อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    1498105857.jpg
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี ได้พูดถึงอานุภาพของเหรียญทำน้ำมนต์ไว้ว่าอธิษฐานได้ "ทุกอย่าง" ไม่ว่า เมตตา ค้าขาย สลายโรค โชคลาภ ปลอดภัย คลายกฏแห่งกรรมได้ แต่ทั้งนี้จะต้องปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำไว้อย่างเคร่งครัด

    โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้เชื่อว่าหลายๆคนก็อยากจะได้ของหลวงพ่อท่านมาไว้บูชา แต่ปัจจุบันเหรียญทำน้ามนต์ของหลวงพ่อฤาษีก็มีสนนราคาสูงมาก ของเก๊ก็เยอะมากเช่นกัน ยากที่คนหาเช้ากินค่ำจะหามาไว้บูชาได้ แต่ถ้าฟังจากคลิปเสียงหลวงพ่อท่านบอกไว้ว่า วิชานี้ไม่ปิด ทุกคนสามารถไปชักยันต์ทำแผ่นยันต์ตามที่ท่านแนะนำไว้ได้

    แม้ท่านจะบอกไว้เช่นนั้นแต่คนธรรมดาอย่างเราๆก็คงไม่มั่นใจที่จะทำไว้ใช้เอง แต่ด้วยเมตตาของหลวงพ่ออนันต์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง ท่านได้สร้างเหรียญทำน้ำมนต์รุ่นใหม่ขึ้น ไว้ให้บูชากันราคาก็แสนจะถูกและเหรียญก็งดงามมากๆ ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อฤาษีนั่งโซฟารับแขก เป็นรูปที่มีอภินิหารมากดังที่ผมเคยเล่าไปในโพสก่อนๆแล้ว ส่วนด้านหลังก็เป็นยันต์ทำน้ำมนต์ที่มีอานุภาพล่ำลึกเกินบรรยาย ดังที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่าอธิษฐานขอได้ "ทุกอย่าง" เหรียญทำน้ำมนต์รุ่นใหม่นี้มีประสบการณืมาเล่าขานในกลุ่มเฟสบุ๊คหลวงพ่อฤาษีกันอยู่มากมาย

    **************
    บูชาทำน้ำมนต์รักษาโรคทุกอย่าง ค้าขายก็ได้ หาลาภก็ได้ ปลอดภัยก็มี ทุกอย่างท่านบอกทุกอย่าง วิชานี้โดยตรงผู้ให้คือพระสารีบุตร แต่ว่าการทำคือพระพุทธเจ้าทำ ”

    " หลวงพ่อบอกเหรียญทำน้ำมนต์นี้ กันและแก้ได้ทุกอย่าง จะรักษาโรคอะไรสุดแท้แต่จะอธิษฐาน "
    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    ทนม1.jpg
    ทนม2.jpg


    วิธีการอาราธนาเหรียญทำน้ำมนต์
    ให้เอาเหรียญใส่ขัน ตั้งนะโม 3จบ แล้วสวด

    อิติปิโส ทั้ง 3ห้อง (อิติปิโส… สวากขาโต… สุปฏิปันโน…) อีก7จบ
    และปิดท้ายด้วย นะ มะ พะ ธะ (พร้อมทั้งกำหนดลมหายใจเข้า-ออกด้วยจะดีมาก) อีก 15จบ

    แล้วอธิษฐานตามความปรารถนา แต่จะมีผลเฉพาะผู้ที่มีความเคารพในพระรัตนตรัยเท่านั้น แล้วนำน้ำมนต์ไปประพรม อาบหรือดี่มกินได้

    ตอนพุทธาภิเษกเหรียญทำน้ำมนต์ หลวงพ่อเล่าว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิ์สัตว์ พระอรหันต์พรหมและเทวดาทุกๆ พระองค์จะนั่งหลับตาเข้าสมาธิกันหมดโดยไม่ใช้พลังทั้งสิ้น… ต่างกับวัตถุมงคลอื่นๆ ทุกๆพระองค์จะใช้พลังแสงพุ่งออกจากกายที่สำคัญและพิเศษที่สุดคือ เหรียญทำน้ำมนต์ นี้ถือเป็นเหรียญเดียวที่สามารถคลายกฎแห่งกรรมได้ (ปกติกฎแห่งกรรม ไม่สามารถคลายหรือลดได้)

    เหรียญทำน้ำมนต์ถือว่าเป็นเหรียญที่ทำได้ยากมาก กว่าพระท่านจะทรงอนุญาตให้หลวงพ่อสร้างได้ เพราะครั้งแรกจะต้องใช้ทองคำเท่านั้น แต่หลวงพ่อขอพระท่านจนสำเร็จ

    เหรียญนี้พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ ลุงพุฒ(ท่านพญายมราช)มาบอกหลวงพ่อ ให้บอกลูกหลานว่า ถ้ามีกำลังใจสูงกำลังใจเข้มข้นแล้ว ก็ไม่ต้องใช้เหรียญทำน้ำมนต์ ให้นึกถึงภาพยันต์น้ำมนต์(ที่อยู่ด้านหลังเหรียญ)ให้อยู่กลางกระหม่อม แล้วก็สวดภาวนาตามวิธีอาราธนาใช้เหรียญไปเรื่อยๆ จะค่อยๆคลายกฎของกรรมได้ ถ้าทำทุกวันต่อไปก็จะเหลือนิดเดียว
     
  2. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    40393899_1354955897968713_8137056855009525760_o.jpg

    30167449_1232400313557606_1608416995256240087_o.jpg


    เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี)
    สุดยอดเอกองค์อริยสงฆ์แห่งแผ่นดินสยาม

    หากเอ่ยนามสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ทั่วแผ่นดินนี้ไม่มีใครไม่รู้จักนอกจากพระสมเด็จที่ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิแห่งพระเครื่องแล้ว พระคาถาชินบัญชรถือได้ว่าเป็นสุดยอดพระคาถาแห่งยุค หนังสือสวดมนต์เล่มเล็กๆที่มีผู้นิยมพิมพ์แจกวางไว้ตามวัดต่างๆให้ผู้สนใจหยิบไปก็จะต้องมีพระคาถาชินบัญชรอยู่ในนั้นด้วย อานุภาพของพระคาถาชินบัญชร ตามโบราณท่านว่า "ฝอยท่วมหลังช้าง" คือมิอาจพรรณาได้หมด เพราะเป็นการอัญเชิญพระพุทธเจ้าจำนวน ๒๘ พระองค์ เริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่าตัณหังกร เป็นต้น เดินทางลงมาสถิตอยู่ในทุกอณูของร่างกาย เพื่อเป็นการเสริมให้ตนเองนั้นมีพลังพุทธคุณให้ยิ่งใหญ่

    จากนั้นจึงอัญเชิญพระอรหันต์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๘๐ องค์ซึ่งเป็นผู้มีบารมีธรรมที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังได้มีการอาราธนาพระสูตรอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ทรงอานุภาพในด้านต่างๆ มาสถิตในทุกส่วนของร่างกายจนรวมกันเป็นกำแพงแก้วคุ้มกัน ตั้งแต่กระหม่อมลงมาห้อมล้อมรอบตัวของผู้สวดภาวนาพระคาถาชินบัญชรจนกระทั่งอันตรายก็ไม่สามารถหาช่องโหว่เพื่อสอดแทรกเข้ามาได้ จึงควรสำรวมจิตสวดพระคาถาด้วยความเคารพและเหมาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โรคโควิดที่กำลังระบาดอยู่นี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างกำลังใจในยามนี้



    พระคาถาชินบัญชร

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    นึกถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์โตแล้วเริ่มสวดบทนำ

    ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
    อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
    อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
    มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ



    เริ่มบทพระคาถาชินบัญชร

    ๑. ชะยาสะนากะตา พุทธา ... เชตวา มารัง สะวาหะนัง
    จะตุสัจจาสะภัง ระสัง ... เย ปิวิงสุ นะราสะภา.

    ๒. ตัณหังกะราทะโย พุทธา ... อัฏฐะวีสะติ นายะกา
    สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง ... มัตถะเกเต มุนิสสะรา.

    ๓. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง ... พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
    สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง ... อุเร สัพพะคุณากะโร.

    ๔. หะทะเย เม อะนุรุทโธ ... สารีปุตโต จะทักขิเณ
    โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง ... โมคคัลลาโน จะ วามะเก.

    ๕. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง ... อาสุง อานันทะ ราหุโล
    กัสสะโป จะ มะหานาโม ... อุภาสุง วามะโสตะเก.

    ๖. เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง ... สุริโย วะ ปะภังกะโร
    นิสินโน สิริสัมปันโน ... โสภิโต มุนิปุงคะโว

    ๗. กุมาระกัสสะโป เถโร ... มะเหสี จิตตะ วาทะโก
    โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ... ปะติฏฐาสิคุณากะโร.

    ๘. ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ ... อุปาลี นันทะ สีวะลี
    เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา ... นะลาเต ติละกา มะมะ.

    ๙. เสสาสีติ มะหาเถรา ... วิชิตา ชินะสาวะกา
    เอเตสีติ มะหาเถรา ... ชิตะวันโต ชิโนระสา
    ชะลันตา สีละเตเชนะ ... อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.

    ๑๐. ระตะนัง ปุระโต อาสิ ... ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง
    ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ ... วาเม อังคุลิมาละกัง

    ๑๑. ขันธะโมระปะริตตัญจะ ... อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
    อากาเส ฉะทะนัง อาสิ ... เสสา ปาการะสัณฐิตา

    ๑๒. ชินา นานาวะระสังยุตตา ... สัตตัปปาการะ ลังกะตา
    วาตะปิตตาทะสัญชาตา ... พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.

    ๑๓. อะเสสา วินะยัง ยันตุ ... อะนันตะชินะ เตชะสา
    วะสะโต เม สะกิจเจนะ ... สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.

    ๑๔. ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ ... วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
    สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ ... เต มะหาปุริสาสะภา.

    ๑๕.อิจเจวะมันโต ... สุคุตโต สุรักโข
    ชินานุภาเวนะ ... ชิตุปัททะโว
    ธัมมานุภาเวนะ ... ชิตาริสังโฆ
    สังฆานุภาเวนะ ... ชิตันตะราโย
    สัทธัมมานุภาวะปาลิโต ... จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.


    ****************************

    คำแปลร้อยแก้ว

    ข้าฯ ขอเชิญเสด็จ ,,,,,,,,,,,, พระสรรเพชญพุทธองค์

    นรา สภาทรง ,,,,,,,,,,,, พิชิตมารและเสนา

    ยี่สิบ แปดพระองค์ ,,,,,,,,,,,, นายกสงฆ์ ทรงสมญา

    ตัณหังกร เป็นต้นมา ,,,,,,,,,,,, ทรงดื่มแล้วซึ่งรสธรรม

    จตุสัจ อันประเสริฐ ,,,,,,,,,,,, ทรงคุณเลิศดิลกล้ำ

    ยอดบุญ พระคุณนำ ,,,,,,,,,,,, ยิ่งเทพไท ไตรวิชชา

    โปรดรับประทับทรง ,,,,,,,,,,,, ณ ที่ตรงกระหม่อมข้าฯ

    ข้าพุทธเจ้าสา- ,,,,,,,,,,,, ธุประณมบังคมเชิญ

    ขอให้ พระพุทธะ ,,,,,,,,,,,, สักกยะ พระจำเริญ

    ประทับ บนเศียรเทอญ ,,,,,,,,,,,, ปราชญ์สรรเสริญพระบารมี

    ขอให้ พระธรรมะ ,,,,,,,,,,,, อริยะวิสุทธิ์ศรี

    ประทับจักขุ นทรีย์ ,,,,,,,,,,,, ให้ข้ามีปัญญาญาณ

    ขอให้ พระสังฆะ ,,,,,,,,,,,, วิสุทธะคุณาจารย์

    สถิต ประดิษฐาน ,,,,,,,,,,,, อุระข้าฯ อย่ารู้ไกล

    ให้พระ อนุรุทธิ์ ,,,,,,,,,,,, บริสุทธิ์ อยู่หทัย

    พระสารี บุตรไพ- ,,,,,,,,,,,, โรจนัยน์ ณ เบี้องขวา

    เบื้องหลัง พระโกณฑัญ- ,,,,,,,,,,,, ญะสถิต จิตตสา

    เบื้องซ้าย พระโมคคัลลา- ,,,,,,,,,,,, นะ สถิตสถาพร

    หูขวา พระอานนท์ ,,,,,,,,,,,, ประชุมชนประณมกร

    พระราหุล อุดมพร ,,,,,,,,,,,, สถิตร่วม จรัญญา

    หูซ้าย พระกัสสป ,,,,,,,,,,,, นิราศภพ กิตติมา

    คู่กับ พระมหา- ,,,,,,,,,,,, นามะสถิต ประดิษฐาน

    พระพุท ธะโสภิต ,,,,,,,,,,,, ผู้เรืองฤทธิ์ อุดมญาณ

    จอมมุนีวีระหาญ ,,,,,,,,,,,, ไตรวิชชาประภากร

    ดุจดวงพระอาทิตย์ ,,,,,,,,,,,, แรงร้อยฤทธิ์พันแสงศร

    สถิตเกศอุดมกร ,,,,,,,,,,,, ปัจฉิมภาค พิบูลพรรณ

    พระกุมาระกัสสป ,,,,,,,,,,,, ผู้เจนจบวจีสัณห์

    บ่อบุญ คุณานันต์ ,,,,,,,,,,,, สถิตโอษฐ์อลังการ

    ขอให้ พระปุณณะ ,,,,,,,,,,,, เถระพระ อังคุลิมาล

    พระอุ-บาลีศานต์ ,,,,,,,,,,,, พระนันทะ, พระศีวลี

    บรรจบ เป็นเบญจะ ,,,,,,,,,,,, พระเถระผู้เรืองศรี

    สถิตอยู่ นลาตมี ,,,,,,,,,,,, เสน่ห์ดี ไมตรีตาม

    แปดสิบพระสาวก ,,,,,,,,,,,, มนต์สาธกผู้เรืองนาม

    เรืองเดชทุกโมงยาม ,,,,,,,,,,,, ด้วยสีลา ธิคุณคง

    สถิตทั่วทุกส่วนกาย ,,,,,,,,,,,, ทั้งน้อยใหญ่ประทับทรง

    เป็นคุณจำเริญมง- ,,,,,,,,,,,, คละเลิศประเสริฐศรี

    ขอเชิญพระปริตร ,,,,,,,,,,,, อันศักดิ์สิทธิ์ในแดนตรี

    เมตตาและปราณี ,,,,,,,,,,,, บริรักษ์นิราศภัย

    เบื้องหน้า รัตนสูตร ,,,,,,,,,,,, ธรรมาวุธอันเกรียงไกร

    ทักษิณอันฤาชัย ,,,,,,,,,,,, เมตตสูตร พระพุทธมนต์

    ปัจฉิม ธชัคคสูตร ,,,,,,,,,,,, พุทธวุธวิเศษล้น

    อุดร มหามนต์ ,,,,,,,,,,,, อังคุลิมา ละสูตรเสริม

    ขันธโม ระปริตร ,,,,,,,,,,,, ดังจักรกฤชประสิทธิ์เฉลิม

    อาฏานาฏสูตรเติม ,,,,,,,,,,,, พระขรรค์เพชรเผด็จมาร

    เพดาลกั้นมารอากาศ ,,,,,,,,,,,, ให้ปลาศเกษมศานต์

    อีกให้เป็นปราการ ,,,,,,,,,,,, กำแพงแก้ว กำจัดภัย

    ทวารบถ กรดเจ็ดชั้น ,,,,,,,,,,,, ดำรงมั่น เดโชชัย

    พระชินราชประสาส์นให้ ,,,,,,,,,,,, เป็นเกราะใหญ่คุ้มครองตน

    ด้วยเดชพระชินศรี ,,,,,,,,,,,, เรืองฤทธีมหิทธิดล

    ขจัดภัยทุกแห่งหน ,,,,,,,,,,,, ทั้งวิบัติอุปัทวา

    ทั้งภายนอกและภายใน ,,,,,,,,,,,, เกิดเป็นภัยไม่นำพา

    เพียงลมร้ายพัดไปมา ,,,,,,,,,,,, ไม่บีฑาอย่าอาวรณ์

    เมื่อข้าฯ สวดพระสูตร ,,,,,,,,,,,, พระสัมพุทธบัญชร

    สูงสุดพุทธพร ,,,,,,,,,,,, ในพื้นเมธนีดล

    กลางชิน นะบัญชร ,,,,,,,,,,,, คุณากร กิตติพล

    หวังใดให้เป็นผล ,,,,,,,,,,,, จากกุศลสาธยาย

    ขอมวลมหาบุรุษ ,,,,,,,,,,,, หน่อพระพุทธฤาสาย

    รักษาข้าฯ อย่าคลาย ,,,,,,,,,,,, ตลอดกาลนิรันดร

    อีกเวทมนตร์ดลคาถา ,,,,,,,,,,,, ที่มวลข้าฯ ประณมกร

    เล่าเรียนเพียรว่าวอน ,,,,,,,,,,,, อนุสรณ์ตลอดมา

    เป็นคุณคุ้มครองดี ,,,,,,,,,,,, อย่าให้มีซึ่งโรคา

    เป็นคุณช่วยรักษา ,,,,,,,,,,,, สรรพภัยไม่แผ้วพาน

    อานุภาพพระชินะ ,,,,,,,,,,,, อุปัทวะอย่ารู้หาญ

    ห่างไกลไม่ระราน ,,,,,,,,,,,, ประสพงานสวัสดี

    อานุภาพพระธรรมะ ,,,,,,,,,,,, ให้ชำนะความอัปรีย์

    ห่างไกลคนใจผี ,,,,,,,,,,,, กาลกิณีไม่กล้ำกราย

    อานุภาพพระสังฆะ ,,,,,,,,,,,, ให้ชำนะอันตราย

    ไม่เห็นคนใจร้าย ,,,,,,,,,,,, ไม่มั่นหมายมาราวี

    อานุภาพพระสัทธรรม ,,,,,,,,,,,, ทุกเช้าค่ำรักษาศรี

    จำรัสจำเริญดี ,,,,,,,,,,,, ร่มพระศรี ชินบัญชรฯ


    คำแปลเป็นร้อยแก้วโดย พระคุณเจ้าพระธรรมโกศาจารย์ วัดราษฎร์บำรุง ชลบุรี ท่านได้นำเอาข้อความแปลนั้นมาร้อยกรองไว้ เพื่อให้ท่องจำได้ง่ายๆ








     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    78109111_1731199510344348_6414736177168908288_o.jpg

    51984892_1483380685126233_1600195249873879040_o.jpg


    คาถาแก้วสารพัดนึก
    (หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ วัดประดู่ฉิมพลี)

    แก้วสารพัดนึก แท้จริงก็คือ “ใจที่ใสดังแก้วนั่นเอง หากใจใสสะอาดมีกำลังแล้วย่อมทำอะไรสำเร็จได้ดังที่คิด” ผู้ที่ใช้คาถานี้ได้ผลต้องถือศีล ให้ทาน หมั่นพิจารณาถึงความไม่เที่ยงแท้ในสรรพสิ่งไว้เสมอ ก่อนสวดระลึกถึงท่านหลวงปู่โต๊ะ อุทิศบุญกุศลที่ได้ทำมาทั้งหมดแก่พ่อแม่ครูอาจารย์

    (ตั้งนะโม 3 จบ)

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ


    นะโม เม สัพพะพุทธานัง ....... อุปปันานัง มะเหสินัง
    ตัณหังกะโร มะหาวีโร ....... เมธังกะโร มะหายะโส
    สะระณังกะโร โลกะหิโต ....... ทีปังกะโร ชุตินธะโร
    โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข ....... มังคะโล ปุริสาสะโภ
    สุมะโน สุมะโน ธีโร ....... เรวะโต ระติวัฑฒะโน
    โสภิโต คุณะสัมปันโน ....... อะโนมะทัสสี ชะนุตตุโม
    ปะทุโม โลกะปัชโชโต ....... นาระโท วะระ สาระถี
    ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร ....... สุเมโธ อัปปะฎิปุคคะโล
    สุชาโต สัพพะโลกัคโค ....... ปิยะทัสสี นะราสะโภ
    อัตถะทัสสี การุณิโก ....... ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
    สิทธิธัตโถ อะสะโม โลเก ....... ติสโส จะ วะทะตัง วะโร
    ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ ....... วิปัสสี จะ อะนูปะโม
    สิขี สัพพะหิโต สัตถา ....... เวสสะภู สุขะทายะโก
    กะกุสันโธ สัตถะวาโห ....... โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
    กัสสะโป สิริสัมปันโน ....... โคตะโม สักยะปุงคะโว
    พุทโธ สัพพัญญุตะญาโณ ....... มะหาชะนา นุกัมปะโก
    ธัมโม โลกุตตะโร วะโร ....... สังโฆ มัคคะผะลัฎโฐ จะ
    อินทะสุวัณณะ ปาระมี เถโร ....... อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง
    เอตัสสะ อานุภาเวนะ ....... สัพพะทุกขา อุปัททะวา
    อันตะรายา จะ นัสสันตุ ....... ปุญญะลาภะ มะหาเตโช
    สิทธิกิจจัง สิทธิลาโภ สัพพะ ....... โสตถี ภะวันตุ เม ติ



    คำแปลนมัสการพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์

    นะโม เม สัพพะพุทธานัง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง
    อุปปันนานัง มะเหสินัง ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ซึ่งได้อุบัติแล้ว คือ

    ๑. ตัณหังกะโร มะหาวีโร ปฏิปทาพิเศษของพระตัณหังกรผู้กล้าหาญ
    ๒. เมธังกะโร มะหายะโส ปฏิปทาพิเศษของพระเมธังกรผู้มียศใหญ่
    ๓. สะระณังกะโร โลกะหิโต ปฏิปทาพิเศษของพระสรณังกรผู้เกื้อกูลต่อชาวโลก
    ๔. ทีปังกะโร ชุตินธะโร ปฏิปทาพิเศษของพระทีปังกรผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง
    ๕. โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข ปฏิปทาพิเศษของพระโกณฑัญญะผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน
    ๖. มังคะโล ปุสิสาสะโก ปฏิปทาพิเศษของพระมังคละผู้เป็นบุรุษประเสริฐ
    ๗. สุมะโน สุมะโน ธีโร ปฏิปทาพิเศษของพระสุมนะผู้เป็นธีรบุรุษมีพระหฤทัยงาม
    ๘. เรวะโต ระติวัฑฒะโน ปฏิปทาพิเศษของพระเรวะตะผู้เพิ่มพูนความยินดี
    ๙. โสภิโต คุณสัมปันโน ปฏิปทาพิเศษของพระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ
    ๑๐. อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม ปฏิปทาพิเศษของพระอโนมทัสสีผู้สูงสุดอยู่ในหมู่ชน
    ๑๑. ปะทุโม โลกะปัชโชโต ปฏิปทาพิเศษของพระปทุมะผู้ทำให้โลกสว่าง
    ๑๒. นาระโท วาระสาระถี ปฏิปทาพิเศษของพระนารทะผู้เป็นสารถีประเสริฐ
    ๑๓. ปะทุมุตโต สัตตะสาโร ปฏิปทาพิเศษของพระปทุมุตตระผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์
    ๑๔. สุเมโธ อัปปะฏิบุคคะโล ปฏิปทาพิเศษของพระสุเมธะผู้หาบุคคลเปรียบมิได้
    ๑๕. สุชาโต สัพพะโลกัคโค ปฏิปทาพิเศษของพระสุชาตะผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง
    ๑๖. ปิยะทัสสี นะราสะโภ ปฏิปทาพิเศษของพระปิยทัสสีผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน
    ๑๗. อัตถะทัสสี การุณิโก ปฏิปทาพิเศษของพระอัตถทัสสีผู้มีพระกรุณา
    ๑๘. ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท ปฏิปทาพิเศษของพระธรรมทัสสีผู้บรรเทาความมืด
    ๑๙. สิทธัตโถ อะสะโม โลเก ปฏิปทาพิเศษของพระสิทธัตถะผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก
    ๒๐. ติสโส จะ วะทะตัง วาโร ปฏิปทาพิเศษของพระติสสะผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย
    ๒๑. ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ ปฏิปทาพิเศษของพระปุสสะผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ
    ๒๒. วิปัสสี จะ อะนูปะโม ปฏิปทาพิเศษของพระวิปัสสสีผู้ที่หาเปรียบมิได้
    ๒๓. สิขี สัพพะหิโต สัตถา ปฏิปทาพิเศษของพระสิขีผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
    ๒๔. เวสสะภู สุขะทายะโก ปฏิปทาพิเศษของพระเวสสภูผู้ประทานความสุข
    ๒๕. กะกุสันโธ สัตถะวาโท ปฏิปทาพิเศษของพระกกุสันโธผู้นำสัตว์ออกจากสันดารตัวกิเลส
    ๒๖. โกนาคะมะโน ระณัญชะโห ปฏิปทาพิเศษของพระโกนาคมนะผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส
    ๒๗. กัสสะโป สิริสัมปันโน ปฏิปทาพิเศษของพระกัสสปะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ
    ๒๘. โคตะโม สักยะปุงคะโว ปฏิปทาพิเศษของพระโคตมะผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช


    เตสาหัง สิระทา ปาเท วันทามิ ปุริสัตตะเม วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา
    ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระบาทของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้า และขอกราบไหว้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้เป็นบุรุษ อันสูงสุด
    ผู้เป็นตถาคตด้วยวาจาและใจทีเดียว ทั้งในที่นอนในที่นั่ง ในที่ยืน และแม้ในที่เดินด้วย ในกาลทุกเมื่อฯ


    ตัณ เม สะ ที โก มัง สุ เร โส อะ ปะ นา ปะ สุ สุ ปิ อะ ธะ สิ ติ ปุ วิ สิ เว กุ โก กะ โค นะมามิหัง
    พระนามพระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์แรกถึงองค์ปัจจุบัน โบราณจารย์ท่านถือว่า
    เป็นพระคาถาแก้วสารพัดนึก

    ****************************


    คาถาแก้วสารพัดนึกหลวงปู่โต๊ะนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของบทสวดอาฏานาฏิยะปะริตตัง ตัดทอนมาเฉพาะบทสวดนมัสการพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ และเพิ่มบทสวดบูชาองค์หลวงปู่โต๊ะเข้าไปด้วย บางท่านจะเรียกคาถาแก้วสารพัดนึกว่าพระคาถาชินบัญชรน้อย
    องค์หลวงปู่โต๊ะท่านมีปณิธานสงเคราะห์สัตว์โลกเฉกเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ผู้มากบารมีในอดีต ทั้งเป็นที่ยอมรับของพระเกจิผู้ร่วมสมัยมากมายหลายองค์ว่าทรงจิตานุภาพสูงล้ำยิ่งนัก พระเครื่องของท่านเคยมีผู้รู้กล่าวไว้ว่าศักดิ์สิทธิ์เสมอด้วยพระสมเด็จวัดระฆัง ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี)


    "ไม่แสวงหาความสุขส่วนตน หวังให้ผู้อื่นพ้นทุกข์"



    78279407_1734490253348607_3361321008773464064_o.jpg
     
  4. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    หลวงพ่อฤาษี22.jpg


    พุทธานุภาพ
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คนที่พบระหว่างสงคราม จะมีความรู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ
    แต่ว่าขอยืนยัน บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า สิ่งที่เราไม่ต้องกลัวอย่างหนึ่งคือ เขาประกาศบอกว่า การสงครามนี้เขาจะใช้อาวุธเคมีบ้าง จะใช้นิวเคลียร์บ้าง จะใช้นิวตรอนบ้าง อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ น่ากลัวจริงๆ แต่สำหรับความรูสึกของผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของๆ ท่าน ทุกชิ้นที่ผลิตออกมา ท่านบอกว่า กันรังสีต่างๆ ได้หมด รังสีต่างๆ จะไม่สามารถกระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีของของท่านได้ ที่ท่านทำให้นะ

    ก็เป็นอันว่า ท่านยืนยันมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๑ และท่านทำทุกครั้ง ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่างๆ ไม่ต้องกลัวเลย รังสีจะไม่เข้าใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให้ของนั้นอยู่ไหน ก็หาเอาเองก็แล้วกัน ของนั้นจะขอบอกเป็นนัยๆ เอาตรงๆ เลย ก็ได้คือ พุทธานุสสติ นั่นคือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า "พุทโธ" เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกถึง "โธ"

    ก่อนจะออกจากบ้าน ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า "พุทโธ" ก่อนอธิษฐานขอความปลอดภัยก่อน จะไปก็เสกน้ำลาย ด้วยกำลังของพุทโธสัก ๓ ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไป หรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน หรือว่าถ้าทำอย่างนั้น ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ติดกับร่างกาย

    แต่ต้องอาราธนาทุกวัน ว่า "นะโม ตัสสะ ๓ ครั้ง" แล้วก็ว่า "พุทโธ" เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่างๆ แม้แต่สะเก็ดระเบิด หรือว่ากระสุนปืนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมี "พุทธานุสสติ" เป็นกำลังใจ


    พุทธพยากรณ์โลก
    จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๘ ตอนที่๕ พุทธพยากรณ์โลก หน้า ๕๘



    ที่มา:
     
  5. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,598
    ค่าพลัง:
    +53,107
    Screenshot_25630317_184653.jpg Screenshot_25630317_185131.jpg 1587027949350.jpg 1587027947204.jpg 1587027942555.jpg 1587027945136.jpg 1587027939215.jpg 1587027936676.jpg 1587027933861.jpg 1587027930830.jpg IMG_25630307_144027.JPG 1583564742696.jpg 1583564740394.jpg 1583564744715.jpg
     
  6. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    ในช่วงเวลาที่โรคโดวิดกำลังระบาดอยู่นี้หลายคนก็ไม่สามารถออกไปไหว้พระทำบุญทำทานได้ เพราะต้องอยู่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค แต่เรายังสามารถทำบุญกันได้โดยการไหว้พระสวดมนต์ซึ่งมีอานิสงส์สูงมาก และการทำบุญนั้นก็ควรจะทำให้ครบทั้งสามอย่างคือ ทาน ศีล และภาวนา การสวดมนต์จัดเป็นการภาวนาอย่างหนึ่ง และยิ่งในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีอย่างนี้เงินทองเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ ก็หันมาภาวนากันให้มากเพราะการเจริญสมาธิภาวนานี้มีอานิสงส์สูงสุดแม้หลวงปู่ดู่ยังเคยกล่าวว่า "อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่าช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ"


    pcz743cx4hRsmrpf4x7-o.jpg


    "ที่ใดไม่มีสวดมนต์ประจำ ที่นั้นจะไม่มีเทวดารักษา
    บ้านเรือนใดไม่มีการสวดมนต์ บ้านเรือนนั้นก็ไม่มีเทวดารักษา
    ด้วยเทวดาชอบฟังเสียงสวดมนต์ เพราะพระพุทธมนต์เป็นมงคลสูงส่ง
    เป็นมงคลแก่บ้านเรือนสถานที่ และจิตใจ
    ผู้สวดมนต์เป็นประจำ ก็ย่อมจะได้รับความคุ้มครองรักษา
    จากพรหมเทพผู้ได้มีส่วนร่วมสดับรับฟังด้วย
    การสวดมนต์จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรละเลย"
    .
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



    75550309_1506000786204667_3836423702577152_n.jpg

    หลวงพ่อฤาษีตอบปัญหา

    "สวดมนต์วันละนิดวันละหน่อยจะมีอานิสงส์อย่างไรครับ?"

    เดี๋ยวก่อน เวลาสวดมนต์เป็น "อุปจารสมาธิ"

    สวดมนต์นี่เป็นอุปจารสมาธิตรง

    เทวดาชั้น ยามา ที่จะอยู่

    (๑) รักสวดมนต์เป็นปกติ กับ

    (๒) เจริญสมาธิขั้นอุปจารสมาธิ

    ๒ อย่างนี่อยู่ชั้น ยามา ได้ สวรรค์มี ๖ ชั้นนี่ไม่ใช่ใคร จะอยู่ไหนก็ได้นะ เขามีกฎมีเกณฑ์ของเขา

    อย่างตำรวจนี่ต้องอยู่สถานีตำรวจ ไม่ใช่อยู่ที่วัด พระอยู่วัดไม่ใช่อยู่สถานีตำรวจ (หัวเราะ) ก็เหมือนกัน ก็มีกฎมีเกณฑ์การเข้าอยู่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่

    คือวันหนึ่งจิตว่างจากกิเลสชั่วขณะจิตหนึ่ง มันเหมือนกับนํ้าใส ๆ และสะอาดหยดแปะ วันละหนึ่งแปะ แปะเดียว ถ้าร้อยวันก็ร้อยแปะ ไม่นานก็เต็มขวด

    พระพุทธเจ้าใช้ศัพท์ว่า

    "โถกัง โถกัง"

    เหมือนนํ้าฝนตกมาทีละหยาด ๆ ก็สามารถทำภาชนะให้เต็มได้

    กำลังความดีที่ทำจิตให้ว่างจากกิเลสวันละนิด ๆ หนึ่ง ไม่ช้าอารมณ์จิตก็เต็มด้วยบารมี บารมีเต็ม มันตกมาทีไอ้ตัวสกปรกก็หายไปหน่อย ไอ้สะอาดลงมา ไอ้ตัวสกปรกหายไปนิดใช่ไหม หล่นมาอีกทีสกปรกหายไปนิด มาอีกทีสกปรกหายไปนิด พอนาน ๆ เข้าไอ้ตัวสกปรกอยู่ไม่ได้ การทำด้วยจิตสบายดี



    0000.jpg


    "สวดมนต์ป้องกันภัย"

    " .. คำสอนเรื่องการสวดมนต์ของ "หลวงปู่สิม พุทธาจาโร" มีต่อไปว่า "เวลาเราเดินทางหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คับขันอาจเป็นอันตราย" เช่น ฤดูกาลเข้าพรรษา ซึ่งมักมีปรากฎการณ์ฟ้าผ่าและพายุฝน ทำให้ต้นไม้ใหญ่ล้มลงมาฟาดกุฏิที่พักอาศัยพักพินาศ

    ก่อนเลิกประชุมทำวัตรหลวงปู่ "มักกำชับให้ลูกศิษย์ขยันสวดมนต์ภาวนา ก่อนจะหลับจะนอน ให้สวดมนต์ภาวนาอีกครั้ง" สวดพร้อมกันในที่ประชุมแล้ว ก็กลับไปสวดที่ตัวเองอีก "สวดบ่อย ๆ ตั้งใจสวด เป็นสิริมงคล"

    "โดยเฉพาะสวดพาหุงฯ* จะช่วยปัดเป่าภัยอันตราย" เช่น ไฟฟ้า ไปไว้ใจมันบ่ได้ มันเป็นงูพิษ งูตัวยาวที่สุดในโลกละนั่น ยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ .. "

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    * บทพาหุงฯ มีอีกชื่อคือ "ชัยมงคลคาถา หรือบทพระเจ้าชนะมาร"

     
  7. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    85173450_2527804664129011_8014332695716823040_o.jpg


    อยากได้วัตถุมงคลที่มีพลังสูง

    ผู้ถาม: หลวงพ่อคะอ่านประวัติหลวงพ่อปานแล้วมีความรู้สึกว่า ถ้าเรามีวัตถุมงคลที่มีพลังสูง เช่น ยันต์เกราะเพชร ก็ดีนะคะ ตอนที่ลาวปล่อยของมาแล้ว ของอื่นแตกหมด แต่ยันต์เกราะเพชรนี้อยู่ไม่เป็นไร ทำให้นึกอยากได้ของที่แจ๋วๆอย่างนั้นคะ

    หลวงพ่อ: จะเอาเพชรสีอะไรล่ะ สีน้ำมันก๊าด จะไปยากอะไร ยันต์เกราะเพชรบทเสกกับบทเขียนก็มี พระพุทธคุณ คือ อิติปิโส บทต้น แล้วทุกวันก็ต้องบูชาด้วย อิติปิโส ๑ จบ มีพระองค์ไหนก็เหมือนกัน หรือ มีพระคล้องคอ เวลาสวด อิติปิโส ก็นึกถึง บารมีของพระพุทธเจ้า ห้องที่สองนึกถึง บารมีพระธรรม ห้องที่สามนึกถึง บารมีพระอรหันต์ทั้งหลาย พวกบูชายันต์เกราะเพชรก็ต้องใช้บทนี้เป็นประจำถ้าไม่ใช้ประจำฉันก็ไม่แน่ใจว่าคุ้มครองได้นะ


    ผู้ถาม : แสดงว่ายังมีวัตถุมงคลที่มีพลังสูงจริง

    หลวงพ่อ: มันอยู่ที่เราด้วย ทำมาให้ดีแล้ว เราดีเท่าของหรือเปล่า ถ้าเรามีความเข้มแข็งแล้วเราก็ดีเท่าของ อย่างเขาเอารถยนต์มาให้เรา เราใช้ไม่เป็น รถยนต์ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยใช่ไหม เขาให้มาแล้วเราก็ใช้ให้ถูกทางด้วย ก่อนที่จะใช้ต้องหาน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเผาอะไรพวกนี้ ใช่ไหม .....ก็เหมือนกัน เมื่อได้พระมาแล้ว นึกน้อมความดีของพระ นึกถึงความดีของพระ ไม่มีอะไรมาก อิติปิโส บทเดียวพอ ทุกๆวัน ตอนเช้าตื่อนขึ้นมานึกถึงบารมี นึกถึงพระที่เรามีอยู่

    ผู้ถาม : บางคนห้อยพระราคาเป็นแสนก็ตาย


    หลวงพ่อ : ถ้าถึงวาระก็ต้องตาย ความจริงที่ให้มีพระคล้องคอท่านมีความหมาย ให้ทำใจให้เป็นพระ ว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนในหลักใหญ่ ๓ ประการ


    ๑ .สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง พวกเธอทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง.

    ๒. กุสะลัสสูปะสัมปะทา จะสร้างแต่ความดี
    ๓. สะจิตตะปริโยทะปะนัง จงทำจิตให้ผ่องใสจากกิเลส
    แล้วก็ลงท้ายว่า

    เอตัง พุทธานะสาสะนัง เราขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์สอนอย่างนี้เหมือนกันหมด

    นี่ท่านต้องการทำจิตให้เป็นพระ ไม่ใช่เอาพระไปตีกับชาวบ้าน บางทีพาพระไปขโมยเขาเสียอีก พระขโมยของตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ศิลขาดหมดแล้ว พาพระไปกินเหล้าเป็นปาจิตตีย์ พาพระไปเล่นการพนัน พระก็ถูกสึก ไม่ไหว ใช่ไหมคุณ


    ที่มา: หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑
     
  8. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    90452317_1595561983926116_7831078759162707968_n.jpg


    ครูบาอาจารย์ท่านสอนตรงกันว่าหากคนหมดอายุขัยหรือประมาทขาดสติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ จึงควรหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้เพราะบุญกุศลจะเป็นเกราะแก้วคุ้มภัยตัวเราดีที่สุด วัตถุมงคลเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้ระลึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์

    ******************

    “ความขลังแพ้ความประมาท”

    มีตัวอย่างเหตุการณ์จริงที่เป็นสิ่งยืนยันว่า วัตถุมงคลถึงจะศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หากบุคคลตั้งอยู่ในความประมาท

    ตัวอย่างแรก คือ เหรียญหลวงปู่ทวดที่ใครๆ เล่าขานกันว่าผู้สวมใส่จะไม่ตายโหง คือจะไม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ก็มีเหตุการณ์เกิดกับศิษย์หลวงปู่ดู่ผู้ห้อยเหรียญหลวงพ่อทวด รุ่นเปิดโลก ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต เพราะขับรถขณะเมา นี่ก็เพราะความประมาท ซึ่งวัตถุมงคลไหนๆ ก็ช่วยไม่ได้

    ตัวอย่างที่สอง คือ การเข้าไปลองดีในสำนักทรง โดยพกพาวัตถุมงคลที่หลวงปู่ดู่อธิษฐานจิตให้ ผลคือโดนคุณไสยกลับมา หลวงปู่ดู่กล่าวว่า ท่านไม่ได้สร้างวัตถุมงคลไว้สำหรับให้ไปลองของ แค่คิดที่จะไปลองของก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประมาท ผู้ประมาทพระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นผู้ที่ตายแล้ว คนประมาท อะไรก็เกิดขึ้นได้

    เล่าไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่าความขลังย่อมแพ้ความประมาท เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทเป็นดีที่สุด

    “พอ” (๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑)


    ที่มา:
     
  9. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    64641271_732953917160007_8476130706118934528_n.jpg


    อานิสงส์การสวดมนต์
    โดย..สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)


    93794220_2415228258767964_6774280009914777600_o.jpg
    92580611_2415228282101295_3511166980302307328_o.jpg
    93679856_2415228328767957_5605115617599291392_o.jpg


    ที่มา:
     
  10. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    93869015_1882178241913140_9178358563389571072_o.jpg


    ธรรมะแม้เพียงบทเดียวก็สามารถที่ให้ประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้า และอาจทำให้สำเร็จตามความปรารถนาทุกประการ ธรรมะบทเดียวนั้นก็คือ

    "อัปปมาทธรรม"

    ได้แก่ความไม่ประมาท กล่าวคือ "มีความระลึกได้ไม่หลงลืม ผู้ไม่ประมาทย่อมระลึกถึงพระรัตนตรัยทั้งสาม อีกทั้งการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา น้อมระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทุกลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา"

    ดังนี้ได้ชื่อว่าตั้งอยู่ใน "อัปปมาทธรรม" พระพุทธองค์ตรัสว่า รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายย่อมรวมลงในรอยเท้าของช้าง ชาวโลกย่อมกล่าวว่ารอยเท้าของช้างเป็นยอดแห่งของรอยเท้าสัตว์ทั้งปวงฉันใด

    "กุศลธรรมทั้งหมดมีความไม่ประมาทเป็นรากเหง้า" ฉันนั้น

    (หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม)
     
  11. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    75442979_1698099130321053_7752530653496737792_n.jpg


    ในช่วงที่โรคโควิดระบาดนี้ทำให้เราได้เห็นความทุกข์ยากลำบากของพี่น้องประชาชนกันมากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรม คือความไม่แน่นอน วันนี้มีกินวันหน้าอาจจะไม่มี วันนี้มีสุขพรุ่งนี้อาจจะทุกข์ จึงควรสั่งสมบุญบารมีกันเอาไว้ดีที่สุด

    *****************************
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุงตอบปัญหาธรรม


    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับกุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ?

    หลวงพ่อ : สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซิคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียนของผู้ใหญ่หนังสือเรียนของพระหนังสือธรรมะต่างๆ ดูตัวอย่างพระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุด จึงทำให้เป็นพระที่มีปัญญามาก


    อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้าง รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล ๔ อย่าง
    ๑. สร้างพระพุทธรูป
    ๒. วิหารทาน
    ๓. สังฆทาน
    ๔. ธรรมทาน
    ทั้งหมดนี้ ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก ๕๐ สตางค์ เป็นอันว่า การทำบุญเอาแค่พอสมควร แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกันไม่ต้องสร้างทั้งหลัง

    ผู้ถาม : กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่าการทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้างอานิสงส์จะต่างกันหรือไม่ขอรับ?

    หลวงพ่อ : ต่างกันคือได้ช้าได้เร็ว ต่างกันก็เหมือนท่านจูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้นและยามที่ ๒ จิตเป็นห่วงยายที่บ้าน ไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ ๓ ใกล้สว่างจึงตัดสินใจถวายแล้วประกาศว่า "ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยินก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎกและทรัพย์สินต่างๆ มาให้ มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่ง


    ต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้นจะได้เป็นมหาเศรษฐี ถ้าถวายยามที่ ๒ จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ ๓ จะได้เป็นคหบดีใหญ่ที่ได้น้อย เพราะถวายช้าเกินไป พระองค์จึงตรัสว่าการบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง" คือ "เร็วๆ ไวๆ"


    ที่มา : หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม (ฉบับพิเศษ เล่ม ๑)
     
  12. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,598
    ค่าพลัง:
    +53,107
    FB_IMG_1586613517996.jpg IMG_25630226_211045.JPG IMG_25630226_211102.JPG
     
  13. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    04.jpg

    อานิสงส์การสวดมนต์
    โดยหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    การสวดมนต์ไหว้พระนั้นถึงแม้ว่าเราจะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงก็ตาม พวกเทพเจ้าเหล่าเทวดาเขามีหูทิพย์ตาทิพย์เขาก็จะได้ยินเสียงที่เราสวดมนต์ไหว้พระด้วยพระสูตรต่างๆ

    เมื่อเขาได้ยิน เขาก็จะเกิดความปีติยินดีในการสวดมนต์ไหว้พระกับเรา เขาก็จะพากันมาร่วมอนุโมทนาบุญกับเราด้วย ถ้าจิตเราสงบลงไปบ้างสักเล็กน้อย เราก็จะได้ยินเสียงที่เขามาอนุโมทนากับเรา
    เสียงที่เขาเปล่งสาธุการนั้นมันดังปานฟ้าสิถล่มทลายลงมาทับดิน "

    หลวงปู่ ได้เล่าเรื่องที่ท่านเที่ยววิเวกในเมืองพม่า ดังนี้

    " ครั้งหนึ่ง เราพักจำพรรษาที่บ้านยางแดง ประเทศพม่าวัด ที่เราอยู่นั้นมันมีศาลาอยู่เพียงหลังเดียว และศาลานี้ก็มีเสาอยู่ตรงกลางต้นเดียว เราให้เขากั้นห้องเป็นสองห้อง ห้องหนึ่งเราเอาไว้พัก อีกห้องหนึ่งเราก็เอาไว้นอน ตรงกลางศาลา จะมีแท่นบูชาพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอยู่หนึ่งองค์ สูงประมาณศอกหนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้แกะสลักจากไม้สักในแต่ละวันเราก็อาศัยสวดมนต์ไหว้พระอยู่หน้าพระประธานองค์นี้แหละ

    คืนนั้น เรากำลังไหว้พระสวดมนต์อยู่ดีๆ พอสวดบทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ถึงท่อนที่ว่า จาตุมมหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ จาตุมมหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ฯ.ช่วง ท่อนที่กำลังไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆอยู่นั้น ปรากฏมีเสียงดังสะท้านไปทั่ว

    เป็นเสียงที่ดังกระหึ่มลงมาจากท้องฟ้า เสียงดังกระหึ่มนั้นทำให้ศาลาที่เรานั่งสวดมนต์ไหว้พระอยู่นั้นเกิดการสั่น ไหวขึ้นมา เสียงศาลามันลั่นเอี๊ยดอ๊าดๆ โยกไหวไปมาเหมือนกับว่าแผ่นดินมันไหว เราก็เลยหยุดสวดมนต์เอาไว้ก่อน มานั่งฟังเสียงดูว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่

    เรามานั่งรำลึกในใจของเราว่า " โฮ้ๆ ! เกิดอีหยังขึ้นหนอที่นี่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวปานนี้ มันสิเฮ็ดให้ศาลามันพังลงมาซะบ่น้อ ! "

    เราจึงดับไฟเทียนที่หน้าพระประธาน นั่งฟังเสียงดังกระหึ่มนี้อย่างเดียว พอเรามานั่งฟัง เสียงดังๆนั้นมันก็เงียบหายไป " บ่มีอีหยังอีก... "เมื่อเสียงดังนั้นหายไปแล้ว หลวงปู่ท่านก็สวดมนต์ต่ออีก ท่านเล่าดังนี้

    " ...เราก็เลยสวดมนต์ต่อ พอสวดถึงท่อนไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆนั้น เสียงดังกระหึ่มมันก็กลับมาอีกรอบ

    เราบ่นออกเสียงว่า ฮ่วย ! มันเป็นอีหยังอีกน้อบาดนี่ !

    พอว่าจังซั่นล่ะ ขนคี่ง ( ขนตามตัว ตามแขนขา ) ขนหัว กะพากันลุกยาบๆ เอามือลูบไว้กะบ่อยู่

    ฮ่วย ! ฮ่วย ! อีหยังกันน้อบาดนี่ แผ่นดินมันไหวบ้อน๊อ ? "

    เรานั่งฟัง เสียงนั้นอยู่อีกนานพอสมควร เสียงนั้นจึงเงียบลงไป เราก็เลยสวดมนต์ต่อไปจนจบครบสูตร ระหว่างที่สวดนั้น ก็ไม่ปรากฏมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาอีก สวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับเข้าไปที่ในห้องพักเพื่อที่จะนั่งภาวนาต่อ ตอนที่มานั่งภาวนานี้แหละ ถึงได้มารู้ว่า เสียงที่มันดังกระหึ่มปานฟ้าจะถล่มลงมาทับดินนั้น มันคือเสียงอนุโมทนาสาธุการของเทพเจ้าเหล่าเทวดา

    พวกเขาได้ยินเสียงเราสวดมนต์ไหว้พระ พอพวกเขาได้ยินแล้ว ก็เกิดความปีติยินดีขึ้นมา จึงพากันเปล่งเสียงอนุโมทนาสาธุการกัน

    เสียงอนุโมทนาของพวกเทพเจ้าเหล่าเทวดามีอานุภาพมาก จนทำให้แผ่นดินเฉพาะตรงที่เราอยู่นั้น เกิดการสั่นไหวขึ้นมาชั่วขณะ เทวดาเขามาแสดงปาฏิหาริย์ให้เรารับรู้

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านได้บอกเตือนลูกศิษย์เรื่องการสวดมนต์ว่า เทวดาในแต่ละสถานที่เขาชอบบทสวดมนต์ที่แตกต่างกัน

    บางสถานที่ก็ชอบ... บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
    บางสถานที่ก็ชอบ... บทกรณียเมตตสูตร
    บางสถานที่ก็ชอบ... บทมาติกา
    บางสถานที่ก็ชอบ... บทเมตตานิสังสสูตร

    พอสวดฮอด(ถึง)บทที่พวกเขาชื่นชอบละก็เขาจะพากันเปล่งเสียงสาธุการดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว!! เทวดาเขาพากันออนซอนสะออนหลาย(พากันชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง)

    หลวงปู่ท่านเน้นย้ำเรื่องการสวดมนต์ว่า...

    "เวลาสวดมนต์ไหว้พระ อย่าทำเป็นเล่น เห็นเป็นของสนุกคะนองปาก ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของสูง ควรค่าต่อการเคารพเป็นอย่างยิ่ง หากพากันเห็นเป็นของเล่นแล้ว ก็จะเป็นบาปเป็นกรรมกับตัวเอง นักปราชญ์ได้ยินท่านก็ตำหนิ เทวดาเขาก็พากันตำหนิ"

    "เวลาไหว้พระสวดมนต์ ให้พากันตั้งใจสวดจริงๆ เวลาสวดก็ให้มีสมาธิจดจ่อลงไปในบทนั้นๆ มันถึงจะมีอานิสงส์เกิดขึ้นกับตัวเจ้าของ(ตัวเอง)"

    "การสวดมนต์ไหว้พระเป็นการทำสมาธิไปในตัว บางทีข้ออรรถ ข้อธรรมต่างๆ มันก็จะผุดขึ้นมาในขณะที่สวดมนต์ก็มี"

    "เทวดาทั้งหลายนั้น เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรามาก่อน มีจิตใจฝักใฝ่ในบุญกุศล พอตายทำลายขันธ์จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ได้ไปจุติในสวรรค์ชั้นต่างๆ สูงบ้างต่ำบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ตนเองได้สั่งสมมาในตอนเป็นมนุษย์"

    "ถึงแม้ว่าจะเป็นเทวดาอยู่ก็ตาม จิตของพวกเขายังฝังไว้ในบุญกุศล พอได้ยินหรือได้เห็นผู้ใดทำคุณงามความดี พวกเขาก็จะพากันมาร่วมอนุโมทนาด้วย หากว่าเรามีจิตที่ละเอียดเป็นสมาธิบ้าง เราก็
    จะเห็นเขามาร่วมอนุโมทนากับเราด้วย"

    "อย่างหยาบๆ ที่พวกเราจะรับทราบได้ ก็คือ
    ขนพองสยองเกล้า เป็นต้น "

    ด้วยหลวงปู่ท่านให้ความสำคัญเรื่องการสวดมนต์ไม่น้อยกว่าการทำสมาธิภาวนา จึงจะเห็นได้ว่าแม้ในช่วงปัจฉิมวัยขององค์ท่าน ยามกลางค่ำกลางคืน ท่านก็ยังออกมานั่งรถเข็นจงกลมไปในบริเวณวัด ฟังพระเณรลูกหลานสวดมนต์ไหว้พระ เหมือนเป็นการให้กำลังใจลูกหลานพระเณรไปในตัว

    พอหลังจากไหว้พระสวดมนต์กันเสร็จแล้ว ในบางคืน ลูกหลานพระเณรก็จะได้กราบเรียนสอบถามองค์ท่าน

    "หลวงปู่ครับ! วันนี้เทวดาเขามาร่วมสวดมนต์ไหว้พระด้วยไหมครับ?"

    หลวงปู่ท่านก็มักจะตอบว่า "มีมาทุกวัน" วันไหนมีมากเท่าไร ท่านก็จะบอกจำนวนให้ทราบด้วย หรือบางครั้ง ท่านก็จะระบุชื่อพระเณรเป็นรายคนด้วย เช่น

    "เทวดาเขาชมว่าพระ...เณร...องค์นี้ สวดมนต์ม่วนหลาย เสียงดังกังวานไปไกล เทวดาเขาได้ยิน เขาขออนุโมทนาด้วย"

    พอได้ยินหลวงปู่ท่านว่าให้ฟังเช่นนี้ พระเณรลูกหลานก็พากันปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง พอถึงเวลาไหว้พระสวดมนต์ จึงพากันตั้งอกตั้งใจสวดกันอย่างเต็มที่



     
  14. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    87371703_1823888274408804_4697295402515300352_o.jpg


    พระมหาชินธาตุเจ้าดอยตุง(๕)

    ลวจังกราช(ลวจักราช, ปู่เจ้าลาวจก)

    ชื่อปู่เจ้าลาวจกปรากฏอยู่ในตำนานพระธาตุดอยตุง กล่าวถึงเพียงนิดหน่อยว่าเป็นใหญ่อยู่ในเขตดอยตุงประมาณว่าเป็นผู้นำเผ่าผู้นำชุมชน ผู้รู้อธิบายว่า คำว่าลาวแปลว่าผู้เป็นใหญ่ คำว่าจกก็คือจอบขุดดิน ตามตำนานกล่าวว่ามีจอบถึง ๕๐๐ อัน คงจะมีการทำเกษตรกรรมกันใหญ่โตมาก ท่านได้รับบัญชาจากพระเจ้าอชุตราชให้ดูแลปกปักรักษาองค์พระธาตุ เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ ต่อมาพระอินทร์ก็ไปเชิญให้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ โดยไต่บันไดเงินลงมาจากดอยตุง เป็นผู้สถาปนาอาณาจักรหิรัญนครเงินยาง อันเป็นต้นตระกูลพญามังราย(พ่อขุนเม็งราย)ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา ตามตำนานเล่าไว้อย่างนี้

    **************


    ชุมชนสมัยประวัติศาสตร์จากตำนานต่างๆ


    การศึกษาเรื่องราวยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอาณาจักรล้านนานั้นไม่สามารถทราบเรื่องราวที่ต่อเนื่องกันได้ ทำได้เพียงคาดคะเนจากหลักฐานทางโบราณคดีเพียงเท่านั้น ไม่มีหลักฐานอื่นๆ ที่จะช่วยยืนยันเรื่องราวความเป็นมาในด้านอื่นได้อีก จึงทำให้ช่วงระยะเวลาดังกล่าวขาดตอนไป จนกระทั่งเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้ศึกษาค้นคว้า จึงทำให้ทราบประวัติความเป็นมาของดินแดนแถบนี้ได้ว่าราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เกิดเป็นเมืองหริภุญไชยขึ้น และเรื่องราวต่างๆ ในดินแดนแถวนี้ก็มีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ


    ก่อนที่จะมีการสถาปนาอาณาจักรล้านนาขึ้นนั้นได้มีบ้านเมืองและชุมชนขนาดใหญ่เกิดขึ้นแล้ว อาทิ เมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน เมืองพะเยา เมืองหริภุญไชย และยังได้มีการค้นพบเมืองเล็กๆ อีกจำนวนมากตามลุ่มน้ำต่างๆ เช่น เวียงฝาง เวียงปรึกษา เวียงสีทวง เวียงพางคำ เวียงสุทโธ เวียงห้อ เวียงมะลิกา และเวียงท่ากาน

    เมืองต่างๆ เหล่านี้นอกจากจะมีหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีข้อมูลจากเอกสารประเภทตำนานและพงศาวดาร ที่กล่าวถึงการตั้งชุมชนเผ่าไททางตอนบนของภาคเหนือซึ่งในสมัยแรกนั้น มีผู้นำสำคัญ ๒ ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์ไทยเมืองของพระเจ้าสิงหนวัติกุมารและราชวงศ์ลวจังกราช เนื้อหามีอยู่ในตำนานพื้นเมืองของล้านนาหลายเรื่อง อาทิ ตำนานสิงหนวัติกุมาร พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน ตำนานสุวรรณโคมคำ
    ตามตำนานกล่าวว่า ราชวงศ์สิงหนวัติกุมาร มีราชบุตรชื่อ สิงหนวัติกุมาร ได้อพยพผู้คนมาจากเมืองไทยเทศเมื่อมหาศักราช ๑๗ (ตอนต้นพุทธกาล) มาตั้งบ้านเมืองใกล้กับแม่น้ำโขงและไม่ไกลจากเมืองสุวรรณโคมคำมากนัก เมืองใหม่ชื่อนาคพันธุ์สิงหนวัตินคร เมืองนาคพันธุ์ฯ นี้ได้เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า โยนกนครไชยบุรีศรีช้างแสน เมืองนี้มีกษัตริย์ปกครองสืบมาครั้นถึง พ.ศ.๑๕๔๗ มีชาวบ้านจับปลาไหลเผือกได้ ลำตัวโตขนาดต้นตาล ยาวประมาณ ๗ วา เมื่อฆ่าแล้วแจกจ่ายให้ผู้คนในเมืองได้นำไปประกอบอาหารรับประทาน ในคืนนั้น เมืองนี้ได้เกิดอุทกภัย ฟ้าคะนอง แผ่นดินไหว และเมืองนี้ก็จมหายกลายเป็นหนองน้ำไป ชาวเมืองที่ไม่ประสบภัยได้ร่วมใจกันสร้างเมืองใหม่ขึ้นชื่อ เวียงปรึกษา และนับว่าเป็นการสิ้นสุดแห่งราชวงศ์สิงหนวัติ

    ส่วนราชวงศ์ลวจังกราชนั้น ตามตำนานเล่าว่า ประมาณ พ.ศ. ๑๑๘๑ (ศักราชในตำนานแต่ละฉบับไม่ตรงกัน) มีการสร้างเมืองขึ้นบริเวณดอยตุง (อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) โดยในช่วงแรกที่สร้างเมืองนั้นยังไม่มีผู้ปกครองอย่างชัดเจน ครั้นเมื่อพญาอนิรุทธได้เชิญเจ้าเมืองทุกเมืองไปประชุมตัดศักราช เมืองแห่งนี้ไม่มีกษัตริย์ที่จะไปร่วมทำการตัดศักราช ประชาชนในเมืองจึงทูลขอให้พระอินทร์ส่งกษัตริย์มาปกครองที่เมืองนี้ พญาลวจังกราช (สันนิษฐานว่าพญาลวจังกราชนั้น อาจจะเป็นชาวพื้นเมืองในเขตดอยตุง ตามตำนานเรื่องปู่เจ้าลาวจก ) รับบัญชาจากพระอินทร์ลงมาปกครองเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน พญาลวจังกราชได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ พร้อมทั้งมเหสีและบริวารทั้งหลายไต่ตามบันไดเงินลงมาบริเวณดอยตุง ชาวบ้านจึงพร้อมใจให้เป็นผู้ปกครองเมืองและมีการสถาปนานามเมืองขึ้นว่า เมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน และมีกษัตริย์ปกครองสืบมาหลายพระองค์จนถึงพญาลาวเมง พระราชบิดาของพญามังราย ผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนา ซึ่งเรื่องนี้มีปรากฏใน ตำนานเมืองเงินยางเชียงแสน


    ที่มา: http://ashorthistoryoflanna.blogspot.com/…/blog-post_28.html
     
  15. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    06.jpg

    นับเป็นเรื่องแปลกกำลังลงเรื่องพระธาตุดอยตุงอยู่ ก็ปรากฏว่าทางเพจ Tamroi Phrabuddhabat ของหลวงพ่อชัยวัฒน์ ท่านแชร์และอัพเดตของมูลเรื่องพระธาตุดอยตุงเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาพอดี ก็เลยนำมาลงให้ได้อ่านกันพร้อมภาพพระเดชพระคุณหลวงพ่อถ่ายที่พระธาตุดอยตุงทั้งสองภาพครับ

    **************************


    ** ภาพในอดีต..เล่าเรื่อง (ภาพที่ ๑ พระธาตุดอยตุง)

    ...ถ่ายที่พระธาตุดอยตุง (องค์เก่า) หลวงพ่อ, หลวงน้าพระมหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์ฯ และพระวัดท่าซุงอีกหลายรูป ส่วนองค์ที่สะพายย่ามสีขาว ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนอก จ.ชลบุรี นอกนั้นก็สึกไปบ้าง ย้ายไปบวชที่อื่นบ้าง

    สมัยนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ห่มผ้าจีวรสีกรัก นับว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยาก ส่วนพระที่ติดตามก็เหมือนกัน ห่มผ้าสีกรักเช่นเดียวกัน ดูกลมกลืนกันดี มองดูแล้วขลังมากๆ

    องค์ที่ห่มคลุมน่าจะเตรียมตัวเดินทางกลับ ทั้งหมดเป็นพระวัดท่าซุง เดินทางไปกับหลวงพ่อ 4 รูป คือ อดีตพระไพโรจน์เป็นผู้จัดคิวพระที่จะต้องไปกับหลวงพ่อ (องค์ที่นั่งใกล้เจ้าอาวาสวัดนอก)

    อีกองค์หนึ่งก็คือ อดีตพระสมศักดิ์ นักบิน บน.4 ตาคลี ส่วนพระอรัญที่ยืนใกล้หลวงพ่อ ปัจจุบันสึกแล้วไปบวชอยู่กับท่านพระปลัดวิรัช ขณะนี้ได้ 10 กว่าพรรษาแล้ว


    ประวัติชาติในอดีต

    ...ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า หลวงพ่อท่านเคยเกิดในสมัยพุทธกาล คือ พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งกรุงสาวัตถี ต่อมาก็ได้มาเกิดในสมัยโยนกนครไชยบุรี ตอนต้นราชวงส์สิงหนวัติ ลำดับที่ 4 เป็นพระเจ้ามังรายนราช ผู้สร้างพระธาตุดอยตุง ร่วมกับพระราชบิดา คือ พระเจ้าอชุตราช

    จึงขอลำดับกษัตริย์ง่ายๆ ดังนี้

    1. พระเจ้าสิงหนวัติ
    2. พระเจ้าพันธนติ
    3. พระเจ้าอชุตราช
    4. พระเจ้ามังรายนราช

    สมัยต่อมาอีกประมาณ 800 กว่าปี ท่านก็ได้กลับมาเกิดในราชวงศ์เดิม แต่เป็นลำดับที่ 33 แห่งรัชกาลของพระราชบิดา คือ พระเจ้าพังคราช ช่วงนี้นับปี พ.ศ.900 พอดีที่ พระพุทธโฆษาจารย์ จากเมืองสะเทิม นำพระไตรปิฎกและพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย

    ขอย้อนกลับมาวิเคราะห์ในสมัยพระเจ้ามังรายนราช ช่วงนี้เป็นปี พ.ศ.100-150 จำง่ายๆ แต่นักประวัติศาสตร์ก็นับไม่ตรงกัน บางคนบวกอีก 500 คาดการณ์ในตามตำรา แล้วตำราก็ไม่ตรงกันอีก

    นักศึกษาประวัติศาสตร์สมัยนี้ จึงตัดสมัยเชียงแสนออกไป คงเริ่มต้นตั้งแต่สุโขทัยเป็นต้นมา นี่ก็ไม่รู้ว่าถือสิทธิ์อะไรไปลบประวัติของชนชาติไทยออกไป ทำให้คนไทยสมัยนี้ เข้าใจว่าไทยเราตั้งรกรากแค่ 7-800 ปีเท่านั้น

    นี่คือการเล่าเรียนที่ไม่ครบถ้วน สร้างความเข้าใจให้คลาดเคลื่อน หาความภูมิใจให้กับชนในชาติไม่ได้เลย เหมือนกับเพิ่งมาอาศัยแผ่นดินของชนชาติอื่นอยู่ ทั้งๆ ที่ปู่ย่าตายายได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อรักษาผืนแผ่นดินนี้มาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล

    แต่ลูกหลานภายหลังกลับไม่รู้คุณ ต้องไปศึกษาเล่าเรียนประวัติศาสต์ จากคนที่ไม่ใช่ชนชาติของตนเอง เหมือนกับเอาเชื้อชาติไปจำนองไว้กับคนต่างชาติต่างภาษา

    นานๆ ไปไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้น คนชาติอื่นๆ ก็เข้าใจว่าเราเพิ่งสร้างชาติสร้างแผ่นดิน เป็นการให้ความรู้ที่ผิดๆ ทั้งที่เรามีโบราณสถานสำคัญ อันเป็นหลักฐานทางพระพุทธศาสนา

    เช่น พระธาตุดอยตุง, พระธาตุจอมกิตติ เป็นต้น ได้บ่งบอกถึงประวัติความเป็นมาตั้งแต่ต้นพุทธกาล แต่พวกนักปราชญ์เหล่านี้ก็บอกว่า ตำนานเหล่านี้เขียนขึ้นมาภายหลัง พระพุทธเจ้าไม่เคยเสด็จมาถึงประเทศไทย

    นี่พวกนักคิดนักทำลายความเชื่อถือ ยังมีอยู่ในสังคมของคนไทย ที่หวังทำลายประวัติศาสตร์ของประเทศ และประวัติของพระพุทธศาสนาให้บิดเบือนออกไป นั่นก็คือทำลายในด้านความเชื่อถือก่อน แล้วก็ทำลายวัตถุสถานในภายหลัง


    เมืองนาลันทาล่มสลาย

    ...ดัวอย่างให้เห็นเป็นพยานก็คือ เมืองนาลันทา ประเทศอินเดีย ชาวพุทธควรหันไปศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนี้ว่า ทำไมพระพุทธศาสนาในยุคนั้น ประมาณ พ.ศ.1800 จึงถูกทำลายอย่างย่อยยับไม่เหลือหลอ ด้วยการเอาไฟเผา ฆ่าพระนักศึกษาไปนับแสนรูป ทำลายพระพุทธรูปด้วยการทุบที่จมูกเป็นต้น

    ชาวพุทธส่วนใหญ่ไปดูที่เหลือแต่ซากแล้ว ฟังเล่าประวัติถึงความรุ่งเรืองในอดีต กลับมาเมืองไทยก็ลืมไปว่า

    "ประวัติศาสตร์ของนาลันทาในอดีตเป็นอย่างไร ประวัติศาสตร์ในเมืองไทยต่อไปในอนาคตก็ต้องเป็นอย่างนั้น.."


    ตำนานสิงหนวัติกุมาร

    ...เริ่มต้นจากการที่ "สิงหนวัติกุมาร" โอรสพระเจ้าเทวกาล แห่งนครไทยเทศ คือเมืองราชคฤห์ อพยพผู้คนออกจากเมืองราชคฤห์ เดินทางไปถึงชัยภูมิที่เคยเป็นแคว้น "สุวรรณโคมคำ" มาก่อนไม่ไกลแม่น้ำโขงนัก

    เจ้าชายสิงหนวัติราชกุมารได้พบกับ "พันธุนาคราช" ซึ่งพันธุนาคราชได้แนะนำให้เจ้าชายสิงหนวัติตั้งเมืองอยู่ในที่นั้น แล้วกลับวิสัยเป็นพระยานาคขุดแผ่นดินให้เป็นคูเมือง เจ้าชายสิงหนวัติจึงตั้งเมืองในที่นั้น และตั้งชื่อเมืองว่า "เมืองนาคพันธุสิงหนวัตินคร"

    จากนั้นอีก 3 ปี เจ้าชายสิงหนวัติก็ได้แผ่อำนาจปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ในเขตนั้น และปราบได้ล้านนาไทยทั้งมวล คือครองดินแดนไปถึงแคว้นสิบสองปันนา และแคว้นสิบสองจุไทย

    ถัดจากรัชสมัยของพระเจ้าสิงหนวัติแล้ว กษัตริย์องค์ต่อมา คือ พระยาพันธนติ ถัดจากพระยาพันธนติ ก็คือ พระยาอชุตราช และเมืองนี้ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็นเมือง "โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น"

    พระยาอชุตราชขอ "นางปทุมวดี" จากกัมมโลฤาษี อยู่ที่ดอยดินแดง (ดอยตุง) มาเป็นมเหสี ยุคนี้มีการสร้างพระธาตุดอยตุง, พระธาตุดอยกู่แก้ว, และที่ ถ้ำเปลวปล่องฟ้า

    กษัตริย์องค์ต่อมาคือ "พระยามังรายนราช" โอรสของพระยามังรายนราช คือ "องค์เชือง" นั้น ครองเมืองเดิม ส่วนโอรสชื่อ "ไชยนารายณ์" ไปตั้งเมืองใหม่ ชื่อ "ไชยนารายณ์เมืองมูล" (สมัยนี้อยู่ห่างจากเมืองเชียงรายไป 16 กม.)


    ราชวงศ์สิงหนวัติ

    ...ถ้าได้อ่านตำนานนี้แล้ว จะเห็นว่าราชวงศ์สิงหนวัติได้สืบเชิ้อสายมาจากกรุงราชคฤห์ ได้แก่ ราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพสาร ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างพระเวฬุวันถวายพระพุทธเจ้า

    ภายหลังจากปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปกับพระเจ้าอชาติศัตรูได้สร้างพระสถูปไว้องค์หนึ่ง แล้วพระมหาเถระได้อธิษฐานขอให้พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ตามสถานที่ต่างๆ เสด็จมารวมกันอยู่ในที่นี้

    ทั้งนี้ เพื่อรอสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากพระโมคคัลลีบุตรติสสะทำสังคายนา ครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ.235 แล้วพระองค์จะทรงสร้างพระเจดีย์ 84,000 องค์ทั่วชมพูทวีป

    เมื่อมีการสร้างพระเจดีย์มากมายเช่นนี้ จะไปหาพระบรมสารีริกธาตุจากที่ไหน แน่ละ..ถ้าเป็นพระอรหันต์ท่านก็ต้องทราบ จึงถวายพระพรให้ไปค้นหาซากพระเจดีย์ที่เมืองราชคฤห์

    สมัยพุทธกาลผ่านไป 235 กว่าปี วัดเวฬุวันก็ร้างไปหมดแล้ว พระเจดีย์ที่เหลือแต่ซากก็ถูกต้นไม้ใบหญ้าปกคลุม แต่ท่านก็หาจนเจอ แล้วก็มุดเข้าไปในห้องพระธาตุ อันเป็นที่เก็บส่วนสำคัญของพระพุทธเจ้า

    แต่ก็ไม่สามารถทุบประตูห้องเข้าไปได้ ครั้นเหลือบไปเห็นศิลาจารึกไว้ ตามที่พระมหากัสสปเถระให้พระเจ้าอชาตศัตรูเขียนทำนายไว้ว่า

    "ต่อไปจะมีกษัตริย์ที่โง่เขลาและยากไร้พระองค์หนึ่งเข้ามาในสถานที่แห่งนี้"

    พระเจ้าอโศกมหาราชได้เห็นคำจารึกที่ปรามาสไว้เช่นนี้ ด้วยความที่ทรงพระพิโรธ จึงรับสั่งทุบประตูให้พังพินาศไปเลย เมื่อประตูกลที่ทำเอาไว้อย่างแข็งแรง ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก จึงได้พังทลายลงไป จึงสามารถเข้าไปถึงห้องพระธาตุด้านใน

    พระราชาแห่งเมืองปาตลีบุตรแสนจะดีพระทัย จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ อันที่พระมหากัสสปเถรเจ้า และพระเจ้าอชาติศัตรูบรมกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ ได้รวบรวมเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทรงนำกลับยังพระนครด้วยกองเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

    หลังจากนั้น จึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานยังชมพูทวีป ตามที่พระสมณทูต 9 สายนำไปบรรจุไว้ เช่น สุวรรณภูมิเป็นต้น จนครบถ้วน 84,000 องค์ ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีจารึกไว้ในประวัติ พระธาตุจอมทอง และ พระธาตุลำปางหลวง เป็นต้น แม้แต่ในประเทศเมียนมาร์ ผู้เขียนก็ได้ไปพบหลายแห่งเช่นกัน

    แต่ประการสำคัญ ที่ชาวพุทธไทยควรเรียนรู้ไว้ว่า ตามที่ได้เล่าประวัติราชวงศ์สิงหนวัติ สืบเชื้อสายมาจากกรุงราชคฤห์ เพราะฉะนั้น พระบรมสารีริกธาตุส่วนที่นำมาบรรจุไว้ที่ พระธาตุดอยตุง, พระธาตุดอยกู่แก้ว, พระธาตุพนม, พระธาตุบังพวน เป็นต้น ตามประวัติบอกว่าอัญเชิญมาจากกรุงราชคฤห์ทั้งสิ้น

    ทำไมต้องเป็นกรุงราชคฤห์

    ...นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่วิเคราะห์เอาไว้เพื่อการเรียนรู้ว่า ทำไมราชวงศ์ราชคฤห์ ที่สืบเชื้อสายต่อมาถึง ราชวงศ์เชียงแสน, ราชวงศ์สุโขทัย, ราชวงค์ศรีอยุธยา ได้สืบสันตติวงศ์จนมาถึง "ราชวงศ์จักรี" ในปัจจุบันนี้ ทำไมถึงต้องเป็นเช่นนั้น..?


    (โปรดติดตามตอนต่อไป)

    อัพเดท 4 พฤษภาคม 2563



    05.jpg



    ที่มา:
     
  16. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    07.jpg


    *ภาพในอดีต..เล่าเรื่อง (ภาพที่ ๓ พระธาตุดอยตุง)

    ....หลวงพ่อยืนถ่ายรูปพระภิกษุและญาติโยมพุทธบริษัท หลังจากทำพิธีบวงสรวงแล้ว ภาพนี้เห็นท่านพระมหาทองปอน จ.อุตรดิตถ์ เพิ่มมาอีกองค์หนึ่งด้วย

    ส่วนญาติโยมเท่าที่เห็นเป็นคณะจากกรุงเทพฯ เช่น กัปตันศรัณสุข และภรรยา (คุณแอ้ม) เจ้าของบ้านสายลม สมัยนั้นยังหนุ่มยังสาวกันอยู่ ส่วนเพื่อนรุ่นเดียวกับผู้เขียนสมัยนั้นก็มีไปด้วยหลายคน เช่น สุชาติ, ไพบูลย์, สมศักดิ์, วิเชียร เป็นต้น

    สำหรับผู้อาวุโสกว่าก็มี คุณสมบูรณ์ เวสรัชชานนท์ จ.จันทบุรี คุณแสงเดือน พร้อมพันธ์ เป็นต้น หากดูด้านข้างของภาพ จะเห็นคนแต่งชุดสวยงาม เหมือนมีการฟ้อนรำถวายด้วย

    สำหรับการไหว้พระธาตุนี้ ยังมีการนุ่งกางเกงไปร่วมพิธีกันด้วยหลายคน ภายหลังท่านย่ามาบอกหลวงพ่อว่า ต่อไปให้ลูกหลานทุกคนนุ่งผ้าถุงกันมา ต่อมาท่านได้ทำ "พิธีตัดกรรม" ให้หลวงพ่อและลูกหลานด้วย

    จึงมีคำถามว่า ทำไมหลวงพ่อต้องทำพิธี ณ สถานที่นี้ด้วย สถานที่อื่นๆ ทำไมไม่ทำ เรื่องนี้ผู้เขียนได้วิเคราะห์เอาตามประวัติของ "พระแม่เจ้าปทุมวดี" ดังนี้


    ดอยตุง (ดอยดินแดง) ในอดีต


    ...เนื่องจากสมัยก่อน "นางปทุมวดี" ซึ่งเป็นบุตรีของพระฤาษี ได้อาศัยอยู่ที่ดอยดินแดงแห่งนี้ คือบริเวณดอยตุงนี้แหละ

    ในกาลนั้น ยังมีพระฤาษีองค์หนึ่งชื่อ “กัมมะโล” สร้างอาศรมบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ “ดอยดินแดง” ซึ่งสถานที่ตั้งอาศรมอยู่นั้นชื่อ “ดอยหมอกมุงเมือง” ได้บรรลุฌาณสมาบัติ

    วันหนึ่ง กัมมะโลฤาษีออกจากอาศรม เพื่อจะไปหาเก็บลูกไม้หัวมันมาฉันเป็นอาหาร พลันก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องไห้อยู่ในพุ่มไม้

    ฤาษีกัมมะโลก็เดินเข้าไปดูเห็นเด็กหญิงผู้นี้ จึงได้นำมาเลี้ยงไว้เป็นบุตรีบุญธรรม แล้วตั้งชื่อกุมารีน้อยนี้ว่า “ปทุมวดี”

    นางได้ปฏิบัติพ่อเจ้าฤาษี หาเผือกหามันหาผลไม้มาไว้ฉันมิได้ขาด จนกระทั่งนางมีอายุได้ ๑๖ ปี มีรูปสวยงดงามมาก

    ยามนั้น ยังมีพรานป่าผู้หนึ่งได้ออกมาป่าขึ้นมาล่าสัตว์ ก็ได้พบเห็นนางปทุมวดีเข้า จึงได้กลับไปบอกเล่าแก่คนทั้งหลาย จนชาวบ้านเหล่านั้นต่างร่ำลือไปทั่วว่า นางปทุมวดีลูกสาวพระฤาษีนั้น งามเลิศประเสริฐยิ่ง

    ข่าวนี้จึงได้ทราบถึงพระเจ้าอชุตราช พระบาทท้าวเธอจึงได้รับสั่งให้เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย หล่อหลอมทองคำ ๔ แสนกหาปนะ เพื่อเป็นการสู่ขอนางต่อพระฤาษี

    ครั้นจัดงานอภิเษกสมรสแล้ว พระฤาษีจึงได้มอบทองคำทั้ง ๔ แสนนั้นให้แก่พระนางปทุมวดีแล้วกล่าวว่า

    “ลูกเอ๋ย..เจ้าจงเอาทองคำนี้ไปหล่อเป็นรูปกวาง สมมุติไว้ให้เป็นแม่แล้วตั้งไว้ในที่ควร เพื่อได้ไหว้ นบเคารพอยู่เสมอ แล้วเจ้าจักมีอายุยืนยาว...”

    ต่อจากนั้น พระเจ้าอชุตราชและพระนางปทุมวดีก็อำลาพระฤาษี แล้วก็พาเอาหมู่เสนาข้าราชบริพารกลับสู่เวียงโยนกบุรี

    ส่วนพระนางปทุมวดีก็ให้หาช่างทองมาหล่อรูปกวางทอง แล้วก็สร้างมณฑปไว้ ใส่รูปกวางตั้งไว้เหนือแท่นที่บรรทม

    ด้วยเดชะกุศลอันพระนางได้กระทำการเคารพตามคำสั่งแห่งพระฤาษีบอกไว้แล้วนั้น พระนางก็ได้สัมฤทธิ์ผลคือ มีอายุยืนยาวนานมากนักแล

    ส่วนกัมมะโลฤาษีนับตั้งแต่พระเจ้าอชุตราชได้นำเอานางปทุมวดีไปสู่โยนกบุรีไม่นานเท่าใด พระเจ้าอชุตราชและพระโอรสคือ "พระเจ้ามังรายนราช" พร้อมกับ "พระมหากัสสป" ก็กระทำการบรรจุพระบรมธาตุพระรากขวัญ คือ "กระดูกไหปลาร้าเบื้องซ้าย" ไว้ในพระเจดีย์แห่งนี้

    พระฤาษีกัมมะโลก็อยู่ปฏิบัติอุปฐากพระมหาธาตุเจ้ามาจนตราบเท่าสิ้นอายุขัย แล้วก็จุติตายไปบังเกิดยังพรหมโลก

    ครานั้น พระเจ้าอชุตราชก็หาช่างมาหล่อรูปพระฤาษีผู้เป็นพ่อไว้ที่ ดอยหมอกมุงเมือง ทางทิศตะวันตกแห่งพระมหาธาตุเจ้านั้นแล

    ตามพระพุทธบัญชาขององค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้เสด็จลงมาจากนภากาศ ประทับยืนอยู่เหนือก้อนหินก้อนหนึ่ง แล้วทรงมีพุทธบัญชาว่า

    "...อานันทะ ดูก่อนอานนท์ บ้านเมืองที่นี้ต่อไปภายหน้าจักรุ่งเรือง และเป็นที่ตั้งพระศาสนาของตถาคตตราบ ๕,๐๐๐ พระวัสสา เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว จงให้พระมหากัสสปเถระนำเอาพระรากขวัญข้างซ้ายมาบรรจุไว้ที่นี่..."

    หมายเหตุ - ก้อนหินก้อนนี้สำคัญมาก นอกจากเป็นสถานที่ประทับยืนพยากรณ์แล้ว เดิมก็เป็นแท่นที่ประทับของพระพุทธเจ้ามาแล้วถึง ๔ พระองค์ แล้วภายหลังเป็นที่บรรจุพระรากขวัญและพระบรมธาตุส่วนอื่นๆ อีกด้วย


    พิธีตัดกรรมที่ดอยตุง


    ...มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ท่านย่าพังคราณีมาเข้าทรง "คณะกองทุน" คนหนึ่งชื่อ "เล็ก" (แต่ตัวไม่เล็ก บางคนจึงเรียกว่า "ตึ๊ก") หรือคณะสามใบเถา มีหน้าที่ประจำอยู่ที่บ้านสายลม พอวัดมีงานก็มาเป็นแม่ครัวทำอาหารถวายพระที่สวนไผ่เป็นประจำ

    เล็กนี่ ปรากฏว่าไม่เคยเป็นร่างทรงมาก่อน แต่ท่านย่ามาเข้าทรง (สมัยก่อนเข้าทรงครูจันทร์นวล นาคนิยม) ตอนหลังสุขภาพไม่ดี เป็นโรคหอบหืด ท่านจึงมาเข้าร่างใหม่ที่แข็งแรงดี ท่านย่าได้แนะนำพิธีกรรมต่างๆ ในการทำพิธีตัดกรรม แต่แนะนำที่พระธาตุจอมกิตติ แล้วไปทำพิธีที่พระธาตุดอยตุง

    ดังจะเห็นได้ว่า เดิมประวัติของพระราชมารดา "ปทุมวดี" ของพระเจ้ามังรายราช เคยอาศัยอยู่ที่ดอยตุงกับพระฤาษีที่เป็นพ่อเลี้ยงมาก่อน พอได้เป็นอัครมเหสีแล้วก็ยังนึกถึงคุณของมารดา

    จึงให้หล่อรูปกวางทองไว้บูชาตลอดมา ด้วยอานิสงส์ทำให้ปราศจากเวรกรรมเข้ามาเบียดเบียน จนพระนางมีอายุยืนยาว เรื่องนี้จึงเป็นเหตุให้ท่านย่าต้องมาทำพิธีตัดกรรม ณ สถานที่นี้ (พรุ่งนี้จะนำคลิปมาให้ชมกัน)

    อัพเดท 7 พฤษภาคม 2563



    ที่มา:
     
  17. NiponSuwan

    NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,162
    พิธีตัดกรรม ณ พระธาตุดอยตุง

    ...สมัยนั้น "ท่านย่าพังคราณี" มาประทับทรง แล้วสั่งให้ทำพิธีการต่างๆ ให้หลวงพ่อและลูกหลานทุกคน ท่านย่าสั่งงานที่พระธาตุจอมกิตติก่อน วันรุ่งขึ้นจึงไปทำพิธีตัดกรรม ณ พระธาตุดอยตุง

    หลวงพ่อได้ให้โอวาทไว้ในสมัยที่มา "พระธาตุดอยตุง" เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๑ ต่อไปว่า

    "...ลูกบางคนน้ำตาไหล บางคนมีการสะอื้นบางคนมีอาการซึม พ่อคิดว่า ความรู้สึกของลูกในเวลานั้น คงจะพบกับคภาพความเป็นจริง ที่เรามีส่วนร่วมในการบูชาพระบรมสารีริกธาตุบนดอยตุง

    ซึ่งพระเจ้าอชุตราชและ พระเจ้ามังรายมหาราช นำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่ลูกเห็นอยู่เวลานี้ เป็นเจดีย์ที่เขาสร้างขึ้นภายหลัง

    สำหรับเจดีย์องค์เดิมอยู่ภายในเป็นทองคำทั้ง ๒ องค์ และในเจดีย์ทองนั้น บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่กษัตราธิราชเจ้าทั้งสองพระองค์ คือพระเจ้าอชุตราช พระราชบิดา กับพระเจ้ามังรายมหาราช ราชโอรสนำมาบรรจุที่นี่

    การบูชาคราวนั้นเป็นงานยิ่งใหญ่มาก ขณะนี้ลูกบางคนมีอำนาจธรรมปีติ ที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านไปอยู่นิพพานมีความสุข

    ฉะนั้นอารมณ์ของลูกทั้งหลาย จงอย่าให้มีอารมณ์เป็นทุกข์ มีอย่างเดียวคือ.."ธรรมสังเวช"

    ธรรมสังเวชตอนไหน..ตอนที่เราเลวเกินไป จะว่าเลวเกินไปก็ไม่ถูก เพราะการบรรลุธรรม ต้องอาศัยความดีพอสมควร

    เขามีกำหนดเวลาเช่น "สาวกภูมิ" ต้องบำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๑ อสงไขยกำไรแสนกัป เป็นต้น

    แต่พวกเราย่องมาถึง ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปแล้ว ก็แสดงว่าเราเอาดีบ้าง ทำถูกบ้าง ทำผิดบ้าง เป็นของธรรมดา การผิดมาในกาลก่อนถือว่าเป็นครูในสมัยนี้ ชาตินี้อย่าให้ผิดต่อไป.."

    เมื่อได้ชมคลิปวีดีโอที่หาได้ยาก และได้อ่านโอวาทของท่านแล้ว คิดว่าการตัดกรรมไม่ให้เกิดนี่แหละ เป็นสิ่งประเสริฐอย่างสูงสุด ใช่ไหม?

    Cr. คุณปรีชา พึ่งแสง ผู้บันทึกเทป
    พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต
    อัพเดท 8 พฤษภาคม 2563


    ที่มา:
     
  18. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,598
    ค่าพลัง:
    +53,107
    1589272381314.jpg 1589272385233.jpg 1589272387296.jpg 1589272391243.jpg 1589272389337.jpg
     
  19. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,598
    ค่าพลัง:
    +53,107
    1589272353250.jpg 1589272355162.jpg 1589272359956.jpg
     
  20. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,598
    ค่าพลัง:
    +53,107
    1589272362019.jpg 1589272363691.jpg 1589272368640.jpg 1589272370454.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...