วิญญาณ มีมวลสารและมีน้ำหนัก ใช่หรือไม่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NiNe, 3 กันยายน 2005.

  1. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    เหตุเนื่องด้วย สรรพสิ่งใดๆ ในสากลจักรวาล ล้วนประกอบไปด้วยธาตุทั้งห้าอย่าง ผมเคยอ่านเจอบทความทางด้านจิตศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย มีอยู่ตอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ตอนที่มนุษย์เราตาย ปรากฎว่าน้ำหนักของเราหายไป 5 มิลลิกรัม (แสดงว่าวิญญาณของมนุษย์นั้นมีมวล) ใช่มั๊ยครับ?
     
  2. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ผมจำได้คร่าวๆ ว่า

    การทดลองในการวัดน้ำหนักของผู้ป่วยใกล้ตาย โดยใช้เครื่องมือทางด้านการแพทย์ และพบว่าลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนสิ้นลมนั้น ทำให้น้ำหนักของร่างกายหายไป 5 มิลลิกรัม และมีการบันทึกสถิติด้วย

    ก็สรุปได้ง่ายๆ ในตำราของฝรั่งว่า น้ำหนัก 5 มิลลิกรัมที่หายไป คืออะไร? ...... ผมกำลังสงสัยว่า สิ่งที่หายไปนั้นใช่มวลสารของวิญญาณหรือไม่?
    ...
     
  3. ozzman

    ozzman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +246
    เรื่องนี้ผมเคยได้ยิน ประมาณ 20 ปีที่แล้ว น่าจะเป็นความจริงนะ สักวันก็จะได้รู้คำตอบ ( ตอนเราตาย )
     
  4. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,249
    ค่าพลัง:
    +1,814
    ฮืม...........น่าจะใช้นะเพราะตอนไปฝึกกรรมฐานที่วัดป่าพง จ.อุบล มีแม่ข่าวแถวนั้นว่าอะไรที่สัมผัสได้ สิ่งนั้นย่อมมีมวล พลังงานทุกอย่างที่สัมผัสได้เพราะพลังงานนั้นมีมวล ถ้าคุณ Nine อยากรู้ให้แน่ก็.......ต้องฝึกนั่งสมาธินะ เพราะสมาธิเนี้ยทำให้เกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง เห็นได้แม้กระทั้งอวัยวะตัวเองเลยค่ะ สำหรับดฺฉันคงไม่ถึงขั้นนั้น เพราะนั่งทีไรก็หยุดอยู่แต่ที่ขั้น จิตทดสอบตัวเองแค่นั้นเองค่ะ แต่นั่งที่ไรสบาย........เป็นสุขมาก.......ค่ะ
     
  5. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ตายแล้วจะไปชั้งน้ำหนักก่อนเลยหรือครับ
    เขาว่าหากก่อนตายคิดถึงที่ใด
    วิญญาณก็จะไปสถิตที่นั้น
    กลัวว่าจะกลายเป็นผีเฝ้าเครื่องชั้งน้ำหนักน่ะสิครับ
    ใครน้ำหนักมากๆไปชั้ง
    สงสัยจะโดนโวยวายกลับ
     
  6. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    อันนี้ไม่ทราบแฮะ

    แต่ทราบว่า.....
    ตามหลักวิทยาศาสตร์ สสาร มีน้ำหนัก
    ตามหลักพุทธศาสตร์ กาย กับ จิต คนละส่วนกันเรียกว่า รูปธรรม นามธรรม
    รูปธรรม เพราะมีรูป หรือเป็นสสาร
    นามธรรม เพราะมีแต่นาม ไม่มีรูปหรือไม่เป็นสสาร

    น้ำหนักที่หายไป อาจเป็นเพราะ พลังงานในร่ายกายหายไป เหลือเพียงกายเปล่าๆ
    พลังงานนั้นใช่จิตหรือเปล่า ???
    หรือเป็นเพราะ พลังงาน สามารถแสดงตัวออกมาในรูปสสาร E = MC" (จากกฎของไอน์สไตล์ พลังงาน เท่ากับ มวลสาร คูณ ความเร็วแสง ยกกำลังสอง)
    พอร่างกายจบบทบาทลง ไม่มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานนี้แล้ว พลังงานนี้ก็สลายไปกับธรรมชาติ

    ถูกรึเปล่านะ อาจารย์ช่วยมาเฉลยให้หน่อยนะคร้าบบบบบ
     
  7. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,249
    ค่าพลัง:
    +1,814
    ถ้าจิตเป็นพลังงาน พลังงานทุกคัวย่อมมีประจุ และมีค่าของมวลด้วย

    ในทางศาสนาทานว่า แยกนามธรรม กับ รูปธรรมไว้
    นามธรรมคือ สิ่งที่สัมผัสไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายถึงไม่มีพลังงาน
    รูปธรรมสิ่งที่สัมผัสได้ ตัวนี้มีมวล มีสสาร มีค่าทางธาตุ และเคมี ประกอบกัน

    ส่วนเรื่องจิตนั้นข้าน้อยไม่รู้หรอกว่ามันยังไง เพราะจิตไม่มีตัวตน นี้นา...................
    เอาไว้นั่งสมาธิได้ก่อนนะ เพราะเท่าที่เคยคุยเรื่องนี้กับพระอาจารย์ก็ไม่มีองค์ใหนตอบให้แน่นอน
     
  8. Didy

    Didy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +12
    5 มิลลิกรัมนี้น้อยมากนะคะ เข้าใจป่ะ อาจเป็นน้ำหนักของอากาศในปอด ที่พอจะตายแล้วสูดหายใจเข้าเก็บไว้ไม่ค่อยได้ มันอาจเป็นน้ำหนักอากาศที่หายไป อีกทั้ง เซลล์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ดังนั้น สิ่งที่เซลล์สมควรจะผลิตออกมาได้จึงไม่มี เรียกว่า product ที่สมควรจะได้จากการ metabolism ของเซลล์หายไป
     
  9. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ที่หายไปไม่ใช่อากาศหรอก
    เพราะตอนเขาชั้ง คนที่ตาย
    ตายในระบบปิด มวลไหลเข้าออกไม่ได้
    เขาเอาคนที่ยังไม่ตายไปใส่ในโลงแก้วปิดสนิท
    ที่อากาศเข้าไม่ได้ แล้วปล่อยให้ตายในนั้น
     
  10. Didy

    Didy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +12
    เง่อะ พูดจริงอ่ะคะ? เป็นวิธีที่โหดร้ายมากเลย

    แต่ยังไงก็ขอยืนยันความคิดเรื่อง matabolism ของ cell และ product ของ cell ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2005
  11. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    คิดว่าอาสาสมัครเขาคงเซ็นชื่อยินยอมแล้วครับ
    ส่วน matabolism ของ cell และ product ของ cell นั้น
    มีความเป็นไปได้ว่า จะมีการเปลี่ยนมวลสารกลายเป็นพลังงานอย่างรวดเร็ว
    เพราะถ้า product เป็นมวล ถึงโครงสร้างของโมเลกุลจะเปลี่ยนไป
    มวลที่ชั่งได้ก็ต้องยังคงเท่าเดิมครับ อ้างอิงจาก
    การทดลองที่ 1 บทปริมาณสารสัมพันธ์ 1 วิชาเคมีประถม 6

    ปล. เคยสอนเลยจำได้แม่น
     
  12. Didy

    Didy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +12
    ถ้าอะไรที่เข้าไป มันจะกลับออกมาเท่าเดิม
    งั้น เด็กก็คงไม่รู้จักโต น้ำหนักตัวก็คงไม่รู้จักเพิ่ม สิคะ
    ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ เป็นสารอาหาร สารเคมีต่างๆ เพื่อใช้ในการทำงานของเซลล์ การเจริญเติบโตเพิ่มขนาด การแบ่งเซลล์ การซ่อมแซม
     
  13. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    สาเหตุที่เด็กโตได้เพราะอาหารที่กินเข้าไปถูกใช้ในการเจริญเติบโตครับ
    เช่น เด็กกินอาหารเข้าไป 100 กิโลกรัม แต่จะขับถ่ายเป็นของเสีย 99.9 กิโลกรัม
    อีก 0.1 กิโลกรัมจะถูกใช้ในการเจริญเติบโต น้ำหนักของเด็กก็ต้องเพิ่ม 0.1 กิโลกรัมเช่นกัน
    แต่เนื่องจากระบบที่เขาใช้เป็นระบบปิด ดังนั้นหากนำเด็กน้ำหนัก 30 กิโลกรัมมาใช้ในการทดลอง
    โลงแก้วที่ใช้เบามาก (น้ำหนักเป็นศูนย์) มีอาหารให้เด็กกินเพื่อประทังชีวิต 100 กิโลกรัม
    และมีอากาศให้ใช้หายใจอีก 20 กิโลกรัม น้ำหนักของโลงแก้วทั้งหมดเท่ากับ 100+30+20=150 กิโลกรัม
    หากเด็กใช้อากาศเพียงแค่ 15 กิโลกรัม และกินอาหารเพียงแค่ 95 กิโลกรัม
    Product จากกระบวนการ Matabolism ของร่างกายก็ควรมีค่าเท่ากับ 110 กิโลกรัม
    ดังนั้น น้ำหนักของโลงแก้วจะมีค่าเท่ากับ 150-15-95+110=150 กิโลกรัมเท่าเดิม
    ทั้งนี้เป็นเพราะ สิ่งที่อยู่ในโลงแก้วถึงแม้จะเปลี่ยนรูปไป แต่ก็ยังอยู่ในโลงแก้วเหมือนเดิม
    เป็นไปตามกฏการอนุรักษ์มวล ยกเว้นแต่จะมีมวลที่สามารถซึมออกไปนอกโลงแก้วได้เท่านั้น

    ปล. หากยังไม่เครียร์ สามารถหาน้องหมาตามข้างถนนมาทดลองซ้ำได้ครับ แต่กรรมของใครของมันนะ
     
  14. hellobkk

    hellobkk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2005
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +46
    วิญญาณ น่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้า วิญญาน อยู่ในสมอง นะ คงไม่ได้อยู่ที่หัวใจ
    เพราะ ทุกอย่างในร่างกาย ถูกบังคับ รับรู้จากสมอง และในสมองนั้นก็มี ประจุไฟฟ้าในการรับรู้ ได้ยิน ได้เห็น รู้สึกเจ๊บ รู้รส ประจุไฟฟ้า มันจะวิ่งจากสมอง ไปตามส่วนต่างๆ เพื่อรับรู้ ประจุพวกนั้นก็คือส่วนหนึ่งของวิญยาณ มันอยู่ทั่วร่างกาย แต่ ทั้งหมดก็มีจุดศูนย์กลางที่สมอง
    คนตายในการแพทย์คือ สมองตาย นะ ไม่ใช่หัวใจหยุดเต้น บางทีใช้หัวใจเทียมทำงานแทน นั้นก็ยังไม่ตาย
    ดังนั้น ถ้าวิญญาณ คือ ประจุไฟฟ้า อยู่ทั่วร่างกาย และมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่สมอง ก่อนที่สมองจะตาย พลังงาน ส่วนต่างๆของร่างกายจะเริ่มอ่อนลง ไม่สามารถขยับแขน ขา หรือรับรู้สิ่งต่างๆ หัวใจจะหยุดเต้น (ช่วงนี้แพทย์ใช้ การปั้มหัวใจ) และเมื่อกลไกร่างกายหยุด เลือด ออกซิเจน ไม่เลี้ยงสมอง พลังงานก็จะสลายที่ตัวที่สมอง สมองตาย นั้นคือตายจริง
    เมื่อตายหายไป 5 มิลลิกรัม พลังงานส่วนนี้ น่าจะหายไปจากร่างกาย ช่วงสุดท้าย คือพลังงานสมองสลาย
     
  15. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ต่ออีกนิดครับ

    มนุษย์เราตอนแรกสุดมีแค่เซลส์ไข่แค่เซลส์เดียว
    ต่อมาแบ่งออกเป็น 2 เซลส์ ซึ่งคนเราเรียกว่าการเติบโต
    เซลส์ใหม่นั้นก็มีน้ำหนักเท่าๆกับ อาหารที่เซลส์เก่ากินเข้าไป ลบ ของเสียที่ผลิตออกมา
    ถ้าดูเฉพาะเซลส์เก่าเราจะเห็นว่าน้ำหนักเท่าเดิม
    (ความจริงแล้วลดลง เราจะไม่สนใจรายละเอียดในตัวอย่างนี้)
    แต่เราถือว่าทั้ง 2 เซลส์คือร่างกายเดิม เราจึงเห็นเด็กโตได้ยังไงครับ
    แต่กรณีที่คุณ Didy พูดถึงคือกรณีที่เซลส์เก่าผลิตเซลส์ใหม่ที่ไม่ถือว่าเป็นร่างกายเดียวกัน
    เมื่อมองดูเฉพาะเซลส์เก่า ก็จะเห็นว่าไม่เติบโตขึ้นเลย
    (ตรงกันข้าม มันต้องสูญเสียมวลสารภายในบางส่วนไปใช้ในการสร้างเซลส์ใหม่อีก)
     
  16. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    เรื่องน่าสนใจ

    มีวิธีการทดลองอีกแบบเรื่องน้ำหนักของวิญญาณหรือจิต

    ( ถ้าแบบละเอียดจิตกับวิญญาณไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่ถ้าเอาตามความเข้าใจของคนทั่วไป จิตคือวิญญาณ )

    คือให้คนที่ถอดจิตได้แบบเก่งๆ เข้าทำการทดลอง ในห้อง
    โดยให้ถอดจิตออกจากร่างแบบเต็มกำลัง ถอดจิตเข้าไปในแก้ว
    แล้วให้คนที่ได้ตาทิพย์อีก4คนสังเกตุ แล้วทั้ง4คนนั่งแยกกัน

    นักวิทยาศาสตร์ ชั่งน้ำหนักของคนและของแก้ว ก่อนถอดจิตว่ามีน้ำหนักต่างกันไหม

    ส่วนทั้ง4คนให้เขียนใส่กระดาษว่าคนนั้นถอดจิตออกยัง จิตคนนั้นเข้าไปอยู่ในแก้วรึยัง......ถ้าทั้ง4คนเขียนเหมือนกัน

    ก็ให้นักวิทยาศาสตร์ไปวัดน้ำหนักของร่างกายขณะที่จิตออก
    และวัดน้ำหนักของแก้วที่ที่มีจิตอยู่
     
  17. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    ตำแหน่งที่จิตอยู่ในร่างกาย ก็น่าคิด

    บ้างว่า อยู่ที่หัวสมอง
    บ้างว่าอยู่ที่หัวใจ

    แต่ก็ยังมีข้อคัดค้าน

    ถ้าจิตอยู่ที่สมอง = ไก่ที่โดนตัดคอ ทำไมยังมีชีวิตอยู่ได้ ยังวิ่งและเดินได้ ตรงนี้บอกว่าจิตไม่ได้อยู่ที่สมอง

    ถ้าจิตอยู่ที่หัวใจ = บางคนใส่หัวใจแพะหรือหัวใจเทียม ก็มีชีวิตต่อได้
    จิตยังเป็นคนเดิมก่นอเปลี่ยนหัวใจ นี่บอกว่าจิตไม่ได้อยู่ที่หัวใจ
     
  18. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    วิญญาณ มีมวลสารและมีน้ำหนัก ใช่หรือไม่?

    จากการทดลองของผม
    ผี มีลักษณะเป็นคลื่นและเป็นอนุภาค แต่ขึ้นอยู่กับการสังเกตุ
    ถ้าสังเกตุผีเป็นอนุภาค ผีจะมีมวลสารและมีน้ำหนัก
    แต่ถ้า สังเกตุแบบผีเป็นคลื่น นั้นผมไม่ทราบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีน้ำหนักไหม ?


    ตรงนี้เหมือนกับคุณสมบัติของ electron ที่มีคุณสมบัติ เป็นอนุภาคและคลื่น ในการทดลอง double slit experiment........

    เมื่อหลายปีก่อน กุมารทองมาหาและกุมารนั่งอยู่กับที่ ผมก็อยู่กับที่
    แต่ผมสัมผัสได้ว่าหนึบๆ ถ้ารู้สึกแบบนั้นแสดงว่าวิญญาณมาหา (ตอนนี้ กุมารทองเป็นคุณสมบัติของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า) ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่มีอยู่จริง

    พอเข้าสมาธิจูนให้เห็นก็สามารถเห็นกุมารทองและสัมผัสกันได้ กุมารทองมี คุณสมบัติ เป็นอนุภาค เป็นสสาร มีมวล มีสภาพเหมือนคนปกติ มีน้ำหนัก

    ในตำแหน่งเดียวกันและร่างกายสัมผัสกัน แล้วผมเข้าสมาธิลึกๆจะไม่เห็นกุมารทอง ตื้นๆมากๆก็จะไม่เห้นกุมารทอง.......ต้องเข้าสมาธิปรับระดับให้พอดีกับกุมารทองจึงจะเจอกันได้ ตรงนี้เลยบอกได้ว่า พวกวิญญาณ อยู่เป็นชั้นๆ หรือมีความละเอียดต่างกันตามแบบพุทธ
     
  19. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    เรื่องการทดลองถอดวิญญาณเข้าไปในแก้วแล้วชั้งน้ำหนักนี้
    รู้สึกว่าผมก็เคยได้ยินคนเปลยๆมาก่อนเหมือนกันครับ
    แต่จำไม่แล้วว่ารู้มาจากที่ไหน สรุปว่าผลการทดลองเป็นยังไงบ้างครับ?
    หากน้ำหนักเพิ่มได้จริง ต่อไปสงสัยคงต้องเล่นผีถ้วยแก้วบนเครื่องชั้งน้ำหนักกันแทน
    จะได้รู้ว่าวิญญาณเข้ามาในแก้วแล้วจริงๆ ไม่มีใครแอบดันแก้ว
    (ในกรณีนี้คงต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวน-
    -น้ำหนักของแก้วที่หักออกจากแรงที่นิ้วผู้เล่นแตะขอบแก้วด้านบน)

    เรื่องไก่ไม่มีหัวแต่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติก็น่าสนใจเช่นกัน
    แต่ผมไม่กล้าทดลองครับ กลัวกรรมหนัก หากใครมี Movie File เอามาแบ่งกันดูได้ก็ดีครับ
    กรณีคล้ายกันที่เคยได้ยินมาคือเรื่องทหารที่หัวขาดในขณะที่กำลังวิ่งหนีระเบิดอยู่
    แต่สามารถวิ่งต่อไปได้ทั้งๆที่ไม่มีหัว สักประมาณ 5-10 นาทีมั่ง
    ส่วนกรณีของไก่ เจ้าของเขาเล่าว่าสามารถมีชีวิตยังนั้นได้ 3-4 วันเลย
    โดยที่เจ้าของใช้ป้อนอาหารให้มันกินผ่านคอที่ถูกตัดแล้ว
    ปรากฎการณ์ที่สามารถมีชีวิตได้ทั้งๆที่ไม่มีหัว ผมคิดว่าน่าจะคล้ายปรากฎการณ์ Ghost Leaf
    (ใบไม้ที่ขาดไปแล้วยังมีแสงออร่าคงสภาพใบไม้ที่ยังสมบูรณ์อยู่)
    ตรงจุดนี้คงต้องอาศัย 3 ปัจจัยด้วยกันคือ

    1. วิญญาณมีความสามารถปรับความถี่ของตนเองให้ตรงกับความถี่ของมิติโลกนี้
    ทำให้ยังสามารถควบคุมร่างกายได้อยู่ หากมองจากจุดนี้
    วิญญาณของสิ่งมีชีวิตก็น่าจะมีรูปร่างเช่นเดียวกันออร่า
    2. ร่างกายยังสมบูรณ์เพียงพอ เซลส์ยังได้รับอาหารและอ๊อกซิเจนอยู่
    นั่นก็หมายความว่าหัวใจและปอดก็ต้องยังทำงานอยู่
    (หัวใจและปอดของไก่สามารถทำงานได้อัตโนมัติแยกจากการควบคุมโดยสมองอย่างนั้นหรือ?)
    3. เจ้าตัวไม่รู้ว่าตายไปแล้ว หรือมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่อย่างมาก (สำคัญนะเนี้ย)

    สำหรับการทดลองเรื่องกุมารทองของคุณ WebSnow นั้น ผมเชื่อว่าเป็นของจริง
    เพราะสอดคล้องกับสิ่งที่ผมรู้ (จากการทดลองของผมเอง และสิ่งที่ศึกษามา) ซึ่งสามารถสรุปได้สั้นๆดังนี้
    โลกที่เราเห็นด้วยตา และการสัมผัส (หูและผิวหนัง) เป็นเพียงแค่ไม่กี่มิติจากมิติทั้งหมดที่ซ้อนทับกันอยู่
    มิติแต่และมิติสั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่ต่างกัน โดยตาเป็นอวัยวะที่สามารถรับรู้การสั่นสะเทือนช่วงคลื่นของแสงได้ดี
    ส่วนผิวหนังเป็นอวัยวะที่สามารถรับรู้การสั่นสะเทือนช่วงคลื่นที่ต่ำมากๆ (วัตถุต่างๆรอบตัวเราที่เราจับได้)
    วัตถุที่อยู่ในช่วงความถี่เดียวกันเท่านั้นจึงจะสามารถมีอิทธิ์พลต่อกันได้
    ตัวอย่างเช่นสัญญาณวิทยุสามารถมีหลายช่องไ้ด้เพราะส่งที่ความถี่ต่างกัน
    หากสองช่องสถานีส่งความถี่เดียวกัน สัญญาณก็จะรบกวนกัน
    วัตถุหนึ่งชิ้นสามารถสั่นสะเทือนได้ในหลายความถี่ในเวลาเดียวกัน (มีอยู่ในหลายมิติ)
    ตัวอย่างเช่นแม่เหล็กมีจริงอยู่ในทั้งมิติแห่งสสารที่สัมผัสได้ และมิติของสนามแม่เหล็ก
    การที่แม่เหล็กผลักหรือดูดการได้เพราะมันมีอิทธิ์พลต่อกันในมิติของสนามแม่เหล็ก
    การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุก็คือการปรับความถี่ของตัวเราให้อยู่ในความถี่ (มิติ) ที่ตรงกับวัตถุที่เราจะบังคับได้
    และเนื่องจากมันเป็นวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับวัตถุที่เป็นสสาร เราจึงเห็นวัตถุขยับได้โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัส
    ในมิตินั้น การที่เราบังคับร่างของเรามีอิทธิ์พลต่อวัตถุอย่างไร (เลื่อน หมุน ร้อน เย็น) ก็เหมือนกับการที่เราคิดให้ร่างกายเคลื่อนไหว
    แต่อาจจะยากนิดหน่อย คล้ายๆกับการที่เราพยายามบังคับเส้นขนที่แขน ให้ตั้งหรือนอน ต้องฝึกนิดหน่อย
    ถ้าจะให้ขนตั้ง ก็แค่นึกถึงความรู้สึกหนาวที่แขน อันนี้ผมทำได้ครับ ขนตั้งจนเห็นเป็นปุ่มที่ฐานขนเลย
    ผมเชื่อแน่นอนเลยครับว่า ร่างของเราในมิติหนึ่งต้องมีลักษณะคล้ายออร่าแน่ คือที่รังสีบางๆแผ่ออกมารอบตัว
    เพราะหากเอามือไปอยู่ใกล้วัตถุแล้วลูบเหนือวัตถุ เราจะรู้สึกเหมือนมีขนอ่อนๆนุ่มออกมาด้วย
    แต่ความรู้สึกเบาบางมากจริงๆ และวัตถุแต่ละสีถ้าสังเกตุให้ดี จะให้ความรู้สึกต่างกันด้วย
    ถ้าหากเราสามารถปรับให้รังสีที่ว่าในมิตินั้นเข้มขึ้นได้ ก็น่าจะสามารถใช้ผลักวัตถุได้ครับ
    ความรู้สึกหนืดๆ ก็คงเกิดขึ้นเพราะร่างของเราที่ไม่ค่อยหนาแน่นชนกับวัตถุในอีกมิติหนึ่ง
    การที่คุณ WebSnow สามารถปรับขั้นของสมาธิจนเท่ากับของกุมารทองและสามารถจับต้องได้
    น่าจะเป็นเพราะเขาสามารถปรับความถี่ในมิติอื่นตามที่เขาต้องการได้
    ดังนั้นหากเขาสามารถเคลื่อนวัตถุได้โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัสก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
    ส่วนการจะปรับความถี่ในมิติอื่นตามที่ต้องการนั้น ต้องฝึกฝนอย่างไร ต้องจิตนาการอย่างไร
    แล้วทำไมพอทำสมาธิแล้วเราจะสามารถปรับให้ความถี่ในมิติอื่นมีรูปร่างตามที่เราต้องการผมก็ไม่ทราบเช่นกัน
    อันนี้คงต้องให้คุณ WebSnow ช่วยแนะนำให้ครับ
     
  20. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    เคยอ่านมานานแล้ว จำไม่ได้ครับว่าอ่านจากที่ไหน สะกดผิดๆ ถูกๆ ไม่ว่ากันนะครับ
    เอาเป็นว่าผมจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ นะครับ (อาจจะผิดก็ท้วงได้นะครับ) เพราะว่าอ้างอิงไม่ได้ จำไม่ได้ว่าอยู่ที่หนังสือเล่มไหน?

    เริ่มเรื่องก็มีอยู่ว่าในวันคริสมาสอีสท์ (วันก่อนคริสมาสท์) จะมีการจัดงานรื่นเริง โดยพิธีการเขาจะบริโภคไก่งวง (เป็นประเพณีของฝรั่งครับ ลาวอินเตอร์ไม่ค่อยเข้าใจว่ากระไร)

    ในวันนั้นเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่งก็จัดงานรื่นเริงเช่นกัน เขาก็จับไก่งวงตัวนี้ขึ้นเขียง แล้วก็ฟันฉับด้วยใบมีดอีโต้ที่คมกริบ ... ขอขาดกระเด็น (ไก่มันคงไม่รู้ว่าจะโดนตัดคอมั๊ง?) แต่มันก็คิดว่ามันมีหัวมีคอเหมือนปกติทุกประการ

    แต่มันไม่ตาย มันก็วิ่งไปเรื่อยๆ ... เจ้าของฟาร์มก็ตกใจว่า เฮ้ย!! คอมันขาดแล้วทำไมมันไม่ตายหว่า มันก็วิ่งไปแล้วก็หยุด แล้วมันก็ทำท่าจิกๆ อาหาร (ลองนึกดูนะครับว่าไก่มันไม่มีหัว แต่มันจะกินได้อย่างไร?) พอถึงเวลานอน มันก็นอนเหมือนปกติ เวลาเช้ามันก็ตื่นแต่เช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ... ดูๆ ว่ามันเป็นปกติ เหมือนเฉกเช่นทุกๆ วันที่ผ่านมาตั้งแต่เล็ก

    เจ้าของฟาร์มเขาก็สงสารมัน ก็หยอดอาหารไปทางหลอดอาหารที่คอของไก่ ... ฮู้ย ไก่ตัวนี้ถ้าจำไม่ผิดแล้ว มันมีชีวิตอยู่ได้ตั้งเกือบ 3 เดือนมั๊ง?

    ตอนจบของชีวิตปรากฎว่าเจ้าของเขาไปหยอดเมล็ดถั่ว หรืออะไรเนี่ยแหล่ะ แต่เมล็ดถั่วเนี่ย เสือกทะลึ่ง ดันไปติดหลอดลมเข้าให้ เจ้าไก่ผู้เคราะห์ร้ายตัวนี้ก็ขาดอากาศหายใจ ... ตาย ณ. บัดดล !!!

    ปล. มันกระท่อนกระแท่น แต่เรื่องราวมันก็ประมาณนี้แหล่ะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...