จิตวิญญาณที่เป็นอมตะของมนุษย์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 20 มกราคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    มนุษย์เราเชื่อว่า เมื่อตายแล้วเราไม่ได้สูญสลายหายไปเลย แต่ต้องกลับมาเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า เนื่องมาจากบทเรียนที่ธรรมชาติได้แสดงให้ดูเป็นตัวอย่างอันชัดเจนมาตราบเท่าทุกวันนี้

    เช่นดวงจันทร์ที่มีข้างขึ้น-ข้างแรม เว้าแหว่งไปทีละนิดจนมืดสนิท แล้วกลับสว่างขึ้นมาใหม่ทีละน้อย จนสุกสว่างเต็มดวง

    ไหนจะมีกลางวัน - กลางคืน ที่ดวงตะวันโผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันออกตอนเช้า โคจรผ่านท้องฟ้า ค่อยๆ โค้งตกลงลับหายไปทางทิศตะวันตก ทำให้มนุษย์เชื่อว่าเมื่อมีเกิดก็ย่อมมีตาย และกลับมาเกิดใหม่แน่นอน

    ชาวไอยคุปต์จึงได้ทำมัมมี่ รักษาสภาพศพไว้รอรับการกลับมาเกิดใหม่

    คนโบราณทั่วโลกก็คงจะเชื่อเช่นนั้น ตามสุสานและหลุมศพถึงได้มีการฝังอาหารของใช้ที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า

    ศาสนาฮินดูและพุทธยังเชื่อการกลับชาติมาเกิดนี้ด้วย เหมือนกับอีกหลายลัทธิทั่วโลกที่เชื่อว่า เมื่อตายแล้ววิญญาณยังต้องไปเสวยสุข หรือรับกรรมในสวรรค์และนรกอยู่พักหนึ่ง แล้ววิญญาณนั้นต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

    เพราะอะไร? บรรพบุรุษเราเชื่อว่า วิญญาณนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้สร้าง

    วิญญาณมนุษย์แท้จริงแล้วบริสุทธิ์ผุดผ่อง และไร้เดียงสา เช่น อดัมกับอีฟ มนุษย์ชายหญิงคู่แรกที่พระเจ้าสร้างขึ้น แต่เมื่อถูกอำนาจชั่วร้ายของซาตานล่อลวงให้หลงผิด มนุษย์ก็เริ่มมีกิเลส ตัณหา ราคะ อันทำให้วิญญาณแปดเปื้อนไปด้วยบาป

    ดวงวิญญาณจะต้องหาทางขจัดบาปให้หมดไป ด้วยการเรียนรู้วิธีเอาชนะความชั่วต่างๆ นานา เพราะที่สุดแล้ว วิญญาณจะต้องกลับคืนสู่สภาวะบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ คือกลับไปรวมอยู่กับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งให้ได้

    เปรียบสภาวะอันศักดิ์สิทธิ์ ไร้มลทินนั้นได้กับ " นิพพาน" ในทางพุทธศาสนา

    ทุกศาสนาล้วนแต่มีจุดหมายอันเดียวกัน ที่จะชำระดวงวิญญาณให้สะอาดบริสุทธิ์ คำสอนที่บรรพชนผูกไว้เป็นตำนานหรือคัมภีร์นั้น ช่างมีความหมายล้ำลึกยิ่งนัก

    ถ้าเราจะเปรียบว่า พระผู้สร้างคือพลังอำนาจสูงสุดของจักรวาล วิญญาณของพวกเราทุกคนก็คือส่วนหนึ่งของจักรวาลนี่เอง ความดีและความชั่วก็เป็นพลังแห่งจักรวาลที่สำคัญยิ่ง ในการสร้างสรรค์และทำลาย

    เชื่อเถอะว่าความดีย่อมดึงดูดความดี และความชั่วก็ย่อมดึงดูดความชั่วในทำนองเดียวกัน!

    ทุกชีวิตต้องการความสุข อยากจะไปเกิดในที่ดี ในสภาวะแวดล้อมที่ดี มีความสมบูรณ์ทั้งรูป ทั้งทรัพย์ แต่มนุษย์จะไปเกิดอย่างไรนั้น ย่อมสุดแท้แต่บุญ-กรรมที่ตนทำไว้ ไม่มีอำนาจอันใดจะมาบิดพลิ้วแปรผันไปได้ทั้งสิ้น

    วิญญาณที่ดีจะถูกดึงดูดไปสู่พ่อ-แม่ ที่มีพื้นจิตใจ พื้นฐานของวิญญาณใกล้เคียงกัน อยู่ร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่ดี

    นี้อาจจะเป็นคำตอบที่ว่า นอกเหนือจากกรรมพันธุ์แล้ว เหตุใดลูกๆ จึงได้มีจิตใจและนิสัยเช่นเดียวกับบิดามารดา ก็เพราะอบรมบ่มนิสัย พันธุกรรม และสำคัญที่สุดคือ กระแสวิญญาณที่มีพื้นฐานใกล้เคียงกัน มีพลังดึงดูดให้ได้มาเกิดด้วยกันนั่นเอง

    สิ่งที่บรรยายมาตั้งแต่ต้น รวมทั้งความเชื่อต่างๆ ของลัทธิและศาสนาทั้งหลาย จะหมดความหมายอย่างสิ้นเชิง หากเราไม่เชื่อว่ามนุษย์มีวิญญาณกันจริงๆ

    พวกที่เชื่อว่าตายแล้วก็แล้วกัน หรือตายแล้วสูญ เป็นอันจบสิ้นเลยนั้น เขาคิดตามที่เขาเห็น! คนเราเกิดมามีสมอง มีจิตใจ มีเลือดเนื้อ รูปกาย เมื่อตายทุกอย่างก็สลายเน่าเปื่อยไป...จบ!

    คงยุ่งแน่ๆ หากคนในโลกส่วนใหญ่จะคิดกันแบบนั้น

    พวกผู้ร้าย พวกโกงชาติ โกงคน ก็คงคิดเช่นนี้ ต่างก็ตักตวงความสะดวกสบายต่างๆ ที่คิดว่าคือความสุขเข้าตัวเอง จะมีแต่การกอบโกย แก่งแย่ง เห็นแก่ตัว การช่วงชิง ขโมย และฆ่าฟัน

    คงไม่มีปัญหา หากคนที่เชื่อว่าตายแล้วสูญนั้น เป็นคนดีมีเมตตา ไม่เบียดเบียนคนอื่นๆ ให้เดือดร้อน

    เชื่อเถอะว่าวิญญาณมีอยู่จริง และคือตัวตนที่แท้จริงของเรา!

     

แชร์หน้านี้

Loading...