รูปถ่าย"นิโรธสมาบัติ" หลวงพ่อกัสสปมุนี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย chingchamp, 7 พฤศจิกายน 2008.

  1. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] --></TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    รูปถ่ายนั่งนิโรธสมาบัติรูปนี้นะท่านเองยังบอกด้วยตัว
    ท่านเองว่า "รูปนี้เก่งกว่าเหรียญเสียอีก"
    <!-- / message --><!-- / message -->
    <!-- / message --><!-- / message --><!-- sig -->


    รูปถ่าย"นิโรธสมาบัติ" หลวงพ่อกัสสปมุนี


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD>
    1. รูปถ่ายของหลวงพ่อกัสสปมุนีที่อินเดียมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ?

    ตอบ เมื่อปีพ.ศ. 2507 หลวงพ่อกัสสปมุนีได้เดินทางไปยังชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานถึง 5 เดือน ตลอดเวลาที่ท่านเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ท่านจะห่มดองหรือห่มลดไหล่ตลอด ในขณะที่พระเถระองค์อื่น ๆ จะห่มคลุมตามพระวินัยบัญญัติว่า เมื่อภิกษุออกนอกบริเวณวัด ต้องห่มคลุมให้เป็นปริมณฑลคือข้างบนจีวรต้องติดคอ ด้านล่างต้องคลุมครึ่งแข้งจึงถูกต้อง แต่การที่หลวงพ่อห่มดองตลอดรายการนั้น ท่านให้เหตุผลว่าชมพูทวีปเป็นดินแดนแห่งพระพุทธองค์ ทุกหนแห่งล้วนแต่เป็นแผ่นดินของพระองค์ที่ทรงจาริกไปแสดงธรรม จึงถือว่าเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2008
  2. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    จดหมายเหตุ หลวงพ่อกัสสปมุนี
    หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้ายค่าย จ.ระยอง เกิดที่กรุงเทพมหานคร เดิมชื่อประจงวาส ต่อมาเปลี่ยนเป็นประยุทธิ วรวุธิ นามสกุลอาภรณ์สิริ บิดาท่านคือพระพาหิรรัชฏพิบูลย์(ประวัติ อาภรณ์สิริ) นามมารดาคือนางพาหิรรัชฏพิบูลย์ สมัยเป็นฆราวาส ท่านได้สมรสกับนางประชุมศรี อาภรณ์สิริ มีบุตรชาย2 คน บุตรหญิง 2 คน
    หลวงพ่อกัสสปมุนีเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ต่อมาจึงได้ย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญ โดยเลือกภาษาอังกฤษเป็นวิชาเลือก จนจบชั้นม.6
    เพราะเหตุที่ภาษาอังกฤษของหลวงพ่อกัสสปมุนีอยู่ในขั้นดีมาก เมื่อเรียนจบ ท่านจึงเข้าทำงานที่บริษัทวินเซอร์ของอังกฤษ แต่บิดาท่านให้ย้ายออกมาทำที่กรมสรรพากร ซึ่งท่านก็อนุโลมตามใจบิดาท่านด้วยแรงกตัญญู ซึ่งท่านก็ได้เจริญในหน้าที่การงานและทางโลกด้วยดียิ่งตลอดมา จนกระทั่งได้รับการโอนย้ายไปอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบอันมีเกียรติยิ่ง แต่ท่านขอไม่รับ เพราะเริ่มมีดวงตาเห็นธรรมและเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย ท้ายสุด ท่านก็ได้ขอลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุถึง 3 ปี
    หลวงพ่อกัสสปมุนีท่านบวชเมื่ออายุ ๕๒ ปี สมัยที่ยังไม่บวชท่านทำงานอยู่ฝ่ายสรรพสามิต ท่านจะดื่มเหล้าเก่ง ตอนหลังท่านเห็นโทษของการดื่มเหล้า และเกิดเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส จึงได้ลาออกจากราชการ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยได้โอนบ้านที่ดินและทรัพย์สินให้กับครอบครัวท่านจนหมดสิ้น จากนั้นท่านได้ไปฝากตัวอยู่กับสมเด็จ พระวันรัต (ต่อมาทรงได้รับสถาปนา เป็นสมเด็จพระสังฆราช วัดโพธิ์ ท่าเตียน) โดยเป็นอุบาสก นุ่งขาวห่มขาว ถือศีลอุโบสถอย่างเคร่งครัด ในที่สุดจึงได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ แม้บวชได้เพียงพรรษาเดียว หลวงพ่อกัสสปมุนี ได้ออกธุดงค์ ไปบำเพ็ญเพียรภาวนา อยู่บนยอดเขาภูกระดึง อันแสนจะหนาวเหน็บ (เดือน พ.ย. ๒๕๐๖) หลังจากนั้นถัดมาอีกเพียง พรรษาเดียว ท่านก็ได้จาริกแสวงบุญ ไปบำเพ็ญภาวนาในแดนไกล คือเมือง ฤาษีเกษ ประเทศอินเดีย เมืองนี้เป็นที่ชุมนุม ของโยคี ฤาษี มุนีไพร ผู้ทรงตบะและฤทธาอันแก่กล้ามากมาย ต้องเก่งจริงๆ ถึงจะอยู่ได้อย่างสันติอิสระ...


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อหลวงพ่อกัสสปมุนีลากรถไฟขึ้นเขาด้วยพลังจิต!!!!!

    เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อออกพรรษา ปวารณาปี พ.ศ. ๒๕๐๗ แล้ว หลวงพ่อฯ ก็ได้เดินทางไปยังประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ ๒๘ พ.ย. ๒๕๐๗ โดยสายการบิน ซี.พี.เอ. ร่วมกับคณะทัศนาจรแสวงบุญ ซึ่งมีทั้งพระ และฆราวาส อาทิเช่น ท่านเจ้าคุณราชปัญญาเมธี เจ้าคณะจังหวัดยะลา ท่านเจ้าคุณสิริสารโสภณ เจ้าคณะอำเภอยะลา หลวงพ่อทิม วัดช้างไห้ ผู้สร้างพระเครื่อง หลวงพ่อทวด อันลือลั่นไปทั่วประเทศ และท่านเจ้าคุณ ญาณวิริยาจารย์ วัดธรรมมงคล ซอยปุณณวิถี พระโขนง ซึ่งเป็นศิษย์เอก พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฝ่ายฆราวาสก็มี นายเอื้อ บัวสรวง ธ.บ. และ เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต นายน่วม นันทวิชัย นายกพุทธสมาคม สิงห์บุรี จุดมุ่งหมายของคณะจาริกแสวงบุญ คือจะพากันไปนมัสการ สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธคุณ และ เพื่อปลงธรรมสังเวช หลวงพ่อกัสสปนั้น ต้องการจะเดินทางต่อไป เพื่อไปจำศีลภาวนาที่เมือง
     
  3. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25>หลวงพ่อกัสสปมุนีเคยว่า สกุล"กัสสปะ"สมัยพุทธองค์มี 7 ท่าน คือ
    1.มหากัสสปะ
    2.อุรุเวลกัสสปะ
    3.นทีกัสสปะ
    4.คยากัสสปะ
    5.กุมารกัสสปะ
    6.อเจลกัสสปะ
    7.จุลกัสสปะ
    ซึ่งเป็นที่รู้กัน"ภายใน"ก็คือ หลวงพ่อกัสสปมุนีนั้น ก็คือท่าน "จุลกัสสปะ"แต่กาลก่อนนั่นเอง มาในชาตินี้ สมเด็จพระอุปัชฌาย์(สังฆราชป๋า วัดโพธิ์) จึงประทานนามเป็นพิเศษว่า "กัสสปมุนี" แทนชื่อจริงด้วยประการฉะนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เมื่อท่าน"จุลกัสสปะ" ได้สิ้นชีพจากชาตินั้นแล้ว ในชาติต่อมา ท่านก็ได้เกิดมาเป็นจักรพรรดิที่เมืองจีนเมื่อ2,000 กว่าปีก่อน ซึ่งมีพระนามว่า "เม่งตี่อ้วงตี่" (หลวงพ่อเล่าไว้เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2524) ซึ่ง"เม่งตี่ฮ่องเต้"นี้ ได้ทรงสร้างคุณูปการแก่บวรพระพุทธศาสนาไว้เป็นเอนกปริยาย <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25></TD></TR></TBODY></TABLE>ประวัติวัฒนธรรมจีนกล่าวถึงการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแผ่นดินจีนว่า เริ่มขึ้นใน สมัยราชวงศ์ฮั่นรัชกาลของพระเจ้าเม่งตี่ แม้ก่อนหน้านี้จะเริ่มมีราชบัณฑิตได้เคยฟังเรื่องพระธรรม จากพวกทูตจากแคว้นกุสินบ้างแล้ว แต่พระพุทธศาสนาก็ยังมิได้แพร่ไปถึงประเทศจีน

    [​IMG][​IMG]ในสมัยกษัตริย์เม่งตี่นั้น จีนได้แผ่อิทธิพลทั่วไปทางภาคตะวันตกซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พระพุทธศาสนาในอินเดียกำลังแพร่ขึ้นมาทางเหนือ พระเจ้าเม่งตี่โปรดให้อาราธนาพระสงฆ์พร้อมด้วยพระสูตรต่างๆ มายังประเทศจีน พร้อมด้วยพระสูตรต่าง ๆ มายังประเทศจีน พร้อมกับสร้างวัดม้าขาวให้เป็นที่พำนักใน พ.ศ. 610 ซึ่งถือว่าเป็นวัดพระพุทธศาสนาแห่งแรก หลังจากนั้นพระพุทธศาสนาก็แพร่ไปทั่วประเทศและมีพระสงฆ์จากอินเดียเดินทางมามากขึ้นได้แปลพระสูตรไว้เป็นจำนวนมาก ภายหลังเมื่ออนุญาตให้ชาวจีนบวชเป็นพระสงฆ์ได้แล้ว
    [​IMG]พระภิกษุจีนได้ศรัทธาออกจาริกไปเสาะแสวงหาพระไตรปิฏกและท่องเที่ยวดินแดนพระพุทธภูมิหลายท่าน ทั้งนี้ได้เรียบเรียงบันทึกการเดินทางไว้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาทั้งในส่วนที่เป็นสาระที่เกี่ยวกับการพระศาสนา และสภาพบ้านเมืองดินแดนต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทางอย่างน่าสนใจยิ่ง
    "...ที่จริงเซ็นมาก่อนแล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น พระเจ้าฮั่นเม่งตี่ ต้นตระกูลสามก๊ก อัญเชิญพระไตรปิฎก แล้วสร้างวัดม้าขาวเมื่อสองพันปีเศษ เป็นประวัติศาสตร์ที่ยอมรับกัน อันนั้นก็มีเซ็นปรากฏอยู่แล้ว และพวกฉันยังเชื่อว่าพุทธศาสนาเข้าสู่เมืองจีนตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ไปแบบพระธุดงค์ไม่เป็นทางการ มีประวัติศาสตร์อ้างอิงอยู่ อย่างในประวัติศาสตร์จีนสมัยเลียดก๊ก "เศ็กเกียม่อนี้ฮุดโจ้ว" นี้คือศากยมุนี สมัยเลียดก๊กทำไมถึงรู้จัก แสดงว่าชาติใหญ่มีความสัมพันธ์กันมาแต่โบราณ (ศาสนาพุทธ) จึงไปแบบพระธุดงค์ ไม่เป็นทางการ พระเจ้าฮั่นเม่งตี่อัญเชิญ (พระคัมภีร์) มาแปล เป็นเรื่องทางการ



    (ธีรทาส , พุทธทาสกับมหายาน)

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    บันทึกเก่า ระบุว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2524 มีศิษย์ท่านหนึ่งกราบเรียนถามหลวงพ่อกัสสปมุนีว่า ตอนที่หลวงพ่อใช้พลังจิต"ลากรถไฟขึ้นเขาที่อินเดีย"นั้น หลวงพ่อทำอย่างไร.???
    หลวงพ่อกัสสปมุนีตอบว่า
    "ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่ง และออกเดินนำหน้าทันที ไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่อิทธิวิธี หากเป็นการใช้"อาโลกสิน"(แสงสว่าง,ความว่าง) ดึงรถไฟขึ้นไป..!!?!"
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อกัสสปมุนีเคยสั่งศิษย์ใกล้ชิดไว้ว่า
    "เวลาจะทำอะไร ให้อาราธนาหลวงพ่อก่อนทุกครั้ง แล้วจะสำเร็จ"
    พอดีมีคนซึ่งมาใหม่คนหนึ่ง บังเอิญได้ยินคำสั่งของหลวงพ่อดังว่า จึงได้ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเชื่อถือสักเท่าไรว่า
    "ถ้าอาราธนาแล้ว ผมอยู่ตั้งไกล แล้วหลวงพ่อจะได้ยินหรือ..??"
    เมื่อได้ฟัง หลวงพ่อกัสสปมุนีก็ย้อนตูมกลับมาทีเดียวว่า
    "ถ้าหลวงพ่อไม่ได้ยินแล้ว จะให้เรียกทำไม??!?"
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25></TD></TR></TBODY></TABLE>
    "ครูบาเหยียบศิลาเป็นรอย"(ครูบาเจ้าชัยวงศาพัฒนา) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ลำพูน ผู้ยิ่งด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์เป็นที่ยิ่งซึ่งเป็นสหธรรมิกสนิทอีกองค์หนึ่งของหลวงพ่อกัสสปมุนี เคยรำพึงไว้เมื่อครั้งที่หลวงพ่อกัสสปมุนีละสังขารทีเดียวว่า
    "ต่อไปนี้ จะหาพระที่ฤทธิ์ดุจเดียวกับหลวงพ่อกัสสปมุนีไม่ได้อีกแล้ว!!?!"
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ไปกราบสังขารท่านได้ที่ วัดปิปผลิวนาราม จังหวัดระยอง ครับผม.

    ที่วัดปิปผลิวนาราม บรรยากาศดี ร่มรื่น เย็นสบายมากๆครับ เลยวัดหนองกรับ หลวงพ่อสาคร ศิษย์เอกหลวงปู่ทิม ไม่กี่กิโลครับ

    <!-- / message -->
    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=7119<!-- / message --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. แทนคุณ

    แทนคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +333
    หนังสือที่เขียนประวัติของหลวงพ่อกัสสปมุนี มีจำหน่ายที่ไหนบ้าง
    ที่วัดยังมีเหลืออยู่หรือเปล่าครับ
     
  5. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    สาธุ สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยครับ...ขอผลบุญครั้งนี้ให้ทุกๆ่ท่านได้ดวงตาเห็นธรรมกันถ้วนทั่วทุกคน
     
  6. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    ขอบคุณมากมายกับธรรมทาน กับ สังฆานุสสติ อันยิ่งนี้


    สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...