วิธีการรวมจิตให้เป้นหนึ่งเดียว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย hamanokun, 10 มิถุนายน 2008.

  1. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ใช่ครับ ส่วนที่ผมโพสก็แค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ก็ต้องมีเห็นด้วยไม่เห็นด้วยกันไป หุๆ
     
  2. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937
    ผมใช้คำพูดจากตำราเพื่อสื่อให้คนอ่านรู้ว่า คำๆนั้นเรียกว่าอะไร ส่วนตัวแล้วเมื่อก่อนอ่านหนังสือธรรมเยอะมาก ต่อมาหัดเจริญสติเป็นแล้วถึงพอรู้ทางในการภาวนาบ้าง จึงไม่ค่อยได้อ่านตำรา ( เมื่อก่อนอ่านเดือนนึง 20-30 เล่ม เดี๋ยวนี้ตำราเล่มเดี๋ยว ปีนึงก็อาจจะอ่านไม่จบ )

    แต่ที่ผมใช้คำ เอโกฑิภาวะ , สมถะญานิก , วิปัสสนาญานิก เพราะต้องการสื่อให้คนอ่านได้ประโยชน์ บางท่านอาจจะติดขัดรู้จักคำเหล่านี้มาก่อนแต่ไม่รู้ความหมาย พออ่านข้อความที่ผมเขียนไว้ก็อาจจะมีประโยชน์ให้คลายสงสัยได้เล็กน้อย ไม่ไดมีเจตนาในการอวดภูมิความรู้ เพราะจริงๆแล้วภูมิความรู้ของผู้เขียนก็มีเพียงเล็กน้อยยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา เพียงแต่สิ่งใดที่เราเคยผ่านมา เคยติดขัดมาหรือรู้มาก่อนก็แนะนำกันไปเพื่อหวังไม่ให้เสียเวลามากอย่างที่เราเผชิญ และเป้าหมายในการภาวนาของผู้เขียนก็เป็นไปในการ ปล่อย ละ วาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดๆในโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2008
  3. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    คุณบัวใต้น้ำมีวิธีการปฎิบัติพระกรรมฐานอย่างไรให้เข้าสมาธิได้ไวครับ
     
  4. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    การรักษาเหล็กไม่ให้เกิดเป็นสนิม(กิเลส) ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล จะใช้กระดาษทรายแบบหยาบ ละเอียด หรือปานกลาง แตกต่างกันไป แต่สุดท้ายก็ไปทางเดียวกัน คือ รักษาเหล็กไม่ให้เกิดสนิม แต่จะเริ่มแตกต่างกันตรงเมื่อเหล็กนั้นเริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นอาวุธ ที่จะประหารหรือต่อสู้กับกิเลสในตัวท่านเองครับ
    การรวมจิต จะเป็นไปในลักษณะการบังคับ ฝืนธรรมชาติซักหน่อย เมื่อใดที่ท่านล้ากับการต่อสู้กับกิเลสแล้ว ก็จะเหมือนกับการขาดผูนำ จึงพากันแตกกระเจิง
    การจิตรวม จะเป็นไปในลักษณะปล่อยไปตามธรรมชาติของตัวมันเอง จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการฝึกจิตให้มันรู้หน้าที่ของมันเอง จิตรวมนี้ดีอย่างเมื่อผู้นำล้า แต่มันก็ยังทำหน้าที่ของมันเองไม่ต้องมีนายสั่ง
    ผมไม่รู้ว่าข้อความระหว่าง รวมจิตกับจิตรวม จะใช้คำผิดหรือเปล่า แต่ที่รู้จิตจะช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับการฝึกของแต่ละบุคคล ความถนัดของแต่ละบุคคลครับ และ การต่อสู้ในสภาวะที่แตกต่างกันครับ สุดท้ายนี้ขออนุโมทนากับสิ่งดีๆที่นำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะชนครับ
     
  5. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    ตากหลักความคิดของผมนะครับคิดว่า รวมจิต แล้วจิตถึงจะรวม เพราะว่าถ้าหากนักเจริญสมาธิ ตั้งใจที่จะทำสมาธิ ตรงนี้ถือว่าจิตของคุณกำลังรวมอยู่เพื่อจะที่ทำสมาธิ (จริง ๆ ก็คือการทรงสติ)

    ส่วนการตั้งใจภาวนาหรือบังคับ เพ่ง จ้อง ไม่ให้มันไปไหน เพื่อให้มันรวมอันนี้เรียกว่า "การบังคับจิต" หลวงพ่อเคยได้บอกวิธีการบังคับจิตไปแล้วว่า เกี่ยวกับเรื่องการรู้ลมหายใจเข้าออก นับ 1-10 ใน 1-10 ให้ลองบังคับจิตดู ตรงนี้ผมไม่ขออธิบายยาวเอากันแค่นี้พอ เหตุผลที่ต้องบังคับจิตก็เพื่อให้การปฎิบัติมีผลไว แต่ว่าการบังคับนั้นต้องดุจิตเราว่าช่วงไหนกิเลสกำลังขึ้นก็อย่าบังคับ ถ้าช่วงไหนกิเลสลงก็ลองบังคับดู

    แล้วประโยคที่คุณพูดไว้ ยังไม่ใช่สมาธิที่สามารถต่อยอดไปในการละกิเลส เป็นแค่สมาธิของฤาษีชีไพร ผมขอค้านนิดนึง สมาธิเพียงแค่เล็กน้อยก็สามารถเจริญวิปัสนาญาณเป็นอรหันต์ได้นะครับ อีกอย่างมันแล้วแต่คนปฎิบัติว่าเขาจะปราถนาตัดกิเลสหรือไม่
     
  6. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    อ้างอิงจากประโยคนี้ ขั้นแรก คือต้องมีสติเห็นกิเลสจริงๆ ที่มันเกิดขึ้นในใจเราเสียก่อน เรียกว่ามี "สัมมาสติ" การที่คุณจะมีสติเห็นกิเลสจริงๆ ที่มันเกิดขึ้นในใจเราได้นั้น ต้องมีการรวมจิตตั้งมั่นเสียก่อนจากนั้นจิตจะรวมจนเป็นสมาธิเมื่อมีสมาธิสติก็เกิดจากนั้นก็จะมีปัญญาตามมา จึงสามารถเห็นกิเลสในใจได้ ซึ่งคุณเน้นการทรงสติเป็นหลัก ตรงนี้คุณรวมจิตและจิตได้รวมตัวกันเป็นสมาธิแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว
     
  7. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287

    ข้อนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ
     
  8. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287

    เรื่องตำรานี่ผมอาจจะอ่านมาน้อยกว่าคุณ ผมจะอ่านจากหนังสือหลวงพ่อทั้งหมดและฟังเทป ซีดี สื่อการสอนธรรมะของหลวงพ่อทั้งหมด (แต่อาจจะลืมไปบ้างเพระว่าอ่านมาตั้งแต่ตอนอายุ 4 ขวบเห็นจะได้)และเสียงธรรมะจากเกจิอาจารย์ท่าน อื่น ๆ มาพอสมควร ส่วนใหญ่จะเน้นการปฎิบัติด้านสมถะและวิปัสนาเป็นหลัก

    แต่อยากจะขอแนะนำคุณไว้สักข้อหนึ่งจะรับฟังหรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่คุณ
    สิ่งใดที่ได้เรียนรู้มาแล้วจากทฤษฎี ก็ควรนำมาปฎิบัติให้เกิดตามที่ศึกษาไว้
    แต่สิ่งใดที่ยังปฎิบัติไม่ได้ก็ไม่ควรนำมาสอนคนอื่น "เพราะบุคคลผู้รับฟังคนใดจะเชื่อคำพูดหรือคำแนะนำของบุคคลผู้พูดนั้น บุคคลผู้รับฟังต้องมีจิตที่เลื่อมใสศรัทธาต่อบุคคลผู้พูดเสียก่อน" หากผู้ฟังไม่ศรัทธาต่อตัวผู้พูดแล้วจะเกิดข้อโต้แย้งหรือถกเถียงกันป่าว ๆ

    ปล.ที่ผมเอาวิธีการที่ผมประสบณ์พบเจอมานี่แนะนำให้คนอื่น ๆได้รับฟัง ก็เกิดจากการที่ผมปฎิบัติแล้ว
     
  9. อัฑฒเศรษฐ์

    อัฑฒเศรษฐ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมว่าคุณ hamanokun เอาเวลาไปปฏิบัติเถอะครับ อย่าเสียเวลาอย่างไร้สาระเลย สำหรับผมแล้วผมนับถือผู้ปฏิบัติครับ ใครที่ต้องการมาเถียงหรือให้คำแนะนำแบบสั่งสอน ถ้าไม่อยากอ่านก็ไม่ต้องอ่านและตอบหรอกครับ ไร้สาระ เรามีครูเป็นผู้ปฏิบัติอยู่ในใจแล้วก็พอ หรือไม่งั้นก็อ่านแต่กระทู้ที่ให้ประโยชน์กับคุณก็พอครับ ผมไม่ต้องการว่าใคร แต่ไม่อยากให้ผู้ปฏิบัติมาเสียเวลา คุณเจ้าของกระทู้ต้องการเพียงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ก็ขอให้อ่านและตอบแต่ประสบการณ์ของคนอื่นที่มาแลกเปลี่ยนก็พอครับ ไม่งั้นเสียเวลา เสียอารมณ์ เสียสมาธิครับ ขอบอก :)
     
  10. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937
    ความเห็นนี้ขอชี้แจง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ไมได้มีเจตนาทับถมหรือต้องการเอาชนะ ส่วนเมื่อเพื่อนๆอ่านแล้ว อย่าเพิ่งเชื่อหรือไม่เชื่อเสียทีเดียว อ่านไว้แล้วรู้เฉยๆก็ได้ เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าภาวนาแล้วมีปัญหาติดขัด แล้วข้อเขียนของผมสามารถช่วยให้สะกิดใจได้แม้เพียงเล็กน้อย นั้นถือว่าคุ้มค่าเพียงพอแล้ว

    ไม่จำเป็นต้องทำสมาธินำหน้าแล้วถึงเกิดสติครับ ลองดูได้จากหลักธรรมต่างๆในพุทธศาสนา สติมาก่อน อยู่ก่อนสมาธิ เช่น
    มรรค ๘ : สัมมาสติ เป็นข้ออยู่ก่อนสัมมาสมาธิ
    อินทรีย์ ๕ -พละ ๕ : ข้อของสติก็มาก่อนสมาธิ
    โพชฌงค์ ๗ : ข้อแรกคือสติ

    ถ้าจิตจำเป็นต้องมีสมาธิก่อน แล้วสติถึงเกิดขึ้น ผมคิดว่าองค์ธรรมหมวดต่างๆ ควรจะเอา สมาธิให้อยู่ก่อนหน้าสติ และการที่องค์ธรรมหมวดต่างๆเอาสติมาไว้เป็นอย่างแรก หรือไว้ก่อนถึงสมาธิ ย่อมมีเหตุ มีผล ไม่ใช่จัดใส่ลอยๆโดยไร้ที่มาที่ไป

    ส่วนประโยคที่บอกว่า
    จริงๆแล้ว สติกับปัญญาแตกต่างกัน แต่ก็เกี่ยวข้องกัน โดยที่
    สติมีหน้าทีจับกิเลส หรือเห็นกิเลสที่เกิดขึ้นในใจเรา ( ระลึกรู้ )
    ปัญญา ทำหน้าที่ตัดกิเลส ไมได้มีหน้าที่เห็นกิเลส ( เห็นการเกิด-ดับ )


    สมาธิมีสองประเภทคือสัมมาสมาธิ และมิจฉาสมาธิ ( ลอง search ในพระไตรปิฏกดู พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวถึงคำว่ามิจฉาสมาธิไว้หลายหัวข้อเช่นกันครับ )

    มิจฉาสมาธิแม้จะมีเพียงเล็กน้อย หรือมีมากมายเพียงไร ก็ไม่สามารถนำมาเจริญวิปัสนาได้จริง เพราะไม่ใช่ทางสายกลาง ยังเอนเอียงไปในฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่ ก่อนพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้น ก็มีฤาษีชีไพรต่างๆทีเจริญสมาธิจนถึงขั้น แสดงฤทธ์ เหาะเหินเดินอากาศได้ มีพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว

    ถ้าสมาธิที่คุณกล่าวถึงสามารถนำไปเจริญวิปัสสนาได้จริง คงไม่มีความจำเป็นที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมา เพราะในสมัยนั้นมีคนที่มีสมาธิเล็กน้อยจนถึงระดับสูงอยู่เยอะ แต่ไม่มีใครสักคนที่สามารถพ้นทุกข์ได้จริง ต้องรอพระพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงบอกหนทางแห่งทางดับทุกข์

    ในเรื่องของสมาธินั้นศาสนาอื่นๆก็มีสอนกันเช่น เชน เต๋า ขงจื้อ ฮินดู ศาสนาหรือลัทธิต่างๆเหล่านี้ ก็หวังพ้นทุกข์กันทั้งนั้น แต่ยังไม่ใช่ทาง แม้จะสามารถทำถึงสมาธิหรือฌาณระดับต่างๆได้ แต่ไม่มีผู้ใดพ้นทุกข์ได้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2008
  11. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณ อัฑฒเศรษฐ์ ที่เตือนสติผมนะครับ

    และขอขอบคุณ บัวใต้น้ำ ที่ทำให้ผมนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อขึ้นมาได้ประโยคหนึ่งซึ่งท่ากล่าวไว้ว่า "จงอย่าสนใจในจริยาของบุคคลอื่น แต่เน้นรักษาใจของเราเป็นหลัก" เรื่องที่คุณบัวใตน้ำมาทั้งหมดนั้นผมเคยได้ศึกษามาหมดแล้วซึ่งเข้าใจดีในหลักและหัวข้อต่าง ๆ และเพื่อจะไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการปฎิบัติธรรมเพราะฉะนั้นผมจะไม่ขอพิมพ์อะไรที่เกี่ยวเนื่องกับคุณอีก คุณต้องการจะพิมพ์หรือแนะนำอะไรก็แล้วแต่คุณ ผมจะไม่โต้ตอบอีกต่อไป


    และขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านที่ตั้งมั่นในความดี
    ปีนี้ ปี 2551 จนกว่าจะถึงปี 2553 ขอให้ทุกท่านจงรักษาตัวให้รอดจาก ภัยธรรมชาติ โรคต่าง ๆ และ ภัยจากสงคราม ทุก ๆท่านด้วยเถิด
     
  12. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    ขอบพระคุณ คุณ อัฑฒเศรษฐ์ มากครับที่เตือนสติ ผมจะไม่ต่อกระทู้อีก

    และต้องขอขอบคุณคุณ บัวใต้น้ำ ที่ทำให้ผมได้สติ ทำให้ผมเกิดนึกถึงประโยคหนึ่งที่หลวงพ่อเตือนไว้ท่านบอกไว้ว่า "อัตตนาโจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดของตัวเองไว้ตลอด ไม่ควรไปสนใจในจริยาของบุคคลอื่น จงสนใจแต่ใจของเราเป็นหลัก" และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการปฎิบัติธรรม ในหัวข้อธรรมทั้งหมดที่คุณพิมมพ์มานั้นผมได้เคยและศึกษามาหมดแล้ว และหากคุณบัวใต้น้ำต้องการที่จะแนะนำสิ่งใดประการใดก็ตามผมจะไม่ขอต่อกระทู้ที่เกี่ยวเนื่องกับคุณอีก

    ต้องขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านที่ตั้งใจสั่งสมทำความดี
    ปีนี้ปี 2551 ขอให้อยู่รอดไปจนถึงปี 2553 กันทุก ๆท่านนะครับ(ขอให้รอดจากภัยธรรมชาติ โรคภัยต่าง ๆ และภัยจากสงคราม)
     
  13. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    ขอบพระคุณ คุณ อัฑฒเศรษฐ์ มากครับที่เตือนสติ ผมจะไม่ต่อกระทู้อีก

    และต้องขอขอบคุณคุณ บัวใต้น้ำ ที่ทำให้ผมได้สติ ทำให้ผมเกิดนึกถึงประโยคหนึ่งที่หลวงพ่อเตือนไว้ท่านบอกไว้ว่า "อัตตนาโจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดของตัวเองไว้ตลอด ไม่ควรไปสนใจในจริยาของบุคคลอื่น จงสนใจแต่ใจของเราเป็นหลัก" และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการปฎิบัติธรรม ในหัวข้อธรรมทั้งหมดที่คุณพิมมพ์มานั้นผมได้เคยและศึกษามาหมดแล้ว และหากคุณบัวใต้น้ำต้องการที่จะแนะนำสิ่งใดประการใดก็ตามผมจะไม่ขอต่อกระทู้ที่เกี่ยวเนื่องกับคุณอีก

    ต้องขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านที่ตั้งใจสั่งสมทำความดี
    ปีนี้ปี 2551 ขอให้อยู่รอดไปจนถึงปี 2553 กันทุก ๆท่านนะครับ(ขอให้รอดจากภัยธรรมชาติ โรคภัยต่าง ๆ และภัยจากสงคราม)
     
  14. เทพคาถา

    เทพคาถา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +374
    รวมจิตนั้นดีจริงๆแน่นอน พื้นฐานสำคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่จะทำกิจการใดๆเช่น การเรียนของนักเรียน อ่านหนังสือ ทำงาน ทำสมาธิ แม้แต่ใช้คาถา พวกคุณมาตั้งแง่เถียงกัน ทำไมๆต้องตั้งข้อแม้ทำให้ยุ่งยากมากมาย การรวมจิต มันก็คือเทคนิคดีๆ ในการสร้างพลังจิตแบบง่ายๆ ก็แค่ทำจิตเหมือนแว่นขยาย ที่รวมแสงแดดเป็นจุดเดียว จนเกิดพลังแสงอันสูงสุด จน นำไปเผาใบ้ได้แค่นั้นก็พอ รู้ซึ้งถึงความสำคัญ ของมันก็พอ ส่วนจะเอาจิตที่รวมนั้นไปใช้ทำอะไรก็สุดแท้แล้วแต่เรา จะพูดให้หลงประเดนกันไปทำไม เอาแต่กลัวโน่นี่นั้น ทั้งที่ยังไปเคยทำอะไรได้เรื่องได้ราวให้โลครู้เลย แล้วก็มาเลิกทำเฉยด้วยเหตุผล ของคนขี้กลัว เขาเรียกอาการนี้ว่า หลงตัวเอง จนโดนจิตมันหลอก ตั้งแง่ข้ออ้างที่จะไม่ทำมากกว่า ตามประสาคนทั่วไปว่า คนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ ทำอะไรๆยังไม่ทันได้ก็หาเหตุมาเลิกกลางทาง บรรลุจริงหรือไม่จริง ของที่ยังไม่ทันถือ แล้วจะเอาอะไรมาวาง ทางการแพทย์เรียกว่า โรคจิตหลงผิด สำคัญตนตั้งแง่ เหตุ ให้หลงให้หลอกตัวเอง
     
  15. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
    การรวมจิตทำให้ความจำดีขึ้น นะ โยม นะ..

    ใครขี้หลงขี้ลืม ความจำสั้นก็ใช้สมาธินี้แหละบำบัด นะ โยม นะ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...