กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716
    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
    วัดป่าธรรมอุทยาน
    ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    (ต่อ2)

    เริ่มต้นการเทศนาว่าด้วยเรื่องการปฏิบัติให้มีความสนุก

    ญาติโยมที่มาวัดวันนี้ นั่งนานๆ เกิดเวทนาไหม นี่แหละ มาวัดก็เอาตามสบายของพวกเรา ท่านให้ละรูป ละนาม ก็ยังมาแสวงหารูป หานาม ท่านให้ละรูป ละนามออกให้หมด แต่ก็ยังเป็นบุญที่ได้ครองบุญ ครองกุศลให้คนอื่นได้บุญ ได้กุศล ได้สร้างตบะ สร้างบารมี ถ้าดูจิตให้สนุก อยู่คนเดียวก็สนุก ถ้าการปฏิบัติธรรมไม่สนุก แสดงว่าคนนั้นมีจิตใจท้อถอย ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วสนุกสนานเพลิดเพลิน มีความพอใจฝักใฝ่อยู่คนเดียวก็สนุก นั่นแหละยิ่งสนุกใหญ่ จิตมีความอาจหาญ มีความกล้าหาญ กล้าได้ กล้าเสีย กล้าตาย อยู่เหนือตาย ตายก่อนที่จะตายเสียอีก นั่นแหละต้องทำให้จิตของเราตายจากกิเลส ซึ่งกว่าจะทำได้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เยอะ

    กลัวผีเพราะจิตหลอก

    ตอนบวชพระใหม่ๆ บางวันยืนอุ้มบาตร ทั้งวัน ทั้งคืน ฝนก็ตก จะไปปักกลดอยู่กลางป่าช้า จะไปไหนก็ไปไม่ได้ เจอลม เจอ ฝน หนาว ก็หนาว ทนทุกข์ทรมาน ทั้งกลัวผีก็กลัว ฝึกใหม่ๆ บวชใหม่ๆ นี่กลัวผีมากทีเดียว ช่วงยังไม่บวชก็ไม่ค่อยกลัวนะ พอมาบวชนุ่งผ้าเหลืองแล้ว วันแรกก็เกิดกลัวผีอย่างจับใจ เพราะว่าจิตมันหลอก

    เขาบอกว่า ผีชอบหลอกพระบวชใหม่ เข้าไปอยู่ในกุฏินี่มีรูนิดเดียว ก็หาสำลีไปอุดไว้เลย กลัวผีมันจะมองเห็น มันหลอกถึงขนาดนั้นเลย ขนาดจะไปเบา ไปหนัก ยังต้องกลั้นเอาไว้ จนตะวันโผล่ถึงลงมาได้เพราะกลัว นึกถึงหลวงปู่หลวงตาที่บำเพ็ญมามากๆ จิตของท่านคงมีกำลัง ช่วงนั้นแหละ ถึงได้เข้ามาอยู่ป่าช้า มาอยู่คนเดียว เมื่อก่อนอยู่ในบ้าน ขนาดจะมาเดินจงกรมใหม่ๆ นี่ยังถือไฟฉายด้วย ก่อนจะเดินจงกรมสร้างขันติ ก็เอาไฟฉายนี้กราดไปทั่วเลย กลัวผีหลอกจะมานั่งดู มันเดินมา จิตมันคิดไป ปรุงแต่งไป เราก็เดินเร็วขึ้น ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา เอาจิตให้อยู่ เอาจนเหนื่อย จนเหงื่อแตกซิกๆ เลย

    ก่อนจะเข้าที่พัก ก็เอาสังกะสี 7-8 แผ่น มาทำเป็นวงกลม ล้อมต้นไม้เอาไว้ แล้วเอากลดไปกางไว้ข้างใน ก่อนที่จะเข้าไป อยู่ในซุ้มในกลด พอถึงประตู ก็วิ่งปรูดเข้าไปเลย กลัวผีหลอกมันดึงขา ขนาดอยู่ป้าช้านะ ออกมาฝึกอยู่ป่าช้า มันยังหลอกขนาดนั้นนะจิตของเรา

    กลัวเกร็งจนปฏิบัติผิดๆ ทำให้จิตตึงเกินไป
    ฝึกไป ฝึกมา ดับไป ดับมา ก็เกิดความกล้าหาญมากขึ้นๆ ทีละเล็ก ละน้อย ต่อมาก็นอนอยู่ตามหลุมศพ ในป่าช้าอยู่คนเดียว หลุมศพใหม่ๆ เสียด้วย เป็นศพจากอุบัติเหตุ รถชนกันตาย เขาก็เอามาฝัง เราก็ได้ที่แล้ว ก็เอเสื่อมาปูอยู่บนหลุมศพ เอากลดมากาง เมื่อก่อนมันรก

    เดินเข้าป่าช้านี่ ต้องเอามีดถางๆ เดินมาไม่ได้มันรก พอมานั่ง มันก็กลัว นอนหงายก็กลัว สู้นอนคว่ำหน้า ใส่กับผีหลอกเลย ถึงขนาดนั้น ใหม่ๆ นี่สติไม่พ่งจิต ไม่อยากจะออกไป ให้รับรู้ มันกลัว มันเพ่งๆ จ้องระวัง ตรงนี้ก็สำคัญ เราคอยระวังจิตของเรา มากเกินไป

    ไม่อยากให้จิตของเราออกไปรับรู้ต่างๆ กลัวมันจะเกิดความกลัว สติมันก็เลยเพ่ง เหมือนแมวคอยตะครุบหนู ก็เลยตึงเครียดกัน จิตก็ตึง สติก็ตึงทั้งคืน เช้าขึ้นมานี่กายสะท้านหมดเลย ขากรรไกรนี่จะสั่น กระทบกันอยู่ตลอด คือมันปฏิบัติผิด

    ปล่อยให้จิตรู้ แต่ระวังอย่าให้จิตหลง
    ตามความจริงแล้ว จิตของเรา เป็นธาตุรู้ เราให้เขารับรู้ แต่ไม่ให้เขาเกิด ถ้าเขาจะเกิดก็เอาสติ เข้าไปดับ ใช้วิธีไหนก้ได้ ที่จะให้เขาดับ กำหนดลมหายใจให้เขาดับ ให้เขารับรู้ แต่ไม่ให้เขาเกิด ถ้าเราอยากจะรู้อะไร เหตุอะไรที่มันเกิดภายนอก เราก็เอาสติปัญญา พากายเข้าไปดู ใหม่ๆ จะเป็นกันหมดทุกคน

    เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด ให้เข้าใจ ให้ถ่องแท้ การควบคุมจิตเป็นยังไง การบริหารจิตเป็นอย่างไร จิตของเราก็เหมือนกับเด็กน้อยนั่นแหละ ปล่อยให้เขาเล่น พอเกิดอุปสรรค เราก็ค่อยไปช่วยเหลือเขา ถ้าเขาจะส่งไปข้างนอก เราก็ต้องรู้จักดับเขา รู้จักแก้ไขเขา

    จิตที่ไม่ได้ฝึกนี่มัน ก็จะไปตามเองตามราวของเขา หลงไป ขนาดหลงๆ อยู่ ยังว่ามันไม่หลงนะ เขาว่า เฮ้ย...ไอ้นี่ไม่มีสติเลย ก็ไปโกรธให้เขา มันก็ไม่มีสติจริงๆ ดังเขาว่านั่นแหละ



    (คัดลอกจากหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ 25 ประจำเดือนสิงหาคม) พ.ศ.2548 ฉบับที่ 425
    http://www.dhammajak.net/
    สาวิกาน้อย ผู้จัดการ
     
  2. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716

    ถ้าฝันก่อน 1-2 วันก็คงถูกหวย
    54 , 45 ตรงๆเลยงวดนี้
    (5 องค์แตกไปองค์ เหลือ4)

    ใครฝันถึงลป.ดู่ มักมีโชคลาภ
    เพียงแต่ว่าผู้ฝันจะคว้าลาภก้อนนั่นได้หรือไม่
    ครั้งหนึ่งเคยฝันลป.เหมือนกัน
    งวดนั่นออกอายุท่าน 85 ตรงๆ
    คนเล่าฝันไม่ถูก
    แต่คนฟังฝันถูก
     
  3. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    พูดมีเหตุผล 5555
     
  4. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
     
  5. ง่าวต๋าย

    ง่าวต๋าย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +150
    แต่พอนู๋รู้สึกตัวมันก็มีกลิ่นแบบคล้ายจับฉ่ายอ่ะค่ะ กลิ่นเค็มๆเปรี้ยวบอกไม่ถูกนอนดมไปนานเหมือนกัน กลิ่นมาจากไหนไม่รู้ ตอนนั่งสมาธิก็รู้สึกหน่วงๆจมูก แล้วก็แสบๆฉุนๆ อยู่ปลายจมูกสักพักเหมือนเราสูดของฉุนเข้าไปแง้ๆอะไรเข้าไปมะรู้ ฟุ่บไปในลมหายใจเลย / นู๋พยายามนั่งสมาธิทุกวัน แต่ก็ฟุ้งกระจายเลยช่วงนี้เครียดมากกกกกกกกก
     
  6. ง่าวต๋าย

    ง่าวต๋าย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +150
    ถือว่าเล่าให้ฟังเล่นๆแล้วกันเนอะ : นู๋ฝันว่าเจอพระสงฆ์คนนึง อยู่ดีๆมาจับแขนบีบนวดลูปไปลูปมานู๋ก็พยายามหนี มันก็ตามไปทุกที่เลย มีผู้หญิงอีกคนโดนด้วยนู๋เลยช่วยเค้าไปแล้วซวยคนเดียว ที่สุดท้ายคือที่บ้านนู๋มันใส่เสื้อสีขาวไม่ได้แต่งเป็นพระนะ มันถือปืนออกมา แล้วบอกว่ากูตามมึงมาถึงขนาดนี้แล้วกูไม่ปล่อยมึงไว้หรอก นู๋เลยบิดมอไซด์มาโดนยิงเป็น10นัด แรงมากแต่ไม่ละคายผิว พอพ้นซอยบ้านมา มีผู้ชายใส่สูทหล่อมากยั่งกะพระเอก เห็นหน้าไม่ชัดนะ ยิงสวนมันให้นู๋แล้วเค้าก็โดนยิง แล้วเค้าก็บอกว่าเคยรอดตายจากเด็ก2คน ตอนนี้ถึงเวลาทดแทนบุญคุณแล้ว...รู้รู้สึกตัวใจเต้นแรงแทบหลุดออกมา.. ฝันตอนบ่ายนี้เองหลับปุ๊ปฝันปั๊ป.. จะตีฝันยังไงดี/ คือวันนี้อ่ะนู๋คิดว่าตอนนั่งสมาธิ ตอนกลางคืน จะลองอธิฐานจิตถึงพระเยซูดู พระไทยช่วยไม่ได้ ลองพระคริสต์ก็แล้วกัน คนคริสต์ข้างบ้านก็เป็นคนดีงี้ ฝันแบบนี้ตีความฝันไม่ออกเลย
     
  7. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ฝัน 4 มิถุนายน 2564

    ข้าพเจ้าฝันไปว่า อยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ภายในวัดพบพระภิกษุรูปนึงใส่แว่น ในฝันไม่ตกใจแต่พอตื่นตกใจมาก เพราะพระภิกษุที่พบคือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง ท่านบอกกับลูกศิษย์คนนึงว่า ให้ไปเตรียมการสร้างเมรุเผาศพ และบอกชาวบ้านด้วยว่า ให้ทำบุญนี้ 3 ครั้ง และตั้งจิตไปว่า “ขอความขัดข้องทั้งหลายอย่าได้บังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าตราบเข้าสู่พระนิพพานเถิด” แล้วชีวิตจะราบรื่น
     
  8. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ปิติสุดๆ
     
  9. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716
    (ต่อ 3 )
    เมื่อรู้ธรรม แล้วให้วางธรรม

    สติในทางโลกนั้นใช่อยู่ แต่สติในทางธรรม ที่จะเข้าไปดูจิต เข้าไปชำระกิเลสที่จิตนั้น ตรงนี้ไม่มี นอกจากบุคคลที่มาฝึกจริงๆ ถึงจะรู้ว่า เราไม่มีสติ มาฝึก มาดู มารู้ มาแยกได้จริงๆ นั่นแหละ ถึงจะรู้ว่า เราไม่หลง ทั้งๆ ที่เราหลงๆ อยู่ ก็ยังว่าไม่หลง เราไม่หลงอยู่ในระดับของสมมุติ เท่านั้นเอง ในระดับวิมุติ ตราบใดที่ยังแยกรูป แยกนามไม่ได้นี่หลง

    ถึงจิตจะสงบอยู่ ก็เป็นเพียงขันที่คว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงายขึ้นมา เป็นสมาธิเฉยๆ สงบอยู่เฉยๆ ยังไม่ได้หงายขึ้นมา ถ้าหงายขึ้นมาแล้ว กำลังสติต้องตามค้นคว้า แล้วละออกให้หมดอีก แม้เป็นจิตก็ไม่ให้เกิด ถ้าจิตไม่เกิดแล้ว ดับความเกิดแล้ว ต้องวางอีก นั่นแหละ เขาเรียกว่า วางธรรม ถ้ารู้จิตแล้วยังไปผูก ไปขังจิต เหมือนกับไปเจอพระ แล้วก็จับพระไปขังเสีย

    ปล่อยให้จิตของเราเป็นอิสระ อิสระจาการเกิด อิสระจากกิเลส อิสระจากความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเขาก็สะอาด เขาก็บริสุทธิ์ การเกิดเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด ถ้าเขารู้ความจริงแต่เวลานี้ ภายใน 5 นาที ไปกี่เรื่องแล้วก็ไม่รู้ เพียงแค่อารมณ์เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นมา ก็ไปยินดี ยินร้ายไปด้วยกัน เขาเรียกว่าไปเสียดาย อาลัยอาวรณ์ กับอารมณ์

    เล็กๆ น้อยๆ เพราะฉะนั้น ให้เห็นทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นธรรมดา
    ปฏิบัติให้เคร่งตามดูจิตในทุกอิริยาบท

    สมัยก่อนฝึกใหม่ๆ จิตพลิกจากสมมุติ ไปหาวิมุติใหม่ๆ กำลังเร่งทำความเพียร นี่มองดูพวกท่าน ถ้ามานั่งอยู่ใกล้ๆ นี่มันห่างไกลเป็นโยชน์ เพราะสภาวะจิตมันต่างกัน สมัยก่อน ทำความเข้าใจกับนิวรณ์ หนาวๆ ก็ลุกอาบน้ำ

    ถ้านิวรณ์เข้ามาลุกอาบน้ำ เดินถูพื้นศาลา จนเป็นมันวับเลย ตอนกลางคืนนี่ เอาการเอางาน เป็นการปฏิบัติธรรม ถูพื้นศาลาด้วย ไล่นิวรณ์ด้วย เพิ่มความขยันหมั่นเพียร ทำงานไปด้วย กลางวันก็ทำงานไป ถ้านั่งนิวรณ์จะเข้าก็ลุก ตามดูจิตให้ได้ ทุกอิริยาบท

    ว่างแล้วจากทุกสิ่ง มุ่งเพียงสร้างประโยชน์ให้สังคม

    ทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรที่จะไปตามดู จิตมันก็ไม่เกิดมาร่วม 20 ปีแล้ว สติมันก็หยุดร่วม 15-16 ปี ความคิดก็ไม่ผุดมาปรุงแต่ง ร่วม 20 ปีเหมือนกัน ก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็มีแต่จะทำงาน ทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ ทำงานเพื่อที่จะ ให้คนรุ่นหลัง ได้มาอยู่ดี มีความสุข ได้มาฝึกปฏิบัติ ก็เพื่อที่จะได้ไป ได้เร็ว ได้ไว ทุกวันนี้ อะไรๆ ก็ทำไว้หมด ที่พัก ที่นั่ง ที่เดิน ห้องส้วม ห้องน้ำก็ทำไว้หมด ก็เหลือเพียงญาติโยม เท่านั้น

    ให้เป็นผู้สอนตัวเอง อย่าเป็นผู้มีกิเลสหนา

    เมื่อทำให้ขนาดนี้ ยังจะพากันเกียจคร้านอยู่ ก็ช่วยไม่ได้ เราต้องสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันจึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ให้คนโน้นเขาขนาบ ไปให้พระองค์โน้นขนาบ พระองค์นี้ขนาบ อย่างนั้นคงเป็นบุคคลที่กิเลสหนา บุคคลที่มีกิเลสเบาบาง ฟังนิดเดียว ไปแก้ไขปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ

    ใครที่เข้ามาที่วัดนี้ ถึงจะแปลกแตกต่าง ไปจากที่อื่นอยู่ ตั้งแต่ปากทางเข้ามา แม้แต่ป้ายวัด ทางการเขาก็มาติดให้ เขาสงสาร เขาหาว่ายาก ก็เลยมาติดให้ พวกท่านถึงได้เห็นป้ายวัด ป้ายวัดก็เล็กนิดเดียว เข้าก็ก็ไม่มีเขียนข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ เอาไว้ให้ แล้วก็ไม่เห็นพากันไปนั่งเดิน ไปฝึกปฏิบัติ อะไรเลย

    อุบายการปฏิบัติที่วัด จะไม่มีกฎทุกอย่าง ให้ใช้สติสังเกตดู

    สำหรับที่นี่ ทุกคนเข้ามาก็ให้รู้สึกว่า มาที่นี่เหมือนกับอยู่บ้าน ซึ่งแต่ก่อนยังไม่ได้มา ก็เยไปคิดว่า เอ… เราจะไปอยู่ยังไง เราจะไปกินยังไง ไปนั่งยังไง ไปฝึกยังไง มันหลอกเราเสียแล้ว พอมาเข้าจริงๆ มารู้ความจริง เออ…มาที่นี่ก็สบายนะ ใครๆ ก็เหมือนกับพี่กับน้อง มีอะไรก็คอยช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ความวิตกกังวลก็คลายไป โดยไม่รู้ตัว มันคลายไปเปราะใหญ่ จิตใจก็เลยสบาย

    คือว่า มันสบายแบบหลงๆ หรือสบายแบบไม่มีสติ ก็ไม่รู้นะ ต้องมาสร้างกำลังสติ ไปกว่านี้อีก ถ้าจิตของเราสบายเป็นยังไง สงบเป็นยังไงนี่แหละ ถ้าเป็นบางที่ ถ้าเคร่งครัดมากเกินไป ก็คือคอยระวังระแวง แต่ที่นี่ไม่มีแบบนั้น ก็เลยไม่ได้กังวล ตรงจุดนั้น ความกังวลคลายไป จิตใจก็เลย ไม่มีความกังวล แต่พวกเราจะมีสติ คอยสังเกตรู้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

    ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนมีเหตุและผล

    ที่นี่จะปล่อยให้ปฏิบัติดูจิตของเรานี้ มีสติเข้าไปสังเกตดู เข้าไปวิเคราะห์ดู ทั้งที่จิตก็สบายอยู่ สบายแบบธรรมชาติ ทั้งกาย ทั้งจิต ตั้งสติไปด้วยกันหมด ขาดการจำแนก แจกแจง จิตสงบของเราเป็นยังไง ความสบายยาวนานหรือไม่ ที่พากันมา ก็มาเพื่อที่จะแสวงบุญ ทุกคนก็มีจิตเป็นบุญ เป็นกุศลกันหมด มีศรัทธาน้อมกาย เข้ามาเพื่อศึกษา และก็ได้ผู้บริหารที่ดี ที่ฝักใฝ่ในธรรม

    อยากจะให้บริวารได้รับความสงบสุข ทั้งภายนอก ภายใน ภายนอกก็คือ ภาระหน้าที่การงาน สมมุติต่างๆ ที่พวกเราได้สร้างได้ทำกัน ภายในก็คือ ทางด้านจิตใจ ให้มีจิตใจที่สงบ ให้มีจิตใจที่เยือกเย็น ไม่ทำตามอารมณ์ ให้มีเหตุ มีผล เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด
     
  10. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716

    ศาสนาพุทธแก้ปัญหาชีวิตได้ดีที่สุดแล้วครับคุณง่าวต๋าย
    ลองฝากดวงให้ลป.ดู่ช่วยดูแล


    (่ง่ายๆ...ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก)
    ท่องนโม 3 จบ
    ต่อด้วยบทสวดพระมหาจักรพรรดิ(1จบ)

    *การอธิษฐานฝากดวงไว้กับหลวงปู่ดู่ *
    ให้ตั้งจิตระลึกถึงหลวงปู่ดู่
    แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า...

    "ข้าพเจ้า(ชื่อ-นามสกุล) ขอยกให้หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า ทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ ขอให้หลวงปู่โปรดเมตตา อบรมสั่งสอน ปกป้องคุ้มครองดูแลรักษา ชี้นำทาง และประคับประคองชีวิตของข้าพเจ้าให้อยู่ในครรลองธรรม นับตั้งแต่บัดนี้ เทอญ"
     
  11. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716

    **********************************
    เพราะอะไร ทำไมต้อง ‘มู(เตลู)’
    วันที่ 10 มีนาคม 2562 - 11:47 น.
    Facebook
    Twitter
    LINE
    Copy Link

    เพราะอะไร ทำไมต้อง ‘มู(เตลู)’
    มูเตลู – ดูเหมือนว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ว่า “สายมู” หรือ “มูเตลู” จะกลายเป็น “คำ” ที่ถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในโลกออนไลน์
    ที่พอจะอนุมานได้ว่ามีความข้องเกี่ยวในเรื่อง “ความเชื่อ” และ “เครื่องรางของขลัง”

    กระนั้นที่มาของกระแส “มูเตลู” ก็ไม่แน่ชัด

    แต่สอดคล้องกับชื่อหนังเก่าจากอินโดนีเซียที่เคยนำมาฉายในประเทศไทย เมื่อประมาณ 25 ปีที่ก่อน

    ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า “มูเตลู ศึกไสยศาสตร์” เรื่องราวของผู้หญิงสองคนที่ใช้ทั้งอาคม เวทมนตร์ และคาถา แย่งชิง “ผู้ชายที่หมายปอง”

    โดยภายในเรื่อง ตัวเอกทั้งสองยังได้ใช้คาถาที่ส่วนหนึ่งกล่าวว่า “มูเตลู มูเตลู…” อีกด้วย
    ด้วยเหตุนี้คำว่า “มูเตลู” จึงให้ความหมายในเชิงเรื่องลี้ลับ ไสยศาสตร์ ความเชื่อ และการบูชา

    แต่กระนั้นในประเทศไทย บริบทของการสื่อความหมายอยู่ในแง่บวก กล่าวคือ เป็นการใช้เรียกการบูชา หรือการเสริมมงคล เสริมดวงชะตา ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล

    โดยเรียกกลุ่มคนที่ชื่นชอบในด้านนี้สั้นๆ ว่า “สายมู (เตลู)” โดยกิจกรรมที่สายมูนิยมทำกันก็มีความหลากหลาย อาทิ การบูชาเครื่องรางจากวัดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ที่มีทั้งเสริมดวงเรื่องความรัก การเงิน โชคลาภ การเรียน และการทำงาน ตลอดจนการเดินทางไปไหว้พระขอพรให้เจอเนื้อคู่ที่วัดหวังต้าเซียน และไหว้เจ้าแม่กวนอิม ณ ฮ่องกง โดยเกิดจากการบอกเล่าปากต่อปากว่า “ศักดิ์สิทธิ์” จริงๆ!

    %B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99.jpg
    วัดหวังต้าเซียน
    B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-%E0%B8%AE%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%87.jpg

    ผู้เฒ่าจันทรา
    %B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%A1.jpg
    พระโพธิสัตว์กวนอิม
    %B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99.jpg
    เครื่องรางญี่ปุ่น
    หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการเสริมพลัง สร้างกำลังใจ และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจตามความศรัทธาด้วย

    ซึ่งในแวดวงบันเทิงของไทยก็มีดาราดังหลายคนที่ถูกถามเรื่องการ “มูเตลู” อยู่บ่อยครั้ง อาทิ ซุปตาร์ “อั้ม พัชราภา” ที่เปิดสระว่ายน้ำส่วนตัว พาแก๊งเพื่อนสาวอาบแสงจันทร์รับสิริมงคล รวมไปถึงดาราดังระดับโลกอย่าง “แองเจลินา โจลี” ที่เชิญให้นักสักยันต์ชื่อดังของเมืองไทย ลงเข็มสักยันต์ให้ถึง 4 ครั้ง ประกอบด้วย เมตตา 5 แถว เสือเหลียวหลัง สักน้ำมันเมตตา จิ้งจก 9 คู่ สักวิหารพระศาสดา โภคทรัพย์ และยันต์ธงชนะ

    ทั้งนี้ในเรื่องของความเชื่อ และสิ่งลี้ลับ ก็มักจะมาพร้อมกับประโยคที่ว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่”

    อย่างไรก็ตาม การจะทำสิ่งใดก็ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของความพอดี และเหมาะสมด้วยนะจ๊ะ



    ขอบคุณแหล่งที่มา
    www.matichon.co.th


     
  12. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716
    Tips & Tricks
    หน้า195 #3896

    แสนจะบังเอิญอีกแล้ว...
    จนรู้สึกว่าเป็นอะไรที่"อัศจรรย์ใจ"
    ขณะที่ค้นหาได้Tricksเรียงตามลำดับนี้มา
    เป็นขณะที่กำลังฟังคลิปคนดังท่านหนึ่งพูด
    ....เชื่อไหม เชื่อไหม
    ท่านคนนี้พูดสอนสังคมไทยแทรกการเมืองที่ผ่านมา
    คำพูดบางช่วงและความหมาย

    ไม่ต่างอะไรกับที่อาจารย์นพ เขียนไว้ข้างล่างนี้
    (ถ้าอาจารย์นพได้เข้ามาอ่าน)
    มั่นใจว่าต้องรู้ว่าคนดังพูดเรื่องอะไร?




    ["บุรุษไร้เงา, post: 10955187, member: 111296"]
    เวลาผ่านไป ถ้าเรายังคงวิถี
    อยู่ในแนวของเรา
    วิธีคิด ความคิดเราจะดีขึ้น
    ได้เองตามลำดับ
    เราจะพบเหตุที่เกิดที่แท้ได้เองครับ
    มันจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ

    หลายครั้งที่ส่วนตัวเคย
    กล่าวว่า ทำไมรอบๆตัวถึงไม่มี
    ใครเข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้า เว้า!
    เห้ย! พูดเลยวะ

    พอเวลาผ่านไปกลับพบว่า
    เพราะเรามองยังไม่ละเอียดรอบด้านพอ
    เราขาดการเข้ามาดูตัวเอง
    ว่าเรายังไม่เข้า สภาพแวดล้อมรอบข้าง
    และเราไม่ได้พูดในสิ่งที่เค้าอยากฟังเราพูดแต่สิ่งที่เราพูด มันเป็นสิ่งที่เราคิดว่าใช่
    ว่าดี แต่บอกไว้ก่อนว่า
    ไม่มีอะไรดีสุด ทุกเส้นทางมีทั้ง
    ที่ถูกและไม่ถูกปนๆกันไป

    เราไม่คิดว่า ถ้าเราอยู่ในสภาพแวดล้อม
    แบบนั้นเราจะเป็นเหมือนเค้าไหม

    เวลาผ่านไปอีกหน่อย เมื่อเราอยู่นิ่งๆ
    มันจะเริ่มให้เรามองเห็นในอีกมุมได้
    เราจะเข้าใจโลกมากขึ้น
     
  13. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,342
    ค่าพลัง:
    +4,818
    คำสอนของท่านจิตโตนั้น ให้คำตอบเรื่องที่ข้าพเจ้าตามหามานาน

     
  14. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716
    ต่อ(4)

    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
    วัดป่าธรรมอุทยาน
    ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    _10_289.jpg

    ว่าด้วยเรื่องการพิจารณากาย (ก้อนทุกข์ ก้อนกรรม)
    ถ้าพวกเรารู้จักวิเคราะห์ รู้จักพิจารณา รู้จักทำความเข้าใจ อยู่ในกายของเรา ก็จะรู้ว่า ในกายของเรานี้ มีอะไรดีเยอะ ทั้งของดี ทั้งของไม่ดี รวมกันอยู่ที่นี่ ฉะนั้น กายของเรานี่แหละ ก้อนทุกข์ กายของเรานี่แหละ ก้อนกรรม แต่พวกเราขาดการพิจารณา มายึดมั่นถือมั่นว่า เป็นกายของเราจริงๆ นั่นแหละ

    แต่ในทางวิมุติ ในทางหลักธรรม แล้วก็เป็นเพียงแต่ สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าขาดการจำแนกแจกแจง ขาดการแยกแยะจริงๆ เราก็จะไม่รู้ความจริงตรงนี้ ถ้าเรามาวิเคราะห์ มาเจริญสติ มาหัดสังเกต มาหัดทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเราว่า กายของเรานี้ ประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง อันนั้นเป็นส่วนรูปธรรม แล้วส่วนนามธรรมนั้นเป็นลักษณะอย่างไร

    ลักษณะของความว่าง เป็นลักษณะอย่างไร อาการของความคิด หรือสภาวธรรม อาการของขันธ์ห้า เป็นลักษณะอย่างไร ที่จิตของเราหลงความคิด หลงขันธ์ห้า ทำให้เกิดอัตตาตัวตน อันนี้เป็นความหลง เป็นโมหะ อันลุ่มลึกเลยทีเดียว พวกเราต้องพยายาม มาคลายตรงนี้ให้ได้ ก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา ในเรื่องความทุกข์ ความทุกข์เกิดขึ้นที่กาย หรือเกิดขึ้นที่จิต เราต้องรู้จัก หาวิธีแก้ไข

    ทำบุญแล้วรู้จักบุญหรือยัง

    คนเราเกิดมา ก็นับว่ามีอานิสงส์ มีบุญกุศล ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญเก่าเราก็มี บุญใหม่เราก็พยายามมาเพิ่ม มาเสริม มาเติม มาแต่ง ให้เต็ม ดังที่พวกเราพากันมา นี่แหละมาสร้างบุญใหม่ ให้มี ให้เกิดขึ้น พากันสร้าง แต่จะพากันรู้จักบุญหรือเปล่า บุญก็คือ ความสบาย กายสบายใจ นี่คือบุญ

    การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การทำความเข้าใจ เราต้องรู้จักความหมาย สติที่เราสร้างขึ้นมานี้ เป็นลักษณะอย่างไร ความระลึกรู้ตัว รู้กาย และก็รู้จิต จะต้องหัดสร้างขึ้นมา ส่วนจิต ส่วนความคิด ส่วนอารมณ์นั้นก็เกิดๆ ดับๆ อยู่แล้ว ความคิดเขาก็เกิดอยู่ เขาก็มีอยู่ประจำ จิตของเราก็ส่งออก ไปภายนอกอยู่ประจำ

    ทางความคิดก็ผุดขึ้นมา ปรุงแต่งจิตของเราอยู่ประจำ แต่เราขาดการเจริญสติ เข้าไปสังเกตก็เลยไม่รู้ตรงนี้ ถ้าเรามาสร้างสติ หยุดดู รู้อยู่บ่อยๆ เราจะเห็นการเกิด การดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า อยู่ตลอดเวลา นี่แหละความหลงอันลุ่มลึก ตรงนี้คนขาดการวิเคราะห์ ขาดการพิจารณา

    ส่วนมากก็ทำบุญกันอยู่ ทำบุญถวายทาน ทั้งกำลังกาย กำลังใจ แล้วก็กำลังทรัพย์ มีโอกาสก็พากันขวนขวาย พากันฝักใฝ่ พากันสนใจ แต่เรื่องจิต ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ไม่ค่อยสังเกตกันให้ต่อเนื่องเท่าไหร่ คิดเราก็รู้ว่าคิด ทำเราก็รู้วาทำ ทั้งที่จิตกับความคิด เขาก็รวมกันอยู่ นั่นแหละ เราหลงอยู่ หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น เราต้องมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ คือมาเจริญสติ มาสร้างสติ

    พึงระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจ

    เช่น เราสังเกตเรื่องของการหายใจ เข้า ออก ของเราให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ไม่ลุกจากที่โน่นแหละ พอรู้ตัวปุ๊บ ตั้งสติให้มั่น สร้างความระลึกรู้ หรือสัมผัสลมหายใจเข้า ออก ของเรา ให้ต่อเนื่องกัน

    ถ้าเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มต้นใหม่ เพียงแค่สร้างสติ กับรักษาสติ ให้ได้เสียก่อน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทไหน ส่วนความคิด ส่วนปัญญา แบบภพโลกของเรานั้น ทุกคนมีปัญญาเป็นอัจฉริยะกันหมด แต่ยังเป็นปัญญา ที่เข้าไปคลายทุกข์ ในจิตใจของเราไม่ได้ เป็นปัญญาระดับโลกีย์ ปัญญาระดับของสมมุติ

    ตราบใดที่จิตของเรายังไม่คลายออก จากความคิด ออกจากอารมณ์ จิตของเรายังไม่พลิกจากสมมุติ ไปหาวิมุติ ก็ยังหลงอยู่ยังหลงอัตตาตัวตนอยู่ ทุกคนก็ว่า ตัวเองไม่หลง ตราบใดที่ไม่ได้มาเจริญสติ และไม่ได้สังเกต จนกว่าจะแยกแยะรูป นามได้ จนกว่าจิตของเราจะพลิกจากสมมุติ ไปหาวิมุติได้

    นั่นแหละ ถึงจะรู้ว่า ตัวเองหลง อาจหลงในระดับของสมมุติ อาจจะหลงอยู่ในระดับของบุญ ของกุศล แต่ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง มันก็โผล่ขึ้นบันได ขึ้นได้แค่ สอง สามขั้น สี่ห้าขั้น แล้วก็ถอยลงมา ไม่ยอมก้าวไปถึงตัวเรื่อน คือยังไม่แยกรูป แยกนาม

    พึงเจริญตบะบารมีอยู่ตลอดเวลา

    เรื่องการปฏิบัติจิตนี่ ถ้าเรามีความท้อถอยนี่ เข้าไม่ถึง เราต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร จริงๆ ขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ ในการตั้งจิต ในการทำความเข้าใจอยู่บ่อยๆ อยู่เนื่องๆ และรู้จักสร้างตบะบารมี

    ความเสียสละของเรามีเต็มไหม ความอดทนอดกลั้น สัจจะของเรามีเต็มหรือเปล่า มีความจริงใจต่อตัวเองไหม มีพรหมวิหาร มีความเมตตา มองโลกในทางที่ดี อันนี้เป็นการเจริญตบะบารมีอยู่ตลอดเวลา ตื่นขึ้นมา เราก็รีบสำรวจตรวจตรา ดูตัวเรา สำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราเสีย หู ตา จมูก ลิ้น กายของเรา ทำหน้าที่อย่างไร

    เราต้องทำความเข้าใจ รู้จักแยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากจิตของเราหรือไม่ ภาษาธรรมะที่ท่านเรียกว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นยังไง อันนี้อาตมา เพียงแต่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำก็จะไม่เข้าใจ

    อยากรู้ธรรม อยากเข้าถึงธรรม ก็ต้องทำเอา

    การเจริญสติ ก็เพื่อที่จะเข้าไป สะสางกิเลสออกจากจิต จากใจของเรา การรักษษศีล การเจริญสติรักษาศีล สร้างสติ สร้างสมาธิ ก็เพื่อที่จะไปทำความเข้าใจ และก็ละความหลง คลายความหลง และก็ละกิเลสออกจากจิต จากใจของเราให้หมด

    แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากจะรู้ธรรม อยากเข้าถึงธรรม เราก็ต้องทำ แต่การกระทำคือ การสังเกต การวิเคราะห์ สังเกตไม่ทัน เราก็ต้องใช้สมถะเข้าไปดับ เราอาจกำหนดอยู่กับลมหายใจบ้าง สร้างความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้า ออกบ้าง

    เรียกว่าสร้างความรู้สึก อยู่ที่การเคลื่อนไหว ของกายบ้าง แล้วแต่ความถนัด ของแต่ละบุคคล ที่จะเดินให้ถึง การฝึกหัดปฏิบัติจิต เราต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปวู่วาม คือค่อยเป็นค่อยไป ตั้งจิตไม่ทัน เราก็เริ่มใหม่ ทำความเข้าใจ เราก็เริ่มใหม่อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

    เราเป็นผู้ที่เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง

    บุคคลที่มีสติ มีปัญญา ถ้าหากฟังนิดเดียว ฟังไปแล้วน้อมระลึก รู้กาย ระลึกรู้ความปรกติของเราไปด้วยถึงจะได้เกิดประโยชน์ น้อมเข้าไปดูตรวจตรา ดูตัวเรา ทั้งภายนอก และภายใน ภาระหน้าที่ สมมุติต่างๆ เราทำไว้เรียบร้อย บริบูรณ์แล้วหรือยัง กับหมู่คณะ กับเพื่อนฝูง เรามีพรหมวิหาร เรามีความเมตตา

    ทีนี้จิตของเราจะเกิดอารมณ์ หรือว่าเกิดความโลภ ความโกรธ ความอยาก เรารู้จักดับหรือไม่ สติที่เราสร้างขึ้นมา นี้เอาไปใช้กับภาระ หน้าที่การงาน ได้หรือไม่ นิวรณ์ต่างๆ นิวรณ์ธรรมต่างๆ ที่เป็นเครื่องกั้นจิตของเรา เราทำความเข้าใจได้หรือไม่ เราเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมหรือไม่ เป็นคนที่ถึงพร้อม ทำความเข้าใจได้พร้อม เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา หรือเป็นคนที่ตื่นอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า


    (คัดลอกจากหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ 25 ประจำเดือนสิงหาคม) พ.ศ.2548 ฉบับที่ 425
    http://www.dhammajak.net/
    สาวิกาน้อย ผู้จัดการ
     
  15. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716
    ต่อ(5)
    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
    วัดป่าธรรมอุทยาน
    ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น


    มาสะสมทรัพย์ภายในกันเถอะ
    เราต้องเป็นผู้ที่สร้างทรัพย์ภายใน ให้มี ให้เกิดขึ้น อยู่ตลอดเวลา ทรัพย์ภายใน ถ้าเราไม่สร้างขึ้นมาก็ไม่มี เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา สร้างความว่าง ความสงบ ความสะอาด ความบริสุทธิ์ นั่นแหละ เขาเรียกว่า ทรัพย์ภายใน อริยสัจภายใน คือความว่าง ในความว่างนั้น มีดวงจิตอยู่

    จิตที่ว่างจาการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่น ถือมั่น ว่างจากความคิด ว่างจากอารมณ์ เขาก็นิ่ง เขาก็สงบ เขารู้ว่า การเกิดเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด แต่เวลานี้ จิตของพวกเรายังเกิดอยู่ แต่ละวันๆ ไม่รู้เกิดกี่เที่ยว แค่ห้านาที สิบนาที ไม่รู้ไปสักกี่อย่าง เดี๋ยวก้เรื่องคนโน้น เดี๋ยวก็เรื่องคนนี้ เดี๋ยวก็เรื่องอดีต เดี๋ยวก็เรื่องอนาคต สารพัดเรื่อง

    จิตปรุงแต่งรู้ให้ทัน แล้วจะละได้
    นอกจากนี้แล้ว บางทีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ นั่นแหละ อาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมา ปรุงแต่งจิต บางทีจิตของเรา ก็ไปรวมร่วมกับความคิด ที่เขาเรียกว่า ไปเสวยนั่นแหละ เรื่องดีก็เป็นสุขเวทนา เรื่องไม่ดีก็เป็นเรื่องทุกข์เวทนา เราขาดการจำแนก แจกแจง เรารู้อยู่เมื่อจิตกับความคิด เข้ารวมกัน

    แล้วก็เลยว่า เรารู้เราเห็น แต่ขาดการแยกแยะทำความเข้าใจว่า อะไรเป็นอาการของขันธ์ห้า ที่เกิดเรื่องในบ้าน แล้วจิตของเราเข้าไปร่วมได้ยังไง มันก็ไม่มีอะไรยากหรอกโยม ถ้าพวกเรามีความตั้งใจจริงๆ ก็มีแค่ เรื่องกายเรื่องจิต เรื่องรูป เรื่องนาม ก็วนเวียนอยู่ที่นี่

    ทุกคนก็มีกิเลสกันหมด แต่มีมากมีน้อย อาจจะต่างกัน เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ ยิ่งสะสาง ยิ่งเจริญสติเข้าไปมาก เท่าไหร่ เราก็ยิ่งจะเห็นมาก ยิ่งเห็นมากเท่าไร ก็ยิ่งทำความเข้าใจ รู้ความจริงแล้วค่อยละ ถ้าเรามีความคิด สติปัญญาเก่าๆ ของเรา เราก็ต้องรู้จักตัด รู้จักกด รู้จักข่ม

    แยกแยะแล้วยอมรับ ก็ปล่อยวางได้
    พระพุทธองค์ท่านบอกเอาไว้ว่า สติปัญญาทางโลกนั้น อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง จะดีมากขนาดไหน ก็อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง เราดับ เราอด เราข่ม จนกว่าจิตของเราจะตกกระแสธรรม จนกว่าจะแยกรูป แยกนามได้ สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง ถึงจะเปิดทางให้ วิปัสสนาก็เริ่มเกิด

    กำลังสติก็จะตามดู การเกิดดับของขันธ์ห้า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงของความคิด ของอารมณ์ที่จิตเราเข้าไปปรุงแต่ง ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ถ้าเราเห็นตรงนี้ กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรง เป็นมหาสติ ตามดู ตามรู้ ตามทำความเข้าใจ ก็เห็นการเกิด การดับ เขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงของความคิด ของอารมณ์ตั้งอยู่ดับไป

    ตามดูจนจิตของเรา ยอมรับความจริงว่า ไม่มีสารประโยชน์ แก่นสารอะไร นั่นแหละจิตของเราจึงจะวาง นี่แหละจุดวางก็อยู่ตรงนี้ ตราบใดที่ยังแยกรูป แยกนามไม่ได้ ก็ต้องเพิ่มกำลังสติ ให้เป็นมหาสติ ถ้ายังแยกรูป แยกนามไม่ได้ ส่วนมากกำลังสติของเรา จะพลั้งเผลอ เพราะว่าความเคยชิน แบบเก่าๆ ปัญญาที่เกิด ก็เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้าที่ปรุงแต่งส่งออกไป

    กิเลสจะดับหรือพอกพูน ก็อยู่ที่เรา
    อันนี้เป็นเรื่องละเอียดมากทีเดียว คนที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าใจ ถ้าคนเกียจคร้านก็จะไม่เข้าใจ ขยันหมั่นเพียรทุกสิ่งทุกอย่าง ขยันทำความเข้าใจ ขยันละกิเลสความอยากเล็กๆ น้อยๆ

    ไม่ใช่ว่าอยากเฉพาะในเรื่องอาหาร การอยู่การกิน อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ความยินดี ยินร้าย ทั้งผลักไส ทั้งดึงเข้ามา ไม่อยากเอา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ดับออกให้หมดเลยทีเดียว ทำความเข้าใจให้ถึงธรรมชาติที่แท้จริง ธรรมชาติของจิตที่ไม่มีกิเลส เขาก็สะอาดบริสุทธิ์ ธรรมชาติของโลกภายนอก เขาก็หลงอยู่กับโลกธรรม 8 อยู่อย่างนั้น เราก็ยังอาศัยโลกอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับโลก โลกในที่นี้หมายถึง ความคิด หมายถึงอารมณ์ที่อยู่ในกายของเรา ซึ่งเรียกว่ารอบรู้ในโลก รอบรู้ในกองสังขาร ของตัวเอง รู้จักทำความเข้าใจแล้ว ค่อยละออกจากที่นั่น ที่นี่กิเลสก็จะเหือดแห้งไปๆ การละการดับไม่มี มีแต่พอกพูนกิเลส มันก็มากขึ้นๆ กำลังก็มากขึ้น


    (คัดลอกจากหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ 25 ประจำเดือนสิงหาคม) พ.ศ.2548 ฉบับที่ 425
    http://www.dhammajak.net/
    สาวิกาน้อย ผู้จัดการ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เรื่องฝันนะ แยกให้ออกว่า ฝันเกิดจากเรื่องราวในอดีตปรุงแต่ง หรือ จากธาตุพร่อง หรือจากขันธ์ ๕ หรือ ว่าจากภพภูมิ แต่ที่สำคัญไม่ต้องเก็บมาคิด เพราะยิ่งคิดยิ่งไม่รู้

    ฝันสำคัญที่วัตถุประสงค์ ไม่ใช่การไปรู้ในสิ่งที่ฝันว่าเป็นอะไร ใคร เพราะอะไร ที่ไหน
    ให้มาเพิ่มกำลังสติทางธรรม
    ในอนาคตมันย้อนรู้ได้ของมันเองทุกเรื่องที่ฝันนั่่นหละ...

    ที่พลาดกัน เพราะชอบสงสัย แอบอยากรู้ แล้วพยายามคิดหาคำตอบนี่แระ
    เลยไม่รู้ซักที
    ยกตัวอย่าง
    ฝันว่า ไปเจอ นาย ก สถานที่ ข (ถ้าอยากได้กำลังสติ ก่อนลืมตาให้ระลึกเรื่อง
    ราวในฝันได้ แต่ถ้าลืมตาแล้วให้จบทันที)
    และพอลืมตาแล้วไม่ลืมเก็บมาคิด นาย ก เป็นใคร สถาที่นี้ ชื่ออะไร อยู่ตรงไหน
    ทำไมถึงฝันเห็นนาย ก ทำไมฝันถึงสถานที่นี้ สุดท้ายพบว่า
    ไม่รู้เลยว่า นาย ก เป็นใคร และสถานที่นั้นคืออะไร และทำไมถึงฝัน....

    ถ้าอนาคต อยากรู้ อยากเข้าใจด้วยตนเอง
    ถ้าลืมตาขึ้นมาแล้ว ให้ลืมซะ คิดเสียว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดกับเรามาก่อน
    อนาคตจะย้อนรู้ได้ ทุกเรื่อง ไม่ว่า นาย ก เป็นใคร ทำไมถึงฝัน สถานที่นั้น
    อยู่ที่ไหน เพราะอะไรเราถึงฝันถึง มันจะรู้ได้ด้วยตัวเองนั่นและ ไม่ต้องถามใคร

    ปล. กรณีอย่าพึ่งลืมตา ประยุกต์ใช้ได้ ไม่เว้นกรณีในเรื่องเกี่ยวกับตัวเลข(เฉพาะบางคน
    ที่ชอบไม่ว่ากัน)
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    สำหรับ พระปฏิบัติดีที่ ขอนแก่น ที่ละสังขารไป
    ส่วนตัวไม่ห่วงอะไร ตั้งแต่รู้ว่า
    นกพิราบที่วัดหายไป ก่อนหน้าท่านละสังขาร ๑ วัน
    และพบท่านอนท่าสุดท้ายของท่านครับ
    ส่วนตัวลึกๆรู้ว่า ท่านเป็นอะไรยังไง
    เพราะได้พิสูจน์มาด้วยตนเอง
    ในมุมที่ไม่สามารถเล่าออกสื่อได้

    ปล. ท่านเตรียมตัวละสังขารไว้ตั้งแต่ปี ๕๒ แล้วครับ...
    เหมือนมีคนขอไว้ และท่านรับนิมนต์ภพภูมิสร้าง
    โน้นนั่นนี่ไว้ด้วย และ
    โชคดี ที่ได้บวช และอยู่วัดช่วงนั้น
    ซึ่งก่อนหน้านั้นพูดว่าจะบวช มา ๑o ปี
    พอถึงเวลาจริงๆไม่ได้บวชซักที
    และท่านเมตตาแนะนำเรื่องสมาธิ เรื่องภพภูมิให้
    ปกติท่านจะไม่สอนสมาธิใคร ถ้ามีคนถาม
    เรื่องกรรมฐานท่านจะบอกเพียงแค่ว่า แล้วแต่จริต
    แต่กรณีส่วนตัวเข้าใจว่าคงเป็นกรณีที่แตกต่าง
    เพราะค่อนข้างมีประสบการณ์แบบที่เล่าออกสื่อไม่ได้
    ตั้งแต่วันแรกที่บวชและนอนในวัด
    นอกจากเรื่องการเจริญสติที่ท่านสอนปกตินะครับ...

    ส่วนตัวบวชสองเดือน แล้วต้องมาเจริญสติต่อเนื่อง
    อีกประมาณ ๗ เดือน ท่านถึงบอกว่า ให้ฝึก
    กรรมฐานตัวนี้ได้ ทั้งที่ นิมิต กรรมฐานกองนี้
    มาตั้งแต่วันที่ ๓ ที่บวชนะครับ
    บางเรื่อง ท่านบอกไม่ต้องไปฝึก
    ถ้าจิตละเอียดขึ้นมันจะค่อยๆกลับมาเอง
    เป็นกรณีๆไปครับ และท่านมักจะเตือน
    เรื่องโน้นนี่นั้นเสมอประจำ

    สไตล์ท่าน เวลาแนะเรื่องเกี่ยวกับนิมิตระหว่างทาง
    ท่านจะบอกสาเหตุ และแนะนำให้ไม่สนใจก่อน
    และให้ทำอย่างนี้อย่างนั้นก่อน พร้อมบอกล่วงหน้า
    ว่าจะเป็นอย่างไร พอผ่านแต่ละขั้นก็ไปถามท่านต่อ
    ก็จะมีลำดับเป็นขั้นๆต่อไป จนกระทั้งถึงขั้นที่เดินปัญญาได้
    ส่วนตัวจะค่อนข้างไปเร็ว เพราะได้รับคำแนะนำจากศิษย์เอกท่าน
    ว่าให้วางตัว ทำใจ ปฏิบัติตนอย่างไร ขณะที่อยู่วัด
    ในระหว่างนี้ ท่านจะแนะนำเรื่องนิมิต ภพภูมิ เ่รื่องสัมผัส เรื่องกิริยานามธรรมต่างๆ
    ว่าไหนจริงว่าไหนหลอก
    และบอกด้วยว่า จะมีอีกแบบไหน แบบไหนควร แบบไหนไม่ควร
    แบบไหน ให้ช่วยด้วยสติปัญญา

    หลังจากฝึกกรรมฐานกองนั้นจนถึงขั้น
    สามารถนำมาพอใช้งานได้ในเวลาประมาณ ๒ เดือนครึ่ง
    (มีพระเกจิมีชื่อมากๆในอดีต มาแนะทริคให้ และพระมหาฤาษี
    ซึ่งส่วนตัวก็ไม่เคยรู้จัก ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้จัก
    มาสอนวิธีการใช้งานให้ เลยไปได้เร็ว)
    ระหว่างนี้ ก็นำผลของสมาธิไปใช้งาน ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
    และได้รับเทคนิคจากพระเกจิอีกสามท่าน
    ละสังขารไปแล้วหนึ่งท่าน ท่านที่ละไปแล้ว
    นี่ฉายาว่า ท่านผู้พลิกนามธรรมเป็นรูปธรรมได้
    มีหลายเรื่อง ไม่สามารถเล่าออกสื่อได้เลย
    เพราะมันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เหนือวิสัย
    ที่มนุษย์ยุคนี้จะยอมรับได้

    จนกระทั่งวันก่อนที่จะยกช่อฟ้าพระมหาเจดีย์
    วันนั้นนำทองไปถวาย ไปจัดการเคลียเรื่อง
    พระที่ระลึกรุ่น ที่ตอนนั้น ท่านรองเจ้าอาวาส
    ให้ข้าพเจ้าช่วยหามวลสารให้
    วันวางศิลากฤษ ท่านคล้ายช้างหลายเศียร
    มาตามที่บ้านด้วยครับ พอดีวันนั้นหลับยาว
    และก็มีหลายๆท่านมาเยอะมากๆๆๆๆ


    และวันก่อนยกช่อฟ้าเป็นครั้งแรก ที่ท่านอนุญาติให้ใช้ผล
    ของสมาธิในงานวันนั้นได้ ก็เป็นกรรมฐานกองที่ท่าน
    บอกว่าให้ฝึกได้นั่นหละครับ
    ท่านบอกให้หาที่ๆ
    เหมาะสมเอาเองนะ ซึ่งโดยส่วนตัว
    จะไม่ทำเลยเวลาไปวัด แม้แต่คนที่คุยกันประจำ
    ก็จะไม่รู้ ไม่เคยเห็น ยกเว้นบางกรณีๆที่มีเหตุต้องให้ได้ใช้งานจริงๆ
    และก็เพราะหลังๆไม่ค่อยได้สนทนากับท่าน
    มีแต่ท่านมองหน้ามาแล้วเข้าใจกัน(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)

    ก็ดีใจและรู้สึก โอเครนะ ที่ท่านไม่ว่าอะไร
    และไม่ห้ามอะไร และก็อนุญาติด้วย
    อีกอย่างนะ เราไม่สามารถห้ามความคิดคนอื่นๆได้
    บางคนไม่คิดอะไร ก็จะเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ มาให้ช่วยดู
    เมื่อใช้ผลของสมาธิ บางคนก็กลายเป็นว่ากลัวไปเลย
    บางคนก็ไม่สนใจ บางคนแอบคิดเชิงอกุศล ฯลฯ
    แต่วันงาน ก็อย่างว่า คนเยอะ ไม่สดวก
    เลยไม่ค่อยได้ใช้งานมากเท่าไหร่
    และเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบหน้าท่าน

    ก่อนที่นกพิราบจะหายไปจากวัดทั้งหมด
    ก่อนที่จะมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆกับข้าพเจ้า
    ก่อนวันที่ท่านจะละสังขาร

    ต่อไปวัดจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
    ไม่มีใครมาแทนท่านได้
    ท่านที่เก่งๆ ก็มีหน้าที่ มีส่วนที่ตนต้องดูแล
    ส่วนตัวท่านก็วางพื้นฐานไว้รองรับให้ท่านอื่นๆที่อยู่ในวัด
    ซึ่งวัดสามารถอยู่ได้อีกประมาณสิบกว่าปี
    โดยที่ไม่ต้องรับบริจาคอะไร ท่านเตรียมการ
    ไว้ล่วงหน้าแล้ว

    ถามว่าส่วนตัว ถ้าจะรู้สึกคือ รู้สึกเสียดายมากๆ
    การที่จะพบพระเกจิ ที่สามารถเข้าใจ สอนใน
    แนวทางกรรมฐานตามจริตส่วนตนได้นั้น
    ตอนนี้เหลือเพียง ๒ ท่านจาก ๔ ท่าน
    และการที่จะพบท่านที่สามารถใช้คำสอน
    สำหรับคนจำนวนมากได้นั้นยิ่งหายาก
    และมีความสามารถสูงขนาดนี้
    บารมีมากล้นขนาดนี้


    ในหนังสือโลกทิพย์ ที่เล่ามานั้น
    กับประสบการณ์ส่วนตัวที่พบด้วยตนเอง
    คือพูดยาก เพราะพูดได้จริงๆ เฉพาะตอนที่อยู่
    กับพระเกจิท่านอื่นๆ ที่ตนเองพอมีจริตเศษเสี้ยว
    มาทางพระเกจิท่านนั้นบาง
    บางท่านแม้มีชื่อเสียงมาก โด่งดังทางสายนั้นๆมาก
    หาใช่ว่า ท่านจะมองข้าพเจ้าและสามารถแนะทริคได้
    หากท่านไม่ได้ เคยผ่านมาก่อน
    แต่ไม่สำคัญ เพราะปลายทาง
    คือเรื่องของการละกิเลส
    การเดินไปสู่จุดหมายปลายทาง
    ซึ่งก็ต้องอาศัยความเพียร
    ความพยายามกันทุกคนอยู่แล้ว

    ชาตินี้ได้พบท่านก็ไม่เสียชาติเกิดแล้วครับ
     
  18. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716

    ได้ยินบ่อยๆเรื่องขันธ์5
    พอรู้แบบผ่านๆไม่ลึกซึ้ง(เหมือนงูๆปลาๆ)
    จึงเข้าไปหาข้อมูลมาอ่าน แล้วแชร์(ดูหน้าถัดไป)
    อ่านและเข้าใจดีแล้วยังไม่กล้าสรุปได้ว่า...
    ความฝันบางครั้ง...ทำไมถึงฝันเช่นนั่น
    โดยเฉพาะฝันถึงพระเกจิอาจารย์
    หลังจากนั่นนำมาถอดรหัสเป็นตัวเลข
    เช่นอายุ,ปีเกิดของท่าน ไม่เกิน1-2งวดมีเฮง
    (แต่ซื้อบ้าง ลืมซื้อบ้าง)

    แล้วจะลองดูที่อาจารย์นพชี้แนะ
    "ถ้าลืมตาขึ้นมาแล้ว ให้ลืมซะ คิดเสียว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดกับเรามาก่อน
    อนาคตจะย้อนรู้ได้ ทุกเรื่อง ไม่ว่า นาย ก เป็นใคร ทำไมถึงฝัน สถานที่นั้น
    อยู่ที่ไหน เพราะอะไรเราถึงฝันถึง มันจะรู้ได้ด้วยตัวเองนั่นและ ไม่ต้องถามใคร"
     
  19. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716
    ขันธ์ 5 คืออะไร มีอะไรบ้าง
    หมวดหมู่ : หลักธรรมะ Tags: ขันธ์ 5 ธรรมะ


    ขันธ์ 5
    เป็นหลักธรรมอย่างหนึ่งในศาสนาพุทธ ซึ่งหลายคนอาจเคยรู้จักและได้ยินกันมาบ้าง และถึงแม้ว่าจะเป็นหลักธรรมคำสอนในศาสนาพุทธแต่กลับมีพุทธศาสนิกชนหลายคนเลยทีเดียวที่ไม่รู้จักและไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ขันธ์ 5 คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง และมุ่งเน้นสั่งสอนเรื่องอะไร…?

    ขันธ์ 5 คืออะไร
    ขันธ์ 5 (เบญจขันธ์) เป็นหลักธรรมในศาสนาพุทธที่สอดคล้องกับเรื่องของ “ทุกข์” ตามหลักอริยสัจ 4 โดยหมายถึง กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมทั้ง 5 ที่ทำให้เกิดเป็นตันตนหรือชีวิตขึ้นมา หรืออาจพูดให้เข้าใจได้ง่ายว่า ส่วนประกอบ 5 อย่างที่รวมกันแล้วก่อให้เกิดเป็นคนและสัตว์ขึ้นมานั่นเอง

    ขันธ์ 5 ประกอบด้วยอะไรบ้าง
    ขันธ์ 5 ประกอบด้วยกองรูปธรรม และนามธรรมทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 1 รูป และ 4 นาม ดังต่อไปนี้
    1. รูปขันธ์ หมายถึง กองรูป ส่วนที่เป็นร่างกาย พฤติกรรม คุณสมบัติต่างๆ ของร่างกาย และส่วนประกอบที่เป็นรูปธรรมทั้งหมด
    2. เวทนาขันธ์ หมายถึง กองเวทนา ส่วนที่เป็นความรู้สึกทุกข์ สุข ดีใจ พอใจ
    3. สัญญาขันธ์ หมายถึง กองสัญญา ส่วนที่เป็นการจำสิ่งที่ได้รับ
    4. สังขารขันธ์ หมายถึง กองสังขาร ส่วนที่เป็นการคิดปรุงแต่ง โดยสามารถแยกแยะสิ่งที่รู้สึกหรือจดจำได้
    5. วิญญาณขันธ์ หมายถึง กองวิญญาณ หรือ จิต เป็นการรู้แจ้งถึงสิ่งต่างๆ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

    buddha2.jpg

    โดยรูปขันธ์จะจัดเป็นรูปเพราะเกี่ยวกับส่วนที่มีตัวตน ส่วนเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์จะจัดเป็น 4 นามขันธ์ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม 4 ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นความคิดและความรู้สึกนั่นเอง

    ขันธ์ 5 เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอย่างไร…?
    ซึ่งหลักธรรมคำสอนเรื่อง “ขันธ์ 5” จะมุ่งเน้นสอนในเรื่องสังขารเป็นหลัก โดยให้มองเห็นความเป็นจริงของสังขารว่านั้นเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ไม่มีความเที่ยงและก่อให้เกิดทุกข์หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นความอยาก ความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง ดังนั้นเมื่อสังขารเกิดขึ้นมาก็ย่อมมีวันสูญสลายไปตามกาลเวลา

    ดังนั้นขันธ์ 5 จึงหมายถึง กองนามธรรมและรูปธรรม 5 อย่างที่ก่อให้เกิดชีวิตที่เรียกว่า สังขารขึ้นมาขึ้นมา โดยประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่รวมกันกลายเป็นชีวิต สามารถแยกออกได้เป็นส่วนที่เป็นรูปคือร่างกาย และส่วนที่เป็นนามคือส่วนที่เป็นความคิดและความรู้สึกที่ก่อให้เกิดทุกข์นั่นเอง



    (ขอขอบคุณ www.เกร็ดความรู้.net)
     
  20. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +4,716
    ผมคงภาวนาท่านหลวงพ่อได้เข้าฝัน
    เพื่อมาเล่าเรื่องที่ออกสื่อไม่ได้


    ขออนุโมทนาสาธุ


    เช่นกันครับ
    "ชาตินี้ได้ก้มกราบท่านครั้งแรก ครั้งเดียว
    แม้ด้วยความบังเอิญก็นับว่าเป็นบุญของผมแล้วครับ"
     

แชร์หน้านี้

Loading...