เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 29 ตุลาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,929
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,387
    ค่าพลัง:
    +26,202
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,929
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,387
    ค่าพลัง:
    +26,202
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพมีงานด่วน คือต้องเดินทางไปร่วมพิธีรดน้ำศพคุณแม่ดำ ฉ่ำเม้า โยมมารดาของพระมหาสมคิด อตฺถสิทฺโธ ป.ธ. ๗ เจ้าอาวาสวัดหนองโพ รองเจ้าคณะอำเภอโพธาราม ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ด้วยกัน ที่ศาลาปฏิบัติธรรมวัดหนองโพ ถนนเพชรเกษม หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี

    งานนี้ต้องบอกว่าเป็นงานที่ขาดไม่ได้ เนื่องเพราะว่าเป็นโยมแม่ของเพื่อนร่วมรุ่น และโดยเฉพาะจะว่าไปแล้ว คุณแม่ดำ ฉ่ำเม้า ท่านเป็นบุคคลที่มีบุญมาก เนื่องเพราะว่าเสียชีวิตด้วยการนอนหลับไป และอายุก็ยืนนานถึง ๘๓ ปี

    กระผม/อาตมภาพเองนั้น มีประสบการณ์ที่ญาติผู้ใหญ่เสียชีวิตในลักษณะคล้ายคลึงแบบนี้หลายรายด้วยกัน เริ่มตั้งแต่อายุเพิ่งจะ ๓ - ๔ ขวบ โยมตาก็ได้เสียชีวิตไป โดยที่ก่อนจะเสียชีวิต โยมตาก็เรียกบรรดาหลาน ๆ อย่างกระผม/อาตมภาพมารายล้อมอยู่รอบเก้าอี้นอนของท่าน แล้วก็บอกว่า "ถ้าวันไหนตาเสียชีวิตไป พวกเจ้าก็ไม่ต้องเสียใจนะ เพราะว่าคนแก่ก็เหมือนกับผลไม้สุกงอม รอเวลาหล่นจากขั้วเท่านั้น" หลังจากนั้นโยมตาก็ขอกินข้าวเย็น เมื่อเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของร้านตีเหล็กนำข้าวมาให้ คุณตากินข้าวเย็นเสร็จก็เอนตัวนอนบนเก้าอี้ตัวตัวโปรดของท่าน แล้วก็หลับยาวไป ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย..!

    ถัดจากนั้นมาก็เป็นโยมพ่อ ที่กระผม/อาตมภาพดูแลท่านอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเวลาถึง ๖ ปีด้วยกัน จนกระทั่งสามารถฝึกวิชาหลับอยู่หูก็ต้องได้ยิน เผื่อเวลาที่โยมพ่อเรียก จะได้ลุกขึ้นมาช่วยเหลือท่านได้ทันท่วงที โยมพ่อเอง ตอนช่วงเย็นของวันที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ อยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นเดินกระฉับกระเฉง จนกระทั่งพี่หงส์ ซึ่งเป็นพี่สะใภ้คนรองดีอกดีใจว่า "เตี่ยน่าจะหายดีแล้ว..!"

    แต่ว่าโยมแม่นั้นมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก บอกให้พี่ชายรีบไปโทรเลขเรียกบรรดาญาติพี่น้องทั้งหมดมาโดยด่วน อาการแบบนี้โบราณเรียกว่า "ไฟวาบสุดท้ายของชีวิต" ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยจะมีสติขึ้นมาสั่งการหรือว่าสั่งเสียลูกหลานในเรื่องต่าง ๆ เป็นครั้งสุดท้าย โดยที่โยมพ่อนั้นลุกขึ้นกระฉับกระเฉง สามารถที่จะอาบน้ำได้ กินยาได้

    แต่หลังจากนั้น เมื่อเอนตัวนอนลงไป ก็อยู่ในลักษณะเหมือนกับหลับลึก แม้ว่าบรรดาลูกหลานจะเรียกก็ส่งเสียง "อือ ๆ" ได้เท่านั้น แล้วท่านก็หลับยาวตั้งแต่ช่วงใกล้ค่ำของวันที่ ๑๑ จนกระทั่งไปหมดลมหายใจบ่ายโมงวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,929
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,387
    ค่าพลัง:
    +26,202
    ลำดับต่อมาก็เป็นโยมยาย ซึ่งตอนนั้นกระผม/อาตมภาพบวชได้ ๔ พรรษาแล้ว โยมยายนั้นเห็นกระผม/อาตมภาพมาหาตั้งแต่เช้ามืด ก็ยังถามคนอื่นว่า "พระหลานชายมาแล้ว ทำไมไม่ให้มาคุยกับยาย ?" เล่นเอาทุกคนตกอกตกใจกันหมด รีบโทรศัพท์ด่วนไปที่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพจึงต้องรีบเดินทางลงมายังบ้านคุณยายที่หลังไปรษณีย์บางกอกน้อย

    เมื่อไปถึง ปรากฏว่าบรรดาน้า ๆ ทั้งหมดช่วยกันเขย่า ช่วยกันปลุก กระผม/อาตมภาพบอกทุกคนว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ห้ามแตะต้อง ห้ามเรียกคุณยายอย่างเด็ดขาด แล้วก็ไปกระซิบข้างหูคุณยายว่า "ตอนนี้พระหลานชายมาแล้ว จะสวดมนต์ให้ฟัง ให้ยายตั้งใจฟังให้ดี ถ้าหากว่าสามารถที่จะไปไหว้พระได้ ยายก็ไปไหว้พระเลยนะ" แล้วกระผม/อาตมภาพก็ "สวดต่อนาม" ให้ กำลังใจของยายนิ่งใสทั้งดวง กระผม/อาตมภาพกำชับบรรดาน้า ๆ ทั้งหมดว่า ปล่อยให้ยายอยู่ในลักษณะนี้ ห้ามเรียก ห้ามแตะต้องอะไรอย่างเด็ดขาด แล้วยายก็หมดลมไปหลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง

    รายสุดท้ายก็คือโยมแม่ ก็อยู่ในลักษณะคล้ายคลึงกัน ก็คืออยู่ ๆ ก็เหมือนกับหมดแรงไปเฉย ๆ แล้วก็มีอาการหลับลึก ทางบ้านจึงโทรไปเรียกกระผม/อาตมภาพ ซึ่งเพิ่งจะรับตำแหน่งหน้าที่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนได้ไม่กี่เดือน เมื่อเดินทางมาถึงก็ใช้วิธีเดียวกัน ก็คือบอกโยมแม่ว่า "ลูกตั้งใจที่จะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกที่หน้าวัดท่าขนุน ถ้าโยมแม่โมทนาได้ ขอให้พยักหน้าด้วย" โยมแม่ก็พยักหน้าให้ กระผม/อาตมภาพก็สวดมนต์ให้โยมแม่ฟัง แล้วโยมแม่ก็หลับลึกไปเฉย ๆ ในลักษณะเดียวกัน

    กระผม/อาตมภาพเองยังคิดว่า บุคคลที่มีโอกาสเกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกันนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องสร้างเวรสร้างกรรมมา หรือว่าสร้างบุญสร้างบาปมาใกล้เคียงกัน ในเมื่อญาติพี่น้องผู้ใหญ่ทั้งหมดอยู่ในลักษณะที่หลับไปเฉย ๆ แบบนี้ กระผม/อาตมภาพก็น่าจะมีบุญในลักษณะนี้เช่นกัน

    ส่วนที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือความเชื่อของคนจีน คนจีนเชื่อถือว่า

    ถ้าหากว่าพ่อแม่ตายตอนใกล้รุ่ง ถือว่าดีที่สุด เพราะว่ายังไม่ได้กินอาหารแม้แต่มื้อเดียว เหลือไว้ให้ลูกหลานครบทุกมื้อ ลูกหลานจะเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมาก

    ถ้าหากว่าตายหลังมื้ออาหารเช้า ก็เหลือให้ลูกหลานแค่ ๒ มื้อ
    ถ้าตายหลังมื้ออาหารเที่ยง ก็จะเหลือให้ลูกหลานแค่มื้อเดียว
    ถ้าหากว่าตายหลังมื้ออาหารเย็น ลูกหลานจะลำบากยากจนมาก เพราะว่าพ่อแม่กินไปหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรไว้ให้เลย
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,929
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,387
    ค่าพลัง:
    +26,202
    ตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพนั้นตอนแรกก็ยังไม่เชื่อถือ แต่ปรากฏว่ามาดูจากโยมตา ก่อนจะเสียชีวิตได้ขอข้าวกิน ๑ ชาม พวกลูกหลานอย่างกระผม/อาตมภาพจะไปตักให้ แต่ว่าเพื่อนของตาที่เปิดร้านตีเหล็กใหญ่โตมโหฬาร เรียกง่าย ๆ ว่ารับงานเกือบจะทั้งจังหวัดสุพรรณบุรีในช่วงนั้น กิจการรุ่งเรืองมาก ไม่ทราบว่านึกอย่างไร บอกว่า "เดี๋ยวข้าไปเอาให้เอง" แล้วแกก็ไปก็ตักข้าว เอากับข้าวโปะมาพร้อมกับตะเกียบเรียบร้อย

    เมื่อโยมตากินเสร็จแล้วก็หลับไปเฉย ๆ พวกบรรดาผู้ใหญ่ เมื่อรู้ว่าโยมตาเสียชีวิตแล้วก็กระซิบกันว่า "อาเจ็กโรงตีเหล็กท่าจะแย่ เพราะว่านี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่ตากินไป ลูกหลานของอาเจ็กน่าจะไม่เหลืออะไรเลย แต่ว่าดีที่พวกเราอย่างน้อย ๆ ก็ยังเหลืออยู่ ๑ มื้อ เพราะว่าโยมตาไปกินของคนข้างบ้านแทน"

    เมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพก็สังเกตมา ปรากฏว่าไม่นาน กิจการโรงตีเหล็กก็มีอันซบเซาลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายที่สุดก็ต้องปิดกิจการไป อาเจ็กเจ้าของโรงตีเหล็กเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่กี่ปี แล้วลูกหลานก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ไม่น่าเชื่อว่ากิจการที่เจริญรุ่งเรืองระดับนั้น ถึงกับหมดสภาพได้ภายในระยะเวลาไม่นานเท่านั้น..!

    เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าเราถือเป็นภูมิปัญญาโบราณ ก็ขอให้ทุกคนลองสังเกตดูว่าญาติพี่น้องของตนเองเป็นอย่างไร โยมพ่อของกระผม/อาตมภาพนั้น กินอาหารมื้อเย็น แต่ว่าหลังจากนั้นก็หลับยาวมาเลยโดยที่ไม่ได้กินอีก จนกระทั่งไปเสียชีวิตในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น จะเรียกว่าเหลือให้ลูกครบทั้ง ๓ มื้อก็ว่าได้ ดังนั้น..ลูกหลานทุกคนจึงเจริญรุ่งเรือง มีกิจการเป็นของตนเองหมด

    โยมแม่นั้น ตอนเสียชีวิตก็ต้องบอกว่าไม่ได้กินอะไรมาข้ามวันเหมือนกัน ก็แปลว่าเหลือให้พวกเรามาครบทุกมื้อเช่นเดียวกัน โยมยายก็อยู่ในลักษณะเช่นเดียวกัน จึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ในส่วนที่
    คนจีนโบราณเขากล่าวเอาไว้ และสืบทอดกันมาให้เป็นข้อสังเกตนั้น ตรงจุดนี้จะแม่นยำจริงเหมือนอย่างกับที่โยมตาเสียชีวิตหรือไม่ ? ก็ขอฝากเอาไว้สำหรับญาติโยมทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรของเรา เป็นข้อในการยึดถือและสังเกตสังกากันต่อไป

    ถ้าหากว่าเป็นไปตามนั้นสัก ๒ หรือ ๓ รายต่อเนื่องกัน เราค่อยมาสรุปว่า ภูมิปัญญาโบราณนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแท้จริง


    ถ้ายังไม่สามารถที่จะชัดเจนได้ภายใน ๒ หรือ ๓ ราย ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นไปดังนั้น เพราะอาจจะเป็นกรรมเก่าบางอย่างมาสนอง ทำให้บุคคลที่เจริญมั่นคง อยู่ ๆ ก็ต้องมีอันเป็นไป ในลักษณะของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ แต่เมื่อกรรมเก่ามาสนอง ทรัพย์สินทั้งหลายก็สูญสิ้นไป จนกระทั่งกลายเป็นคนยากจน จากที่เคยถวายภัตตาหารองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยข้าวมธุปายาส ก็กลายเป็นว่าได้ถวายแต่ข้าวต้มกับน้ำผักดองเท่านั้น ยังดีที่ว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐีนั้น สร้างกุศลต่อเนื่องมาก จึงทำให้ได้ทรัพย์สินทั้งหลายกลับคืนมา จนกระทั่งกลายเป็นมหาเศรษฐีตามเดิม

    สำหรับวันนี้ก็ขอฝากข้อคิด ตลอดจนกระทั่งเรื่องราวภูมิปัญญาโบราณไว้กับพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ ถ้ามีเสียงรบกวนอะไรก็ต้องขออภัย เพราะว่าบรรยายธรรมอยู่ข้างหน้าลำโพงวัดหนองโพที่เปิดเพลงพญาโศกอยู่เลย..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...