ใคร?บรรลุธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 19 มิถุนายน 2021.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ในปริยัติ บัญญัติธรรมะว่าไม่มีสัตว์ บุคคล
    คัวตน เรา เขา
    ดังนั้น ตราบใดที่การปฏิบัติธรรมไปโดย
    ยังไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
    การที่เอาตัวเราไปปฏิบัติเพื่อหวังจะ
    ที่จะให้ตัวเราบรรลุธรรมนั้น
    จะเป็นไปได้ยังงัยคับ
    เพราะในปริยัติมีแต่สัพเพธรรมา
    อนัตตา ซึ่งหมายถึง มีแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด
    เอง สิ่งนั้นย่อมดับไปเอง
     
  2. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    51645658-CF2F-4384-B49A-666BBB17300B.jpeg

    0EA1ADEF-C94D-4F94-BE1F-38CC5E7E60F8.jpeg

    87FE27E6-B94E-4EE8-AAA9-B04550E1F158.jpeg
     
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    รู้จักจิตไหมครับ

    จิต ละครับที่บรรลุ

    พอมาใช้สมมุติ ก็ จิต ลุงแมว ลุงโจว ลุงปัง เป็นต้นฯ

    " จิตหลุดพ้นก็รู้ชัดว่าจิตหลุดพ้น "

    ลุงไปเรียนรู้ธรรมที่ไม่สมบูรณ์ ศรัทธาเลย ง่อนแง่นครับลุงแมว
     
  4. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ง่อนแง่นยังงัย เมื่อตอนใกล้สางเช้านี้
    จิตลุงแมวเฉียดบรรลุไปนิดเดียว
    (จากการฟังธรรมคับ)
    ใกล้ละ ใกล้ละฮับ
     
  5. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ให้ไวเลยครับ รอใส่บาตร
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    รอข้างหลังก่องฮับ
    ตอนนี้บาตรเต็ม
     
  7. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    รอว่าที่มาแสดงธรรม มาโปรดผมด้วย
     
  8. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    เวลาตั้งต้นทำอะไรซักอย่าง....
    ...มันจะก่อความรู้สึกว่า"เรา"เป็นนั่นเป็นนี่
    และทำเพื่อให้ได้ "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง"มา
    ล้วนตั้งต้นด้วย "อุปทาน" ทั้งนั้น
    แต่พอเดินตามมรรคแปดไป
    มันจะค่อยๆเห็นกระบวนการตามธรรมชาติ
    ของกายใจนี้
    แล้วจะค่อยๆเห็นว่า "ไม่มีเรา"อยู่จริง
    ...ตรงไหน
    มีแต่กระบวนการตามธรรมชาติแค่นั้น
    สิ่งนี้มี...เลยมีสิ่งนี้
    สิ่งนี้ดับ... สิ่งนี้เลยดับ
    ความรู้สึกว่าเป็น "เรา" ถูกสร้างมา
    แบบลอยลม
    ทุกข์โดยสภาพ...ก็พอแรงอยู่แล้ว
    แต่ยังไปดึงสิ่งนั้นเป็นของเราอีก
    ..อยากให้สุขมันมั่นคง
    ..ไม่อยากให้เปลี่ยนแปลงไป
    ..ไม่อยากให้เสื่อมสลายไป

    เวลามัน"เบิกเนตร" มันจะเห็นแค่ความจริง
    ที่เราโง่...หลงไปยึด
    เห็นแล้วมัน...เลิกโง่....
    ...ธรรมะที่บรรลุ...มีแค่นี้

    ความเปลี่ยนแปลง ความเสื่อมสลาย
    สภาพทุกขังมีอยู่...ไม่ได้หายไปไหน
    ...แต่ใจไม่กระโดดไปเกาะ
    ...ใจไม่ลงไปในเนื้อเรื่อง
    ความรู้สึกเป็นเรา ของเราก็ไม่มี
    ...จะเหลือแค่ทุกข์โดยสภาพ... ก็เป็นไป
    แต่ใจไม่หลงไปทุกข์ด้วย

    เริ่มต้นมี"เรา"
    เรามีเป้าหมายเพื่อพ้นทุกข์
    มี"เรา" ไปก่อน...
    ...เพราะเราตัวนี้มันจะผลักดัน
    ให้เกิดลงมือทำ...

    ถ้าปฎิบัติถูก
    มรรคแปดจะสลายความรู้สึกว่าเป็นเรา
    ลงไปทุกขณะ...
    จนวันนึงวางลงได้..ไม่หยิบฉวยขึ้นมาอีก
    ก็เป็นอันปิดจ๊อบ
    เพราะจิตไม่ทะยานไปสร้างภพ
    ...หยุดเกิดได้
    หยุดเกิดได้..ก็เท่ากับหยุดแก่ หยุดตาย
    เหมือนจะนับเลข 1-9
    ถ้าหยุดที่1ได้.... 2...3...4... ก็ไม่มี

    แต่ถ้าเดินมรรคแปดผิด
    ปฎิบัติไปยิ่งกอดสภาวะ...
    สำคัญในผู้รู้...
    อยาก....มีสติชัด
    อยาก...รู้เห็นชัดไปเรื่อยๆ
    สร้างความอยาก...ลึกๆภายในใจ
    ตรงนี้มันแนบเนียน
    อุปทานซ้อนไป...แบบไม่รู้ตัว

    การปฎิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ..จริงๆมันไม่ยาก
    แต่เพราะมันฝืนธรรมชาติที่มักดึงเข้าตัว
    อุปทานตีกินแบบเนียนๆ
    เพราะงั้นจะตรวจสอบตัวเอง
    หรือมรรคที่เดินอยู่...ว่าถูกหรือไม่?
    ก็ดูตรงที่เวลาปฎิบัติ.... ทิ้งอารมณ์หรือเปล่า?
    ....เพราะถ้าถูกทางจริง
    ความรู้สึกพอใจ...ก็ทิ้ง
    ความรู้สึกไม่พอใจ...ก็ทิ้ง
    อะไรก็ไม่เอา...ไม่หยิบมาเป็นของเรา
    พอทิ้งอารมณ์...ใจก็เริ่มเป็นกลาง
    ....ความเป็นกลางนี้ ... จะทำให้เห็นความจริง
    ความจริงของธรรมชาติภายใน
    โดยอาศัยความตั้งมั่นของจิต....
    ...จากอุบายของแต่ละคน
    จนได้เห็นความจริงของธรรมชาติภายใน
    การบรรลุธรรมมันมีแค่นี้
    ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยะ
    หลังบรรลุธรรม...บอกกันเป็นเสียงเดียว
    มันเเค่"เส้นผมบังภูเขา"
    เมื่อก่อนกลับมองไม่เห็น...
    แท้ที่จริงมันอยู่"ต่อหน้าต่อตา"แค่นี่เอง
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    มันจะง่ายขนาดนั้นเชียวรื้อห์ เป็นคำถาม
    ที่ผู้แสวงหาทั้งหลายมักจะถาม
    เชิงลังเล
    ทั้งนี้เพราะไม่นิยมความง่าย เชื่อว่าของ
    แท้ของจริงต้องยากเย็นแสนเข็น
    จึงพยายามเอาตัวไปพยายาม
    ดิ้นรนค้นหาแต่สิ่งที่ยากๆ
    แต่ก็ไม่เจอซักที
     
  10. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    ฮับลุงแมว...
    คนที่ภาวนาบางคนเที่ยวหา นิพพานอยู่ที่ไหน
    แท้จริงอยู่ในจิตนี้...
    จิตที่ว่างจากตัณหา..อุปทาน
    จิตที่หยุดการดิ้นรน...
    ...จิตที่ไม่ไหลไปตามผัสสะที่กระทบ
    นี่ล่ะฮับนิพพาน... ไม่ต้องไปหาที่ไหน

    ตอนนี้คนภาวนา...เห็นทำกันเยอะ
    ต้องพยายามมีสติให้มาก
    ...จนรู้สึกว่า "เรานี้มีสติดี"
    รู้สึกว่า "เราภาวนาก้าวหน้า"
    ต้องพยายามมี ผู้รู้ ให้ทันทุกขณะ....
    ....จนก่ออุปทานแข็งปั๋งในวิญญานขันธ์
    ขณะภาวนาเพื่อหาทางหลุดพ้นจากตัวตน....
    ...กลับก่อตัวตนแบบไม่รู้ตัว
    เหมือนกับอีกมือนึงแก้ปมเชือก...
    ...อีกมือผูกปมเชือก

    ธรรมชาติมันพร้อมแสดงความจริงอยู่แล้ว
    ...ถ้าเรารู้วิธีหยุดผูกปมเชือก

    การที่"เอาใจไปพยายาม"ให้เกิดสติ
    ..."เอาใจไปพยายามให้เกิดผู้รู้"
    ...แล้วหมายมั่นว่า"เรามีสติชัด เราเกิดผู้แล้ว"
    เป็นการสร้างกับดัก....อุปาทาน
    มรรคแปดที่ถูก....
    ....จึงมีแค่มี"สติระลึกรู้...แล้วทิ้ง"
    ทิ้งในที่นี้คือ ทิ้งทั้งอกุศล และทิ้งกุศล
    ละชั่ว... แม้แต่ดีก็ทิ้ง....
    มือนึงแก้ปมเชือก....มือนึงไม่ผูกปมเชือกใหม่..

    แต่เอาเข้าจริง
    ...น้อยคนจะเข้าใจ...ทางมรรคแปดที่ถูก
    เพราะถ้าเข้าใจในมรรคแปดถูก...
    ...เดินตามมรรคแปดแบบนี้อยู่
    พระพุทธองค์ตรัส นี้คือ โสดาปัติมรรค
    เดินไปสู่"ผล" คือความเห็นแจ้ง....
    ....แต่รับรองน้อยคนที่จะเห็นได้
    ผมอยู่ในบอร์ดนี้มา.. ก็ยังไม่เห็นใคร
    เพราะไม่ขาด... ก็เกิน
    บางคนโฟกัสผิดจุด... เน้นที่ไม่ควรเน้น
    ที่ควรเน้น...กลับปล่อยผ่าน

    ถ้าปฎิบัติได้ตรงตามมรรคแปด...
    รับรอง"เบิกเนตร"กันไปแล้ว
    ไม่ได้ยากเย็น ... สำหรับคนที่ปฎิบัติถูกฮับ
     
  11. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ทำไม หมูไหม้ ไม่บอกไปเลย ที่ ว่า
    ทำ ถูก อะทำยังไง
    พูดแต่ มรรค 8 เด้กก้พูดได้
     
  12. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    เวลาใครจะเริ่มปลงใจเชื่อ
    ....ในหนทางมรรคแปด
    ว่าทางนี้พาพ้นทุกข์ได้
    มันเริ่มจาก "การมีสัมมาทิฐิ"
    ถึงแม้จะยังไม่ใช่ความเห็นที่ถูก100%ก็ตาม
    แต่ก็เป็นตัวนำไปสู่ความคิดที่ถูก
    เพราะงั้นกว่าคนนึงจะเริ่ม
    ออกเดินตามมรรคแปดได้..เลยยากที่สุด
    คนมากมายเจอทุกข์....
    ...ล้วนหาทางออก...ต่างกันไป
    ...กินเหล้าให้หายทุกข์
    ...ไปทะเล ไปอยู่กับเพื่อน...ให้ลืม
    ...ทำบุญสะเดราะห์เคราะ
    ...ทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวตาย บลาๆ

    น้อยคนจะพาตัวมาปฎิบัติธรรม...
    ...เพราะถึงมาปฎิบัติธรรมธรรมแล้ว...
    ...ก็ใช่จะเป็นการเดินมรรคแปดที่ถูก
    มักถูกกับดัก.... โดยคิดว่าปฎิบัติแล้ว
    จะเกิดผลบุญส่งให้...ชีวิตดีขึ้น
    ...หรือโดนกับดัก ว่าปฎิบัติก็เพื่อให้ใจสงบ
    ทั้งหมด.... ยังไม่ถึงหนทางมรรคแปดเลย

    จนกว่าใครจะเกิดเอ๊ะใจ
    ว่าที่คนทั่วไปแก้ทุกข์นั้น....มันคือปลายเหตุ
    สัมมาทิฐิองค์นำ.... เลยจัดเป็นปัญญา
    ที่จะพาคนๆนั้นสาวไปแก้ทุกข์.... ที่ต้นเหตุ
    ....ไม่ใช่แก้ที่ปลายทาง...
    เกิดความคิดจะออกจากทุกข์ที่ถูกต้อง
    ....เกิดสัมมาสังกัปปะ

    ส่วนการระวังในศีล....
    การสำรวมวาจา... การสำรวมการกระทำ
    ...เป็นการทำให้ระหว่างเดินมรรคแปด
    ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจจากการทำผิดศีล
    อกุศลในใจก็ลดลง... ไม่กำเริบ
    เอื้อต่อการเดินมรรค
    ....แท้จริงมรรคแปด
    ที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้
    เป็นของอัศจรรย์ที่สุด
    มีการดักไว้หมด ไม่ให้อกุศลกำเริบ
    ให้จิตเราเข้าใกล้ความเป็นปกติ....เป็นกลาง
    การมีอาชีพชอบ.... มันจะให้จิตเราเป็นปกติ
    ไม่คลุกอยู่กับอกุศล

    พอกายวาจา...เป็นปกติ
    ความเดือดเนื้อร้อนใจก็มีน้อย
    อกุศลไม่กำเริบ ถูกทำให้เบาลง
    ....ใจก็ไม่สวิงขึ้นลงมาก
    การเจริญสติก็ทำอยู่บนวิถีจิตปกติ

    การมีสติระลึกถึงลมหายใจ
    คือการมีสติมาอยู่กับปัจจุบัน
    เป็นการทิ้งอกุศลจิต .... ทำให้กุศลจิตเกิด
    ...คืออุเบกขา
    เป็นการเจริญสัมมาวายามะ...เพียรชอบ
    จิตที่ระลึกถึงลมหายใจ
    การระลึกได้...จิตจะตื่น...
    ...การเกาะลมหายใจ...จิตจะตั้งมั่นขึ้น
    จะเกิดสัมมาสติ...
    ....สลับกับการเกิดสัมมาสมาธิ
    จิตจะเกิดการตั้งมั่น...เป็นกลาง

    จิตเข้าใกล้ความเสถียร....
    การเห็นธรรมชาติใดๆของจิต
    จึงเห็นได้ถูกต้องตามจริง...
    >>เห็นความคิดที่แทรกมาระหว่างรู้ลม
    >>เห็นสัญญาผุดขึ้นแทรกระหว่างรู้ลม
    บลาๆ
    ...เห็นการเกิดดับของความคิด
    ....เห็นการเกิดดับของสัญญาต่างๆ
    ...เห็นความแปรปวนของขันธ์ห้า
    ...เห็นความว่างเปล่าไร้แก่นสารไม่น่ายึด

    มรรคแปดจึง"ไม่ใช่สติอย่างเดียว"
    มรรคเเปดคือ องค์ประกอบ 8 อย่าง
    ที่เอื้อต่อการเห็นแจ้ง....ความจริง

    ถ้ายังผิดศีล...ใจคิดเบียดเบียน
    ...แล้วเจริญสติเลย...จิตยังสวิงขึ้นลงมาก
    ....เห็นเกิดดับได้แต่...จิตเป็นกลางได้ยาก
    พอไม่เป็นกลาง... จิตก็ไม่ตั้งมั่นพอ
    จิตก็ไม่เห็นความจริงจังๆ...มันเลยไม่ฟันธง
    ...เลยไม่เห็นธรรม

    ถ้าเอาแต่เจริญสติรู้ โดยขาดวิหารธรรม
    เจริญสติแบบลอยๆ.... จิตจะไม่ตั้งมั่น
    จิตผูกติดกับนามธรรมไปเรื่อยๆ
    นามธรรมภายในเป็นของเลื่อนลอย
    ถ้าขาดหลักเกาะ...จะหลงไปในจิตสังขาร
    ไปเรื่อย...
    ไม่ตั้งมั่น และไม่ต้องพูดถึงความเป็นกลาง
    และจิตจะเกิดการจดจ้องดูอารมณ์
    วิปัสนาจะกลายเป็นสมถะไป..
    ..ตรงการจดจ้อง
    สังเกตุไปว่า... ถ้ามันไม่โผล่ออกมาให้ดู
    เกิดสมถะเรียบร้อยแล้ว...
    เพราะการจดจ้อง...
    ....และสิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่ของจริง
    ไม่เป็นกลางด้วย

    วิหารธรรม คือ รู้ลมหายใจ...จึงสำคัญ
    ...มันจะทำให้ตัดความจงใจ
    ...ในการเห็นนามธรรม...
    >>อยู่กับลมหายใจ...ความคิดผุดขึ้น...รู้
    >>อยู่กับลมหายใจ...สัญญาผุดขึ้น... รู้
    ต่อให้ปักใจจะรู้แต่ลมหายใจอย่างเดียว
    ไม่ให้เคลื่อนไปไหน..พยายามให้ตาย
    ก็ทำไม่ได้... จิตยังไงก็บังคับไม่ได้

    แล้วธรรมชาติของนามธรรมจะแสดงให้เห็น
    ความเป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่มั่นคง
    เป็นของเปล่าๆปลี่ๆ เป็นของไร้แก่นสาร
    เห็นขันธ์ภายในที่เป็นนามธรรม
    มันจะเห็นทั้งโลก ทั้งจักรวาล
    .....มีสภาพเดียวกัน

    มรรคแปดที่พระพุทธองค์ทรงชี้ไว้ดีแล้ว
    ....จึงตัดออกไม่ได้เลย
    มรรคทุกองค์เอื้อให้เกิด...
    ...เกิดความปกติของจิต
    ...เกิดความเสถียรของจิตไม่สวิงขึ้นลง
    ...เกิดความไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
    ...เกิดความเป็นกลางของจิต
    ...เกิดความตั้งมั่นของจิต
    เพื่อเห็นความจริงของธรรมชาติของกายใจนี้
    เพื่อล้างความเห็นผิด...ว่ามีตัวกู
    เมื่อเห็นแจ้งความจริง....
    ...จะเกิด "สัมมาทิฐิ" ที่สมบูรณ์
    กลับไปเติมเต็มสัมมาทิฐิองค์นำของมรรค
    พอเห็นแจ้ง... บรรลุธรรม
    การเดินมรรคของพระโสดาบัน.. เลยมั่นคง
    เห็นทางที่เดินมา....และทางที่จะเดินไป

    มรรคแปดเลยเป็นทางไปสู่นิพพาน
    ที่ใครๆก็ทำได้...
    ...แค่น้อยคนที่จะเข้าใจ
    และปฎิบัติมันได้ถูก...
    ส่วนใหญ่ตัดนั่น... เติมนี่กันไป
    ....เลยไม่ถึงซักทีฮับ
     
  13. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    อึ่มม์... แบบนี้ไม่ว่าเด็กๆ หรือด๊อกเตอร์
    ก็พูดไม่ได้เด็ดขาด
     
  14. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    มีผมคนละมั้งที่อ่าน หมูไหม้ แล้ว มึนหัว

    แค่ประโยคนี้ก็มึนแล้ว

    " ถ้าเอาแต่เจริญสติรู้ โดยขาดวิหารธรรม
    เจริญสติแบบลอยๆ.... จิตจะไม่ตั้งมั่น "

    อานาปานสติ เป็นวิธีเจริญสติ
    หนึ่งใน 21 วิธี เรียกว่า วิหารธรรม อันนึง

    การกำหนดรู้ อิริยาบท ก้เป็นการเจริญสติ
    หนึ่งใน 21 วิธี เรียกว่า วิหารธรรม อันนึง

    การกำหนดรู้อารมณ์จิต ก้เป็นการเจริญสติ
    หนึ่งใน 21 วิธี เรียกว่า วิหารธรรม อันนึง

    การกำหนดรู้ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ก็เป็นการเจริญสติ
    หนึ่งใน 21 วิธี เรียกว่า วิหารธรรม อันนึง

    ยกตัวอย่างเพียงแค่นี้

    ที่นี้

    การจะมีสติที่ถูกต้องหรือสัมมาสตินั้น มันมีเหตุมาจากไหน

    เหตุก็มาจาก สัมมาวายามะ ก็คือความเพียร
    จะเพียรถูกหรือผิด มันก้มีผล เมื่อจุดมุ่ง
    พุ่งไปที่สติที่ถูกต้อง

    ก่อนจะมีความเพียร มันก็ต้องมี สัมมาอาชีพที่ถูกต้อง

    สัมมาอาชีพที่ถูกต้อง จะมีขึ้นได้
    ก็มาจาก สัมมากัมมันตะเจตนาเว้นการฆ่า
    สัมมาวาจา วาจามีสัจจะมีวาจาสุจริต
    สัมมาสังกัปปะ มีใจที่ไม่เบียดเบียน
    พูดง่ายๆ มรรค ข้อ 2.3.4 มันคือ ศีล
    ที่เป็นเจตนางดเว้น ด้วย ใจ วาจา กาย

    เมื่อคนที่เลือกที่จะมาฝึกการเจริญสติปัฏฐาน
    นี่เรียกว่า สัมมาทิฐิ แบบหยาบๆได้เริ่มขึ้น
    ทำไมจึงเรียกว่า สัมมาทิฐิแบบหยาบ
    เพราะ
    มีความเห็นที่ถูกต้องต้องในเบื้องต้น
    อะไรคือความเห้นถูกต้อง

    ก็
    วิธีฝึก สติปัฏฐาน ชื่อ ว่า เป็นความเห็นที่ถูกต้อง
    เนื่องด้วยเป็นกระบวนการทำให้พ้นสังสารวัฏ
    โดยอาศัย การฟังธรรมที่สมบูรณ์
    ความเชื่อ ความศรัทธาจึงเกิดขึ้น ให้มา ลงมือปฏิบัติ ตามสติปัฏฐาน
    นี่จึงเรียกว่า สัมมาทิฐิแบบหยาบๆ ของปุถุชน มรรค ข้อที่1

    ฉะนั้น เวลา ลงมือทำ เขาไม่มานับเรียงมรรค
    เมื่อใด คุณ กำหนดรู้ปัจจุบันขณะ เมื่อนั้น มรรค พร้อมที่ ที่จะสมังคีกันได้ทุกเมื่อ


    ผลของ มรรค8 มันเป็นอะไรที่พ้น บุญบาป

    เมื่อเหตุ การประกอบความเพียรไม่ย่อย่น
    จนทำให้ มรรคข้อที่ 7 หรือ สัมมาสติ เกิดขึ้น

    กุศลก้พ้น

    ส่วน บาปมันพ้นตั้งแต่ มรรคข้อ ที่ 2.3.4 แต่ยังไม่พ้นบุญ
    พอ สัมมาสติเกิด บุญกุศลมันจึงพ้น นี่เรียกว่า มรรคสมังคีในตัว
    จะมีสัมมาสมาธิแบบขนิกสมาธิในชั่วขณะ
    สัมมาทิฐิตัวเต็มจะเริ่มมั่นคงขึ้นในแบบปุถุชนผุ้เจริญสติปัฏฐาน

    นี่ กระบวนการเกิดปัญญาญานอ่อนๆ เริ่มที่ตรงนี้
    เรื่องลี้ลับมีมาให้เห็นพร้อมด้วยแต่ขี้เกียจพูด
     
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    เอ้า...ทั่นหมูไม้ลองอ่านคำท้วงติง
    ดูก่อน
    แล้วจะเทศน์ใหม่มั้ย หรือยืนยันคำเทศน์
    อันเดิมคับ
     
  16. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    สัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้า สติเหมาะกับทุกกาล
    อันนี้เป็นคำกล่าวพระศาสดา

    ส่วนตัวมองว่า เราระลึกอยู่กับลม
    สัมปชัญญะจิต ก็ตั้งมั่นอยู่ที่ลม
    เริ่มแรกจะรู้แค่ลมเข้าออกเพราะกำลัง
    สติสัมปชัญญะยังน้อย

    พอสติสัมปชัญญะมีกำลังเพิ่มขึ้น
    จะทำให้รู้ลมทั่วร่าง และจากลมเริ่มแรกที่ยังไม่เห็น
    ได้แต่เพียงระลึกรู้เฉยๆ
    ก็จะกลายเป็นเห็นทั่วถึงซึ่งกองลม

    ทีนี้ สติและสัมปชัญญะนี้เป็นอนัตตา
    ก็เลยเห็นธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
    จากกำลังสติสัมปชัญญะนี้หละที่ทำให้จิตเห็นแจ้ง
    พระไตรลักษณ์ ไม่มีบุคคลผู้เข้าไปเห็นอนัตตา
    มีแต่อนัตตาทำให้เห็นอนัตตา

    สติสัมปชัญญะก็เหมือนเรือข้ามฟากให้กับจิต
    ถึงฝั่งแล้วเรือก็ไม่ได้เอาไปด้วย
     
  17. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    ผมถามเพื่อน...ปฎิบัติยังไงอยู่?

    >>เขาว่า.... เจริญสติปัฎฐาน

    ดีๆ... ทำแบบไหนล่ะ?

    >>เขาว่า... ตามดู ตามรู้.. เวลาโกรธ ก็รู้ว่าโกรธ
    บางทีก็ดูจนโกรธมันหายไป


    ดีๆ... แล้วมีอะไรเป็นวิหารธรรมไหม?

    >>เขาว่า... ไม่มีนะ

    อ้าว... มีสติระลึกรู้ความโกรธแล้วทำไงต่อ?

    >>เขาว่า... ก็แค่นั้น

    แล้วเห็นความจริงอะไรบ้างยัง?

    >>เขาว่า... ก็มีสติบ่อยขึ้นนะ
    บางทีโกรธมันก็ดับเร็วมาก..


    ดีแล้ว... ค่อยๆทำไป โมทนาด้วยนะ

    .......จบการสนทนา........



    การเจริญสติของคนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ฮับ
    ดูเผินๆแล้วก็ไม่ได้ผิดอะไร....
    แต่จริงๆแล้วกำลังทำมรรคองค์เดียว

    ตอนเราใช้ชีวิตจริงๆ ...
    ...เวลาส่วนใหญ่อยู่มันอยู่มันโลกความคิด
    เป็นโลกเสมือน....ที่ไม่มีอยู่จริง
    เดินคิด นั่งคิด นอนคิด

    เวลามีสติระลึกขึ้นมา
    ถึงได้กลับมาอยู่ปัจจุบันซักขณะ
    ....แล้วก็หลงเพลินกับความคิดเหมือนเดิม
    วนอยู่แบบนี้
    แล้วเข้าใจว่าทำแบบนี้....วันนึงจะเห็นความจริง

    ...ผ่านไป10 ปีตัดพ้อกับหลวงพ่อ...
    ทำไมไม่เกิดมรรคผลซักที
    ....ทั้งทีก็เจริญสติอยู่ไม่ได้ขาด

    .....ผมก็อยากไปสะกิดแล้วบอกว่า
    มีอะไรพลาดไปไหม...
    ลองกลับไปดู "มรรคมีองค์8"
    อาจจะได้ทางแก้ไข

    ทำไมสติปัฎฐาน....
    ...พระพุทธองค์ถึงยก " อานาปานสติ"
    ทุกขั้นของอานาปานสติ...ถ้าลองสังเกตุ
    จะมีการรู้ลมหายใจในทุกขั้น
    ....สงสัยไหม? ทำไมไม่ปล่อยการรู้ลม

    เพราะเราอาศัยลมหายเป็นฐานที่มั่น
    เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบๆ
    การอยู่กับลมหายใจ
    เพื่อเกิดความตั้งมั่นของจิต.....
    จึงสำคัญ
    ....แต่คนส่วนใหญ่ตอนนี้ตัดทิ้ง
    เปรียบเหมือนเรานั่งดู...เด็กวิ่งเล่นกัน
    เราจะเห็นเด็กแต่ละคนชัดๆ...
    ....ใครไล่ใคร... ใครวิ่งเร็วกว่าใคร
    แต่ถ้าเราลองลงไปวิ่งเล่นด้วย....
    ...การเห็นมันไม่ชัดเท่ากับนั่งดูเฉยๆ

    คนส่วนใหญ่พอนึกถึงปฎิบัติธรรม
    ก็คิดว่าแค่มีสติก็พอ
    ทำสติให้มากๆ
    ....จนลืมถึงมรรคที่เป็นปัจจัยอื่นๆ

    ..ต้องระลึกไว้...
    ถ้าไม่สำคัญพระพุทธองค์จะไม่บัญญัติไว้

    เราไม่ได้เอาสติอะไร....
    ...แต่เราอาศัยสติ...เพื่อตื่นจากโลกความคิด
    กลับมาอยู่กับปัจจุบันแค่นั้น
    จุดประสงค์ของสติ....มีเท่านี้

    แต่อย่าลืมสิ่งสำคัญ
    ..ปัจจัยให้จิตตั้งมั่น คือ วิหารธรรม
    ต้องอาศัยสิ่งนี้เพื่อเห็นความจริง

    การที่เฝ้าดู เฝ้ารู้อยู่ในนามธรรมจนมันดับ
    การจดจ้องรอดู นามธรรมเกิด
    ล้วนไม่ใช่วิปัสสนา
    จิตจะไหลไปตามนามธรรม
    จนกลายเป็นการปรุงแต่งของจิตไป

    ...พอกางมรรคแปดมา กางสติปัฎฐานมา
    เทียบกับที่เราภาวนาอยู่..ก็จะเห็น
    ....ว่าเราควรเเก้การภาวนาอย่างไร?
    ถ้าทำถูก.... ต้องเห็นผลเร็วฮับ
     
  18. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    คนไม่เข้าใจ ไปถาม คนไม่เข้าใจ ก้เลย งง อะฮับ

    เจริญสติปัฏฐาน 21 วิธี มันทำง่ายก็จริง ในวิธีทำ

    แต่การจะให้จิตจดจำสภาวะได้ ความพอดี จนสติเกิดมันไม่ใช่เรื่องง่าย
    แต่ถ้าใครเข้าล๊อกปั๊ป ก็จะคล่อง

    อย่าว่าแต่ ภาวนามาเป็น 10 ปีเลย
    แม้พระพาหิยะ ชาติที่แล้ว ภาวนามาทั้งชาติจนตัวตาย ก็ยังไม่บรรลุ
    ยังให้ผลมา บรรลุไว ในสมัยพระสมณโคดม
     
  19. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    สำหรับผม เริ่มเห็นการเกิดดับขั้นหยาบๆ และค่อยถี่ๆไป
    จะเริ่มเห็นว่าไม่มีตัวเรา ตัวเขาคับ มันได้สมาธิจากการเห็นแบบนี้ไป
    โดยที่เราไม่ต้องไปปรุงแต่งให้สมาธิเพื่อสติคับ
     
  20. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    ตั้งใจให้อ่านฮับ...
    ว่า...สติไม่ใช่ทั้งหมดของมรรค...
    ...อย่างที่หลายคนคิด
    การเจริญสติ....จะเกิดผล
    ต้องทำบน"วิถีจิตปกติ"....
    ไม่สวิงขึ้นสุดลงสุด
    อย่างเวลา...เล่นเกมส์
    มันเจริญสติได้.. เห็นโทสะระหว่างเล่นก็ได้
    เห็นโลภะระหว่างเล่นก็ได้....
    ...เห็นเกิดดับได้....เห็นไตรลักษณ์ก็ได้
    แต่ไม่เกิดผล

    ....เพราะงั้น
    สติต้องมี... แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของมรรค
    การเจริญสติ....ไม่ใช่แค่การเข้าไปดูเข้าไปรู้
    แล้วคิดว่านี่นั่นเป็นทั้งหมดของการปฎิบัติ
    ....ต้องเอ๊ะใจ... ถ้าสติเป็น all in one จริง
    พระศาสนาดาจะไม่ตรัสเรื่องอื่นเลย
    จะตรัสไว้แค่ "สติ".....แต่นี่ไม่ใช่

    ใจที่เข้าใกล้ความเป็นกลาง...
    ตรงที่จิตมันเสถียร... ไม่กวัดแกว่ง
    ...จิตที่ไม่คิดเบียดเบียน มุ่งร้าย
    ...นั่นแหละขึ้นชื่อว่าใกล้นิพพาน
    มันเป็นวิถีจิตปกติ...
    เจริญมรรคท่ามกลางวิถีจิตปกติ
    ...เข้าไปเห็นความจริงของธรรมชาติ
    มันจะเกิดผลได้ไม่ยาก...
    หรือใครที่มีวิถีจิตปกติอยู่แล้ว
    ใจมันตั้งมั่นง่าย
    พอมีปัจจัย...ให้จิตตั้งมั่น
    ....แล้วได้ฟังสัทธรรม...
    ก็สามารถบรรลุธรรมได้ทันที
    โดยไม่ต้องอาศัยมา "เจริญสติ"ด้วยซ้ำ
    แต่เกิดท่ามกลางความตั้งมั่นเป็นกลางของจิต
    คีย์เวริด์สำคัญมันอยู่ตรงนี้ต่างหากฮับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...