ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สิ่งที่ยากที่สุดในการควบคุมการระบาดของโควิด19ในอเมริกาคือวิถีชีวิดต
    ภาพที่เห็นเป็นภาพชายหาดใน California ท่ามกลางการระบาดและให้กักตัว
    คนบนหาดมีคำพูดเดียวกันคือ อากาศดีๆแบบนี้จะไม่มาหาดได้ไง
    rl=https%3A%2F%2Fmedia.nbclosangeles.com%2F2019%2F09%2FOC-beaches-digital_1200x675_1729747011527.jpg
    เอวัง

    https://www.nbclosangeles.com/video...C-yYvfk9w7SSnww54bUoQheUM6ww3aSMOLVRQkfNmEeck
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายกฯอิตาลี เตรียมปลดล็อกดาวน์ระยะที่ 2 เพื่อให้ปชช.มีงานทำ
    &w=476&h=249&url=https%3A%2F%2Fspcdn.springnews.co.th%2Fwp-content%2Fuploads%2F2020%2F04%2Fita12.jpg
    วานนี้ (26 เม.ย.) นายจูเซปเป คอนเต นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. เป็นต้นไป ภาคการผลิต การก่อสร้าง และภาคการค้าส่งสามารถกลับไปทำงานได้ ส่วนร้านค้าปลีก พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี และห้องสมุดจะกลับมาเปิดทำการในวันที่ 18 พ.ค. ตามด้วยบาร์ ร้านอาหาร ร้านตัดผม และร้านเสริมสวยจะกลับมาเปิดให้บริการในวันที่ 1 มิ.ย.
    นายกอิตาลีกล่าวคำปราศรัยทางโทรทัศน์ว่า ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. ประชาชนจะได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมญาติได้ตราบเท่าที่พวกเขาสวมหน้ากาก สถานที่กลางแจ้งและสวนสาธารณะต่างๆ จะเปิดให้ใช้บริการอีกครั้ง และประชาชนสามารถวิ่งออกกำลังกาย หรือขี่จักรยานไปไกลกว่าบ้านของตนเกิน 200 เมตรได้
    คอนเตกล่าวล่วงหน้าก่อนถึงวันสิ้นสุดการปิดเมืองระดับประเทศในวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งจะตามมาด้วยสิ่งที่เขาเรียกว่าการปลดล็อกระยะที่ 2 อาทิเช่น อนุญาตให้จัดงานศพได้ แต่มีผู้เข้าร่วมพิธีได้มากสุด 15 คน และต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์รักษาระยะห่างทางสังคม ส่วนธุรกิจทั้งหมดจะต้องปฏิบัติตามนโยบายด้านความปลอดภัยในสถานที่ทำงานอย่างเข้มงวด
    รัฐบาลได้กำหนดราคาของหน้ากากผ่าตัดไว้ที่ 0.5 ยูโร (ประมาณ 18 บาท) ป้องกันการเก็งกำไร และให้คำมั่นว่าจะใช้มาตรการสนับสนุนขนานใหญ่แก่ภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวเพื่อเปิดเศรษฐกิจในช่วงระยะที่ 2
    Cr.xinhuathai
    The post นายกฯอิตาลี เตรียมปลดล็อกดาวน์ระยะที่ 2 เพื่อให้ปชช.มีงานทำ appeared first on SpringNews.
    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

    https://www.springnews.co.th/global/656270
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Fred Apire

    North bossier ใน louisiana วันที่ 24. เมษายน

    ทางเหนือของ bossier ใน หลุยเซียน่า วันที่ 24. เมษายน


    JAHpWTvcArk63JN5BLUmWSLwbP5PYG5d7jnyAM_5QTr-&_nc_ohc=U0yhQY79WwEAX995kmZ&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg

    QPv7y-gvHsnhrpCz8Q7pviU_MLczO0wn_6Fh7A4hjQeH&_nc_ohc=7I32Mo8kosMAX9RN_oO&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg

    U2EcM-4F-V8eE_wYNC-GZsN99qlrmTEB-MRJeEUaz5Hs&_nc_ohc=7V6NdXy8SwkAX_CnSJE&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.jpg
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อ้ายจง

    เปิดเคล็ด(ไม่)ลับ สร้างแบรนด์-เจาะตลาดจีนอย่างไร "ไม่ให้โดนก็อป-ลอกเลียนสินค้า"

    -----
    lI1bQcGpv-USmR8BFn1Uo4ca9iQ28EOHkVa74RESh20C&_nc_ohc=qkvklwM-_6YAX-OZb1o&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg

    c3P0JXOXXeEj3gThzcXutzGKjiF6W8j2dh6B2sDhpukx&_nc_ohc=BTWJvy5TWZEAX-gtZyh&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg
    ปัญหาหนึ่งของการทำธุรกิจที่จีน จะนำสินค้าไปขายในจีน คือการโดนคนจีนปลอมสินค้า หรือ "แอบเอาแบรนด์เราที่ดังอยู่แล้วในต่างประเทศ เช่น ที่ไทย ไปจดเป็นtrademarkของเขาในจีน จดดักไว้ " พอเราจะเข้าไปขายในจีน เราก็จะมีปัญหาตรงนี้ หลายแบรนด์โดนบ.จีนที่จดดักไว้มาขายชื่อนั้นในราคาแพงมาก (ในความเป็นจริง มีบ.ในจีนที่ดักจดชื่อแบรนด์ต่างประเทศเอาไว้โดยเฉพาด้วยซ้ำ)

    เมื่อปี2018 มีคนส่งข้อความมาปรึกษาอ้ายจง ว่าเจอปัญหาคนจีนมาเดินชมงาน THAIFEX งานจัดแสดงผลิตภัณฑ์อาหารในไทย แล้วเอาชื่อแบรนด์สินค้าไปแอบจด ซึ่งผมต้องบอกเลยว่า เป็นความจริงนะครับ มีคนจีนหรือบริษัทในจีนจำนวนไม่น้อยที่ตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อจดTrademarkแบรนด์ต่างประเทศเพื่อดักทางเอาไว้ก่อนแบรนด์เหล่านี้เข้าตลาดจีน

    ถ้าใครยังจำที่อ้ายจงเคยเล่าไปก่อนหน้านี้ได้ ก็คงจะทราบว่า "金枕头 ชื่อภาษาจีนของพันธุ์ทุเรียนหมอนทองไทย ก็ถูกบริษัทในจีนเอาไปจดTrademarkในหลายชนิดสินค้าเช่นกัน (อาหารสัตว์ยังมีเอาชื่อพันธุ์ทุเรียนหมอนทองไปจด)

    แม้แต่การเปิดบัญชี Officialของแบรนด์เราบน Social media ของจีน เช่น เปิด Official Weibo account (การ Verify account) หรือ WeChat ก็มีหลายเคส ที่บ.ในจีน/คนจีนที่แอบเอาชื่อเราไปจดตัดหน้าในจีน ได้เอาไปแอบเปิดVerified account เพื่อดักเอาลูกค้าในโลกsocialเช่นกัน อันนี้ลูกค้าที่มาติดต่อทำการตลาดจีนกับบริษัทของอ้ายจงเจอหลายเจ้าเลย

    วิธีการป้องกันคนจีน-ผู้ประกอบการในจีนลอกเลียนแบบ หรือก็อปปี้สินค้าของเราคือ

    1. หากมีแผนจะทำแบรนด์เจาะตลาดจีน ควรจะไปจดtrademarkเอาไว้

    และที่สำคัญ "ควรเป็นชื่อบริษัทของเราที่ไทยเป็นคนจดและเป็นเจ้าของ Trademarkในจีน แม้เราจะมีคู่ค้าในจีน ก็ควรจะต้องเป็นบริษัทเรานะครับ เว้นแต่ว่าเราเข้าไปจัดตั้งบริษัทในจีน"

    จากประสบการณ์ของอ้ายจง ในการทำตลาดจีนเราควรต้องพึงระวังและตระหนักให้ดีด้วยว่า " เรามีความสามารถที่จะเข้าไปในตลาดจีนจริงไหม เพราะในความเป็นจริงไปตลาดจีนต้องใช้งบและกำลังภายในมากมาย เอาแค่จดTrademarkในจีนแบบถูกต้องและครอบคลุมจริงๆก็ใช้งบไม่น้อยแล้ว (ค่าจด เริ่มต้นที่หลักหมื่นบาท แต่ถ้าเรามีหลายสินค้า หรือสินค้าเดียวแต่ครอบคลุมหลายประเภท ก็จะใช้งบเพิ่มขึ้นอีก แต่ก็เห็นควรว่า ถ้าจะเริ่มลุยตลาดจีนจริงๆ ควรจดครับ)

    2. ทำแบรนด์ของเราให้เป็นที่รู้จีกในไทยด้วย อย่าเน้นผลิตเพื่อตลาดจีนอย่างเดียว ไม่ว่าจะส่งขายในจีน หรือขายในไทยแต่เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน

    ปัจจุบัน คนจีนสนใจสินค้าแบรนด์ต่างประเทศมากขึ้น เขาต้องการสินค้าที่เป็นแบรนด์สินค้าของประเทศนั้นโดยตรง พวกสินค้าของดีเฉพาะถิ่น Local product ก็ได้รับความนิยมเพิ่มเรื่อยๆ

    อีกอย่าง สินค้าที่ทำเพื่อขายคนจีนโดยเฉพาะ ก็มีหลายเคส ที่เกิดดราม่าในจีนหลังมีชื่อเสียงระดับหนึ่งแล้ว โดยคนจีนตั้งข้อสงสัยว่า เป็นสินค้าไทยจริงไหม เพราะถามคนไทย ไม่มีใครรู้จัก และไม่เห็นมีวางขายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านทั่วไปที่ไม่ใช่แค่แหล่งท่องเที่ยว

    3. การสร้างแบรนด์ การทำตลาด Marketing และการขาย ไม่ควรพึ่งแต่ Partner หรือคู่ค้าในจีนอย่างเดียว แต่เจ้าของแบรนด์ต้องสร้าง "การรับรู้ Awareness" ให้รับรู้ถึงตัว Brandของเรา

    เพื่อป้องกันการคัดลอกสินค้า เพราะเขาจะคัดลอกได้แต่สินค้า แต่ความเป็นBrandของเรายังอยู่ ซึ่งจะข้อนี้จะเชื่อมโยงกับข้อที่ผ่านมาด้วย โดยเฉพาะถ้าเรามีแบรนด์ที่แข็งแกร่งในไทยอยู่แล้วด้วย

    4. สร้างเอกลักษณ์ให้กับสินค้า-แบรนด์ของเรา

    หากเราทำสินค้าให้มีเอกลักษณ์ และพัฒนาสินค้าอยู่ตลอดเวลา ใครจะมาลอกเลียนแบบ ก็เป็นได้แค่ของก็อปปี้ครับ

    -----

    ทั้งหมดนี้คือคำแนะนำเบื้องต้น จากประสบการณ์ของอ้ายจงในการติดต่อธุรกิจและช่วยผู้ประกอบการไทยสร้างแบรนด์-เจาะตลาดจีนนะครับ ซึ่งในการดีลธุรกิจและเจาะตลาดจีนจริงๆมีกระบวนท่าอีกมากซึ่งไม่เป็นแบบแผนตายตัว เพราะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดรอเราอยู่เสมอ

    หากใครมีข้อสงสัย ต้องการคำแนะนำ หรือต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลยครับ

    #อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศพโควิด 19 ในบราซิล กองแน่นห้องเย็นในรถคอนเทนเนอร์

    &w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fspcdn.springnews.co.th%2Fwp-content%2Fuploads%2F2020%2F04%2Fbra12.jpg

    นายเวอร์จิลิโอ เนโต นายกเทศมนตรีเมืองมาเนาส์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)ว่า เมืองมาเนาส์ ซึ่งเป็นพื้นที่แพร่ระบาดรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ขณะนี้ไม่ต่างจากหายนะ แม้ในเมืองมาเนาส์จะผ่านพ้นช่วงประกาศภาวะฉุกเฉินมาแล้ว แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตรายวันขยับจากวันละประมาณ 20-30 รายมาเป็นวันละกว่า 100 ราย

    นายกเทศมนตรีเมืองมาเนาส์ กล่าวอีกว่า โรงพยาบาลต่างๆ ในเมืองมาเนาส์ ต้องรับมือกับผู้ป่วยจำนวนมาก ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นจนศพกองทับถมกันในห้องเย็นรถคอนเทนเนอร์ และยังเรียงรายรอฝังเต็มสุสาน เหมือนที่เคยเห็นในฉากภาพยนตร์สยองขวัญ ขณะที่คนงานต้องเร่งขุดหลุมในสุสานเพื่อฝังศพผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 ราย
    เมืองมาเนาส์เป็นพื้นที่ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในบรรดาเมืองเอกของรัฐต่างๆ ซึ่งขณะนี้มีความวิตกกังวลว่า ยังมีผู้เสียชีวิตตกสำรวจที่เสียชีวิตในบ้านแบบไม่เคยได้รับการตรวจรักษาอีกเป็นจำนวนมาก

    จำนวนศพที่ถูกฝังในสุสานสาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องใช้หลุมศพหมู่สำหรับรองรับร่างผู้เสียชีวิตทุกราย จากค่าเฉลี่ยของจำนวนศพที่ถูกนำมาฝังจะอยู่ที่ราวๆ 30 รายต่อวัน ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นราวๆ 100 รายทางเทศบาลจำเป็นต้องใช้ระบบหลุมศพหมู่สำหรับฝังศพเหยื่อโควิด-19 ซึ่งจะเป็นแนวทางเดียวกับที่ประเทศอื่นทำกัน
    มีรายงานว่า บราซิลมีผู้ป่วยสะสม 54,043 ราย เสียชีวิตแล้ว 3,704 ราย โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่าตัวเลขจริงอาจจะมากกว่านี้ประมาณ 15 เท่าเนื่องจากบราซิลยังไม่มีการตรวจคัดกรอง
    The post ศพโควิด 19 ในบราซิล กองแน่นห้องเย็นในรถคอนเทนเนอร์ appeared first on SpringNews.
    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

    https://www.springnews.co.th/global/656073
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ญี่ปุ่นหัวดื้อ โอซาก้าแฉร้านปาจิงโกะที่ไม่ยอมปิดให้ความร่วมมือ แต่ผลกลับกันคนรู้ว่าร้านไหนเปิดจึงแห่กันไปหลายร้อยคน!

    เนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าระบาดจึงทำให้ ร้านปาจิงโกะ (ร้านพนันญี่ปุ่นถูกกฏหมาย) ต้องปิดให้ความร่วมมือเนื่องจากไม่ให้ผู้คนมารวมตัว..แต่ก็ยังมีร้านที่ยังไม่ให้ความร่วมมือและยังทำการเปิดอยู่

    ในเวลาต่อมาผู้ว่าโอซาก้า จึงจำเป็นต้องแฉออกสื่อว่าร้านไหนยังเปิดอยู่จะทำให้อับอายกันไปข้างนึง..แต่ผลลัพธ์นั้นกลับกัน ทำให้ชาวพนันในโอซาก้ารู้ว่าร้านไหนเปิดจึงขับรถแห่กันไปร้านที่ยังทำการอยู่และยืนเรียงกันเป็นร้อยก่อนร้านเปิดทำการ

    แต่ก็มีร้านที่โดนแฉแล้วปิด แต่ร้านที่ยังไม่ปิดก็คงอาจจะมีปัญหาเรื่องรายได้ขาดทุนจึงทำให้ต้องเปิดทำการต่อไป..

    กดติดตามเพจนี้ "คนไทยในญี่ปุ่น" และกดเห็นโพสต์ก่อน เราจะคัดข่าวและคอนเท้นต์ที่มีคุณภาพสู่มือถือของคุณในทุกๆวัน!

    อ้างอิง : https://news.tv-asahi.co.jp/

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Forex Mindset
    b959770d7c980a8c887629e%2FaS%2Fchangi-exhibition-centre-cec-community-isolation-facility--4---1-.jpg

    (Apr 26) ถอดบทเรียน 'สิงคโปร์'พลิก ป่วยที่ 1 อาเซียน: สิงคโปร์เป็นชาติแรกๆ ในเอเชียนอกเหนือ จากจีนที่พบผู้ติดเชื้อก่อโรคระบาด โคโรนาไวรัส สายพันธุ์ 2019 หรือโควิด-19 โดยพบ ผู้ติดเชื้อรายแรกราว 1 สัปดาห์ หลังจากที่ไทยพบนักท่องเที่ยวชาวจีนนำเชื้ออันตรายนี้เข้ามาในประเทศเมื่อ 13 มกราคม 2563

    ที่น่าสนใจก็คือ 2 เดือนแรกของการระบาด สิงคโปร์ควบคุมสถานการณ์ได้ดีเยี่ยม ดีเสียจนทุกคนยกย่อง ชมเชย พร้อมกับคำพูดติดปากใครต่อใครหลายคนว่า ดูตัวอย่างสิงคโปร์สิ! หรือไม่ก็ ทำแบบสิงคโปร์สิ ถึงจะเอาอยู่

    สิ่งที่อยู่ในใจหลายคนในเวลานั้นก็คือ สิงคโปร์น่าจะเป็นชาติแรกๆ ที่ "พ้นพงหนาม"การแพร่ระบาด และน่าจะเริ่มขั้นตอนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและจิตใจของคนในชาติได้ก่อนใคร

    แต่แล้วสถานการณ์พลิกผัน ถึงตอนนี้ สิงคโปร์ไม่เพียงเป็นชาติที่เกิดการแพร่ระบาดมากที่สุดในบรรดาชาติอาเซียนด้วยกัน ยังมีเค้าลางอีกด้วยว่า การแพร่ระบาดที่นี่จะยืดเยื้อมากที่สุด อย่างน้อย ก็จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งมาตรการ "เซอร์กิต เบรกเกอร์" เข้มงวดของรัฐบาลกำหนดไว้คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้น? อะไรคือปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาลุกลามบานปลายใหญ่โตอยู่ในเวลานี้?

    การเลือกปฏิบัติในสังคม

    กลางเดือนมีนาคม คลื่นการแพร่ระบาดระลอกที่สองปรากฏขึ้นที่สิงคโปร์ คล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในฮ่องกงและไต้หวัน นั่นคือ เริ่มต้นเมื่อเกิดการแพร่ระบาดขนานใหญ่ในต่างแดนไกลโพ้นอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา แล้วชาวสิงคโปร์ที่ไปปักหลักอยู่ในสถานที่เกิดการระบาดเหล่านั้นก็เร่งรีบเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน

    หลังจากนั้น ไม่ว่าฮ่องกงก็ดี ไต้หวันก็ดี สามารถคุมจนเหลือผู้ติดเชื้อเพิ่มวันละไม่กี่ราย ต่ำสิบเรื่อยไปจนถึงไม่มีเลยในกรณีของไต้หวัน สิงคโปร์กลับพบการระบาดเพิ่มพรวดพราดแบบที่นักระบาดวิทยาเรียกว่า "การแพร่แบบระเบิด"ไม่นานยอดติดเชื้อสะสมก็ทะลุหมื่น

    "สองเดือนแรกเราเอาแต่ฉลอง แสดงความยินดีให้กับตัวเองอยู่นั่นแหละ"อเล็กซ์ อู๋ รองประธานกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน ทรานเซียนท์ เวิร์กเคอร์ส เคานท์ ทู (ทีดับเบิลยูซี 2) บอกกับวอชิงตัน โพสต์

    "ถ้าใครใส่ใจจะเหลือบแลสักนิด ก็จะเห็นทันทีว่า อันตรายอยู่ตรงหน้านี่เอง"

    อันตรายที่ว่านั้นก็คือ แรงงานอพยพที่ได้รับใบอนุญาตให้เข้ามาทำงานในสิงคโปร์ ซึ่งไม่เพียงมีประชากรจำนวนจำกัดอย่างยิ่ง ยังหลีกเลี่ยงที่จะทำงานหลายต่อหลายอย่าง เปิดทางให้ต้อง "นำเข้า" แรงงานที่เกือบทั้งหมดมาจากเอเชียใต้เหล่านี้เข้ามามากเกือบ 300,000 คน เพื่อทำงานที่ "คนสิงคโปร์ไม่ทำ"

    ถูกยัดเข้าไว้รวมกันอยู่ใน "หอพักคนงาน"ขนาดใหญ่ 43 แห่ง ที่กระจายกันอยู่ทั่วสิงคโปร์

    อเล็กซ์ อู๋ ยืนยันว่า แรงงานนำเข้าเหล่านี้ ไม่เคย "อยู่ในสายตา" ของทางการสิงคโปร์เลยตั้งแต่แรกเริ่มวางแผนการดำเนินงานเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด ทุกอย่าง "โฟกัส" ไปที่พลเรือนสิงคโปร์ทั้งสิ้น

    ตั้งแต่การแจกจ่ายหน้ากากอนามัยป้องกันการติดเชื้อ แพร่เชื้อ, เจลล้างมือหรือน้ำยาเพื่อทำความสะอาด เรื่อยไปจนถึงหน้ากากผ้าใช้ซ้ำได้ ซึ่งแจกจ่ายกันเฉพาะแต่ในครัวเรือนสิงคโปร์

    ชาวสิงคโปร์แท้ๆ ที่เดินทางกลับจากสหรัฐ อเมริกาและอังกฤษได้รับการกักกันโรคในโรงแรมระดับ 4 ดาว 5 ดาว ที่รัฐบาลควักเงินจ่ายให้ทั้งหมด

    "สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพมองไม่เห็น ไร้ตัวตนของคนงานต่างชาติ กลไกทั้งหมดของประเทศขับเคลื่อนไปราวกับไม่มีคนเหล่านี้อยู่ด้วยเลยแม้แต่คนเดียว" อเล็กซ์ อู๋ ย้ำเฮลธ์เซิร์ฟ องค์การไม่แสวงกำไร ซึ่งให้บริการทางการแพทย์ราคาถูกแก่คนงานต่างชาติ ระบุว่า คนเหล่านี้ตื่นตัว รู้สึกไม่สบายใจ กระวนกระวายมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว ด้วยตระหนักดีว่าสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดของตัวเอง เพิ่มความเสี่ยงมหาศาลที่จะติดเชื้อ

    แต่กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้แพทย์พยาบาลอาสาของคลินิกแรงงานเช่นนี้ไม่สามารถให้บริการนอกเวลาได้ต่อไป ผลก็คือบริการของเฮลธ์เซิร์ฟต้องลดลงมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์

    แม้จะมีหอพักให้ มีห้องพักให้ แต่สภาพความเป็นอยู่ชนิด 10-12 คนต่อห้อง ทำยังไงก็ไม่สามารถสร้าง "โซเชียล ดิสแทนซิ่ง" ที่มีประสิทธิภาพได้แน่นอน

    ถึงตอนนี้ หอพักเหล่านี้ซึ่งแต่ละหอมีแรงงานอยู่ประมาณ 25,000 คน ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในห้องไปแล้วทั้งหอรวม 25 หอพัก

    ที่เหลือยังสามารถออกจากห้องได้ แต่ไม่สามารถออกนอกบริเวณของหอพักได้

    ในจำนวนผู้ติดเชื้อ 12,075 ราย ที่สิงคโปร์ในเวลานี้ เป็นแรงงานต่างชาติอยู่ราว 70 เปอร์เซ็นต์ กลับกลายเป็นเป้าให้ถูกชาวสิงคโปร์บางคน "ตีตรา" ว่าเป็นแหล่งเชื้อโรค เป็นพวกสกปรก เหมือนในจดหมายจากชาวสิงคโปร์รายหนึ่งซึ่งปรากฏอยู่ในหน้าจดหมายของ เหลียนเหอ เจ่าเป้า หนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่ขายดีที่สุดในสิงคโปร์เมื่อเร็วๆ นี้

    ก่อนที่จะมีเสียงตอบจากคนสิงคโปร์ที่เที่ยงธรรมในโลกออนไลน์ขนานใหญ่ว่า เฮ้ แรงงานเหล่านี้ไม่ได้นำโควิด-19 เข้ามาในสิงคโปร์นะ

    คนสิงคโปร์ต่างหากที่แพร่เชื้อให้พวกเขา!

    แหล่งแพร่เชื้อ'ซ่อน'

    มีคำถามชวนให้คิดอย่างยิ่งว่า ปัจจัยเรื่องแรงงานต่างด้าวอย่างเดียวจะส่งผลให้สิงคโปร์ตัดสินใจใช้มาตรการเข้มข้น "เซอร์กิต เบรกเกอร์" ไปจนถึงมิถุนายนเชียวหรือ? หรือสิงคโปร์มีความกังวลอย่างอื่นรวมอยู่ด้วย ถึงได้ยอมให้เศรษฐกิจบอบช้ำต่อไปอีกขนาดนั้น?

    คำตอบคือสิงคโปร์ยังมีสถิติของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นเรื่อง "กวนใจ" นักหนาอยู่อีกประการหนึ่ง

    นั่นคือ ในทุกๆ 25 คนของผู้ติดเชื้อใหม่ที่เป็นคนสิงคโปร์จริงๆ หรือเป็นผู้ที่มีถิ่นพำนักอยู่ในสิงคโปร์ และได้รับการตรวจยืนยันแล้วนั้น มีมากถึง 17 คน ที่ไม่รู้ว่าไปติดเชื้อมาจากไหน

    คิดเป็นสัดส่วนแล้วมากมายมหาศาล คือ 68 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อยืนยันในสิงคโปร์ ไม่รู้ที่มา!

    กระพือให้ข้อสงสัยที่ว่า สิงคโปร์จะมี "ฮิดเดน เรเซอร์วาร์" หรือ "แหล่งแพร่เชื้อซ่อน"ขนาดใหญ่อยู่ในสังคม แพร่หลายกว้างขวางมากขึ้นไปอีก

    ขนาดนายกรัฐมนตรี ลี เซียน หลุง ยังยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเหตุผลหนึ่งในการขยายมาตรการเข้มของรัฐบาลออกไปอีกเมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สิงคโปร์พบผู้ติดเชื้อใหม่วันละไม่ถึง 10 คน แต่ในเดือนเมษายนนี้ มีอย่างน้อย 3 วันแล้วที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อใหม่ วันหนึ่งๆ เกินกว่า 1,000 ราย

    เป็นไปได้หรือที่มีแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19 ขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครรู้ซุกซ่อนอยู่?

    คำอธิบายที่เป็นไปได้มีอยู่ 2 ทางเตียว ยิก อิง คณบดีสำนักสาธารณสุข ซอว์ สวี ในสังกัดมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (เอ็นยูเอส) ชี้ให้เห็นว่า เป็นไปได้ที่ว่า ในช่วงแรกๆ ที่มีผู้ป่วยไม่มากนัก ระบบตรวจสอบที่คนสิงคโปร์ภาคภูมิใจนักหนาที่เรียกว่า "คอนแทคต์ เทรซซิง" นั้น สามารถตรวจสอบลงลึกและได้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ แต่เมื่อมีงานในมือเยอะมากขึ้นการตรวจสอบก็ผิดพลาด พลั้งเผลอ ปล่อยให้หลุดมือไปมาก ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน

    ปัญหาของคำอธิบายนี้ก็คือ ถึงตอนนี้ ทางการสิงคโปร์เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่สำหรับการ "คอนแทคต์ เทรซซิง" มากขึ้นกว่าเดิมแล้วหลายเท่าตัว

    ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่เพื่อการนี้ของสิงคโปร์มีประมาณ 70-100 คน ทำงานเป็นกะตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,300 คน ทำงาน 24/7 เหมือนกัน ทำไมถึงไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม?

    เหลียง โฮ นัม ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาและโรคติดต่อชาวสิงคโปร์ อธิบายถึงทางที่เป็นไปได้อีกทางว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจแสดงให้เห็นว่า มีผู้ติดเชื้ออีกเป็นจำนวนมากในสิงคโปร์ที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อย และหายเองได้ แต่ในเวลาเดียวกันยังทำหน้าที่เป็น "พาหะของ โควิด-19" อยู่อย่างต่อเนื่องงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ บริติช เมดิคัล เจอร์นัล เมื่อ 2 เมษายนนี้ ระบุเอาไว้ว่า จากการศึกษาวิจัยพบว่า ในจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 166 ราย มีมากถึง 78 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่แสดงอาการ

    งานศึกษาวิจัยในสิงคโปร์เองระบุไว้ด้วยว่าพบผู้ป่วยจำนวนมากที่ "แพร่เชื้อ" ให้กับคนอื่นได้ "ก่อน" ที่ตัวเองจะแสดงอาการออกมาให้รู้ว่าติดเชื้อ

    นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์กำลังพิจารณาอยู่ว่า จะ "ทำการใหญ่" ด้วยการตรวจหาเชื้อในประชากรทั้ง 5.7 ล้านคน (สำมะโน เมื่อปี 2019) ทั้งหมดหรือไม่

    เพราะตราบใดที่ยังไม่สามารถหาหนทางกันเอาผู้ติดเชื้อในหอพักแรงงานต่างด้าวออกไปให้หมด และหาแหล่งที่มาของการแพร่เชื้อที่มองไม่เห็นนี้จนพบ

    ตราบนั้น สิงคโปร์ก็ยังเปิดเมือง เปิดประเทศ ไม่ได้นั่นเอง!

    Source: มติชนออนไลน์
    https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2157580

    ความคืบหน้า
    - Singapore's COVID-19 cases top 13,000 after 931 more confirmed : https://www.channelnewsasia.com/new...sLt5HzEnoEZbyiQRga00Ys-Ns5bOZNYZVLPhxWpiSxcfw
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Apr 27) Covid-19 เศรษฐกิจกับจีดีพี (2): ประเทศต่างๆ ทั่วโลกและประเทศไทยทำการ lockdown เศรษฐกิจประมาณกว่า 1 เดือนแล้ว

    ในช่วงนั้นมีการรณรงค์ให้อยู่บ้าน ลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลงอย่างมาก เห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ว่างงานทั่วโลกหลายล้านคนและการลดลงของราคาน้ำมัน (จนกระทั่งราคาส่งมอบในตลาดล่วงหน้าเดือนเม.ย.ติดลบ)

    การออกคำสั่ง lockdown เศรษฐกิจแปลว่าผลผลิตทั่วโลกลดลงอย่างมาก กล่าวคือจีดีพีลดลงทั่วโลก และเมื่อไม่ได้ผลิตสินค้าและบริการหลายชนิดเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ก็ต้องเข้าใจว่าเมื่อเวลาผ่านไปแล้วจะไม่สามารถเรียกเวลาที่ผ่านไปแล้วกลับมาอีกได้ มาตรการทางการคลังและการเงินที่ช่วยดูแลให้ผู้มีรายได้น้อย ยังพอมีเงินมาเลี้ยงชีพตัวเอง และการที่บริษัทต่างๆ สามารถหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาเกื้อกูลธุรกิจของตัวเองต่อไปนั้น คือการรักษาสถานะปัจจุบันเอาไว้ โดยหวังว่าเมื่อเลิก lockdown แล้วธุรกิจต่างๆ และพนักงานของธุรกิจดังกล่าวจะสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเช่นเดิม พนักงานมีงานทำเช่นเดิมและบริษัทสามารถทำกำไรและจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานได้เช่นเดิม

    ผมจึงมองว่ามาตรการทางการเงินและการคลังทั้งหมดนั้น แม้จะมีมูลค่าสูงมากจนหลายคนตกใจและเป็นห่วงว่าจะมีผลในทางลบในด้านต่างๆ นั้น ต้องเข้าใจว่าหากไม่ทำเช่นนั้นจะกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำรงชีวิตของประชาชนหลายล้านคนและการปล่อยให้ธุรกิจหลายพันหลายหมื่นแห่งต้องล้มละลายหรือเลิกกิจการไปในระหว่าง lockdown นั้นย่อมจะทำให้เกิดความเสียหายที่ถาวรกับเศรษฐกิจ ทำให้เมื่อยกเลิกการ lockdown ในอนาคต เศรษฐกิจจะพิการเพราะไม่มีผู้ประกอบการรอดเหลืออยู่เพื่อดำเนินธุรกิจต่อไป ดังนั้นจึงมองได้ว่ามาตรการของภาครัฐนั้นเป็นเพียงการ “คงสถานะ” ของผู้ประกอบการเอาไว้ ไม่ใช่การกระตุ้นจีดีพีเพราะจีดีพีถูกตัดทอนลงไปจากการควบคุมการระบาดของ COVID-19

    ดังนั้น ไอเอ็มเอฟจึงประเมินสภาวะของเศรษฐกิจโลกในปี 2020 และ 2021 ที่ต้องเผชิญกับ COVID-19 ดังนี้

    1.หาก lockdown กระทบเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในไตรมาส 2 แต่สามารถเปิดเศรษฐกิจได้ในครึ่งหลังของปีนี้ จีดีพีของโลกจะลดลง 3.0% และในปี 2021 จะเพิ่มขึ้น 5.8% แต่ความเสียหายจากการ lockdown เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 2 และการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในครึ่งหลังของปีนี้จะทำให้โลกสูญเสียโอกาสหากสามารถผลิตจีดีพีได้โดยปกติไปทั้งสิ้น 9 ล้านล้านเหรียญในช่วงปี 2020 และ 2021 จีดีพีหรือผลผลิตสินค้าและบริการดังกล่าวนั้นจะสูญเสียไปโดยไม่สามารถเรียกกลับมาได้ นโยบายของรัฐนั้นจะไม่ทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นมาได้ แต่จะทำให้ “people are able to meet their needs” (ไม่อดตาย) และ “business can pick up once the acute phases of the pandemic pass” (ธุรกิจจะยังรักษาเนื้อรักษาตัวให้อยู่รอดและสามารถทำธุรกิจต่อไปได้เมื่อการ lockdown เศรษฐกิจผ่านพ้นไปแล้ว)

    2.หากการ lockdown เศรษฐกิจจะต้องยืดเยื้อต่อไปอีกในครึ่งหลังของปี 2020 จีดีพีโลกจะติดลบ 6.0%

    3.หากการ lockdown เศรษฐกิจจะต้องขยายข้ามปีต่อไปในปี 2021 หรือ COVID-21 จะกลับมาระบาดรอบ 2 ในปี 2021 จีดีพีในปี 2021 จะเปลี่ยนจากการโต 5.8% มาเป็นติดลบ 2.2%
    ดังนั้นหากจะถามว่าจีดีพีไทยจะติดลบเท่าไรหรือจะฟื้นได้มากเพียงใดนั้น จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรการทางการเงินหรือการคลังว่าจะ “ใส่เงิน” กี่ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลและแบงค์ชาติไม่สามารถผลิตจีดีพีได้ จีดีพีจะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเรามีศักยภาพในการเปิดเศรษฐกิจ ยกเลิกการ lockdown พร้อมกับการควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อCOVID-19 รายใหม่ไม่เกินวันละ 10-20 คน เป็นต้น

    แน่นอนว่าการจะควบคุมให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นไม่เกินวันละ 10-20 คนนั้น จะสร้างข้อจำกัดให้กับเศรษฐกิจอย่างมากและมีผลกระทบที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ดูเหมือนว่าผับ บาร์และสถานเริงรมย์หลายๆ แห่งในเมืองใหญ่อาจเปิดให้บริการไม่ได้จนกว่าจะสามารถค้นคว้าหาวัคซีนได้ ซึ่งจะต้องใช้เวลาเกินกว่า 1 ปี บางธุรกิจเช่นภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในเมืองรองนั้นก็อาจต้องหมดอนาคตไปด้วย

    ตรงนี้การปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรมและการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจองประเทศจะเป็นสิ่งที่ท้าทายประเทศไทยอย่างมากใน 2-3 ปีข้างหน้า

    เป็นไปได้หรือไม่ว่าหากรอไป 1 ปีแล้ว ค้นพบวัคซีนป้องกัน COVID-19 แล้ว เศรษฐกิจจะกลับไปเหมือนกับยุคก่อน COVID-19? ผมสงสัยว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ยาก เพราะหากพิจารณาจากประสบการณ์กับไวรัสในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าโลกมนุษย์ต้องเผชิญกับการระบาดของไวรัสพันธ์ุใหม่ชนิดต่างๆ มา 5 ชนิดแล้ว คือไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิด ได้แก่ ไข้หวัดนกและไข้หวัดสุกร (ที่มีความคล้ายคลึงกับ Spanish Flu เมื่อปี 1918) และไวรัสโคโรนาที่ทำให้เป็นโรค SARS MERS และ COVID-19

    ดังนั้น จึงประเมินได้ว่าหากเรามีวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้ในปี 2021 ก็อาจต้องพบกับไวรัสสายพันธ์ุใหม่อีกภายใน 5-6 ปีข้างหน้า ทำให้การเฝ้าระวังโรคสายพันธ์ุใหม่ การทำ social distancing และการสร้างศักยภาพทางด้านสาธารณสุขนั้นจะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างมากและจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของนักธุรกิจว่าจะอาศัยประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างของห่วงโซ่ทางอุปทานของโลก (global supply chain)หรือไม่

    กล่าวคือการจะยังเป็นส่วนหนึ่งของโลกาภิวัฒน์จะต้องขึ้นอยู่กับศักยภาพของไทยในด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคร้ายในอนาคตและคนไทยก็อาจต้องการถามตัวเองด้วยว่ายังต้องการพึ่งพาตลาดโลกโดยเฉพาะการผลิตบริการด้านการท่องเที่ยวให้เป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหรือจะมีทางเลือกอื่นๆ ที่ดีกว่านี้? ผมเกรงว่าจะไม่มีทางหลักอื่นที่ดีกว่า ดังนั้น การเชื่อมโยงของเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจโลกจึงจะต้องดำเนินต่อไปแต่ในเงื่อนไขที่จะต้องปรับเปลี่ยนไปอย่างมากครับ

    คอลัมน์เศรษฐศาสตร์ + สุขภาพ โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/650064
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    LANCER บริษัทผลิตปากกา ประกาศปิดกิจการชั่วคราว เซ่นพิษโควิด 19

    ปากกา LANCER (27 เมษายน 2563) มีรายงานว่า พลตำรวจตรี วาทิน คำทรงศรี กรรมการ บมจ.ดี.ที.ซี.อินดัสตรี่ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCI แจ้งว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อไวรัสโคโรน่า หรือโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินกิจการของบริษัทคือ ไม่มีรายการสั่งซื้อจากลูกค้าที่เคยสั่งซื้อและทางบริษัทไม่สามารถจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้ เนื่องจากลูกค้าซึ่งเป็นร้านค้าต่าง ๆล้วนต้องปิดร้านตามคำสั่งของภาครัฐ และยังไม่อาจทราบได้ว่าจะกลับมาเปิดดำเนินการได้เมื่อไหร่

    ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบจากเหตุดังกล่าวนั้น บริษัทดี.ที.ซี.อินดัสตรี่ส์ จำกัด (มหาชน) จึงได้ประกาศปิดกิจการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2563 เป็นต้นไปและจะเปิดดำเนินการต่อไปเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น

    The post LANCER บริษัทผลิตปากกา ประกาศปิดกิจการชั่วคราว เซ่นพิษโควิด 19 appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เด้งผู้การอุบลฯ ไม่ให้ความร่วมมือจุดตรวจโควิด

    ภายหลังจากที่มีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ กรณีของ “บิ๊กตำรวจ” จังหวัดอุบลราชธานี ที่เดินทางกลับจากกรุงเทพมหานคร ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี แต่กลับไม่ยอมให้ความร่วมมือในการตรวจคัดกรอง แถมยังระเบิดอารมณ์ ด่ากราดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจจนดังลั่นไปทั้งสนามบินอุบลราชธานีนั้น

    ล่าสุด วันนี้ (27 เมษายน 2563) พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 บอกว่า ได้รับทราบเรื่องแล้ว และเมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้เรียกตัว พล.ต.ต.รณกร ฤทธิรงค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.อุบลราชธานี ที่ถูกกล่าวหา ให้มาช่วยงานราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 3 โดยเริ่มมาช่วยราชการตั้งแต่วันนี้ (27 เม.ย.63) เป็นต้นไป เพื่อไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับการตรวจสอบ และแต่งตั้ง พล.ต.ต.ธเนศ เทพสุด ผู้บังคับการประจำตำรวจภูธรภาค 3 ไปรักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.อุบลราชธานี เป็นการชั่วคราวก่อน พร้อมกับได้แต่งตั้ง พล.ต.ต.ภาณุ บูรณศิริ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.อำนาจเจริญ อีกทั้งยังเป็นจเรตำรวจภูธรภาค 3 ให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

    ส่วนจะมีข้อมูลหลักฐานอะไรนั้น ก็ต้องให้ผู้ที่ไปตรวจสอบทำหน้าที่ก่อน เพราะตอนนี้เป็นเพียงข่าว ยังต้องรวบรวมพยานและหลักฐานอื่นๆ ประกอบอย่างครบถ้วน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริงตามที่เป็นข่าว ตนก็ต้องลงโทษตามกฎหมายไม่มีข้อยกเว้นแน่นอน

    The post เด้งผู้การอุบลฯ ไม่ให้ความร่วมมือจุดตรวจโควิด appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดีย: ติดน้อยเพราะตรวจน้อย?
    .
    เมื่อวันก่อนอินเดียพึ่งทำสถิติพบผู้ติดเชื้อสูงสุดในรอบวันอีกครั้งคือพบผู้ป่วยในวันเดียวถึง 1835 คน ซึ่งทำให้ค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อในแต่ละวันที่อินเดียเผชิญตอนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนวนนี้ผู้ติดเชื้อแตะระดับ 28000 ราย เรียบร้อยแล้ว
    .
    มีการประมาณกันว่าภายในเดือนนี้อินเดียจะมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 30,000 รายอย่างแน่นอนแล้ว หากระดับการพบผู้ป่วยรายวันยังคงเพิ่มขึ้นในระดับนี้ ที่น่าสนใจกว่านั้นคือผู้เสียชีวิตในอินเดียก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ในวันนี้ก็เกือบจะ 900 คนเข้าไปแล้ว
    .
    และหากมากภาพรวม ๆ ก็จะพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียตอนนี้ อยู่ในอันดับที่ 16-17 ของโลก และถ้าเทียบในภูมิภาคเอเชียก็เรียกได้ว่าอยู่ในอันดับที่ 4 เป็นรองเพียงประเทศตุรกี อิหร่าน และจีนเท่านั้น
    .
    เห็นได้ชัดว่าตัวเลขการติดเชื้อของอินเดียนั้นมีแนวที่จะเพิ่มขึ้นไปอีกซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวสำคัญในการกำหนดมาตรการปิดเมืองของรัฐบาลว่าจะขยายออกไปหรือไม่
    .
    แต่วันนี้ที่ผมจะชวนทุกคนคุยคือเอาจริง ๆ แล้วตัวเลขผู้ติดเชื้อมันน้อยจริงหรือไม่ เพราะผมเห็นหลายคนบอกว่าตัวเลขนี้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากร 1300 ล้านคนของอินเดีย
    .
    ซึ่งถ้าเทียบกับสัดส่วนประชากรก็ยอมรับครับว่ามันก็ไม่มากเท่าไหร่จริง ๆ แต่คำถามต่อมาคือว่า ตัวเลขที่น้อยนี้มันมาปัจจัยอะไรบ้างกันแน่ หรือเอาเข้าใจที่ตัวเลขน้อยเพราะมีเบื้องหลังที่กลัวอยู่มากกว่า
    .
    หากจะให้วิเคราะห์ว่าทำไมตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในอินเดียนั้นน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรและความหนาแน่นของประชากรในประเทศก็อาจจำแนกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
    .
    1. ผมอาจจะต้องขอชมก่อนแล้วกันว่าที่ตัวเลขมันน้อยแบบนี้เป็นผลมาจากมาตรการเข้มงวดโดยเฉพาะการปิดเมืองซึ่งทำให้จำนวนการแพร่กระจายของโรคไม่กระจายหรือขยายขอบเขตไปทั่วประเทศจนยากจะควบคุม
    .
    การปิดเมืองยังเป็นกลไกสำคัญที่ส่งเสริมให้การพบปะกันของผู้คนนั้นลดลงไปได้มากทีเดียว นั่นหมายความว่าโอกาสในการแพร่เชื้อระหว่างคนในอินเดียก็น้อยตามไปด้วย
    .
    2. ในหลายเมืองของอินเดียมีความจริงจังในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างมาก และมุ่งเน้นให้คนปรับเปลี่ยนชีวิตของตนเองนี่ส่งผลอย่างสำคัญต่อการควบคุมการแพร่ระบาดภายในรัฐนั้น ๆ แต่มาตรการเหล่านี้ยังคงจำกัดอยู่ในเมืองใหญ่เท่านั้น
    .
    สุดท้าย 3. ประเด็นนี้ผมเองค่อนข้างกังวลนั่นคือการตรวจหาเชื้อในอินเดียยังคงน้อยมาก ๆ น้อยระดับที่ค่อนข้างน่าวิตกกังวล ซึ่งนี่อาจเป็นส่วนสำคัญว่าทำไมอัตราการติดเชื้อในอินเดียน้อยมาก ๆ
    .
    จนถึงวันนี้อินเดียมีการตรวจหาเชื้อไปแล้วประมาณ 665,819 ราย ซึ่งหากเทียบกับจำนวนประชากร 1300 ล้านคนนั้นก็ถือว่ายังน้อยมาก ๆ กล่าวคือในจำนวนประชากร 1 ล้านคนนั้น อินเดียตรวจไปเพียง 482 คนเท่านั้นเอง ซึ่งน้อยกว่าประเทศอย่างภูฏานและเนปาลเสียอีก
    .
    ในขณะที่ประเทศไทยเราอยู่ในอัตรา 1 ล้านคนตรวจไปมากถึง 2551 คนเลยที่เดียว ที่น่าวิตกไปกว่านั้นคืออัตราดังกล่าวเป็นอัตรการตรวจทั้งประเทศเท่านั้น
    .
    แต่เมื่อดูรายละเอียดในแต่ละรัฐก็จะยิ่งวิตกเข้าไปอีก เช่นรัฐเบงกอลตะวันตก มีประชากร 90 กว่าล้านคน แต่มีการตรวจหาเชื้อเพียง 10,000 กว่ารายเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ หรืออย่างรัฐอุตตรประเทศมีประชากรเกือบ 200 ล้านคน แต่ตรวจหาเชื้อไปเพียง61,799คนเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าน้อยมาก
    .
    ความน่ากังวลเรื่องการตรวจหาเชื้อที่น้อยนั้นยังไม่เท่ากับเรื่องที่ว่าผู้ป่วยโควิด19ในอินเดียส่วนใหญ่นั้นกว่าร้อยละ 80 เป็นการป่วยแบบไม่แสดงอาการ
    .
    นั่นหมายความถ้าอินเดียเปิดเมืองคนเหล่านี้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยก็อาจออกไปแพร่กระจายเชื้อในที่ชุมชนได้อีกจำนวนมาก เพราะทุกคนก็คงพอรู้ว่าคนอินเดียถ้าไม่ป่วยหนักจริง ๆ ไม่ไปหาหมอ
    .
    ในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมากลุ่มแพทย์และนักระบาดวิทยาจากหลากหลายสถาบันจึงพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งการตรวจหาเชื้อเพราะหากยังปล่อยไว้เช่นนี้การปิดเมืองก็อาจไม่ได้ผล และอินเดียก็อาจต้องเผชิญการระบาดไปอีกนาน
    .
    ต้องยอมรับว่าจนถึงตอนนี้อินเดียยังไม่สามารถผ่านช่วงการระบาดระยะที่ 1 ไปได้เลยด้วยซ้ำ ในขณะที่การปิดเมืองก็ผ่านมาแล้วร่วมเดือนกว่า ๆ
    .
    โดยสรุปแล้วตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด19 ในอินเดียที่เราเห็นในวันนี้ อาจไม่ตัวเลขที่แท้จริงก็เป็นไปได้ เพราะอาจผู้ติดเชื้อซึ่งไม่แสดงอาการหลบซ่อนอยู่ตามชุมชนต่าง ๆ อีกจำนวนมาก
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #อินเดีย #ไวรัส #วิเคราะห์ #COVID19 #testkit

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เพลง กระชับสัมพันธ์ จีน - ฟิลิลปินส์ ยอด dislike เป็นแสน
    .
    เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นเพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาวฟิลิปปินส์และชาวจีนในช่วงการระบาดนี้ ใช้นักร้องทั้งนักร้องจีนและนักร้องฟิลิปปินส์ร้องร่วมกัน โดยเพลงที่ว่าใช้ชื่อว่า ONE SEA
    แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นการจุดประกายความสูงของชาวฟิลิปปินส์ เนื่องจากฟิลิปปินส์มีข้อพิพาททางทะเลเกี่ยวกับหมู่เกาะกับประเทศจีนอยู่การกล่าวอ้างโดยใช้คำว่า ONE SEA จึงจุดประกายความโกรธของชาวฟิลิปปินส์ จนเพลงที่ปล่อยออกมามีคนไปกด dislike จำนวนมากว่ากันจริงๆคือมากกว่ากด LIKE ชาวฟิลิปปินส์มองความช่วยเหลือของจีนในช่วงเวลาของการระบาดนี้คล้ายๆกับที่อเมริกามองมายังจีน และเพลงที่เกิดขึ้นก็ไม่ช่วยให้ความรู้สึกชาวฟิลิปปินส์ดีขึ้นสักเท่าไหร่

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตรวจเข้ม ด่านชายแดนไทยมาเลย์
    .
    จนท.วางกำลังตรวจสอบการลักลอบข้ามพรมแดนไทยมาเลเซียตามจุดช่องทางธรรมชาติ ที่อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองของเจ้าหน้าที่
    ซึ่งเป็นจุดตรวจเฝ้าระวัง ลีเยะ บ.นูโร๊ะ ต.โละจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส
    คนไทยที่ใช้เส้นทางธรรมชาติกลับเข้าประเทศ สุดท้าย จนท.ทหารที่เฝ้าอยู่ก็ไม่ได้ทำร้ายคนเหล่านั้นแต่อย่างใด ซ้ำช่วยแบกของ จูงข้ามมา ทั้งที่คนเหล่านั้นไม่ผ่านตรวจคัดกรอง และนั่นหมายถึงทหารที่ไปช่วยก็ต้องกักตัวเพราะเสี่ยงโรคด้วย
    จำนวนคนที่ลักลอบเข้ามายังมีเรื่อยๆ
    CR TW #moannihc

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชุมนุมฮ่องกงกลับมาแล้ว
    .
    แม้จะอยู่ในช่วงเฝ้าระวังการระบาดของโควิด19 แต่บรรดาผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงก็กลับมาชุมนุมอีกอีกครั้งโดยไม่สนใจคำประกาศให้กักตัวอยู่กับที่พักอาศัย
    โดยพวกเขาชุมนุมกันที่ Taikoo Shing เมื่อคืนวันที่ 26 เมษายน 2563 ก่อนจะถูกตำรวจสั่งให้เลิกชุมนุม

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชาวอเมริกันจากรัฐโอไฮโอ ชื่อ John W. McDaniel อายุ 60 ปี ที่ต่อต้านมาตรการ #Lockdown บอกเป็นเกมการเมือง แถมด่า“ bulls – t” ใส่ผู้ว่าการรัฐที่สั่งปิดบาร์และร้านอาหาร
    ตอนนี้เขาได้เสียชีวิตเพราะ #COVID19 #โควิด19 #Coronavirus แล้ว

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เด็กเขมร
    เรียนทางไกล
    ยุคโควิดระบาด
    ***
    แฟนเพจ TVK สถานีโทรทัศน์แห่งชาติกัมพูชา ได้เปิดตัว “ครูชุมชน” กับการเรียนการสอนทางไกล ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและการกีฬา กัมพูชา เนื่องจากมีการสั่งปิดโรงเรียนทุกระดับชั้น มาตั้งปลายเดือน มี.ค.2563
    ครูชุมชน จะลงติดตามการเรียนหนังสือด้วยตัวเองของเด็กๆ โดยเด็กๆ สามารถเข้าถึงการสอนทางไกล ผ่านทางทีวีดาวเทียมช่อง TVK 2 ,เวบไซต์ elenrning.moeys.gov.kh และช่องยูทูบ moeys ของกระทรวงศึกษาฯ
    ***
    การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ระหว่างเด็กในเมืองกับชนบท ด้วยการจ้างครูชุมชนเข้าไปเป็นพี่เลี้ยง และคอยจัดการอุปกรณ์รับสัญญาณภาพจากห้องส่งสถานีโทรทัศน์ TVK อย่างเช่นสมาร์ทโฟนของผู้ปกครอง ก็ทำให้ลูกหลานรับชมทางช่องยูทูบได้

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (คลิป) 2 โจ๋อิตาลี มาเหนือ เปิดงาน EDM บนระเบียงห้องพักช่วงถูกล็อคดาวน์

    สถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดทั่วโลก ทำให้ผู้คนยังคงวิตกกังวล ซึ่งในหลายประเทสได้มีประกาศล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโดยประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อมากที่สุดได้แก่ สหรัฐอเมริกา มีผู้ติดเชื้อ 960,651 คน และเสียชีวิต 54,256 ราย อันดับที่ 2 ได้แก่ สเปน มีผู้ติดเชื้อ 223,759 คน และเสียชีวิต 22,902 ราย อันดับที่ 3 ได้แก่ อิตาลี มีผู้ติดเชื้อ 195,531 และเสียชีวิต 26,384 ราย ซึ่งสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วงด้วยยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

    ล่าสุดบนโลกโซเชียลได้มีคลิปที่ดูแล้วทำให้รู้สึกอมยิ้มหลังอิตาลี ประกาศปิดเมืองห้ามรวมกลุ่มในสถานที่สาธารณะไม่ว่าจะมีผู้เข้าร่วมจำนวนเท่าใด ห้ามแข่งขันกีฬา ห้ามจัดงานด้านศิลปวัฒนธรรม และพิธีกรรมทางศาสนาทุกประเภท พร้อมสั่งปิดสถานบันเทิงและสถานที่สันทนาการทุกประเภท

    โดยเพจเฟซบุ๊ก EDM Exclusive ได้เผยแพร่คลิปของประชาชนอิตาลีที่พักอาศัยตามคอนโดอพาร์ทเม้น เปิดแสดงคอนเสิร์ต EDM บนระเบียงห้องพัก สร้างความบรรเทิงและเรียกเสียงฮือฮาให้กับผู้คนแถวนั้นได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทางเพจได้ระบุข้อความว่า…

    อิตาลี……ท๊อปฟอร์มอีกแล้วกักตัวเหงาๆ เปิดงานเลยดีกว่า

    The post (คลิป) 2 โจ๋อิตาลี มาเหนือ เปิดงาน EDM บนระเบียงห้องพักช่วงถูกล็อคดาวน์ appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตรวจหาเชื้อโควิด19ฟรี

    ทีมแพทย์จากโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร หรือ อสส. ศูนย์บริการสาธารณสุข 60 ชุมชนปิ่นเจริญ2 เขตดอนเมือง บริการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง ให้แก่คนในชุมชน เพื่อนำไปทดสอบการติดเชื้อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ห้องแล็ปของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ

    ทั้งนี้การตรวจเป็นแบบเชิงรุก เริ่มตั้งแต่ตรวจคัดกรอง วัดอุณหภูมิ ซักประวัติ จากนั้นจะใช้อุปกรณ์ตรวจสารคัดหลั่งหลังโพรงจมูก และจากช่องปาก ตามมาตรฐานกรมควบคุมโรค และรอผลภายใน3-4วัน ซึ่งเมื่อทราบผลการตรวจจากโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ จะมีการส่ง SMS กลับมาที่ผู้ตรวจ หากพบว่าผู้ใดติดเชื้อโควิด-19 จะมีการประสานนำตัวเข้ารักษาพยาบาลต่อไป

    สำหรับบริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ดังกล่าวในชุมชนปิ่นเจริญ 2 ไม่เสียค่าบริการ เนื่องจากโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เข้าหลักเกณฑ์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.ประชาชนที่มีบัตรประกันสุขภาพทั่วหน้าสามารถตรวจได้ฟรี

    The post ตรวจหาเชื้อโควิด19ฟรี appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หมดไฟทำงาน ก็เกิดขึ้นได้แม้ทำงานจากบ้าน

    หมดไฟทำงาน

    หมดไฟทำงาน (Burn Out) มักเป็นสิ่งที่คนนึกถึงว่าเกิดจากการทำงานที่ออฟฟิสมากเกินไป หมดแรงจูงใจทำงาน หรือสาเหตุอีกมากมาย แต่ภาวะหมดไฟทำงาน ก็เกิดขึ้นได้แม้ทำงานจากบ้าน (Work from Home) เช่นกัน

    เมื่อทำงานที่บ้าน บางทีก็ไม่ง่ายเลยทีจะถอยห่างจาก อีเมล จากแชทเรื่องงาน จากทวิตเตอร์ หรือความกังวลเรื่องโปรเจ๊กต่างๆ และหลายคนหลงลืมที่จะหยุดพักจากงาน ปลีกตัวจากเสียงรบกวน และหาเวลาให้ตัวเอง พฤติกรรมทำงานจนไม่สมดุลเหล่านี้ คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หมดไฟทำงาน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การทำงานจากบ้าน เสี่ยงเกิดภาวะหมดไฟทำงานยิ่งกว่าการออกไปทำที่ออฟฟิสเสียอีก

    บทความซีเอ็นเอ็นอ้างผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่าความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ไม่ว่าจะเริ่มทำงานจากบ้าน ที่บางคนอาจมีเวลาไม่พอตั้งตัว การที่บางคนต้องให้พี่เลี้ยงลูกหรือแม่บ้านหยุดทำงาน และความตึงเครียดจากสถานการณ์โรคระบาดที่ยังมองไม่เห็นตอนจบ หมายความว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้หมดไฟมากขึ้นมากว่าสถานการณ์ปกติ

    สัญญาณภาวะ หมดไฟทำงาน และวิธีรับมือ

    การแบ่งเวลาระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวที่ไม่สมดุล

    เมื่อคุณต้องเข้าออฟฟิสทุกวันๆ ข้อดีคือเกิดเส้นแบ่งระหว่างชีวิตทำงานและเวลาส่วนตัว แต่เมื่อไม่ต้องเดินทางไปทำงาน กลายเป็นว่าเส้นแบ่งเวลาเริ่มทำงานและสิ้นสุดชั่วโมงทำงานหายไป และออฟฟิสตอนนี้อาจเป็น มุมในห้องนั่งเล่น มุมห้องครัว หรือโต๊ะทำงานในห้องนอน และกลายเป็นทำให้หลายๆ คนทำงานแทบจะตลอดเวลา

    รับมืออย่างไร จัดตารางเวลาเพื่อทำงาน สื่อสารให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานเข้าใจ แน่นอนว่ามีวันที่ต้องทำงานดึกๆ ดื่นๆ แต่พยายามให้การทำงานนอกเวลานั้นเป็น “ข้อยกเว้น” ของวันนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องประจำ และลองทำสิ่งอะไรที่เป็นสัญญาณให้ตัวเองว่าถึงเวลาส่วนตัว เช่น ใส่เสื้อผ้ากึ่งๆ ทำงานในชั่วโมงทำงาน และเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ เมื่อถึงเวลาส่วนตัว หรือเดินออกมาจากโต๊ะ จิบชา นั่งเล่นที่ระเบียง หรือถ้ามีเวลาพอ ออกกำลัง บริหารร่างกายสัก 15 นาทีก็ยังดี

    การที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้

    พนักงานที่รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมเวลาการทำงานได้เอง หรือควบคุมปฏิสัมพันธ์ที่จะต้องมีกับกิจกรรมที่เกี่ยวกับงาน หรือการจัดการเวลางาน เสี่ยงที่จะหมดไฟทำงาน

    รับมืออย่างไร จัดตารางเวลา แบ่งเวลาให้ชัดเจน ที่เจาะจงเพื่อการทำงาน ครอบครัว และส่วนตัว และพยายามยึดตารางที่ทำขึ้น

    การขาดการเชื่อมต่อกับสังคม

    แม้ว่าจะอยู่ในบ้านที่มีสมาชิกหลายคน ครอบครัวของคุณอาจไม่ได้เติมเต็มในส่วนที่เพื่อนร่วมงานมีให้ เมื่อเกิดปัญหาเรื่องเกี่ยวกับงาน

    รับมืออย่างไร คุณต้องคิดว่าจะมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างไรเมื่อทำงานจากบ้าน แน่นอนว่าอาจต้องใช้ความพยายามมากกว่าสถานการณ์ปกติ เพราะทุกคนอยู่บ้านตัวเอง แต่ก็ควรพยายามเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงานอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น จัดเวลาวิดีโอคอลล์กับทีม หรือปรึกษาเรื่องงานกับคนที่คุยกันประจำ เหมือนอย่างเวลาอยู่ออฟฟิส

    จัดพื้นที่ทำงานที่บ้านให้ใช้สอยได้อย่างเต็มที่ และสวยงาม

    ต้องติดอยู่กับบ้านเป็นส่วนใหญ่ก็ไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะถ้าบ้านมีขนาดไม่ใหญ่ มันจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำแพงบ้านขยับใกล้ตัวคุณขึ้นมาทุกวัน

    สิ่งที่จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น คือพยายามทำให้บ้านหรือแค่บางมุมก็ได้ ดูอบอุ่นสบายๆ และแยกพื้นที่ทำงานและ “พื้นที่บ้าน” ให้ชัดเจน ตกแต่งพื้นที่เล็กๆ น้อยๆ ก็ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นเช่นกัน

    เรียบเรียงจาก CNN Business

    บทความที่เกี่ยวข้อง สำรวจตัวเองว่าเริ่มมีสัญญาณของการหมอไฟหรือยัง

    The post หมดไฟทำงาน ก็เกิดขึ้นได้แม้ทำงานจากบ้าน appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปิด 4 มาตรการที่ยังตัองคงไว้ หลัง ศบค.มีมติขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก 1 เดือน

    จากกรณีทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้พิจารณาการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีก 1 เดือน

    หลังจากที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นไปตามที่ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานด้านสาธารณสุขมีความเห็นตรงกัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมาตรการผ่อนปรนการล็อกดาวน์ต่างๆ นั้นจะอนุญาติให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้ โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสม และสิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของประชาชน

    ทางด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงต่อว่า 4 มาตรการที่ยังตัองคงไว้ หลังขยาย พ.ร.ก.ต่อ 1 เดือน มีดังนี้

    1.ควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ (ขยายการห้ามอากาศยานบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราวออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พ.ค.2563)

    2.ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน (Curfew) ห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00 น. – 04.00 น.

    3.งดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขตจังหวัดโดยไม่มีเหตุจำเป็น

    4.งดการดำเนินกิจกรรมคนหมู่มาก ห้ามประชาชนเข้าไปในพื้นที่หรือสถานที่ซึ่งมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกันหรือเสี่ยงต่อการแพร่โรคติดต่อเชื้อโควิด-19 เป็นการชั่วคราว

    The post เปิด 4 มาตรการที่ยังตัองคงไว้ หลัง ศบค.มีมติขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก 1 เดือน appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     

แชร์หน้านี้

Loading...