**ที่นรก วิญญาณล้วนถูกลงโทษ เขาไม่มีเลือดเนื้อ ทำไมถึงเจ็บ?(ผู้รู้ เมตตาตอบด้วยค่ะ)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ณัฐธยาน์, 8 พฤษภาคม 2008.

  1. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    แบบนี้เขาเรียกว่า มิจฉาทิฐิ

    อ่านตาม link ครับ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=115962

    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=1966<!-- / message -->
     
  2. zcracher

    zcracher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +267
    สั้นๆง่ายๆ คือ ยึดติด

    ถ้าพวกเขาไม่ยึดติดกับ รัก โลภ โกรธ หลง แล้วเขาจะสร้างกรรมได้ยังไง และพวกที่ลงนรก ก็คือพวกที่มีกรรมหนัก ต้องชดใช้ พวกเขาถึงยึดติด ยิ่งถ้ามีพลังซักอย่าง มาทำให้เขาคิดว่าเขาถูกต้ม ถูกแทง หรือ อะไรก็ตาม เขาก็จะคิดว่าเขาต้องเจ็บ เขาต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้

    ถ้าเกิดใครได้ลงนรกก็อย่ายึดติด จะได้ออกมาใวๆ แต่ในเว็บนี้คงไม่มีใครลงไปเพราะทำกรรมหรอกมั๊ง มีแต่คนดีทั้งนั้นถึงอยู่ในเว็บนี้
     
  3. 108man

    108man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +1,794

    ในการทำความเข้าใจเรื่องนี้

    โอปปาติกะ กับ ร่างที่เป็น นามรูป ที่เป็นเรานี้ ต้องทำความเข้าใจแยกกันให้ดีครับ

    การที่นามรูปคิดรู้และเข้าใจ เป็น ผลจากผัสสะที่ได้รับ จากสัมผัส ต่างๆ ที่รูปรับได้ จึงเกิด การรู้ด้วยวิญญาณ ของ รูปกายธาตุสี่ที่เป็นเรา ความคิด ชั่วดีก็ตาม ก็มีผลมาจากวิบากกรรม และ วิญญาณ ในชาติมนุษย์ ที่เป็นอยู่ ตามสภาวะจิต ทีเป็นใจร่างมนุษย์ ซึ่ง รับรู้ได้ตามที่เป็นอยู่ตอนนั้น ๆ ไม่เกี่ยวกับการตายไปเป็น โอปปาติกะ นั่นคือ ไม่จำเป็นว่าต้องถ่ายทอดสืบต่อ ไปทันทีเมื่อตาย ถ้าจะสรุปตรง ๆ คือ การที่เราตายไปแล้ว เมื่อไปเป็น โอปปาติกะ แล้ว อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นคนดีหรือชั่วในร่างมนุษย์ ใด ๆ เลยก็ได้

    ทีนี้ก็อาจสงสัยว่า ว่าอย่างนี้ ทำดีก็ไม่ได้ดี ทำชั่วก็ไม่ได้ชั่ว นะสิ ก็ไม่ใช่ เพราะ กฏที่ใช้คือ กฏแห่งกรรม บวกกับการเรียนรู้ธรรม ของ รูปกายเราหรือจิตเรา เมื่อศึกษาดูดีๆ แล้ว จะเข้าใจว่า การตายไปแล้ว ไปสู่ภพภูมิต่างๆ กัน มันมีเหตุและปัจจัย ครับ และ เหตุปัจจัยจะเป็นอยู่ภายใต้ของกฏแห่งกรรม แต่ กรรมที่ทำในร่างกายมนุษย์มัน มีโอกาสที่จะทำให้ไป จุติ ได้มากกว่าจริง แต่ อย่ายึดถือว่าเป็นอย่างนี้ตายตัวเสมอไป เพราะกรรมที่ติดมากับจิต บางทีมีกำลังมากกว่ากรรมปัจจุบันก็ได้ครับ

    ถ้าสงสัยก็ให้ไปอ่านในพระไตรปิฏก ก็ให้อ่านเรื่องที่คนปฏิบัติธรรมและเป็นคนดีในร่างมนุษย์ดีเบบไม่มีที่ติ ทำไมตอนตาย ตกนรกก่อน จึงจะได้ไปสวรรค์ และ ก็ไปอ่านเรื่องที่คนที่ไม่ดีนักหรือตลอดชีวิตไม่รู้จักความดี แต่ทำไม่ตายไป บางคนไปเป็นเทวดาเลย เป็นต้น ผมว่ามีให้อ่านหลายๆ จุด ก็จะเห็นตัวอย่างส่วนหนึ่งที่พอจะทำความเข้าใจแม้บางทีอาจยอมรับไม่ได้แต่นี่เป็น ธรรม

    ขอให้ทำความเข้าใจให้แยกกันในเรื่องจิตใจความรู้สึกนึกคิดของ นามรูปที่เป็นเราในร่างมนุษย์ ออก จากรูปในนามและความรู้สึกนึกคิดของโอปปาติกะ มันมองต่างกัน อย่างน้อยที่สุด ผัสสะมันก็ต่างกันมากและไม่มีอะไรเหมือนกันเลย

    อย่างที่บอก ว่าช่วงเวลาที่เราจะตาย จะมีช่วงสุดท้าย ที่ กรรมและวิบากกรรม จะมาพาเราโดยจัดการวิญญาณเราให้เหมาะกับ การเป็นโอปปาติกะ นั้นๆ แล้ว จึงไปจุติตาม กรรมและวิญญาณจุตินั้น ๆ

    ถ้าไม่เข้าใจคงต้องถามมาอีก คงมีท่านอื่นๆ ตอบเพิ่มเติมให้ได้ ง่ายกว่านี้


    .... จากตัวอย่าง ที่ยกมา อันนี้เค้าเรียกว่า ไม่เป็นสัมมาทิฐิ คือ ไม่รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว ไม่รู้เรื่อง กุศลกรรม และ อกุศลกรรม และ ไม่รู้เรื่องผลของกรรมดี กรรมชั่ว ตามไป อ่านตามเรื่องตาม มิจฉาทิฐิ ตามที่มีสมาชิกท่านได้ให้ Link ไว้ ตามนั้นครับ ผลของเค้า ถ้าไม่มีวิบากกรรมดี มาช่วยก่อนตายให้ไปสู่ภพภูมิสูงได้ โอกาส จะไปเกิด เป็น โอปปาติกะ ในภพภูมิที่ ต่ำที่เป็นทุกข์ คงต้องได้รับทุกข์ โดยไม่รู้ไม่เข้าใจว่ามันเป็นทุกข์ทำไม แหละครับ แถมใครจะไปช่วยก็ยากเต็มที เพราะจะเป็นโอปปาติกะที่ ดื้อมีความคิดในมุมเดียว ไม่เข้าใจในมุมของความดีได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2008
  4. ณัฐธยาน์

    ณัฐธยาน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +767
    ขอบพระคุณ ทุกท่านมากค่ะ

    คำตอบจากท่าน เป็นประโยชน์มากๆ

    ทั้งนี้ จะได้นำไปเผยแพร่ เป็นธรรมทาน

    ให้กับผู้อยากรู้ อีกหลายๆท่าน

    ซึ่ง บางท่าน คงต้องการฟังจากที่ดิฉันพูดสรุป ไม่ชอบอ่าน ก็มี

    บางท่าน ดิฉันจะ print ข้อความของท่านให้อ่านโดยตรง ก็มีค่ะ

    ทั้งหมดนี้ คือเนื้อนาบุญโดยแท้ ดิฉันนับถือท่านค่ะ

    ขออนุโมทนาค่ะ

    ***หวังว่าคงได้รับคำตอบ ในอีกหลายๆ มุม

    และหากมีข้อแนะนำ หรือข้อธรรม คำสอน อื่นใด เพิ่มเติม

    ก็ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ภาษาธรรมะ ****

    สมัยพุทธกาล ....
    สิ่งจัดสรร รูปร่างหน้าตา...คือ " ตัวกระทำ "

    ทุกอย่างเป็นไปตาม... " หลักสัจจะธรรม "
    ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. gitti

    gitti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,035
    คุณใบไม้และคุณ108man ปฎิบัติกันยังไง ทำไมถึงเก่งกันจังไปดูนรกสวรรค์กันได้ นับถือเลยจริงๆ วันหลังสอนกันมั่งนะๆๆๆ อยากทำได้มั่ง
     
  7. 108man

    108man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +1,794
    ต้องขอโทษครับ ผมเป็นคนธรรมดา ยังไม่ได้อะไรเลย จริงๆ

    เพียงแต่ว่าได้ไป เพราะ มีครูบาอาจารย์ พาไป ครั้งหนึ่ง แต่ ผม เอาสติตามดู ทุกกระบวนการ ที่ จิต ออกจากร่าง ไปนรกแบบมีแต่จิตวิญญาณร่างกายไม่ได้ไปด้วย และ ดูการกับเข้ามาในร่าง จากจิตจนเต็มร่าง ทั้งนี้เพราะ ผม ฝึกสมาธิ และ เจริญสติ สลับกัน

    ทำให้ผมมีสติรู้ได้ว่า จิตจะออกจากร่าง ทิ้งรูป อย่างไร เพราะตอนนั้น มันมีสติคิดได้ว่า ถ้าเราจำได้ทุกขั้นตอน วันหนึ่งเราจะออกไปโดยตั้งใจ เราก็จะสามารถทำได้ ทำให้ผมกำหนดรู้ ดูแบบมีสติ ประกอบ และ ไม่สนใจว่าจะตายไปเลยหรือไม่ เพราะคิดว่า ฝากชีวิตไว้กับท่านที่พาไป

    จากข้อนี้ทำให้ผมจำสภาพของ กายกับจิตตรงนั้นได้ ทำให้บางครั้งนั่งสมาธิก็รู้ว่านี่แหละจะไปแล้วแต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า เป็นคนธรรมดาไม่เหมือนพระเพราะว่า ศีลไม่เท่ากัน ความยากง่ายไม่เท่ากัน ถ้าเป็นพระคงไปได้อีก ครับ เพราะมันรู้

    เพียงแต่ว่าตอนนี้ผม กลับมาเน้นเรื่อง นามรูป และ จิตวิญญาณ คือได้ปรับมาเรียนรู้เรือง การทำงานของจิต วิญญาณ นามรูป ที่เป็นแนวทางจิต เหมือนวิทยาศาสตร์ทางจิด ไม่ได้พิจารณา ขันธ์ ห้าแบบวิปัสสนา พอดีช่วงนี้มัน เข้า ก็เห็นถามมา ผมก็ตอบเป็น แนวทางจิต ไม่ได้ตอบในแนว วิปัสสนาที่มีท่านอื่นตอบอยู่แล้ว

    ตัวอย่างที่ผมสนใจศึกษา แนวนี้เพราะว่า มีครั้งหนึ่ง ศิษย์พี่ ที่เค้าถอดกายทิพย์ออกไปกับอาจารย์เพื่อไปสถานที่ต่าง เพื่อพบร่างทิพย์หรือโอปปาติกะของ พระหรือครูบาตามที่ต่างที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ถ้าเค้าออกไปกับอาจารย์นั้น ก็ตามกันไปไม่มีอะไร แต่เค้าเล่าว่า เมื่อตอนที่จะออกไปเองจะต้องนำของบางอย่างที่อาจารย์ให้ไว้เช่น มีดหมอ ตระกรุด หรือ พระเครื่อง วางไว้ข้างๆ ตัวตอน จะออกจากร่าง แล้ว ก็จะหยิบติตตัวไปด้วย เพราะว่าในโลกโอปปาติกะ ในโลก มันอันตรายมาก ออกไปดุ่มๆ แล้ว บ้างที่ไปเจอกับพวกที่ไม่ตอนรับ ถ้าสู้ไม่ได้ ก็ต้องใช้ของที่อาจารย์ให้ที่อยู่ในรูปทิพย์ แก้ไขปัญหา

    แต่เมื่อเค้าเก่งขึ้น โอปปาติกะที่เคยเห็นเค้า ที่อยู่สถานที่สำคัญ จะมองไม่เห็นถ้าไม่อยากให้เห็น

    จนผมมาได้คำตอบบางอย่างของ การพิจารณา นามรูป ในรูปแบบการพิจารณนาม ในรู้แบบของวิถีจิตแล้ว บวกกับความเข้าใจเรื่อง วิญญาณ มากขึ้น ก็ทำให้ข้อสงสัยเรื่อง ที่ศิษย์พี่ นำเอาของที่มีแปลงเป็นทิพย์ ติดตัวไปด้วยได้ เพราะมันเป็นเรื่องจิต วิญญาณ ก็ไม่อธิบายมาก ๆ มันจะงง ก็สรุปว่า ที่คาดว่าจะเป็นเรื่อง ของ ธาตุสี่ที่เป็นรูปของนั้น ๆ มีวิญญาณกระทำอยู่ในรูปนั้น เมื่อเรา ไปในร่างโอปปาติกะก็เอานามวิญญาณของของนั้นๆ ไป จากธาตุสี่ที่เป็นของ นั้นๆ หวังว่าพอจะเข้าใจแนวทางที่ผมกำลังปฏิบัติ ซึ่งผลสรุป ถ้าเป็นอย่างนั้น จริง การที่เราจะ ทำของให้เกิดขึ้นจากอากาศ(จริงๆ อากาศ ก็เป็นธาตุสี่ตัวเป็นอากาศ) ได้ แต่ในมุมกลับไม่ได้หมายความว่าผมจะแปลงโน่นแปลงนี่จากธาตุสี่ มันกลับ ทำให้ผมต้องรู้เรื่องจิตทำงานในรูปวิญญาณ และ ทำความเข้าใจตรงนั้น ซึ่งในที่สุด มันก็ต้องไปรู้เรื่องของ ธรรมะที่ไม่ต้องเกิดอีกอยู๋ ดี ......

    ลองเอาเรื่อง งง ๆ ไปพิจารณา เล่นๆ ว่า ถ้า ต้นข้าว ที่เกิดขึ้น เกิดแต่วิญญาณที่มีลักษณะต้นข้าว ที่ล่องลอยอยู่ในมิตินี้โดยการสร้างจากจิตหนึ่งไว้ เมื่อเม็ดข้าวลงสู่ดิน วิญญาณต้นเข้าอยู่ควบคุมเมล็ดข้าวที่เป็นธาตุสี่ให้เติบโตจนเป็นต้นข้าว แล้ว ก็ตายไป แล้ว วิญญาณต้นข้าวก็ออกมาอยู่ในนามในมิตินี้อีกครั้งหนึ่ง ไปอย่างนี้ อย่างนี้ ถ้าเรามองเห็นได้ ก็จะเห็น มีวิญญาณต้นข้าวอยู่ตรงโน้นตรงนี้ และ ถ้าเราเก่งพอ เราก็ ให้วิญญาณต้นข้าว มารวมกับธาตุสี่ แล้ว เร่งด้วยจิตให้ปรากฏเป็นต้นข้าวในมือ ได้มั้ย

    ย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้เก่งอะไรเลย จริงๆ ผมก็คนที่ปฏิบัติโดยมีแบบอย่างที่ดีหลายท่าน ที่มีคุณวิเศษให้ผมได้เห็นได้ดู ผมก็หยิบส่วนดีๆ ของเค้าเหล่านั้นมาศึกษา และ ก็ยังคงทำอย่างนั้นอยู่

    โปรดอย่าชมผมเลยครับมันไม่ดี ผมก็เหมือนคุณแหละ คนเหมือนกัน และ ผมก็ศึกษาจากคนอื่นๆ มาอีกทีครับ
     
  8. ณัฐธยาน์

    ณัฐธยาน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +767
    ขอตั้งคำถาม อีกข้อค่ะ

    กรณี คนบ้า หรือ สติไม่ดี

    ได้กระทำความรุนแรง เช่น ฆ่าคน ฆ่าสัตว์อย่างเหี้ยมโหด เป็นต้น

    ซึ่งปัจจุบัน ก็เห็นมีบ่อย

    เคยได้ยินมาแต่โบราณว่า อย่าถือคนบ้า

    และเข้าใจว่า ศาลก็มักตัดสินว่าไม่ต้องรับโทษ หากเขาบ้า

    แต่ให้เอาไปรักษา

    อย่างนี้ เมื่อเขาตายไป

    โทษเช่นเดียวกันกับคนปกติ ที่เจตนาทำ หรือเปล่าคะ
     
  9. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ควรเข้าใจเรื่องรูปและนามก่อน

    รูปอาจเป็นรูปกายหยาบ หรือรูปกายละเอียด

    ส่วนนาม ประกอบด้วยจิตและเจตสิก จิตหรือวิญญาณซึ่งเป็นแค่เพียงตัวรู้ ส่วนเจตสิกคือความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งอันประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร

    จิตกับเจตสิกทำงานร่วมกันตลอด

    ดังนั้นถึงไม่มีรูปกายหยาบแบบที่มีเส้นประสาทและระบบประสาทและสมองเหมือนมนุษย์และสัตว์บนโลกเรา

    ตราบใดที่ยังมีจิตก็ย่อมมีเจตสิกซึ่งแยกจากกันไม่ได้
    ดังนั้น ไม่ว่าพรหม เทวดา และสัตว์ในนรกถึงแม้นไม่มีรูปกายที่แท้จริงแต่มีจิตและเจตสิก ดังนั้นจึงมีเวทนาได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2008
  10. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    พืชและจุลินทรีย์ไม่มีจิตหรือวิญญาณ พวกนี้จึงไม่จัดในสิ่งมีชีวิตที่เป็นไปด้วยผลของกรรมเหมือกับสัตว์ใน31ภพ
     
  11. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ตามความคิดของผม อาจจะผิดขออภัย


    คนมีชีวิต
    คนบ้า รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตหรือไม่...ไม่แน่ใจว่า คนบ้าจะรู้หรือเปล่า
    คนบ้า มีจิตคิดจะฆ่าหรือไม่...มีจิตคิดจะฆ่าแน่ ๆ
    คนบ้า เพียรที่จะฆ่าหรือไม่...เพี่ยรที่จะฆ่าแน่นอน
    คนบ้าฆ่าตาย

    ดังนั้น

    ถ้าคนบ้าคนนั้นรู้ว่า คนที่กำลังจะฆ่ามีชีวิต ก็บาปครับ ศีลขาด

    แต่ถ้าคนบ้าคนนั้นไม่รู้ว่า คนที่กำลังจะฆ่ามีชีวิต ก็บาปครับแต่ ศีลพร่องศีลไม่ขาด

    เพราะไม่ครบองค์ของศีล

    ศีลขาดย่อมบาปหนักกว่าศีลพร่อง


     
  12. kikinlala

    kikinlala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4,939
    ค่าพลัง:
    +8,843
    มีความเห็นว่า น่าจะดูจิตจากตอนกระทำ (บ้าอยู่) นะคะ ..ไม่ใช่หลังทำไปแล้ว (รักษาหายแล้ว)
     
  13. ณัฐธยาน์

    ณัฐธยาน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +767
    คำตอบจากท่าน แนวเดียวกัน

    ทั้งนี้ขึ้นกับว่า ขณะกระทำผิด จิตรู้หรือไม่ หรือ เจตนาหรือไม่

    ขอบคุณมากค่ะ

    ขณะนี้ มีผู้อยากรู้ ขอให้ดิฉันช่วยถาม ผู้รู้

    อีกคำถามค่ะ คือ

    เมื่อตอนเขา ยังเด็ก ความเป็นอยู่แบบป่าๆ เถื่อนๆ

    ไร้เดียงสานัก ไม่รู้บาปบุญ อะไรดี-ไม่ดี

    บ่อยครั้งที่ต้องทำ คือ ฆ่าไก่ ที่เลี้ยงไว้ เพื่อให้แม่ทำกับข้าว

    กินกันในครอบครัว

    แล้วไปหาปลา ฆ่าปลา จิ้งหรีด กบ ยิงนก สารพัด

    เพื่อให้แม่กับครอบครัว กินเป็นอาหาร

    พอโตขึ้น

    โชคดี ได้รับการขัดเกลาเรื่อยๆ และไม่ทำแล้ว

    และ ตอนนี้ กังวลใจอยู่บ้าง ว่าบาปกรรม ที่เคยทำกับสัตว์เหล่านั้น

    จะส่งผลกับตัวเอง อย่างไร และเมื่อไร

    หากถึงเวลารับโทษ จะน้อยกว่าการฆ่าเพื่ออย่างอื่นใหม

    เพราะตอนนั้น เขาบอกว่าตัวเองไร้เดียงสา

    ฆ่าสัตว์โดยไม่รู้ ว่ามันรู้สึก..และเจ็บ ไม่รู้ว่าทำแบบนี้เป็นบาป

    นึกว่า เป็นสิ่งปกติ ธรรมดา สำหรับเรื่องอาหาร ต้องทำแบบนี้เท่านั้น

    เจตนามีอย่างเดียว คือให้แม่ได้กิน อิ่ม

    ขอบคุณค่ะ
     
  14. +||_แร๊ปรักชาติ_||+

    +||_แร๊ปรักชาติ_||+ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2008
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +20
    บอกตรงๆเข้าใจยาก_จัง_
     
  15. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +939
    ใช่เปรียบเสมือน เพชรฆาตคือลูกจ้างที่นายจ้างจ้างให้ทำนา เมื่อทำนาเสร็จแล้ว ถามว่าข้าวในนาจะตกอยู่กับใคร.........ก็ต้องตกอยู่กับนายจ้างใช่ไหม
    ข้าวในนาก็เหมือนกับบาปกรรมนั่นเอง.........
    เอแต่ก็สงสัยอยู่อย่างนึง........
    ในกรณีเดียวกัน ยกตัวอย่าง ถ้าเกิดแม่ใช้ให้เราเอาของไปใส่บาตรที่วัด บุญก็ต้องตกกับแม่ แต่ทำไม...เราก็ได้บุญด้วยล่ะ (ถ้าเราไม่เต็มใจไปแต่กลัวแม่ด่า เราก็ต้องไป)
     
  16. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    แล้วสัตว์เหล่านั้นเขาจะยินดีในการถูกฆ่าหรือครับ

    มันต้องได้รับทั้งบุญที่ กตัญญูต่อแม่ครับ

    และ ต้องได้รับบาปจากการฆ่าครับ แต่บาปนั้นหนักเบา ก็ต้องว่ากันเป็นครั้ง ๆ ไป

    คุณณัฐธยาน์ ครับ

    จงเชื่อใน กาลามสูตร 10 ครับ...แม้แต่พระพุทธองค์เอง ท่านตรัสว่า
    อย่าพึ่งเชื่อท่าน แต่จงฟังและพิสูจน์ คำสอนของท่านก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2008
  17. ณัฐธยาน์

    ณัฐธยาน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +767
    สุภาพบุรุษ ท่านหนึ่ง

    มีอาชีพและหน้าที่รับใช้ชาติ เป็นระดับปฏิบัติการ

    ถูกฝึกมาโดยเฉพาะ ( ต่อต้านยาเสพติด )

    และงานส่วนใหญ่ ต้องลงมือ ..

    ฆ่ามาเยอะ..จนทุกวันนี้ต้องปลอมตัวตลอดเวลา (มีค่าหัว)

    ที่ผ่านมา เขารู้สึกสะเทือนใจมากขณะลงมือ

    เคยคิดว่า..เช่นนี้ ถึงแม้เป็นลูกหลานก็ต้องลงมือ

    คิดว่า ด้วยหน้าที่เกิดมา เพื่อรับใช้ชาติ ยอมสละชีวิต

    และ ความสุข ความเป็นตัวเองทุกอย่าง



    เขาถามว่า...นี่คือ

    วิบากกรรมของเขา มาแต่ชาติก่อนๆ ใช่หรือไม่

    ที่บันดาลให้เขาเต็มใจทำหน้าที่นี้ และภูมิใจกับมัน


    ขณะนี้....หากเป็นไปได้ อยากหยุด วิบากกรรมนั้น

    และชาติ ต่อไป ก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้อีก

    ต้องปฎิบัติอย่างไร ถึงจะพ้นคะ

    ****************************************

    อีกเรื่องค่ะ

    เจ้านาย คอรัปชั่น

    แล้วนำมาแบ่งให้ลูกน้อง

    ลูกน้องไม่ได้ร่วมมือ และไม่เห็นด้วย

    แต่ จำเป็นต้องรับส่วนแบ่ง ด้วยความเกรงต่ออำนาจเจ้านาย

    อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    ( ตามน้ำ )

    อย่างนี้ ลูกน้อง

    ก็ต้อง รับเวรกรรม ที่ไม่ได้ก่อ

    จะทำอย่างไร ดีคะ
    ********************************

    ขอบคุณทุกท่านมากๆ ค่ะ ที่เมตตา ตอบทุกอย่าง

    ( เสียดายจัง ..ช่วงวันที่ 17-19 นี้ ดิฉันคงไม่ได้เข้ามาในนี้
    จะมาอ่าน อีกที วันที่ 20 ค่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2008
  18. HS4OFL

    HS4OFL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +1,382
    ได้ยินขึ้นชื่อว่านรก แล้วก็น่ากลัวจังเลย
     
  19. 108man

    108man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +1,794
    ถ้าว่าเรื่อกรรม ผมแนบ เรื่องกรรมไปให้อ่านพอดีเห็นว่าใช้ได้ดีครับ เกรงแต่ว่า ถ้า จขกท ถามตอบเรื่องกรรม เดี๋ยวจะโดยย้ายไปเรื่องกฏแห่งกรรม

    คืออยากสรุปนิดหนึ่งว่า

    เรื่องของกรรม ก็เป็นไปตามที่เป็น บุญ กับ บาป แยกกัน และ แก้กรรมไม่ได้ เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่การที่ คนเราได้เรียนรู้ ธรรมะ จากพระพุทธเจ้า เป็นเรื่อง ของจิต และ การพัฒนาจิต ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ทำให้ถ้าเราว่าตามกรรมแล้วไม่มีเรื่องของจิตในทางพุทธศาสนา ก็ไม่มีอะไรที่ต้องพิจารณามากกว่ากันว่าการผิดถูกตามกรรม แต่เนื่องจากถ้ามีเรื่องจิตและธรรมะมาเกี่ยวแล้ว จะทำให้ข้อพิจารณาได้มากขึ้นเหมือน ว่า ถ้าคนที่เราพิจารณามีเรื่องของการศึกษาปฏิบัติทางธรรม หรือ ได้เรียนรู้เรื่องพระธรรมแล้ว ประเด็น มันมีประเด็นที่ต้องใช้การพิจารณาเรื่องจิตเพิ่มเข้ามาอีก

    ถ้าสรุปก็เหมือน ว่าคนสองคนทำกรรมไม่ดีเช่นเดียวกัน วิธีเดียวกัน เจตนาเดียวกัน กรรมที่กระทำเท่ากัน แต่คนหนึ่งปฏิบัติธรรม อีกคนหนึ่งไม่เคยปฏิบัติ ถ้าว่าเรื่องกรรมก็เท่ากัน และ ควรได้รับผลเท่ากัน แต่ทั้งนี้ เนื่องด้วย การปฏิบัติธรรมแล้วทำให้กรรมดีกรรมชั่วไม่เท่ากัน ทำให้จังหวะเวลาที่ได้รับผลไม่เท่ากัน และ ยิ่งกว่านั้น ทำให้ ผลของการได้รับผลกรรมหรือเวลาที่ได้รับผลกรรมไม่ดี ก็เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เมื่อทั้งคู่ตายไปพร้อมๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปที่เดียวกัน บางทีอีกคนไปนรก อีกคนกลับไปสวรรค์ก็เป็นไปได้

    ดังนั้น ดูจากการถาม ของเจ้าของกระทู้แล้ว ต้องพิจารณา เรื่องกรรม และ เรื่องธรรมะทางจิต ด้วย ทำให้ข้อพิจารณา มันกว้างและทำให้ถกเถียงกันได้ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว ในการตอบก็จะมียกเว้น เช่น ถ้าไม่มีกรรมหนัก , ถ้าก่อนตายจิตคิดได้ ,ถ้าวิบากกรรมดีมาช่วย คือ การตอบต้องมีเงื่อนไขเสมอ ยกเว้นจะเจาะจง เงื่อนไขในคำถาม แต่ไม่เป็นไร บางท่านอาจตอบให้เข้าใจได้อยู่แล้ว

    เพื่อ ไม่ให้กระทู้ตกไปอยู่ในเรื่อง กฏแห่งกรรม ผมก็เสนอแนวพิจารณาในเรื่องจิต ติดไว้นิดหนี่งนะครับ

    จขกท ได้ ถ้ามเรื่อง คนบ้าทำกรรมแล้ว จะได้รับผลกรรมหรือไม่อย่างไร เป็นคำถามที่ตอบยากจนไม่อยากตอบแต่ที่ลองตอบดู ตามการพิจารณาธรรมที่ปรากฏในพระไดรปิฏก

    ขอยกเรื่องการทำงานของจิต ในแนวหนึ่งเพื่อเป็นหลักในการพิจารณา ดังนี้ครับ

    การรับรู้ของจิตนั้น ถ้าว่าง่าย ก็คือ รู้ได้ผ่านขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งวิถีการรับรูของจิต จะไม่เรียงตามข้อพิจารณาขันธ์ห้า คือ มีสัมผัส เป็น อารมณ์ แล้ว จิตทำ ถ้าจัดเข้ารูปตามนามรูป ที่เป็นเรา ก็จะได้ดังนี้

    สัมผัส ก็คือ รูป ผัสสะ วิญญาณ ร่วมกันทำงาน แล้ว รูปก็จะกลายเป็นอารมณ์ เพื่อให้จิตรับไปดำเนินการต่อไป ขอเอาตัวอย่างที่เป็น การรับรู้ทางตานะดรับ รูปทางตาที่เป็นวัตถุธาตุ มากระทบดับตา แล้ววิญญาณเข้ารู้รูปนั้น เนื่องจากรูปหรือวัตถุธาตุมันเข้ามาในร่างกายผ่านตามาไม่ได้ ขบวนการนี้จึงแปลง สัมผัสทางตานี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์(อย่ายึดติดคำไทย ชื่ออารมณ์ ที่เราใช้ไปเทียบกัน เหมือน ไฟ ที่เรารู้ กับ ธาตุไฟ ในธาตุสี่ที่ไม่เหมือนกัน )

    อารมณ์ ก็ จะเข้าสู่ นามรูปของเรา เหมือนข้อมูลทางจิตสำหรับจิต แล้ว จิตจึง จับรูปอารมณ์นี้ ไปดำเนินการต่อ เป็น เวทนา สัญญา สังขาร แล้ว ก็ เป็น วิญญาณรู้ จากนามและอารมณ์อีกทีหนึ่ง นี่คือกระบวนการที่ รูปวัตถุธาตุ เข้าไปสู่จิต ของเรา

    ทีนี้ ถ้าคนเป็นบ้าซึ่งไม่ได้มาจากสมองหรือร่างกายบกพร่องจากอวัยวะไม่สมบูรณ์จนทำอะไรไม่ได้ รูปเป็นผัสสะ เกิดเป็นอารมณ์ ให้นามได้ทำงาน ซึ่งคนบ้านี้ ก็ยังมีนามทำงาน และ ก็จะมีการทำกรรมเพราะจิตวิญญาณรู้ไปตาม นามรูปที่เป็นในตอนนั้น และ ก็มีเจตนาด้วย เพราะ ถ้า สัญญาและสังขารทำงานได้ ก็ต้องมีเจตนาในเรื่องนั้น ๆ ถ้าไม่มี ก็จะเป็นการรู้เฉย ๆ แบบว่า ปล่อยอารมณ์นั้นไป ที่เราเรียกว่า เวทนาแบบกลางๆ ไงครับ ซึ่งไม่ใช่อุเบกขา

    ถ้าคนบ้าฆ่าคน ก็หมายความว่า อารมณ์ เข้าสู่ ร่างกายได้ และ นามทำงานครบ จนจิตทำอาการ ฆ๋าคน ดูแล้ว ก็น่าจะได้รับกรรม ในสิ่งที่ทำ เพราะครบแบบ แบบสติไม่ดี ถ้าเห็นไม่ชัด ก็มีตัวอย่างดังนี้ครับ

    ถ้าจิตคนบ้าเลือดเหมือนสัตว์เช่นสัตว์กินเนื้อ คือเห็นเป็น ฆ่า และ ทำสำเร็จ เราลองพิจารณาเรื่องการรับกรรมของสัตว์ ประเภทกินเนื้อคนอื่นๆ เป็น อาหาร สิ่งที่เกิดขึ้น คือ อะไร ก็คือ การที่ต้อง วนเวียนเกิดเป็น สัตว์ ไป เรื่อยๆ วนเวียนจนกรรม เบาบาง จึงได้เกิดในสุขติภูมิ จึงมีคำพูดว่า เกิดเป็นคนแล้วไม่ทำบุญ ถ้าพลาดพลั้งไป ก็จะเกิดเป็นสัตว์ที่กินเนื้อก็ต้องวนเวียนเป็น ทุขก์ไปอีกหลายๆ ชาติ ที่ เปรียบเทียบ คนบ้าฆ่า คน จิต ก็เหมือน สัตว์ คือเหตุผลน้อย ทำไปตามอารมณ์ พอจะพิจารณาได้มั้ยครับ

    หรือ ถ้าดูในแง่การผิดศีลแล้วได้รับกรรม ถ้าเป็นบ้า ลักษณะเหมือนกับ คนเมาเหล้า หรือ เปล่า และที่เมาเหล้าก็ผิดศีลบ่อยๆ ขาตสติบ่อย ก็ ตกอบาย ใช่มั้ย ทีนี้ คนบ้าก็ขาตสติ แต่ การรับรู้รูปนามก็มีเหมือนกัน ดูแล้วคนบ้า ก็ ใกล้เคียงกับ คนเมา มั้ยครับ ทีนี้ อาจมีบางคนว่า ก็การกินเหล้าเจตนากินนี่จึงเป็นกรรม ทำให้ตกอบาย ผมก็ขอคิดเล่น ๆ ว่า การเป็นคน บ้าก็เจตนาเป็นก็ได้ แต่เป็นการทำข้ามชาติมาจากชาติก่อนๆ เหมือนว่าชาตินี้กินเหล้าเมาหนักทำกรรมเยอะ แต่ ชาตินี้ไม่บ้า แต่ชาติอื่นๆ เกิดมาบ้าเพื่อรับกรรมและก็จะวนเวียนกรรมไปจนมันเบาบาง ก็เลยหายบ้า

    และ ถ้าเกิดเจอคนบ้าแต่บ้า สวดมนต์ นั่งฟังธรรมะ รำตามเสียงสวดมนต์ บ้าแต่ไม่ทำร้ายใคร แต่ ในเรื่องทางโลกบ้าแน่ๆ ซึ่งผมมีญาติเป็นอย่างนี้จริง ก็เช่น กัน เค้า ก็ไปสู่ สุขติภูมิได้ อันนี้ ถ้าไปอ่านในพระไตรปิฏกก็จะเห็น กรณีสัตว์ฟังธรรมแล้วตายพอดี ก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดา ก็มี

    และที่ต้องติดนิดหนึ่ง ว่า การไปรับกรรมหลังตาย ถ้ามีกรรมสุดท้ายที่มีอำนาจพาไปเกิดในภูมิ ที่ดี ก็จะได้ไปในภูมิที่ดี ได้ และ ในกรณี คนบ้า แล้ว ก่อนตาย เกิด มีวิบากกรรมดีมาช่วยให้คืนสติและยังพาให้เจอสิ่งที่ดีก่อนตาย หรือ สติจับ กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ ก็ไป สุขติ ได้ ซึ่งบางทีดูเหมือนไม่ยุติธรรมแต่ มันมีลำดับวางไว้แล้วครับ


    ยาวไปสักนิด แต่ เห็นใจ จขกท ครับ
    เรื่องพวกนี้ ตอบมากๆ เป็นประเด็น ถ้ายอมกันบ้าง ก็ จะดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • dharma02.pdf
      ขนาดไฟล์:
      90.2 KB
      เปิดดู:
      241
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2008
  20. นิ่ม

    นิ่ม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    คุณ 108 man อยากคุยด้วยนะคะ
    n_design2007@hotmail.com รบกวนติดต่อกลับด้วยนะคะ เพราะไม่รู้จะคุยกับคุณทางไหนดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...