์เสด็จถึงที่ทันที แล้วพระราชจริยาวัตรของพระองค์นี้ก็มีแต่ความอ่อนช้อยนิ่มนวล ไม่เห็นพระองค์ทรงตั้งพระองค์ ว่าฉันเป็นพระราชินีโตกว่าคนทั้งประเทศ ตรงกันข้าม เข้าไปในหมู่ประชาชนคนแก่คนเฒ่า สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงนั่งลง คุยกับเขา แสดงพระอาการอ่อนช้อยละมุนละไม เป็นที่ประทับใจของบรรดาประชากรทั้งหลาย จะไปทางไหน พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ยิ้มระรื่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้จิตใจของบรรดาประชากรทั้งหลายมีความชุ่มชื่น พระราชจริยาวัตรแบบนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าคนทั้งประเทศจะเอาเป็นแบบที่ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าโจมตีพระองค์ว่าเป็นนางแบบ ที่นี้คนพวกนั้น บังเอิญ เราก็ดีท่านก็ดีทุกคนในประเทศชาติถือเอาท่านเป็นแบบทั้งหมด เอาแบบกันทุกคนทั้งประเทศไทย ข้าราชการก็ดี บรรดาประชาชนทั้งหลายก็ดี เอาสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถเป็นแบบฉบับไปที่ไหนเราให้ ให้ทั้งจริยาที่มีความอ่อนน้อม ถ้าวัตถุอะไรที่พอจะสงเคราะห์กันได้ เราก็ให้กัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ให้ความยิ้มระรื่นชื่นใจตลอดเวลา ถ้าคนไทยทั้งประเทศต่างก็ให้สังคหวัตถุซึ่งกันและกัน เราขาดไฟเขาให้ไฟ เราขาดน้ำเขาให้น้ำ เราขาดผ้าผ่อนท่อนสไบเขาให้ผ้า ถึงเก่าหน่อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย อย่างนี้ทุกคนก็จะมีแต่ความชุ่มชื่นแล้วถ้าทุกคนเห็นหน้ากัน ต่างคนต่างยิ้มให้กันและกันด้วยความชุ่มชื่น อารมณ์ของคนทั้งประเทศจะเป็นยังไงบรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาคิดว่าทุกคนจะมีแต่จิตใจสบาย มีแต่ความชื่นใจ มีแต่ความสุข ซึ่งกันข้ามกับที่เราจะประกาศตัวเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน แตกแยกซึ่งกันและกัน นี่เราจะเป็นเหยื่อของประเทศอื่นเขา นี่พูดถึงประชาชนคนทั่วไปรวมบวกถึงข้าราชการ คราวนี้มาข้าราชการ ข้าราชบริพารของพระองค์ ที่พูดนี่ควรจะบวกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าไปด้วย จะได้ไม่ต้องแยกพูด เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ค่อยจะทรงแย้มพระโอษฐ์ แต่พระราชจริยาวัตรเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี มีความหวังดีต่อประชาชน นี่พระองค์ทรงมีความวิตกกังวลมากถึงประเทศชาติ (แล้วจะพูดต่อไปข้างหน้า) ถ้าหากว่าข้าราชการของพระองค์ปฏิบัติตามแบบนั้นบ้าง เป็นผู้เสียสละความจริงเงินดาวเงินเดือนของเราก็มีแล้ว เงินเดือนทุกเดือน บรรดาท่าพุทธบริษัท เขาให้ใช้พอเดือน แต่ที่ไม่พอก็เพราะไม่รู้จักประมาณในการใช้ ทะเยอทะยานมากไป เลยเมื่อมันไม่พอใช้ก็ต้องหาทางอื่นที่มันไม่ตรงกับระเบียบข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการแต่ละเหล่า ถ้าทุกคนอยู่ในระเบียบ อยู่ในวินัย การที่เราจะสอบเข้ามาได้เขามีระเบียบมีวินัยไว้ให้สอบให้ศึกษา ถ้าเราปฏิบัติตามนั้นทุกคน ข้าราชการทุกคนไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสุขเพราะมีรายได้แน่นอน ถึงเดือนก็ได้ ทั้งนี้ก็หมายความว่าเราต้องตั้งกำลังใจตัดความละโมบ โลภในด้านวัตถุเสีย และทำตัวให้เหมาะสมกับระเบียบข้าราชการ นี่ทุกคนถ้าทำได้ตามแบบนี้รับรองว่าไม่มีการแตกแยก ไม่มีผู้ก่อการร้าย แต่ข่าวทั้งหลายที่ปรากฏที่บรรดาท่านพุทธบริษัท แบบที่อาตมาพูดมาในตอนต้น นี่อาตมาเป็นพระ กำลังจะเตรียมการต้อนรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมีคนประเภทนั้นมาแสดงออกแบบนั้น มีคนบางกลุ่มบอกว่า ถ้าเราไปสนับสนุนเต็มที่ ถ้าเราไม่ทำอะไรบ้าง มหาวีระก็จะได้หน้าบานแต่ผู้เดียว เป็นอย่างนั้นไปก็เป็นได้ แต่ท่านผู้พูดนั้นจะเป็นใคร อาตมาก็ไม่ทราบเพราะมันเป็นข่าว แต่ข่าวที่ออกมาก็บังเอิญ คนในที่นั้นเขามีความเคารพในอาตมา ก่อนที่เขาจะพูดกัน เขาถามว่าในที่ประชุมนี้ใครเป็นลูกศิษย์พระมหาวีระบ้าง ทุกคนก็เงียบอยากจะทราบว่าเขาจะพูดอะไรกัน เป็นอันว่าต้องการหน้าต้องการตา ทำแบบนี้ไม่ถูกทุกอย่างที่เราทำกันขึ้นมาควรจะสามัคคี เทิดทูน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดูตัวอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระราชชนนี ถ้าทุกคนทำอย่างนี้บ้านเมืองก็จะเต็มไปด้วยความสุข
    <o:p></o:p>
    อาตมาเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถแล้วมีความประทับใจมาก อย่างนี้นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทพสกนิกรของพระองค์ นั่งรอรับการเสด็จตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน แม้แดดจะออก ฝนจะตก บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นเขาไม่วิตกกังวล มีความประสงค์อยู่อย่างเดียว คือได้เฝ้าใกล้ ๆ พระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แล้วกัน นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่เป็นประชาชนพลเมืองก็ดี หรือเป็นข้าราชการก็ดี อาตมาขอความคิดเห็นไว้ด้วย พระองค์ตรัสว่า พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก และคนที่มีความรู้ในด้านหมอดู (ตอนนี้อาตมาต่อเอานิดหนึ่ง แต่อาตมาสงสัยว่าพระองค์เองน่ะ ทรงมีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ แล้วเก่งเสียด้วย) อาตมาจึงได้ถวายพระพรตอบว่า ตามธรรมดาพระมหากษัตริย์ที่ดีก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ตอนนี้ย่อเข้าไว้ แต่ว่าข้อนี้พระองค์ตรัสซ้ำเป็นสองวาระ แต่ว่าวาระหลังอาตมาจะพูดใหม่
    <o:p></o:p>
    ต่อแต่นั้นไป ถ้าอาตมาจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าพระองค์จะทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนาง ฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งเห็นเสด็จพระราชดำเนินไปมาอยู่ในพระอุโบสถ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถก็เสด็จมาที่อาตมา ถือซองมา อาตมาก็คิดว่านี่คงเป็นซองใบปวารณา แต่ทว่าหมายกำหนดการไม่ได้มีไว้ก่อน อาตมาก็ตกใจว่านี่ทำยังไง จะเอาอะไรไปรับพระองค์ในการที่พระองค์จะทรงประเคนใบปวารณา เมื่อพระองค์เสด็จมาประทับยืนข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หมายกำหนดการเขาไม่มีนี่ ถ้ามีก็ต้องมีพานสำหรับรับ เพราะว่านี่ไม่มี อาตมาจึงได้จับผ้าไตรทั้งสองข้าง หวังจะให้พระองค์ทรงวางลงไปบนนั้น แต่ว่าดูอาการของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ รู้สึกว่าพระองค์ยังสงสัย ไม่รู้ว่าจะวางใบปวารณาลงไปที่ไหน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงชี้ลงไปที่ไตรว่า นี่วางบนผ้าไตรนี่ แล้วสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถก็ทรงวางใบปวารณาไว้บนผ้าไตรแล้วก็ทรงกราบลงไปกับอาสนสงฆ์ ตอนนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า วันนี้เขาทำบุญวันเกิดของเขา อาตมาจึงได้ถวายพระพรถามว่าประสูติวันนี้หรือพระองค์ก็ตรัสว่าไม่ใช่ เขาเกิดวันที่ ๑๒ แต่ทว่าเขาถือว่าวันนี้เป็นวันมหามงคลใหญ่ เขาจึงได้ทำบุญวันนี้ อาตมาก็ไม่ทราบว่าจตุปัจจัยที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถถวายนั้นมีจำนวนเท่าไร มาทราบตอนหลังว่ามีจำนวนถึงสามหมื่นห้าพันบาท ความจริงเงินจำนวนนี้ ต้องถือว่าเป็นเงินส่วนตัวเสียกระมัง อาตมาถือว่าเป็นเงินส่วนตัว เพราะไม่ได้รับสั่งว่าให้ทำอะไร แต่ว่าเวลาที่เขาทำบัญชีกัน ก็เลยบอกให้ลงบัญชีสงฆ์ไป เพื่อว่าพระองค์จะทรงได้รับผลสองอย่าง อันดับแรกเป็นการสงเคราะห์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ประการที่สอง อาตมามีเจตนาสร้างวิหารทาน สร้างวัด พระองค์ก็มีพระประสงค์ ๒ ประการ คือ ได้ทั้งการสงเคราะห์ ได้ทั้งการสร้างวัดวาอาราม จัดว่าเป็นมหากุศลใหญ่ อาตมามองดูพระราชจริยาวัตรของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ มีความละมุนละไมอ่อนช้อย ความจริงตอนที่สนทนากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือว่าตอนที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จเข้ามาถวายของ เห็นพระจริยาอย่างนั้นของพระองค์เข้า บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมารู้สึกกลัวพระเจ้าแผ่นดินและกลัวสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ กลัวตรงไหนล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท หากว่าท่านจะถามว่า กลัวในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์หรือ อาตมาต้องตอบว่า อาตมาไม่เคยกลัวเลยเรื่องนี้ พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้กับสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถองค์นี้กับสมเด็จพระราชชนนีไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ในการที่พระองค์จะให้พระราชอำนาจข่มเหงประชาชน อาตมาไม่เคยนึกกลัว มีแต่ความปลื้มใจที่ได้เห็นพระองค์ใกล้ ๆ ได้คิดไว้เสมอว่าอำนาจวาสนาบารมีอย่างอาตมา ไม่มีโอกาสที่จะพบปะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชชินีนาถ แม้ว่าจะอยู่ห่างไกล ๑ กิโลเมตรก็คงจะไม่มีโอกาสแต่วันที่ ๑๐ สิงหาคมนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่อยู่ห่างกัน ๑ กิโลเมตร อย่างห่างกันแค่ ๑ หัตถบาสเท่านั้น ตอนนี้อาตมาจะไปกลัวทำไม ปลื้มใจ มีปีติเป็นล้นพ้น เกือบจะพูดอะไรไม่ถูก เพราะความปลื้มใจ แต่ที่กล่าวว่ากลัวก็กลัวอยู่จุดเดียว กลัวมาก ที่กลัวตอนนี้ก็คือกลัวดีไม่พอ เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถก็ดี แสดงพระราชจริยวัตรออกมาดีเหลือหลาย เกินกว่าที่อาตมาจะคิด ใครจะไปคิดกันได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจะดีแบบนั้น ทรงมีพระราชจริยาวัตรละมุนละไมอ่อนช้อย ไม่มีการแสดงถือพระองค์ว่าเป็นอะไรกันเลย แสดงถึงว่าพระองค์ทรงเป็นพสกนิกรเป็นทายกหรืออุบาสกอุบาสิกาชั้นดีเท่านั้น นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อาตมากลัวดี กลัวว่าตัวเองจะดีไม่พอ ถ้าหากดีไม่พอแล้ว ทั้งสองพระองค์มากราบไหว้ นี่ความจัญไรมันเกิด (กับอาตมา) แน่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็พูดไว้แต่ตอนต้นแล้วนี่ว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า คนที่จะเป็นกษัตริย์ได้นี่ต้องมีบุญญาธิการเป็นกรณีพิเศษ นี่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสไว้อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้
    <o:p></o:p>
    เมื่อสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงถวายของ ประเคนของแล้วกราบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสว่า วันนี้เขาทำบุญวันเกิดของเขา ที่อาตมาถวายพระพรถามว่าประสูติวันนี้หรือ พระองค์ก็ทรงตอบว่าเกิดวันที่ ๑๒ แต่เขาถือว่าวันนี้เป็นวันมหามงคลใหญ่ เขาจึงทำบุญเสียวันนี้ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถคงจะไม่มีโอกาสตรัสอะไร เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสแทน ต่อไปพระองค์จึงเสด็จออกไปข้างนอก ไปประทับที่พระเก้าอี้ แล้วตอนนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปรารภถึงความเป็นไปของบ้านเมือง บรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นไหมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความห่วงใยพสกนิกรเพียงใด ทรงมีพระกระแสพระราชดำรัสปรารภว่า คนที่เขามีความรู้ (ก็พวกโหรนั่นแหละ) เขาว่าสิงหา กันยา ตุลา สามเดือนนี่ เขากล่าวกันว่าบ้านเมืองเราจะตกอยู่ในเขตยุคเข็ญ ข้อนี้จะเป็นความจริงเพียงใด คงจะไม่ได้ถามแบบนี้ รับสั่งถามว่า สิงหา กันยา ตุลานี้บ้านเมืองจะเกิดยุคเข็ญ แล้วจะทรงลงท้ายว่ายังไง อาตมาฟังไม่ถนัด อาตมาก็ถวายพระพรไปว่า อาตมาก็มีความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันว่า บ้านเมืองของเราจะมีความยุคเข็ญ แต่ทว่าไม่เป็นไร เพราะบ้านเมืองของเราจะเป็นแต่เพียงไข้หวัดเท่านั้น พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศ อาตมานี่เป็นนักเทศน์สัมผัสกับคนมามาก จะเห็นใครที่จะมีความปรีชาสามารถ เฉลียวฉลาด มีปฏิภาณว่องไวอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังไม่เคยเห็นเลย พระองค์ตรัสถามต่อไปว่า ไข้หวัดน่ะมันมีหลายระดับนะขอรับ อาตมาก็รู้ท่า จึงถวายพระพรว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา พระองค์จึงตรัสถามว่าฉีดยาหายไหมขอรับ อาตมาจึงได้ถวายพระพรว่า ฉีดยาไม่หาย ต้องผ่าตัด ถ้าจำไม่ผิด พระองค์อาจจะทรงถามว่า ผ่าตัดเล็กหรือผ่าตัดใหญ่ อาตมาจำได้ว่าอาตมาถวายพระพรว่าผ่าตัดเล็ก แต่พระองค์จะทรงถามหรือเปล่า อันนี้ลืมไป บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่จะเห็นว่าพระราชจริยาวัตรของพระองค์นั้น มีความห่วงใยในพสกนิกรเป็นกรณีพิเศษ ความจริงถ้าหากพระองค์จะทรงเอาความสุขส่วนพระองค์จริง ๆ อย่างที่คนบางคนเขาว่า ว่าพระเจ้าแผ่นดินนี้มีประโยชน์มาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระองค์ไม่เคยทรงขอขึ้นเงินเดือน พระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระราชทรัพย์ที่รับมาจากพระราชมรดกก็มาก ความจริงมากจริง ๆ ถ้าพูดกันด้วยความสัตย์จริง แต่เวลานี้พระองค์จนกว่าคนหลาย ๆ คนที่เข้ามาอยู่ในขอบเขตของการเมืองชั่วประเดี๋ยวเดียว ความจริงพวกนี้บางคน ทุนทรัพย์เดิมอาตมาก็รู้จัก ว่าไม่ได้มีอะไรมากแต่ว่าต่อมา ภายหลังกลับมีเงินเป็นพันล้าน เป็นหมื่นล้าน นี่เขาได้มาจากไหนกัน ถ้าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงทำแบบนั้นบ้างก็คงจะทรงรวยมากไปกว่านี้ แต่นี่มีแต่ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้เท่านั้น อีกประการหนึ่ง ถ้าพระองค์ทรงหวังความสุขส่วนพระองค์ พระองค์ก็ทรงทำได้ไม่ยาก ถ้ามันลำบาก ประชากรเขาไม่เห็นด้วย ก็ไม่ยากอะไร สละราชสมบัติกลับไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ก็จะมีความสุข แต่นี่พระองค์ไม่อย่างนั้น เคยตรัส (อาตมาเคยฟังวิทยุและอ่านหนังสือพิมพ์) ว่าพระองค์จะไม่หนีไปไหน จะอยู่กับประชาชน นี่ซีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน น่าคิด อาตมาก็เลยถวายพระพรต่อไปว่า บ้านเมืองของเราไม่เป็นไร แล้วดูเหมือนว่าพระองค์จะตรัสว่า จะมีความยุ่งยากไปถึง พ.ศ. ๒๕๑๙ อันนี้อาตมาจำไม่ได้ถนัด อาตมาก็ได้ถวายพระพร พ.ศ. ๒๕๑๙ ปลายปี ก็ไม่ควรจะคิดว่าอยู่ในเกณฑ์สงบเพราะจะสงบก็อยู่ในเขตปลายปี มีระยะเดือน ๒ เดือน ไม่มีประโยชน์นัก ควรจะคิดกันว่าปี พ.ศ. ๒๕๒๐ จะเข้าอยู่ในจุดสงบ เพราะตอนนั้นบ้านเมืองของเราจะเข้าอยู่ในเกณฑ์ดี มีความรุ่งเรือง จะมีความเจริญมาก พระองค์ตรัสถามว่า เหมือนคนไหมขอรับ คนเขาบอกว่าถ้าชะตาดีมากแล้วจะตาย เพราะชะตามันล้น บ้านเมืองของเราจะเป็นอย่างนั้นไหม ข้อนี้อาตมาก็ถวายพระพรว่า ไม่ถึงกับอย่างนั้น เพราะว่าเวลานี้บ้านเมืองของเรามันไม่ไหวแล้วมันทรุดหนัก ทรุดจรนกระทั่งถึงนั่ง นั่งแล้วก็นอน ถึงจะดีกว่านี้ขึ้นมาอีก ๑๐๐ เท่า ก็ยังไม่เรียกว่าดีสูงสุด ไม่ชื่อว่าชะตาเจริญสูงสุด ไม่ถึงกับสลายตัว<o:p></o:p>
    เป็นอันว่า เมื่อตรัสถึงตอนนี้ (ใช่หรือไม่ใช่ อาตมาจำไม่ได้) ปรากฏว่าสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จมากราบทูลให้ทรงทราบ (ได้ทราบในภายหลังว่ามีเจ้าหน้าที่ถวายหนังสือทูลเกล้า ฯ เข้าไปว่า ตรัสนานเกินไป) เวลานั้น นาวาตรีประชาจับเวลาไว้ได้ ๓๐ นาที ตอนนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จไปยังที่ประทับ พระถวายพระพร<o:p></o:p>
    การถวายพระพรนี่ดีจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท มีทั้งพระภาคเหนือ มีทั้งพระภาคใต้ มีทั้งพระภาคกลาง แล้วก็ไม่มีการซักซ้อมกัน ล่อกันอีนุงตุงนังไปหมด ข้างหน้าก็เสียงเบา อาตมาฟังไม่ได้ยิน อยู่ข้างหลังก็หลวงน้าอำพัน ข้างหน้าก็ไม่ได้ยิน ข้างหลังก็โจ้กันตามสบาย ข้างหน้าว่าช้า ข้างหลังว่าไว สนุกดีเหลือเกิน ถวายพระพรไปได้ครึ่งหนึ่ง ท่านเจ้าคุณธรรมวราลังการ เจ้าอาวาสวัดบุปผารามเป็นพระสุปฏิปันโนได้ถวายอดิเรก พอถวายอดิเรกเสร็จ พระก็ถวายพระพรอีกวาระหนึ่ง ก็เป็นอันว่าจบ เมื่อจบถวายพระพรแล้วก็จบตอนนี้กันเสียทีดีไหม บรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนหน้าค่อย่ากันใหม่ เพราะว่าเรื่องราวที่กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่ อาตมามีหลักฐานอ้างอิงของการพยากรณ์ของท่านที่ทรงคุณธรรมพิเศษ สำหรับตอนนี้ก็ยุติกันไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่านสวัสดี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บทที่ ๕
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย พระราชปรารภตอนนี้เป็นตอนที่ ๕ ของหนังสือ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรบรับพรจากพระสงฆ์แล้ว ตอนนี้ก็เป็นตอนที่อาตมาจะต้องถวายของที่ระลึกแด่พระองค์ ความจริงพระสุปฏิปันโนทุก ๆ ท่าน ต่างท่านต่างก็ถวายของที่ระลึกแด่พระองค์ทุก ๆ องค์ผ่านมาแล้ว ในขณะที่พระองค์ทรงประเคนไตรตอนของอาตมา นี่เป็นตอนสุดท้าย หมายกำหนดการเขากำหนดไว้อย่างนั้น
    <o:p></o:p>
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถพร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ทรงรับพรจากพระสงฆ์แล้ว พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหมก็ให้สัญญาณกับอาตมาตามที่นัดหมายกันไว้ อาตมาก็ไปยืนที่พรมตรงของถวาย แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จพระราชดำเนินมาประทับยืนอยู่ข้างหน้าที่อาตมายืนอยู่ ในตอนแรกอาตมาเห็นของเขาจัดวางไว้ ใส่พาน มีกล่องยาว ๆ ๒ กล่อง กล่องชุดนี้อาตมาไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาจัดอะไรไว้ให้ ทั้งนี้ เพราะว่าคณะศิษยานุศิษย์มีคุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยาเจ้ากรมสื่อสาร ทอ.กับ พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสาร ทอ. ผู้เป็นสามี พร้อมไปด้วยคุณหญิง สุวรรณาภา สังขดุลย์ ภรรยาท่าน พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ แล้วก็บรรดาคณะศิษย์ร่วมกันทั้งหมด จัดของถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาเป็นคนจัดกัน อาตมาเป็นคนถวาย แล้วกาลเวลาก็รีบด่วน อาตมาเลยไม่ทราบว่าของในนั้นเป็นอะไรบ้าง บังเอิญก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาถึง อาตมาเดินไปหยิบของอีกพานหนึ่งซึ่งเป็นกล่องสี่เหลี่ยม สงสัยว่าในนี้มีอะไร ก็เปิดขึ้นมาดูก่อน ก็ปรากฏว่าของสิ่งนั้นถือว่าเป็นหัวใจของอาตมาเลยทีเดียว อาตมาไม่บอกว่า ของสิ่งนี้เป็นอะไร เพราะถือว่าของสิ่งนั้นเป็นความสำคัญของอาตมาที่มีความคิดอยู่ในใจ เพราะว่าเป็นของสมัย.......โน่น......สุโขทัย ใช้คำว่า
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บทที่ ๖<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัท ตอนนี้เป็นตอนที่ ๖ ก็คงต้องขอต่อจากตอนที่ ๕ เพราะว่าตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามว่า
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บทที่ ๗

    ตอนนี้เป็นตอนที่ ๗ ของหนังสือ ก็จะว่าถึงหนังสือฉบับที่หลวงพ่อปานนำมาให้อ่าน มองดูแล้วก็ปรากฏว่าหนังสือฉบับนั้น จะมีอายุสัก ๓๐ ปีเศษ ๆ แล้วก็ตัวหนังสืออ่านง่าย เป็นภาษาปัจจุบัน ใจความของหนังสือฉบับนั้นมีอยู่ว่า เราขอพยากรณ์กรุงเทพมหานครที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ท่านว่ายังงั้น แล้วหนังสือฉบับนั้นก็ลงท้ายไว้ว่า
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บทที่ ๘<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนที่ ๘ ก็ขอต่อเรื่องราวของรัชกาลที่ ๗
    <o:p></o:p>
    รัชกาลที่ ๗ ท่านพยากรณ์ว่านั่งทนทุกข์ จะเห็นว่าเมื่อพระองค์ทรงเถลิงราชสมบัติประเทศชาติตกอยู่ในความยุคเข็ญ และไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศไทย ทั่วโลกด้วยกัน ต้องดุลข้าราชการออกจากราชการเพราะไม่มีเงินเดือนจ่ายพอ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพื่อให้บรรดาประชาชนทั้งหลายจะได้มีเงินกินเงินใช้กัน แล้วอีกประการหนึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปตาย ที่อาตมากล่าวว่าเป็นประชาธิปตายก็เพราะว่า จนกระทั่งป่านนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๗๕ นี่ก็มา พ.ศ.๒๕๑๘ ใช้เวลามากี่ปีแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ประชาธิปไตยยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วการเปลี่ยนผลัดกันขึ้น
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บทที่ ๙

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย หนังสือตอนนี้เป็นตอนที่ ๙ แล้วก็ตอนที่ ๙ นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก่อนที่จะพูดถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาตมาก็ต้องขอแจ้งแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ว่าการพูดของอาตมาคราวนี้ อาตมาเสี่ยวชีวิต แต่ว่าชีวิตของอาตมานี้พร้อมแล้วกับการเสี่ยง เพราะเวลานี้ทราบได้ดีว่าภัยอันตรายที่จะเกิดกับอาตมามีรอบด้าน ทั้งใกล้ตัวและไกลตัว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอาตมาพูดไปหรือทำไปในกรณีที่ปฏิบัติมาแล้ว มันเป็นปฏิปักษ์ของฝ่ายตรงกันข้าม คำว่าฝ่ายตรงกันข้ามในที่นี้ อาตมาไม่ได้หมายถึงคอมมิวนิสต์ หรือว่าต่างประเทศ แต่ประการใด อาตมาหมายถึงว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับบุคคลผู้โลภในลาภ หรือว่าเห็นว่าอาตมาก้าวหน้าเกินไป เกินหน้าเกินตาของบุคคล ๆ นั้น ที่อาตมากล่าวว่าอันตรายมีมาก ก็เพราะรู้ว่าแผนการของบุคคลหลายเหล่า ที่กำลังวางแผนการณ์ไว้นานแล้ว นับเวลาแรมปี ปรารถนาจะทำอันตรายชีวิตของอาตมานี้ให้สิ้นไป ทั้งนี้เพื่ออะไรอาตมาไม่ทราบ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพิจารณาดูก็แล้วกัน ว่าเวลานี้อาตมาทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย คำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ที่ทำไปก็เพราะอาตมาถือว่าเป็นหนี้ต่อชาติ เป็นหนี้ต่อศาสนา เป็นหนี้ต่อพระมหากษัตริย์ เป็นหนี้ต่อปวงประชาชนชาวไทยทั้งหมด เรียกว่าชีวิตของอาตมาที่จะเกิดขึ้นมาได้นี้อาศัยชาติไทย แล้วก็ทรงความเป็นไทไว้ได้ ยังไม่เป็นทาสใคร เพราะว่าชาวไทยทั้งประเทศซึ่งเป็นเจ้าของชาติ ช่วยกันรักษาประเทศชาติให้เป็นอิสรภาพเข้าไว้แล้วที่อาตมาเป็นหนี้พระศาสนาก็เพราะการได้ทราบ คือมีความสุข เพราะคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวว่า เป็นหนี้พระมหากษัตริย์ ก็เพราะพระมหากษัตริย์ทรงมีพระคุณต่อพสกนิกรทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลานี้อาตมาภาพเป็นพระ พระมหากษัตริย์ก็ทรงเป็นศาสนูปถัมภก อุปถัมภ์พระศาสนา ถึงแม้ว่าจะไม่อุปถัมภ์โดยตรงต่ออาตมา แต่ว่าอาตมาเป็นพระในพระพุทธศาสนา ก็ชื่อว่าได้รับอุปถัมภ์โดยตรงเช่นเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าอาตมาเป็นหนี้ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนชาวไทย
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    การที่อาตมาปฏิบัติไปอยู่ในกิจหนึ่ง นั่นก็คือสร้างสรรค์ความเจริญให้เกิดขึ้นแก่เขตของประเทศไทยหลายจุด ในชีวิตของอาตมา ในฐานะที่เป็นพระและเป็นหนี้ชาติ เป็นหนี้ศาสนา เป็นหนี้พระมหากษัตริย์ เป็นหนี้ปวงชนชาวไทยที่สนับสนุน คือว่าพระในพระพุทธศาสนานี้ ถ้าขาดบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย หรือปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ใครที่มีความเมตตาสงเคราะห์แล้ว พระก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ฉะนั้น กิจที่อาจมาทำไป บรรดาท่านพุทธบริษัท ทำเพื่อสนองคุณประเทศชาติ สนองคุณศาสนา พระมหากษัติริย์ และปวงชนชาวไทยทั้งสิ้น การขุดบ่อน้ำ สร้างความเจริญทั้งในจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพราะอาศัยศิษยานุศิษย์ของอาตมาที่เขาเชื่อว่าทำแบบนั้นเป็นความดีนี้นั้น ในสถานที่ใดเป็นที่ทุรกันดาร เราไปกันที่นั่น ไปช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ ไปให้ความสุขแก่ประชาชนชาวไทยร่วมกัน เขาจะได้เห็นว่าไทยยังมีความรักไทยกันอยู่ คนไทยต่อคนไทยยังมีความเอื้อเฟื้อเจือจุนซึ่งกันและกัน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนลัทธิการปกครองใหม่ เพราะการที่จะเปลี่ยนลัทธิการปกครองใหม่ให้คนไทยกลายเป็นทาส เวลานี้ยังไม่ถึงความจำเป็น งานประเภทนี้ ประการหนึ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุคคลที่ไม่เห็นชอบด้วย
    <o:p></o:p>
    แล้วอีกประการหนึ่ง การสร้างสรรค์วัดวาอารามในเขตของพระพุทธศาสนาบางทีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายโดยถ้วนหน้า หรือบางท่านอาจจะคิดว่าจะไปปรารภอะไรกับวัตถุ เรามาจัดในเรื่องนามธรรมกันดีว่า แต่ว่าบรรดาพุทธบริษัทโปรดทราบว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพูดถึงบุคคลไว้เป็น ๔ ประเภทด้วยกัน ก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท ในตอนต้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงท้อพระทัยว่า พระธรรมที่องค์สมเด็จพระจอมไทรทรงบรรลุแล้วนี้ สุขุมคัมภีรภาพมาก ยากที่บุคคลจะบรรลุได้ แต่ทว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงพิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ก็ทราบว่าจิตใจของคนที่อยู่ในโลกนี้นั้น แบ่งออกเป็น ๔ ส่วนคือ
    <o:p></o:p>
    อุคคติตัญญู เป็นคนที่มีวิชชาความรู้ มีความฉลาดมาก แนะนำแต่เพียงหัวข้อก็มีความเข้สใจและปฏิบัติได้<o:p></o:p>
    วิปัจจิตัญญู คนประเภทนี้แนะนำหัวข้อไม่เข้าใจ ต้องอธิบายให้ทราบความชัด<o:p></o:p>
    เนยยะ ประเภทนี้องค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิ์ ทรงทราบว่าต้องแนะนำแต่เพียงพื้น ๆ เขาจึงปฏิบัติได้<o:p></o:p>
    ปทปรมะ บุคคลประเภทนี้พูดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จำอะไรไม่ได้เลย
    <o:p></o:p>
    นี่คนเรามี ๔ ประเภทด้วยกัน การที่อาตมาสร้างสรรค์ด้านวัตถุขึ้นมาก็เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้เกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าแดนใดเต็มไปด้วยความทุรกันดาร แดนนั้นอาตมามักจะสร้างวัตถุให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้แก่บรรดาพุทธบริษัทและประชาชนในสายนั้น การสร้าง ๆ ให้ไว้แล้ว อาตมาไม่อยู่ที่นั่น สร้างแล้วก็ไป ไปหาที่สร้างใหม่ที่สมควรต่อไป เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าถ้าสถานที่ดี ความชุ่มชื่นใจของบุคคลดีก็ปรากฏ และสถานที่นั้นจะเป็นเหตุนำมาซึ่งความสามัคคี แต่ว่าจะแตกสามัคคีก็ตามใจ นี่ พูดกันไว้สำหรับคนดี จะได้เป็นที่ชุมนุมสังสรรค์ซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เป็นดินแดนสำหรับที่ประชุม นี่ก็จะเป็นเหตุสร้างความสามัคคี สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นแก่กันได้ แล้วการก่อสร้างนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาตมา ถ้ายังไม่เป็นปุ๋ยเพียงใดอาตมาก็จะทำต่อไป เวลานี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสร้างแต่ที่วัดท่าซุงอย่างเดียว ใกล้ ๆ กันนี้ วัดสามจีนเดิมที่ให้นามว่าวัดเสริมศรีสุขสวัสดิ์อาตมาก็สร้าง แล้วยิ่งไปกว่านั้น ในขณะนี้ก็กำลังช่วยสายทางภาคเหนือ ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ได้ส่งเงินขึ้นไปในสายนั้นหลายแสนบาทแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ใกล้จะล้านบาทเต็มที พ.ศ. ๒๕๑๙ นี้ ก็จะไปที่สงขลา ไปสร้างถาวรวัตถุไว้ที่นั่นอีก เพื่อเป็นกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท<o:p></o:p>
    นี่ช่วยกันแบบนี้ แล้วอีกประการหนึ่งในยามที่พอมีเวลาบ้าง ทราบว่าตำรวจทหารอยู่ชายแดนมีความลำบาก อาตมาก็แนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทซึ่งเป็นลูกศิษย์ลูกหาที่มีความเห็นร่วมกัน นำเอาอาหารการบริโภค นำเอาของขวัญไปแจกทหารที่มีความลำบากอยู่ชายแดน งานนี้อาตมาลากคนหลายคนให้ไปเหน็ดเหนื่อยไปตามๆ กัน เป็นร้อย ๆ คน แต่บุคคลสำคัญก็คือท่านพลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ กับ พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ พ.ต.อ. (พิเศษ) สมศักดิ์ สืบสงวน แล้วก็ พล.ต.ต.จรัส วงศาโรจน์ แล้วก็อีกหลายคนด้วยกัน มี พ.ต.อ. (พิเศษ) ม.ร.ว. พงษ์พูนเกษม เกษมศรี เป็นต้น แล้วบรรดาท่านผู้หญิงทั้งหลายที่ไม่เคยออกป่าออกดงก็ตามไปกัน เป็นตับ ถ้าจะเอาชื่อมาเขียนหนังสือเล่มนี้ก็ไม่พอ แล้วก็มีคนส่วนมากรวบรวมกำลังกายกำลังใจร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านชำนาญ ยุวบูรณ์ อาตมาก็ยังไปเกณฑ์เอากุ้งแห้งมาจากท่าน แล้วก็คณะศิษย์ คือ ดร.อนุวัตร์ คุณสมบูรณ์ และ ดร.จีรศักดิ์ สายของท่าน พล.ต ประมาณ อดิเรกสาร อาตมาก็แจ้งไปบอกว่าขอกุ้งแห้งบ้างซิ ขอผ้าแดงบ้าง ขอหมี่มาม่าบ้าง แล้วก็ขอซุปคนอร์บ้าง แล้วก็มีหลายร้อยท่านด้วยกัน ส่งสตางค์เข้ามาบ้าง ส่งของเข้ามาบ้าง ปรุงพริกเผากับกุ้งแห้งของต่าง ๆ ไปแจกให้ตำรวจและทหารตระเวนชายแดนที่กำลังป้องกันประเทศชาติด้วยชีวิต แต่ว่ากิจนี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท มีข่าวทั้งใกล้และไกลรอบ ๆ กายอาตมา เขาบอกว่าอาตมาเอาของไปแจกคอมมิวนิสต์ ! เป็นยังไง ข่าวนี้เป็นที่น่าชื่นใจไหมบรรดาท่านพุทธบริษัท เขาบอกว่าอาตมานี่น่ะไปส่งเสริมคอมมูน หรือคอมมิวนิสต์ เอาของไปแจกคอมมิวนิสต์ ถ้าหากว่าทหารตำรวจชายแดนเป็นคอมมิวนิสต์ละก็ใครล่ะไม่ใช่คอมมิวนิสต์ อาตมาก็แปลกใจ และข่าวนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เขายังสร้างกันต่อไป คือว่าสร้างความเสื่อม แล้วก็สร้างความเสียให้แก่อาตมา และบรรดาพสกนิกรชาวไทยที่ร่วมใจกัน แต่ว่าท่านทั้งหลายอย่าตกใจ นัตถิ โลเก อนินทิโต จำไว้ว่าเรื่องของข่าวคราวการถูกนินทาว่าร้ายเป็นของปกติธรรมดา แล้วข่าวประเภทนี้มันมาจากไหน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน ว่าทำไมข่าวนี้จึงปรากฏ นึกกันเอาเองแล้วเมื่อข่าวนี้ปรากฏออกมาแล้ว จงคิดดูว่าอะไรจะมีแก่อาตมาบ้าง เพราะการกระทำแบบนี้มันเป็นการขัดขวางการดำเนินงานของบุคคลบางพวก ความจริงข่าวนี้อยู่ใกล้ตัวอาตมาเต็มที ส่วนไกลอาตมาอาจจะไม่รู้ แต่ส่วนใกล้นี่ล้อมรอบเข้ามาเต็มที เวลานี้กำลังหาวิธีโฆษณากันด้วยประการทั้งปวง แต่ก็อย่าตกใจ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เพราะว่าอาตมาอีกไม่วันก็จะตายแล้ว ไหน ๆ จะตายก็ให้มีโอกาสได้สนองคุณประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และปวงชนชาวไทย การที่อาตมาจะต้องตายเพราะพวกท่าน เพื่อความสุขของท่านเพื่อความรู้ตัวเพื่อความอยู่ดีกินดีของบรรดาท่านพุทธบริษัท เพื่อความสามัคคีของปวงชนชาวไทยทั้งชาติ อาตมามีความสุขใจ ถึงแม้ว่าจะถูกปองร้ายอยู่ในขณะนี้ก็ไม่รู้สึกสะเทือนใจอะไร ก็รู้ตัวอยู่ แก่ใกล้จะตายอยู่แล้ว เขาฆ่าก็ตาย เขาไม่ฆ่าก็ตาย ข่าวนี้มาจากไหน ถ้าจะให้ดีละก็ ท่านทั้งหลายอยากจะทราบส่งสายสืบเข้ามาคอยเงี่ยหู ในไม่ช้าจะได้สดับตรับฟังข่าวนี้ให้ปรากฏ แต่อย่าลืมว่าสาวกของสมเด็จบรมสุคตจอมแก่นคนนี้ ไม่หวาดหวั่นต่ออันตรายใด ๆ ทั้งหมด เพราะเชื่อแน่ในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จบรมสุคตว่า ถ้าทำดีแล้วตายมีความสุข จึงพร้อมที่จะตายเพื่อเป็นการสนองคุณประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์กับปวงชนชาวไทย นี่เรามาว่ากันถึงพระราชดำรัสต่อไป อดไม่ได้อารัมภบท ถ้าไม่พูดเสียแล้วในมันไม่สบาย ที่พูดก็อยากจะให้บรรดาประชาชนทั้งหลายราบว่าไอ้ข่าวอื้อฉาวนี้มาจากพวกนี้ทั้งนั้น เขาไม่ได้พิจารณาเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรทั้งหมด อาตมาในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสุคต เลยไม่ท้อใจ จะทำมันต่อไปจนกว่าจะกลายเป็นปุ๋ย
    <o:p></o:p>
    ทีนี้ เรามาคุยกันถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คืออาตมาได้ถวายพระพรว่าต่อประเทศชาติของเราจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้น พระองค์ทรงมีกระแสพระราชดำรัสว่า กระผมีความเหน็ดเหนื่อยมาก ตั้งแต่เกิดมานี่มันเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ แล้วคนที่เขามีความรู้ (ทางหมอดู) พระองค์ไม่ได้ลงท้ายคำว่า
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บทที่ ๑๐
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ตอนนี้ เป็นตอนที่ ๑๐ ของหนังสือ บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อจบตอนนี้แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงไล่เบี้ยอาตมาเรื่องศีลเข้าอีก
    <o:p></o:p>
    พระองค์ทรงมีพระราชปรารภว่า บรรดาประชาชนทั้งหลายทุกคน ถ้าต่างคนต่างรักษาศีลห้าครบถ้วน บ้านเมืองจะมีความสุข ความจริงพระราชดำรัสไม่ใช่ตรงเป๋งตามนี้ เป็นแต่เพียงว่าอาตมาตีความหมายตามพระราชดำรัสของพระองค์ เห็นจะเป็นเพราะพระอย่างยิ่ง พระ พระนี่เมื่อมีความผิดแล้ว คนเขาไม่ค่อยจะเห็นคุณเห็นโทษ และโดยเฉพาะไม่มีอาบัติเป็นเครื่องปรับ ท่านตรัสว่าอย่างนั้น เป็นของยากที่จะให้คนเห็นโทษเห็นคุณในการรักษาศีลห้า พระองค์ทรงแปรพระพักตร์ไปทาง พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ อย่าง เสธ จิตต์ เป็นต้น อย่างนี้เขาอาจจะไม่รู้ว่าศีลห้ามีคุณค่าเป็นยังไง นี่พระองค์ตรัส เสธ เข้าอีก อาตมาก็เสธ ต่อไป เพราะอาตมา เสธ เข้าก่อน จะไปโทษพระองค์ไม่ได้
    <o:p></o:p>
    ในเมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้น อาตมาก็ถวายพระพรว่า หลวงพ่อปานท่านไม่ต้องการให้คนละศีลห้า หลวงพ่อปานต้องการอย่างเดียว คือให้คนละศีล ๒ พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วตรัสถามว่า ศีล ๒ มีอะไรบ้างขอรับ อาตมาก็ถวายพระพรว่า ศีล ๒ ที่หลวงพ่อปานท่านต้องการนั่นก็คือ
    <o:p></o:p>
    อทินนาทาน ต้องการให้คนไม่ลักไม่ขโมย ไม่คดไม่โกงซึ่งกันและกัน ยอมรับนับถือในสิทธิสมบัติซึ่งกันและ<o:p></o:p>
    กัน
    <o:p></o:p>
    หลวงพ่อปานมีความประสงค์ให้คนละการดื่มสุราและเมรัย
    <o:p></o:p>
    แล้วอาตมาก็ถวายพระพรต่อไปว่า ศีล ๒ ของหลวงพ่อปานนี้มีความสำคัญมาก เพราะในอันดับแรก ถ้าคนทุกคนไม่คดไม่โกงซึ่งกันและกันแล้ว สุขมันก็จะมีขึ้นมามาก ทุกคนต่างยอมรับนับถือในสิทธิในสมบัติซึ่งกันและกัน แล้วอีกประการหนึ่งถ้าคนทั้งหลายไม่เสพสุราเมรัย จิตใจก็ทรงสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ความเร่าร้อนของประเทศชาติก็จะลดน้อยลงไป ประเทศชาติจะมีแต่ความเยือกเย็น และในเมื่อ ๒ ศีลครบถ้วนบริบูรณ์แล้วในไม่ช้า อีก ๓ ศีลก็ครบถ้วนบริบูรณ์ อันนี้พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ จะทรงมีความเห็นด้วยหรือไม่ อาตมาไม่เข้าใจ แล้วพระองค์ก็ตรัสต่อไปว่า เมื่อก่อนนี้มันยุ่งเหลือเกินขอรับ มันติดอยู่ในวัตถุ ยุ่งมาก แต่ว่าเวลานี้สบายใจมากแล้ว เพราะไม่ติดในวัตถุ ตอนนี้ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนนี้ แหม อาตมาฟังแล้วประทับใจบอกไม่ถูก นี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นฆราวาสเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาเรียกกันว่าผู้ครองเรือน เรือนของพระองค์ก็ไม่เล็ก เรือนใหญ่เสียด้วย เรือนเต็มประเทศชาติ แต่พระองคืทรงมีพระราชดำรัสมาแบบนี้ ชื่นใจจริง ๆ ชื่นใจตอนไหนล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัทขายหญิง? คำว่าไม่ติดในวัตถุนี่มันเป็นของหายากมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเวลานี้สาวกของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังติดวัตถุกันบานเจ้าเลย หลวงพี่พระ หลวงพี่พระนี่แหละ แบกวัตถุกันไว้พอใจ แล้ววัตถุที่แบกไว้ บางทีก็เป็นวัตถุของตัวเอง บางทีก็ไม่ใช่ ดีไม่ดีวัตถุในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็แบกเข้าไว้เป็นสมบัติของตัวเสียด้วย นี่ในระหว่างที่พูดนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท มีข่าว ข่าวมีมากันเรื่อย ๆ มีคนชอบส่งข่าวให้ทราบ ว่ามีพระสมณะท่านหนึ่ง อย่าบอกฐานะเลย เอากันหลาย ๆ ท่านก็ยังได้ เขาจัดสรรที่แบ่งขายเป็นล็อค ๆ นี่ มีฐานะปกครองพระเสียด้วย ย่องเข้าไปซื้อที่กับเขาด้วยนี่ เขาว่ายังงั้น (คนที่มาบอกเป็นญาติ) บอกว่าความจริงพระองค์นั้นก็เป็นญาติกับผมนะขอรับ เลยบอกว่าช่างท่านเถอะ เพราะว่าท่านมีความสงเคราะห์ ซื้อไว้มันก็ไม่ไปไหน เวลาท่านตาย คนอื่นก็จะได้กินได้ใช้ จะได้อาศัยอยู่ ความจริงเป็นเสียอย่างนี้ซี สาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูน่าจะละ เป็นพระแล้วน่าจะละ แต่ว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นฆราวาสกลับละ พระองค์ตรัสว่าละได้แล้ว ตัดวัตถุได้แล้วมีความสุขพระทัย มีความสุขมาก สมัยก่อนนี้มันยุ่งเหยิงเหลือเกิน
    <o:p></o:p>
    ความจริงพูดกันตอนนี้ แหม ถ้าจะพูดกันอย่างชาวบ้าน อาตมาคิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาจจะเตือนอาตมาก็ได้ สร้างที่ไหนไม่ได้อยู่ที่นั่น สร้างแล้วก็ไป ๆ ใจมันไม่แบกวัตถุ แต่ใจชอบทำวัตถุ ทำไว้ให้ชาวบ้านเขาแบกกัน มันโก้ดี ก็บอกว่าที่อาตมาสร้างไว้มันเป็นวัตถุแห่งความสุข อย่างการขุดบ่อน้ำมันเป็นความสุขกาย สุขใจของคนที่ได้ใช้ แล้วบ่อที่ขุดไว้ก็ไม่ได้เลือกคนใช้ ใครก็ได้ คนที่ด่าอาตมาก็ยังใช้ได้ วัดวาอารามที่สร้างไว้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ให้แต่เฉพาะคนที่รักอาตมาใช้ คนที่เกลียดอาตมาด่าอาตมาก็มีสิทธิใช้ เวลานี้เขาก็ยังใช้อยู่เยอะแยะ ไปไหนก็ทำความเจริญให้เรื่อย อย่างกระแสไฟฟ้ามาที่นี่ สร้างให้ชาวบ้านใช้ แล้วดีไม่ดีไอ้กระแสไฟฟ้าเป็นเสียงด่าออกมา อาตมาก็ดีใจ ว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ถูก ทำไมล่ะ ก็ นัตถิ โลเก อนินทิโต คนที่ไม่ถูกด่า ถูกว่ามันไม่มีในโลก มันเป็นอย่างนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท<o:p></o:p>
    นี่พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความจริงอาตมาจำไม่ได้หมด เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน จำไม่ได้นี่ จำได้อีกหน่อยหนึ่งตอนท้ายว่า วันนี้ผมมีความสุขใจมาก ผมมีความสบายใจมาก ความจริงพระราชดำรัสอาจจะมีมากกว่านี้ แต่อาตมาจำไม่ได้อาตมาเห็นว่าเวลามันมากเกินไป อาตมาเองก็ไม่หยุดพูด พระองค์เองก็ตรัสไม่หยุด ก็เกรงว่าจะเป็นการบังคับเวลาของพระองค์มากเกินไป อาตมาจึงได้ตัดบทว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน นี่ตัดบทเป็นขั้นสุดท้าย ว่าถ้าประเทศไทยต้องเป็นทาสใคร อาตมาขอเอาชีวิตเป็นประกัน ยอมตาย นี่ถ้าสมัยก่อน ถ้าผิดไปเขาตัดหัว ถูกสั่งตัดหัวอาตมาก็ยอมแล้ว แต่ความจริงไม่ได้คิดหรอกว่า อีกวันสองวัน อีกไม่กี่วันมันก็จะตาย แล้วตัดหัวจะมีความหมายอะไรกับความตายที่จะมาถึงอยู่แล้ว นี่พูดตามความจริงใจ ที่พูดตามนั้นก็เชื่อตามหลวงพ่อใยที่ท่านพยากรณ์ไว้ ว่าประเทศไทยยังจะมีรัชกาลที่ ๑๐ แล้วก็ยังจะมีความอุดมสมบูรณ์ต่อไป แล้วหลวงพ่อปานยังพูดต่อไปว่า ไม่ใช่มีแต่รัชกาลที่ ๑๐ ต่อไปจะมีไปเรื่อย ๆ พระมหากษัตริย์ในประเทศไทย แล้วชาวโลกทั้งหลายทั้งหมดก็จะกลับปฏิวัติจากระบบประชาธิปไตย หรือระบบประธานาธิบดีทั้งหลาย กลับมาเป็นกษัตริย์อย่างเดิม เรียกว่ากลับมามีกษัตริย์ตามเดิม
    <o:p></o:p>
    ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้น อาตมานั่งคิดนอนคิดมานาน บรรดาท่านพุทธบริษัท มันก็คิดไม่ออก ว่าทำไมท่านผู้รู้ท่านจึงได้กล่าวกันไว้อย่างนั้น แต่มาพิจารณาในตอนหลังก็พอเข้าใจได้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การเปลี่ยนกันขึ้นมาบริหารประเทศ ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ แต่เป็นประชาธิปไตย มีหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นนายกรัฐมนตรี บางประเทศก็มีประมุขของประเทศเป็นประธานาธิบดี มีหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นนายกรัฐมนตรี สองสามหรือสี่ปีเปลี่ยนกันทีหนึ่ง ห้าปีเปลี่ยนกันทีหนึ่ง ดีไม่ดีปีสองปีก็เปลี่ยนกัน การปกครองแบบนี้นั้นมันเป็นของดี เขาเรียกว่าประชาชนเป็นใหญ่ แต่ความใหญ่ของประชาชนนี่ซี บรรดาท่านพุทธบริษัท มันใหญ่เสียหลายอย่าง บางทีฐานะเล็ก ๆ อยู่ไม่กี่วันพอเข้ามาบริหารประเทศ ฐานะก็ใหญ่ไปด้วย เมื่อคนหนึ่งขึ้นมาใหญ่แล้ว ไม่เป็นไร นาน ๆ เปลี่ยนกันขึ้นมาใหญ่ต่อไปอีก นี่ ในเมื่อฝ่ายบริหารใหญ่ ฝ่ายถูกบริหารก็เล็ก ผอมลง ๆ คนบริหารก็ใหญ่ขึ้น ๆ นี่เราว่ากันถึงว่านักบริหารที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต แต่นักบริหารที่ดีก็มีถมไป แต่ว่าการบริหารหรือจิตใจของคน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่ไม่ติดในวัตถุมันก็มีเป็นของน้อย เพราะคนทุกคนต้องอาศัยวัตถุเป็นสำคัญ
    <o:p></o:p>
    นี่ เพราะเหตุการณ์อย่างนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าเราจะหันหลังไปดูสมัยสุโขทัยจะเห็นว่าพระองค์ทรงปกครองประเทศชาติในระบบประชาธิปไตย แต่มีกษัตริย์เป็นประมุข แม้แต่สมัยรัตนโกสินทร์ก็เหมือนกัน ไปอ่านจดหมายเหตุให้ดี การบันทึกการประชุมให้ดีบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ไหนที่ใช้พระราชอำนาจเกินสมควร เว้นไว้แต่บางกาล บางวาระ อาจจะมีบ้างก็เช่นเดียวกันกับการบริหารแบบปัจจุบัน เราจะเห็นว่าบางกาล บางวาระก็ออกข้าง ๆ เหมือนกัน อันนี้ท่านเปรียบเทียบไว้ แหมจะพูดไปก็กลัวตะราง ไม่พูดดีกว่า เป็นอันว่าเอายังงี้แล้วกัน เรื่องพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่ออาตมา เรายุติไว้แต่เพียงเท่านี้
    <o:p></o:p>
    สำหรับตอนนี้ เรื่องพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ผ่านไปแล้ว ในเมื่อเวลานี้หน้ากระดาษยังเหลืออยู่ ก็ขอแจ้งงาน รายงานแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทต่อไป คืองานที่จะทำต่อไปหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับแล้ว งานส่วนนี้ก็คือจะจัดสรรอาคารสถานที่ทั้งหมดให้เรียบร้อยภายในระยะเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ วันนั้นสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถได้ถวายจตุปัจจัยเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์แก่อาตมา รวมเงินทั้งหมดสามหมื่นห้าพันบาท อันนี้ไม่ใช่เงินโดยเสด็จพระราชกุศล สำหรับเงินที่บรรดาศิษยานุศิษย์ร่วมกันโดยเสด็จพระราชกุศลในวันนั้น คณะศิษยานุศิษย์รวมเงินกันได้ ๖ หมื่นบาท แล้วทราบจาก พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ว่า สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชีนีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้แบ่งเงินจำนวนนี้ออกเป็น ๒ ส่วน คือส่วนหนึ่งสร้างอาคารสถานที่ใหม่ คือพระอุโบสถใหม่ อีกครึ่งหนึ่ง คือสามหมื่นบาทให้ซ่อมแซมพระอุโบสถเก่า โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่าเงินจำนวนนั้น จะมอบให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด เวลานี้ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ก็ได้จัดมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดไปแล้ว
    <o:p></o:p>
    สำหรับเงินที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถถวายอาตมาในวันนั้น พระองค์ไม่ได้รับสั่งให้เอาเงินนี้ไปทำอะไร แต่มีความเข้าใจว่าคงมีพระราชประสงค์จะร่วมในวิหารทาน ฉะนั้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจังหวัดอุทัยธานี และชาวจังหวัดใกล้เคียงที่พระองค์ได้เสด็จมาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และหล่อรูปหลวงพ่อปานเพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทและศาสนาอย่างยิ่ง ฉะนั้น จตุปัจจัยที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงถวาย อาตมาก็จะขอตั้งเป็นทุนเอาไว้ เพื่อสร้างพลับพลาเป็นอนุสรณ์ คือทำเป็นจตุรมุขมียอดกลาง ความจริงให้ชื่อว่าพลับพลา บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าจะคิดว่า นี่เราสร้างให้แก่พระเจ้าแผ่นดิน อาจจะมีผลเนื่องในการบำเพ็ญกุศลน้อยไป ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ใช้ศัพท์ว่า
     
  11. แทนคุณ

    แทนคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +333
    ด้วยความที่อยากได้หนังสือพระเมตตาทั้งเล่ม1-2 แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่หนังสือได้หมดไปจากวัด นานแล้ว จึงจำเป็นต้องขออนุญาติ copy จากเวปไปอ่าน
    และโชคดีมากที่เมื่อไม่นานมานี้เองได้ไปเดินดูของที่ท่าพระจันทร์ ได้เห็นหนังสือพระเมตตาเล่ม 2 วางขาย ( แบกะดิน) สอบถามราคาดูก็ไม่แพง คือราคา 50 บาท เท่านั้น ก็เลยต้องรีบซื้อก่อนที่คนอื่นจะมาเอาไปซะก่อน เพราะพยายามเก็บหนังสือเก่าๆ ที่ไม่มีวางขายที่ซอยสายลม ขนาดไปซื้อที่วัดท่าซุงเองก็ไม่ค่อยมีขายเลย นับว่าดวงดีไม่น้อยเลยนะครับ
     
  12. Ugood

    Ugood ธรรมชาติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +490
    อนุโมทนา ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ___________
    ธรรมะคือธรรมชาติ
     
  13. R3A4

    R3A4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +1,150
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากครับ ที่เอามาลงให้อ่าน
     
  14. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    [​IMG]
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

    ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้เป็นอย่างสูงครับ
     
  15. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,027
    ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

    เนื่องในวโรกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระชนม์มายุครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ข้าพระพุทธเจ้า
    ขอสำนึกในพระคุณที่พระองค์ท่าน มีต่อประเทศไทย [www.marateebook.com]

    [​IMG] [​IMG]
    ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
     
  16. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

    ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้เป็นอย่างสูงครับ

    ผมรักพ่อหลวงนะครับ
     
  17. duangkamol

    duangkamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    348
    ค่าพลัง:
    +2,083
    [​IMG]

    ฑีฆายุโก โหตุ มหาราชา
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พระพลานามัยแข็งแรง พระชนมายุยิ่งยืนนานตลอดไป
    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...