ปริศนา "ตาที่สาม"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 11 พฤศจิกายน 2005.

  1. yaowanit namloug

    yaowanit namloug Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +36
    แล้วอ่านหรือยังคะ ถ้าน่าสนใจช่วยบอกกล่าวด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ[​IMG]
     
  2. 108man

    108man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +1,794
    เล่มนี้แหละที่ผมนำมาฝึก ใช้ได้ครับ


    เล่มสีแดงครับ ใช่ครับ ฝึกได้เลยเห็นผลแล้วค่อยส่งต่อ ผมลองดูแล้วดีทั้งคำสอน และ แนวทาง
    เช่น ท่านบอกว่า แม้เราจะรู้จากจิตว่าตัวตนไม่มี พ่อแม่ ไม่มี ทุกสิ่ง ต่าง ๆ ล้วน ไม่ใช่ตัวตนก็ตาม แต่ จริง ๆ ก็ต้อง ดูแลสังขารพ่อแม่หรือคนอื่น ๆ เหมือนปกติ คือ ไม่มีทางจิต แต่ ไม่ใช่ไม่มีทางสังขาร
    ก็เห็นว่าดีใช่ได้ ครับ ลองดู
     
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ได้อ่านแล้วครับ..คุณ yaowanit namloug เข้าใจถูกทางแล้วครับ...

    การเปิดตาที่สาม ก็คือ การไขกุณแจสู่จิตเดิมแท้ อันเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา สู่ความจริงที่จริงแท้แห่งจิตวิญญาณ และการเข้าถึงสติปัญญาของจิตวิญญาณ เพื่อการรู้แจ้งด้วยตนเองครับ...

    โดยอาศัยกลไกสมอง เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่จะช่วยยกระดับจิตสำนึก (ตัวรู้สึก นึกคิด) ให้เกิดการพัฒนาจนเทียบเท่าจิตวิญญาณได้

    เราเองก็สามารถฝึกฝนการเปิดตาที่สามด้วยตนเองได้ครับ ด้วยกระบวนการคิดที่ไม่เอาแต่ มองหาตัวตน (แบบจิตมนุษย์) เช่น ใครทำ ? คนไหน? ชี่ออะไร? แต่ให้มองหาแต่ คุณสมบัติ (แบบจิตวิญญาณ)ที่เป็นสาระเป็นแก่นแท้ ของเหตูการณ์หรือเรื่องราวนั้นๆ ฝึกให้เคยชินจนสมองฃีกขวาเกิดความชำนาญ จนในที่สุดสะพานเชี่อมต่อของสมองก็จะทำงานเต็มประสิทธิภาพ แล้วความรู้ แห่งจิตญาณที่แท้จริงก็จะปรากฎออกมา เมี่อสมองทั้งสองฃีกทำงานร่วมกันหรือสั่นสะเทีอนร่วมกันจนเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยมีฃีกขวานำฃีกฃ้าย (ปกติฃีกฃ้ายจะนำ เพราะต้องพัฒนาจากการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวตนเสียก่อน) เหมือนการสลับกระแสไฟฟ้าไปอีกขั้วหนึ่ง ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพครับ..(เป็นผู้ไม่ถามหาตัวตน)

    ในการฝึกนี้น เราจะต้องรู้จักควบคุมตนเองให้อยู่เหนืออารมณ์รู้สึกนึกคิด ที่ไม่ถุกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่ดีงามของตนได้ และต้องยกระดับกาย จิตใจ และจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้เสมอ จึงจะมีพลังอำนาจทางจิตสูง หรือเป็นผู้มี ฌาณ ซึ่งจำเป็นต้องมีคุณสมบัตินี้อยู่ในตัว...(คือต้องเป็นครูให้ตนเองได้)

    ประโยชน์ก็มีมากมายมหาศาลครับ...
    เพื่อการสอบผ่านบทเรียนโลก บททดสอบในขีวิตประจำวัน ไม่ก่อกรรมใหม่ใดๆ ไม่เกี่ยวกรรมให้เป็นพันธกรรมกับผู้อี่นให้ต้องแก้ไข หรือชดใช้กันข้ามภพข้ามชาติอีกต่อไป เพราะเราจะไม่ใช้กิเลสขับเคลึ่อนพฤติกรรมของตนอีกต่อไป ให้เราเรียนรู้ได้อย่างสง่างาม และผลพลอยได้ด้านอื่นๆ เช่นการสื่อภาษาจิตแบบต่างๆ ฃึ่งเป็นภาษาจักรวาล กับรูปธรรมอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยพลังจิตที่เป็นสมถะ และอื่นๆอีกมากมายครับ..ทำได้ทุกคนครับถ้าตั้งใจจริง..ผมก็กำลังฝึกฝนอยู่ครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2005
  4. yaowanit namloug

    yaowanit namloug Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +36
    ขอบพระคุณมากค่ะคุณ mead
    สิ่งที่คุณ กำลังบอกก็คือ การมีคุณธรรม ใช่ไหมคะ ? สิ่งใดที่มากระทบไม่ว่าจะดีหรือไม่ ให้ปล่อยวางไม่เอามาเป็นอารมณ์ ต้องมีความอดทน อดกลั้น ไม่ตอบโต้ แล้วจะกลายเป็นเก็บกดไหมเอ่ย....
     
  5. yaowanit namloug

    yaowanit namloug Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +36
    อีกครั้งนะคะคุณ mead อยากอ่านหนังสือเล่มนั้นจัง! จะหาได้ที่ไหนค่ะ
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ไม่เป็นไรครับ..ยินดีครับเช่นกันครับ...
    เรียนธรรมะต้องเรียนให้สนุกครับ การเอาสิ่งที่เรียนรู้ใหม่มาผสมผสานกับความรู้เดิม เอามาต่อยอดเข้าไป จะเกิดประโยชน์ยิ่งขึ้นครับ...

    การที่จะสอบผ่านบททดสอบในชิวิตประจำวันให้ได้ มีวิธีการง่ายๆดังนี้ครับ...
    1.อดทน (คือการยินยอม และการควบคุมอารมณ์ตนเอง)
    2.อดกลั้น (เปิดโอกาส ให้เขาได้แก้ไขตัวใหม่ได้ทุกเมื่อ)
    3.ให้อภัย (มีความรักให้เขาเป็นอาจินต์)

    โดยใช้หลักง่ายๆแบบนี้ครับ...(แต่อาจทำยากนะครับ..)
    -ไม่ต่อสู้
    -ไม่ตอบโต้
    -ไม่ต่อต้าน
    -และไม่หลีกเลี่ยงด้วยครับ...

    ผมว่าทำแบบนี้ไม่น่าจะเก็บกดนะครับ ถ้าหากเรารู้จักฝึก การรับรู้ -ไม่รับเอา เหมือนเราเป็นกระจกเงาครับ หากมีสิ่งใดผ่านเข้ามาก็สะท้อนภาพสิ่งนั้น พอสิ่งนี้นผ่านไป ภาพนั้นก็จะหายไปด้วย คือรับเข้ามา แล้ววางให้เป็น แก้ไขได้ด้วยสติปัญญาที่เหมาะสมกับทุกฝ่าย (คือไม่ใช่ปล่อยวางแบบไม่สนใจ หรือการนิ่งเฉยไม่รับรู้อะไรเลยครับ..)

    ผมว่าฝึกในแบบของปุถุชน หรือแบบ"ฆราวาส"ก็มีโอกาสบรรลุธรรมได้ครับ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย หรือทั่วทั้งโลก ถ้าเข้าใจเทตนิคเกี่ยวกับการ modify จิตของตัวเองให้เป็น ให้ถูกทาง เพราะมันเกี่ยวกับการบันทึกรหัสบุพรกรรม ลงไปในจิต เราจะ Fotmat จิตให้บริสุทธ์หรือ ถอดรหัส และสร้างรหัสดีๆได้อย่างไรมากกว่า...

    เพราะว่าเราเป็น นักรบแห่งแสงสว่าง.....มีหน้าที่เช่นกันนะครับ
    ส่วนนักบวชทั้งหลาย จะเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง....ที่อาษามาค้ำจุนระบบโลกโดยตรงครับ...

    ผมได้ความรู้ เกี่ยวกับการ modifyจิต ที่ออกแนวเหตุและผล แบบวิทยาศาสตร์ ที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นนี้มาจาก อาจารย์ปริญญา ตันสกุล ครับ..เป็นหนังสือในชุด จิตจักรวาล หาได้ทั่วไปตามศูนย์หนังสือครับ และอาจารย์เองก็มีจัดบรรยายธรรมะเดือนละครั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และไม่ได้เป็นกระบอกเสียงให้กับศาสนาใดๆมาแอบแฝงเลยครับ ผมเห็นแต่ความตั้งใจจริงอาจารย์ ท่านสอนแต่เรื่องการเข้าถึงพระนิพพาน การมีปณิธานแห่งนิพพาน ตัวอาจารย์เองก็นับถือศาสนาพุทธเช่นกันครับ...
    เร็วๆนี้จะมีบรรยาย ที่รร.เยนเฮเมมโมเรี่ยล เยื้องๆหัวลำโพง วันที่ 18 ธ.ค. 48 ตอนบ่ายโมง ถึง หกโมงเย็นครับ ถ้าหากว่างๆก็ไปฟังกันได้ครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2005
  7. chelsea40

    chelsea40 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +15
    อยากทราบวิธีการทำสมาธิที่สามารถเปิดตาที่สาม เป็นขั้นตอนการฝึกอ่ะครับ
    ผมยังไม่ใช่บัวพ้นน้ำ ก็เลยยังไม่ค่อยเข้าใจครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441


    พอดีผมไปอ่านเจอข้อมูลส่วนหนึ่งในเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในคัมภีร์ "ภัควัตคีตา"ครับ เอามาลองศึกษากันดูครับ...

    "วิชากิริยาโยคะ ที่เราจะมอบให้แก่ชาวโลก โดยผ่านตัวเจ้า (ท่านบาบาจิ)ในศตวรรษที่ 19 นี้เป็นวิชาเดียวกับที่ท่านกฤษณะได้ถ่ายทอดไว้ให้แก่อรชุน เมื่อหลายพันปีก่อนและเป็นวิชาเดียวกับที่ ปตัณชลีและพระเยซู รวมถึงเหล่าศิษย์ของพวกเขาได้ฝึกมาด้วย..."
    ในคัมภีร์"ภัควัตคีตา" กฤษณะได้กล่าวถึงกิริยาโยคะ เอาไว้ตอนหนึ่ง มีใจความว่า..

    "จงทำอารมณ์ให้ตัดขาดจากโลกภายนอก เพ่งจิตรวมจักษุทั้งสองไปที่หว่างคิ้ว(ตาที่สาม) ทำลมหายใจออกและเข้าให้ให้เดินอยู่แต่ภายในช่องจมูกเท่าๆกัน ข่มอินทรีย์ ใจ และความคิด ให้อยู่ในบังคับ แสวงหาความหลุดพ้นปราศจากความอยาก ความกลัว และความโกรธ ผู้ใดฝึกตัวเองจนเป็นเช่นนี้ได้ ผู้นั้นเป็นผู้พ้นแล้วทุกเมื่อ" (บทที่ 5)

    นี่เป็นข้อความ เพียงท่อนเดียว ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์อย่าง "ภัควัตคีตา" ที่กล่าวถึงเทคนิคการฝึกอย่างเป็นรูปธรรม

    ความลี้ลับนี้อาจอยู่ที่"การหายใจ" เป็นที่รู้กันว่า พระเจ้าได้สร้างการหายใจขึ้นมาเป็นโซ่อัศจรรย์ที่คล้องร่างกาย กับจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน เพราะความลับของการไม่หายใจ คือสุดยอดแห่งความลับของการไม่แก่ตาย (ความอมตะที่แท้จริงของวิญญาณ)
    มนุษย์ในขณะที่ยังลืมตาอยู่จะรับรู้ร่างกาย และการหายใจได้ แต่ในขณะที่นอนหลับเป็นช่วงที่จิตสำนึกทำงานเป็นหลักอยู่ ใจของมนุษย์จะละจากร่างกายและการหายใจไปชั่วคราว และหากอยู่ในสภาวะจิตเหนือสำนึก อันเป็นสภาวะสมาธิอันล้ำลึก จิตจะเป็นอิสระจากความงมงายที่ว่าตัวตนของมันขึ้นอยู่กับร่างกายและการหายใจ จิตวิญญาณเมื่ออยู่ในสภาพไร้การหายใจ ของสภาวะจิตเหนือสำนึกแล้ว จะรู้แจ้งถึงตัวตนที่แท้จริงของมันได้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2005
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    "สำหรับคนธรรมดา ตำแหน่งตาที่สามที่เป็นศูนย์กลางนี้ จะมีลักษณะเป็นหน่ออ่อนๆของดอกไม้ ส่วนคนที่ฝึกจนรุดหน้าในวิชานี้แล้ว จะมีวิวัฒนาการที่สูงขึ้นไปอีกขั้น ตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางนี้ จะบานออกเหมือนดอกไม้แรกแย้ม และทำงานแทนตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของจิตสำนึกเดิมได้ในที่สุด"

    ประสบการณ์ทางจิตของผู้ที่ฝึกฝนจนเปิดตาที่สามได้เอง
    โดยการช่วยเหลือจากคุรุ สัตยา ไสบาบา...

    "ดร.โกแอล (เกิดปี ค.ศ.1935) ได้บันทึกประสบการณ์ ระหวางวันที่ 14 มีนาคม -10 พฤษภาคม ปีค.ศ.1975 ที่เขาเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตาที่สามไว้อย่างละเอียดว่า ขณะที่เขานั่งสมาธิอยู่เบี้องหน้า รูปของไสบาบา เขาได้เห็นนิมิต ในขณะที่ตาทั้งสองข้างเขายังปิดว่า...

    "มีแถบสีแดงหนาเป็นรูปวงรีตั้งฉากกับพื้นปรากฎขึ้นบริเวณหว่างคิ้วของเขา ปรากฎขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม.. ต่อมาในตอนเช้าของวันที่ 24 มีนาคม เขารู้สึกว่ามีแรงดันจากข้างในศรีษะ บริเวณเส้นประสาทในสมอง ขณะที่นั่งสมาธิอยู่ แล้วทันใดนั้นก็มีแสงสว่างปรากฎออกมาจากบริเวณใกล้กลางกระหม่อม พอเขาตั้งจิตภาวนาอฐิษฐานถึงไสบาบา ให้ช่วยตัวเขา โดยเพ่งจิตไปที่หว่างคิ้ว เขาก็ได้เห็นแถบสีแดงในแนวตั้งที่เคยเห็นเมื่อสามวันก่อนปรากฎขึ้นมาอีก แถบสีแดงนี้ค่อยๆขยายกว้าง จนกลายเป็นเหมือน "ดวงตา"อันที่สามนี้ เขามองเห็น สัตยา ไสบาบา ยืนอยู่ตรงกลางใส่ชุดสีส้ม เขาเชื่อทันทีในขณะนั้นว่า คุรุเทพที่เขาบูชา ได้เปิด"ดวงตาที่สาม"หรือ"ศิวะเนตร"ให้เขาแล้ว

    ในวันที่ 27 มีนาคม เขาเห็นดวงตาที่สามของเขาเปิดอีก รวมทั้งเห็นตัวเองในวัยเด็กที่ถูกท่านไสบาบา โอบกอดอยู่ และบอกกับเขาว่า ท่านจะปกป้องเขาเอง...หลังจากนั้นเขาเริ่มทำสมาธิอีก คราวนี้แลเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายงู กำลังเลี้อยขึ้นมาจากก้นกบของเขา ซึ่งเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า สิ่งนั้นคือ "กุณฑาลินี" อย่างแน่นอน....

    วันที่ 13 เมษายน ดวงตาที่สามของเขาเปิดอีก คราวนี้แลเห็นพระกฤษณะปรากฎในดวงตาที่สาม กำลังเป่าขลุ่ย อยู่ต่อหน้าศิวะลึงค์ขนาดมหึมาสีดำ และเกิดบทสนทนาทางจิต ระหว่างเขากับไสบาบา บทสนทนาทางจิตนี้เกิดขึ้นระหว่างคุรุเทพผู้นั่งอยู่ตรงตาที่สาม กับตัวเขาซึ่งเป็น "ชีวา" หรือ "ปัจเจกวิญญาณ" ซึ่งยังติดอยู่ในโลกของอัตตาอยู่ ...(มีใจความเกี่ยวกับคำถาม คำตอบ หลายประโยค...เช่นก้าวต่อไปควรจะเป็นอย่างไรต่อไป?....)

    ดังนั้นเขาจึงต้องนั่งที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วใกล้ชิด กับพระบิดาของเขา เพื่อแสวงหาความสงบ โดยเขาคิดว่าจะไม่มีทางที่ ชีวิตนี้ของเส้นประสาท และใจจะเป็นตัวแทนของตัวเขาได้อีกต่อไปแล้ว และสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะค่อยๆ เสื่อมพลังในการผูกมัดตัวเขาทีละน้อยๆ จนกระทั่งไม่มีผลต่อตัวเขาอีกในวันข้างหน้า และเมื่อนั้นแหละที่ตัวเขาจะบรรลุการปลดปล่อยอย่างสิ้นเชิง และสามารถรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นเป้าหมายของเขาได้....

    และเขาก็ยังคงนั่งสมาธิเพ่งจิตไปที่หว่างคิ้ว ดวงตาที่สามของเขาก็เปิดขึ้นอีก คราวนี้เห็นนิมิตของพระเยซู ปรากฎอยู่ตรงกึ่งกลางดวงตาที่สาม มีรังสีออร่าสีขาวกระจ่างปรากฎออกมาโดยรอบศรีษะของพระเยซู เขาจึงตระหนักได้ทันทีเลยว่า "ดวงตาที่สาม" เป็นตำแหน่งที่คนเราสามารถเห็นพระเจ้าในรูปทรงต่างๆได้ ถ้าท่านประสงค์จะให้คนๆนั้นแลเห็น..."

    อันที่จริงรายละเอียดต่างๆในการที่เราได้แลเห็นนั้น ถ้าหากเรามีคุรุเป็นพระอรหันต์ และพระพุทธเจ้า สิ่งที่เราจะได้เห็นก็คงเป็นสิ่งที่เรานับถือและศรัทธาเช่นกัน จะเห็นว่าประสบการณ์ทางวิญญาณเหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากส่วนใดๆ ของโลกล้วนเป็นเรื่องสากล ที่มนุษย์เราทั้งโลกสามารถเข้าถึงได้ เราจึงไม่มีเหตุผลที่จะไปแบ่งแยกใดๆ เพราะความยึดติดส่วนตัวของเราเท่านั้น...เพราะความเป็นหนึ่งเดียวกันนี่แหละ ที่จะทำให้เรากลับคืนสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของเราได้..เหมือนเราเป็นละลอกคลื่นเล็กๆ ที่กำลังจะเข้าไปรวมกับมหาสมุทรขนาดใหญ่นะครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2005
  10. chelsea40

    chelsea40 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +15
    ขอบคุณ คุณ mead มากๆ ครับ อ่านแล้วเข้าใจเลยครับ
     
  11. singkaew_k

    singkaew_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +159
    ตาที่สามมีจริง เราใช้วิธีนี้มาตั้งแต่เด็กโดยไมรู้ตัว เรานั่งสมาธิภาวนา ดูลมหายใจเข้า ออกบริเวณจมูกยามเมื่อจิตเศร้าหมอง เหมือนการเติมพลังแก่ตนเอง เมื่อถึงขณะหนึ่ง จะเกิดแสงสว่างจ้าบริเวณระหว่างคิ้ว เราก็ภาวนาดูลมเรื่อยไป จนสว่างจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เกิดปีติสุข สดใส จะรู้ด้วยตัวเองว่า จิตสดชื่นมีพลัง เรานำจิตนั้นมาคิดทบทวนการเรียน จัดลำดับงานที่จะทำในอนาคต และนำมาใช้คิดวิธีรักษาคนไข้ที่มีปัญหา คิดในขณะทำสมาธิ และใช้เพ่งเวลาคนไข้บอกอาการขณะตรวจโรค คนไข้มักจะชอบมาตรวจที่เราและหายอย่างไม่น่าเชื่อ คนไข้บอกเราจัดยารักษาได้ถูกโรค แต่เราก็ไม่หลงคิดว่าเกิดจากวิธีการใช้ตาที่สามร่วมด้วย เรารักษาโรคตามหลักการแพทย์ที่เรียนมาอย่างเที่ยงตรง เพียงแต่ใช้วิธีนี้ร่วมด้วย เราเตือนตนเองว่า จงระวังอย่าหลงระเริงแล้ว ความสามารถการรักษาจะเสื่อมได้ หลงทางได้ ขึ้นชื่อว่าโลกียะ มีได้ทั้งเจริญและเสื่อม รักษาศีลให้ดี แผ่เมตตา ปรารถดีต่อคนไข้ ภาวนาอย่าได้ขาด จะรักษาของดีไว้ได้ นี่คือประสบการณ์ของข้าพเจ้าเกี่ยวกับการใช้ตาที่สามโดยไม่รู้ตัว ยังต้องศึกษาต่อไป
     
  12. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ดีจังเลยครับ ดึงเอาพลังของตาที่สามมาใช้ในชีวิตประจำวัน..ช่วยเหลือผู้อื่น
    ได้อีกทางหนึ่ง...(เกิดประโยชน์อย่างมากครับ) โมทนาด้วยครับ..

    ---------------***เพิ่มเติมความรู้กันหน่อยครับ****-----------------

    "ตาที่สาม" คือจุดศูนย์กลางของการรับรู้ ถ้าจะเรียกนามของกลไกชิ้นนี้ที่เราทราบอยู่แล้วก็คือ ต่อมไร้ท่อต่อมหนึ่งมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียว ที่เร้นอยู่ภายในกระโหลกศรีษะมนุษย์ มีชื่อเรียกขานว่า "ต่อมไพนีล"

    "เมื่อจิตมนุษย์ข้ามพ้นอารมณ์รู้สึกนึกคิดแบบจิตมนุษย์ ที่ว่าด้วย
    ชอบไม่ชอบ เอาไม่เอา หรืออยากไม่อยาก ไปได้อย่างสิ้นเชิงเมื่อใด...

    ตาที่สาม หรือ ประตูมิติสู่จิตวิญาญาณตนเอง ก็จะเปิดออกในทันที!

    ถ้าตาที่สามอันเป็นดวงตาแห่งจิตวิญญาณ ที่มีปัญญาญาณหยั่งรู้ และล่วงรู้อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะอันแสนวิเศษของกลไกนี้ สามารถเปิดออกได้ด้วยการ หยุดกิเลสตัณหาของจิตหยาบ ได้เมิ่อใด ผู้นั้นก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงการเป็น
    "คนสองมิติ" ได้ทันที....

    "มิติทางกายภาพ" และ "มิติทางพลังงาน"
    หรือ "มิติแห่งทางสายกลาง"นั่นเอง

    ความรู้จะหลั่งไหลเข้ามาหาในทันที เพราะมันถูกกำหนดให้เป็นของมันเช่นนั้น
    แล้วมนุษย์ผู้นั้นก็หยุดซึ่งการถามหาตัวตน และเข้าถึงสติปัญญาของจิตวิญญาณ โดยไม่จำเป็นต้องมองหาความรู้ด้วยตาเนื้ออยู่ร่ำไป...

    การฝึกปฎิบัตินอกจากการนั่งสมาธิ (การข่มจิต) พิจารณาแล้วแล้ว..
    ก็ยังสามารถฝึกในชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    หรือที่เรียกว่า "ธรรมชาติสมาธิ" ได้อีกทางหนึ่ง..

    ซึ่งนับเป็นข่าวดีว่าในยุคนี้ พลังสนามแม่เหล็กโลกที่กำลังปรับตัว ยกระดับพลังงานให้มีค่าสูงขึ้นอีกเท่าตัว ทำให้ตาที่สามของแต่ละคนแง้มออกมาแล้ว
    รอให้แต่ละคนออกแรงพลักเปิดออกอีกนิด ซึ่งทำได้ง่ายขึ้นกว่าในยุคที่ผ่านมา
    (ถ้าใครพร้อมก็ลองพลักดูนะครับ..ยินดีด้วยครับถ้าท่านใดเปิดออกได้แล้ว)

    พลังอำนาจของสนามแม่เหล็กโลก มีผลกับสิ่งมีชีวิต หรือเป็นตัวกำหนดค่า
    ระดับสติปัญญาและภูมิปัญญาของมนุษย์ในแต่ละดวงดาว...
    (เรียกว่าที่ใดมีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มอยู่ ที่นั่นย่อมมีโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิต
    อาศัยอยู่แน่นอนครับ..)

    มนุษย์หรือนักบวชในที่ผ่านมาในอดีต ย่อมต้องใช้ความอุตสาหะในการฝ่าฟัน
    อย่างหนักหน่วงเพื่อเข้าถึงปัญญาญาณ ซึ่งเราอาจโชดดีกว่าก็เป็นได้..
    เพียงแต่เราอาจไม่ลงมือทำกันเท่านั้น..

    ท่ามกลางสังคมโลกที่มีปัญหา สิ่งยั่วยุทั้งหลาย กลายเป็นสิ่งที่ยากแก่
    การปฎิบัติ บำเพ็ญไปเสียแล้ว..เราไม่อาจหลีกเลี่ยงเดินทางเข้าป่า..
    หลบไปบำเพ็ญเพียรได้ และยังต้องดูแลผู้มีพระคุณ ซึ่งไม่อาจละทิ้งได้..
    ดังนั้น การลืมตาปฏิบัติก็เป็นเรื่องที่จำเป็นมากขึ้น เพราะเราต้องพบเจอกับ
    เรื่องราวสารพัดที่เป็นที่มาของกิเลส นับวันก็พอกพูนเพิ่มขึ้นๆ ใชไหมครับ
    เราต้องหยุดให้ได้ ด้วนการลืมตาสู้ ๆ ๆ รับรู้ แต่ไม่รับเอา ให้ได้...
    ยากแต่ก็ต้องฝึกฝนเอาไว้นะครับ...(ขอบคุณที่อ่านจบนะครับ..)


    (bb-flower

    เป็นกำลังใจให้นะครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2005
  13. Kermit

    Kermit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +2,111
    ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ
     
  14. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    แหม หายไปนานเลยนะคะ กลับมาแล้วนำสิ่งดีๆ มาให้รับรู้กันโดยทั่ว ขอบคุณค่ะ
     
  15. jokepito

    jokepito สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +12
    เท่าที่อ่านมาทั้งหมดดูจะเหมือนๆการ สะกดจิต ให้กับตัวเองเลย

    ทั้งสภาวะทางกายและทางจิต
    ต่างกันแค่วิธีที่จะเข้าถึงจุดตรงนั้นเอง

    จริงเท็จขนาดไหนหรือผมเข้าใจผิดก็ไม่รู้นะครับ
     
  16. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ตาที่สาม...สภาวะอาตมัน
    ในทัศนะที่ เป็น อยู่
    .....
     
  17. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    <CENTER>สภาวะอาตมัน</CENTER>
    การทำสมาธิฌานจิตเป็นมรดกตกทอดของเหล่าอารยชนชนโบราณ ซึ่งมีมานานหลายหมื่นพันปีก่อนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ยังมีอีกสภาวะหนึ่งที่มนุษย์ทุกเพศ ทุกศาสนา ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกชนชั้น สามารถเข้าถึงได้และประจักษ์ถึงความจริงในระดับคลื่นความถี่ที่สั่นสะเทือน(vibration)ระดับที่ละเอียดที่สุดในเอกภพ คือระดับอณุปรมาณู ซึ่งเป็นการเข้าไปล่วงรู้ความจริงของธรรมชาติ เนื่องด้วยธรรมชาติจิตและกายสัมพันธ์กัน จิตละเอียด-กายละเอียด, จิตหยาบ-กายหยาบ.........
     
  18. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    การเจริญทำฌานจิตคือการเข้าสู่ความละเอียดของกายและจิต ยิ่งจิตและเอียดเท่าใดก็ยิ่งเข้าสู่การแยกย่อยธาตุภายในซึ่งมีธาตุรู้(วิญญาณธาตุ)ที่แทรกซึมอยู่ทุกอณู ความจริงหนึ่งที่พระพุทธเจ้าประสบเมื่อเฝ้าสังเกตดูความจริงภายในโครงสร้างร่างกายของตน ด้วยใจที่เป็นกลาง (อุเบกขา) กล่าวคือ ไม่ให้เกิดความรู้สึกทุกข์หรือสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นพระพุทธเจ้าทรงพบความจริงโดยเริ่มต้นจากความจริงชนิดหยาบ ๆ เป็นกลุ่มก้อนรุนแรง จากนั้นก็จะค่อย ๆ พบความจริงที่ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น จนถึงขั้นหนึ่งจะพบว่าร่างกายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นกระดูก เนื้อหนัง ผม หรืออะไรก็ตาม จะประกอบขึ้นด้วยอนุภาพเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่จะสามารถรู้สึกได้เท่านั้น อนุภาคเล็ก ๆ นี้มีขนาดเล็กกว่าอณู (ปรมาณู) จึงอาจเรียกว่าอณุปรมาณู และพระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติศัพท์ขึ้นมาคำหนึ่งเพื่อใช้เรียกอณุปรมาณูซึ่งสิ่งนี้เป็นสัจธรรมอันสูงสุดของรูปขันธ์ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติชื่อว่า “อัฎฐกลาปะ” คำว่า กลาปะ แปลว่า หน่วย และ อัฏฐะ แปลว่า แปด แปดสิ่งมารวมกันเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดจนไม่สามารถที่จะแยกออกไปได้อีกแล้ว
    ...............
     
  19. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    และแปดสิ่งนี้ก็คือเส้นทางแปดเส้นทางอันเป็นพื้นฐานของคุณสมบัติของธาตุทั้งสี่ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังค้นพบอีกว่า ทุกอณุปรมาณู ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของสสารในจักรวาล ไม่ใช่ของแข็ง ไม่มีลักษณะของความเป็นก้อนแข็งอยู่เลย อณุปรมาณูเหล่านี้ เป็นเพียงความสั่นสะเทือนเท่านั้น โลกทั้งโลกคือ ความสั่นสะเทือน จักรวาลทั้งหมดมีแต่การเผาไหม้ มีแต่การเผาไหม้และความสั่นสะเทือน มีอยู่เท่านั้น ไม่มีตัวตน รูปทั้งหมด นามทั้งหมด ตลอดจนส่วนผสมของรูปและนามล้วนเป็นความสั่นสะเทือน
     
  20. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    จิตวิญญาณที่เข้าถึงสภาพอาตมันที่ดำรงอยู่ระดับอณุปรมาณูวิญญาณธาตุ คลื่นสั่นสะเทือนที่ละเอียดมีความถี่ระดับสากลจักรวาล คือการเข้าไปประสบการณ์หนึ่งด้วยสภาวะจิต ณ จุด ที่ลมหายใจดับสนิท ดับสนิทในที่นี้หมายความว่าลมหายใจมีอยู่และละเอียดแผ่วเบายิ่งนัก ทว่าลำดับสภาพจิตที่ละเอียดเป็นที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจุดสัมผัสตกกระทบ ไม่มีลมหายใจผ่านเข้าออก เพราะความละเอียดที่กลมกลืน นามคือเวทนาเจตสิกที่ดับไปคือปีติ สุข ดำรงอยู่ด้วยสติที่บริสุทธิ์ จิตเสวยอุเบกขาเวทนา ฌาน๔ จุดเอกัคตาจิตลำดับนี้ปกติจักอยู่ในจุดเหนือกระหม่อม หรือจุดสหัสราล(จักระที่๗) ในสหจะโยคะ เต๋ากล่าวไว้เช่นกันคือการธรรมชาติการโคจรของจิตไปยังจุดเอกกัคคตาจากขั้วลบ(จุดกุณฑาลิณี-สหจโยคะ)ที่ปลายไขกระดูกสันหลัง ไปยังขั้วบวกคือจุดสหัสสราล เมื่อนั้นความหยั่งรู้ในปรจิตวิทยา อตีตังสังคญาณ อนาคาตังคญาณ ปรากฏแก่โยคีเป็นจุดสูงสุด หากแต่ยังกล่าวไม่ได้ว่าคือการเข้าสู่สภาพอาตมันหากแต่ลำดับแรกโดยลำดับวิถีแห่งจิตในการโคจรนี้นั้นเมื่อลมหายใจดับสนิทดังกล่าวด้วยอานาปานสติสมาธิ โยคีดำรงจิตโดย*น้อมความรู้สึกที่ต่อเนื่องนั้นไว้ไปยัง ณ จุดระหว่างคิ้ว(จักระที่๖) หรือ จุดอาชญา(ตาที่สาม) มีโศลกโบราณเจ็ดพันกว่าปีซึ่งกล่าวไว้ ณ จุดนี้ว่า ดำรงจิตอยู่จุดระหว่างคิ้ว ให้ดวงจิตอยู่ก่อนความคิด ช่องว่างแห่งดวงตาย่อมครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...