กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ได้ศึกษาร่วมกันครับท่าน9
    คำถามของท่าน9 มีประโยชน์มากๆๆ
     
  2. เจไดหรือธิส

    เจไดหรือธิส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +359
    สาธุๆๆ ครับ มิน่า ผมจึงเกิดเหตุการณ์ เวลาสวดมนต์ในใจนั้นพอสวดๆไป มันจะท่องไม่ได้อะคับ มันอยากเงียบไปเลยต้องคอย พยายามคิดให้สวดในใจ ได้เป็นคำๆไป แต่สวดแบบขยับปากจะไม่เงียบไปคับ

    ปล. คุณ 9 มีเรื่องอะไรสนุกๆมาเล่าให้หลานๆฟังได้นะคับ รอฟังอยู่ กิกิ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คุณ ๙ จะใช้ภาษาสมมุติคำไหนก็ได้ครับ

    เอาว่า ในภาพรวมๆ ก็คือ กิริยา อาการใดๆ
    ที่ทำให้คลื่นช่วงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงพ้น
    ในช่วงความถี่นั้นๆพอครับ

    การบูชาวัตถุมงคล ถือเป็นการช่วยวัด
    เป็นส่วนหนึ่งในการทำนุบำรุงพุทธศาสนาทางหนึ่งครับ
    แต่ต้องเข้าใจเอาไว้ก่อนว่า เป็นเครื่องระลึกคุณความดีและระลึกถึง
    คำสอนมากกว่าเรื่องศักดิ์สิทธิ์ หรือเรื่องอื่นๆ
    ทั้งนี้ทั้งนั้นประเด็นนี้ ไม่ได้เคร่ง หรือ ซีเรียสอะไร
    แต่ส่วนตัว มักจะชอบหยอดตู้มากกว่า
    เพราะง่ายดี และก็สามารถหยอดได้เท่าที่ตนเองสดวกครับ

    แต่การทำบุญแบบไหนจะได้มากหรือน้อย
    ขึ้นอยู่กับ จิตใจของผู้ทำบุญ ณ เวลานั้นๆ
    เคยมีกรณี ที่พระคริสต์ท่านตะโกนเรียก ขอทานที่อยู่ไกลๆ
    ที่ไม่กล้าเข้ามาพบท่าน ขอทานคนนี้
    บริจาคเงิน ๒ เหรียญ ให้เข้ามาหาท่าน แล้วบอกว่า
    ขอทานคนนี้ ได้บุญเยอะสุด ทั้งๆที่ มีเศรษฐีอยู่ต่อหน้าท่าน
    บริจาคเงินไป ๑ ล้านเหรียญ ท่านบอกว่า เศรีษฐี มีเงินมากมาย
    นับไม่ถ้วน แต่ขอทาน ทั้งชีวิตนี้ มีแค่ ๓ เหรียญ
    แต่ว่า ยอมสละไป ๒ เหรียญ
    ดังนั้น ประเด็นนี้ ไม่ใช่เกี่ยวกับ การมีเท่าไหร่
    หรือ การพร้อมไม่พร้อม แต่มันอยู่ที่ใจ จิตใจที่คิดจะทำนะเวลานั้น
    และไม่ได้บอกว่า เศรษฐีถ้าจะบริจาคทั้งหมด จะได้บุญเท่าขอทาน
    นี่หละครับ ตรงนี้ต้องซ้อมเอาไว้ด้วยครับ


    ถ้าบ้านเรา อย่างเห็นคนทำบุญ แล้วคนที่เห็นมีใจน้อมรำลึก
    ยินดีแบบ ยินดีด้วยจริงๆ บางทีก็ฝึกเอาไว้ด้วยครับตรงนี้
    เพราะด้วยสายตา ความคิด ที่ไปกระทบภายนอก
    อาจจะทำให้ การยินดีด้วยจริงๆ ของเราลดน้อยลงไปได้
    ในสิ่งที่เค้าทำบุญด้วยจริงๆ

    ได้บุญพอๆกลับคนที่ทำนั่นหละครับ
    ประเด็นนี้ ได้ยินมากลับหู

    ปล. ๑.สวดมนต์ในใจลืมตา ถ้าจะไม่ให้เกิดคลื่นแทรก หรือ คลื่นกระโดด ๕๕
    ตาต้องนิ่งๆ เกือบๆทำตาให้แข็งๆไว้
    ห้ามขยัยซ้าย(จะสร้างเรื่องใหม่) ห้ามขยับขวา(จะนึกเรื่องเก่า)
    ทำได้แค่กระพริบตาเวลาที่ล้าเฉยๆ

    ๒.สวดมนต์ลืมตา ออกเสียงก็เช่นกัน ตาก็ต้องนิ่งๆ หรือ โพกัสที่บทสวดเท่านั้น
    ๓.สวนมนต์ในใจหลับตา ตาก็จะต้องโพกัสมาบริเวณเหนือคิ้วแบบธรรมชาติแบบมีตาเดียว
    (ของมันเอง)
    ด้วยการหลับตาปกติให้โน้มลงไปทางลิ้นปี่ แต่ไม่ต้องไปมองที่ลิ้นปี่

    เพราะถ้าสายตาขยับ หรือเปลี่ยนจุด จะเกิดคลื่นแทรกทันที
    จากระบบประสาทที่จะไปทำงานร่วมกับความคิดในสมอง
    พวกนี้มันทำงานเร็วมากครับ....
     
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712

    ปกติถ้าสงสัยมักจะถาม
    บางเรื่องพอรู้บ้าง แต่ลังเลๆ
    เพราะถ้าเกิดอาการลังเลจะทำให้ไม่มั่นใจ
    ยิ่งเวลาสวดมนต์ ยิ่งต้องมั่นใจ
    มั่นใจเกิด...สมาธิเกิด

    ผมมักสอนลูกว่า "ยิ่งถามยิ่งรู้"
    อย่างน้อยสุด ถ้าเค้าไม่ตอบ...
    ...เรายังรู้ว่า"เค้าไม่ตอบ"
    55...อ่านแล้วคงไม่งงนะ
     
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712

    555 ท่านอจ.นพยังหลับสนิทอยู่
    ผมเลยฉวยโอกาส ลักไก่เป็ดเล่าเรื่องที่"เจ"สงสัย
    ...เล่าจากประสบการณ์นะครับ
    ผมคิดว่า แค่คิด(คงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง)
    ถ้าเป็นบทสวดมนต์ที่ท่องจนจำฝังจิตฝังใจ
    หรือสวดประจำมานาน จะเดือน จะปี(ยิ่งดี)

    (ส่วนตัว)จะไม่เกิดอาการตามที่"เจ"เป็นอยู่
    ...ไม่ว่าจะสวดแบบในใจ หรือขยับปาก
    หรือออกเสียงเบาๆ
    หรือตามที่อาจารย์นพ...กรุณา
    ...ชี้แนะในข้อ1-2-3(ข้างบน)ได้หมด
    สมาธิระหว่างสวดจะมั่นคง...และนิ่ง
    ...ไม่เกิดคลื่นแทรกใดๆ
    แต่ถ้าบทสวดใหม่ๆ(แม้จำได้พอแม่น)
    ...จะเป็นเช่น"เจ"นั่นแหละ
    55...ไม่ต้องตกใจ...มีพวกแล้ว



    และที่จะเล่าต่อคือ
    ปกติเวลาสวดมนต์เกจิองค์ใดๆ
    พอถึงบทสวดเกจิอาจารย์ใดๆ
    ผมจะน้อมใจไปถึงใบหน้าท่านโดยทันที
    อย่างเช่นเริ่มต้น นโม...จะนึกถึงพระพุทธองค์
    ลป.ทวดจะนึกถึงลป.ทวด
    ลป.ดู่จะนึกถึงลป.ดู่
    ลพ.ปานจะนึกถึงลพ.ปาน
    ...เหมือนท่านอยู่ใกล้ๆ
    ...อย่างนี้เป็นต้น
    สลับองค์ไปเรื่อยๆตามบทสวด
    ที่สำคัญอย่ารีบร้อน...
    สวดแบบใจเย็นค่อยๆผ่านไปทีละองค์
    (แต่ก่อนสวดแบบรีบร้อน(วิ่ง100ม.)
    ไม่ดี...สมาธิเสีย
    (ท่านยังไม่มาเลย...จะรีบไปไหนกัน55)
     
  6. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712

    (อาจารย์นพ)
    ".....การบูชาวัตถุมงคล ถือเป็นการช่วยวัด
    เป็นส่วนหนึ่งในการทำนุบำรุงพุทธศาสนาทางหนึ่งครับ....."


    ขอบคุณครับ
    อ่านแล้วผมมั่นใจมากขึ้นเลยครับ


    เล่าเรื่องให้ฟังก่อน
    (ตามใจหลาน"เจ"ที่รอฟังอยู่...55)

    เมื่อวาน...ก่อนเที่ยงออกไปข้างนอก(ห้างเจ้าเดิม)
    ว่าจะเอาล๊อคเก็ตลป.ดู่-ลต.ม้าไปเลี่ยมใหม่
    ด้วย5-6วันก่อนทำตกพื้น
    มีเศษผงดำเทาบางส่วนกระจายตามใบหน้าลป.ดู่
    ทำให้รูปภาพมัว และเขย่าแล้วมีเสียงดัง
    (ส่วนอีกด้านภาพลต.ม้าเหมือนเดิม)

    ระหว่างทางคุยกับเจ๊เรื่อง(ตามที่ถามท่านอจ.นพ)
    "ระหว่างทำบุญเช่าพระ กับ หยอดตู้อันไหนได้บุญมากกว่า
    หรือเช่าพระไม่ได้บุญ"
    เจ๊ตอบว่า "ตามที่เคยได้ยินมา คนเค้าบอกว่าเช่าพระเหมือนต้องการสิ่งของ ไม่แน่ใจจะได้บุญหรือไม่"
    ผมเลยตอบไปว่า(คือตอบจากความเก๋าทางความคิด)...
    "ถ้าคนที่บอกไม่ได้บุญหรือบุญน้อยกว่า...ไม่น่าถูกต้องนะ เอ้าว่ากันตามความจริงคงไม่บาปนะ การเช่าวัตถุมงคล อย่างพระเครื่องย่อมมีราคาส่วนต่างมากพอสมควรจากการจัดหามาให้ญาติโยมเช่าบูชา ส่วนต่างนั่นแหละคือเงินทำบุญใช่ไหม ส่วนความต้องการได้สิ่งของ(พระเครื่อง)นั่นดีแล้ว เพราะแรงศรัทธาเกิด ได้บุญอีกส่วนที่นำพระพุทธ พระเกจิมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ยังได้บุญจากส่วนต่างเงินที่ทำบุญด้วย
    ...ไม่เป็นไรพรุ่งนี้รอคำตอบจากอาจารย์นพ"

    55...ถึงห้างพอดี...ไม่ต้องมาแย้งฉัน
    วันนี้ที่จอดเหลือหลายที่ เพราะไปถึงก่อนเที่ยง
     
  7. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    อ.นพครับ พี่ชายของน้องที่มาปรึกษาผมอาการดีขึ้นแล้วครับ เขาถามว่า เงิน 3 บาทนี้ ให้ใครไปทำบุญ ตัวน้อง หรือตัวพี่ชายที่โดนครับ แล้วต้องพูดว่าอะไรบ้าง เรียนถามอ.นพหน่อยครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ให้เจ้าตัวที่โดนไปทำที่วัดที่สดวก
    ด้วยการหยอดเหรียญอย่างน้อย ๓ เหรียญ(เหรียญอะไรก็ได้ ห้าสิบตังค์ , บาท ,สองบาท ,ห้าบาท ,สิบบาท)ใส่ตู้บริจาค
    ค่าน้ำ ค่าไฟวัด อุทิศให้ภพภูมิ
    ทุกท่านที่มีส่วนช่วยเหลือครับ
     
  9. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,220
    ค่าพลัง:
    +10,114
    ขอบคุณครับผม
     
  10. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    เช้านี้อ่านจากวรรคแรกจนจบ...รอบที่ 4

    (อาจารย์นพ)
    ".....การสวดมนต์ เป็นอุบาย การทำให้จิตใจสงบ ด้วยการจดจ่ออยู่กับบทของคาถานั้นๆ หรือ อยู่ในคลื่นความถี่ระดับใดระหนึ่ง จนกระทั่งจิตเกิดความสงบขึ้นมา จากการสวดต่อเนื่อง
    เพราะความต่อเนื่องในการสวดนั้น เป็นการสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างหนึ่งที่ไปลดกดคลื่นความถี่ปกติในชีวิตประจำวันที่มีค่าสูงให้คลื่นนี้บีบอัดลงมามีค่า ที่ไม่ใช่ศูนย์ อยู่ในระดับเดียวกัน ที่ทำให้จิตนิ่งๆสงบ
    เป็นระยะเวลานานขึ้น ให้อยู่ในคลื่นนี้นานขึ้น

    ส่วนผลของคาถาที่ไปสวดนั้น
    เป็นผลพลอยได้ตามมาภายหลังนั่นเอง....."




    แสดงว่าการใช้ชีวิตประจำวัน ความวุ่นวาย ใช้ความคิด การเคลื่อนไหวไปมา และอื่นๆ เป็นเหตุให้คลื่นความถี่มีค่าสูงขึ้น

    ถาม1.ไม่ทราบว่า...ถ้าตลอดคืนหลับสนิทหลับยาว...
    ...เวลาลืมตาตื่นเช้าขึ้นมาใหม่ๆ
    คลื่นนี้ควรจะอยู่ใกล้ศูนย์(0) หรือต่ำกว่า0

    ถาม2. คลื่นความถี่ที่กล่าวนี้ มีเครื่องมือตรวจวัดค่าเหมือนเทอร์โมมิเตอร์ตรวจวัดอุณหภูมิหรือไม่
    ถ้ามี(แบบเล็กๆพกติดตัว หยิบดูค่าได้ทันที)
    ...อาจช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้น
    ...หน้าที่การงานดีขึ้น
    ...หรือใช้ประโยชน์ในการสวดมนต์/นั่งสมาธิ
    ...และหรือใช้ประโยชน์งานด้านอื่นๆ


    (อาจารย์นพ)
    ".....ส่วนผลของคาถาที่ไปสวดนั้น
    เป็นผลพลอยได้ตามมาภายหลังนั่นเอง....."

    ถาม3. บทสวดคาถามีคลื่นความถี่ด้วยใช่ไหม

    ถาม4. บทคาถาแต่ละเกจิอาจารย์ มีคลื่นพลังงานความถี่สูง-ต่ำหรือ"แรง"ต่างกันหรือไม่
    สัมผัสรับรู้ได้จากบางคนที่สวด หรือไม่(คล้ายบางคนเอามือกำพระเครื่องจะรู้สึกความแตกต่างได้)

    ขอบคุณครับอาจารย์นพ

     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    FDED83CC-6D29-4A7C-A280-5FD0E7F49151.jpeg ดูภาพเล่นๆไปก่อนครับ
    ระดับที่ทำให้หลับ = ๑ Hz
    เทียบกับปฐมฌาน


    F21B9EF2-AE06-4875-992A-8082CF89D7B1.jpeg 70093335-0F7E-4B64-A017-C75139E2684B.gif
    ต่ำกว่า ๑ Hz ลงมาเรื่อย จนเข้าใกล้ ๐ Hz
    คือ ระดับฌาน ๒ ,๓,และ ๔ = ๐ Hz


    ช่วง ๔-๘ Hz คือ อุปจารสมาธิครับ

    สูงกว่านี้คือตื่นครับ
    พวกเก่งสมาธิ เวลาวัด
    คลื่นจะ = ๐ Hz ครับ


    เด่วว่ามาเล่าต่อครับ

    ปล วันนี้พาเพื่อนไปหา พระครูปลัดจิตไวครับ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    การใช้ชีวิตประจำวัน คลื่นความถี่สูงปกติอยู่แล้ว

    ส่วนเวลาตื่นนอน คลื่นจะขึ้นมาจาก ๑ Hz กรณีหลับสนิท
    มี ๒ กรณี ๑.ค่อยๆขยับ จาก ๔ มา ๗ Hz กรณีคนปฏิบัติ
    และ ๙ ถึง ๑๓ Hz กรณีคนที่ชอบตื่นมาแล้วทำงานทันที
    และ ๘ Hz กรณีฝันร้าย. และ เกิน ๑๓ Hz ขึ้นไป

    เครื่องตรวจจับคลื่นความถี่สมองมีมานานแล้วครับ
    แต่ไม่ทราบว่านานแค่ไหน ค้นในเนทได้ครับ
    ที่ว่า มีแผ่นกลมๆ แปะไว้ ตามขยับ ตามศรีษะประมานนี้ครับ
    ส่วนตัวเข้าใจว่า ยังไม่ทำออกมาเป็น เชิงพาณิชย์ครับ


    บทหรือตัวอักษร ในพระคาถาต่างๆ แผงไว้ซึ่งลักษณะ
    พลังงานเฉพาะตน หากได้กล่าวคำนั้นไปแล้ว


    ที่นี้ คลื่นความถี่ที่ออกมาจากตัวบทคาถาใดๆนั้น
    ลักษณะของคำ จะเป็นการ หนุนเสริมพลังงานขึ้นไปเรื่อยๆ
    ให้มีความหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ และหมุนวนไปในทิศทางเดียวกัน
    และสุดท้ายก็เวียนอยู่ในความหนาแน่นนั้นๆไปเรื่อยๆ
    เช่น บทคาถาชื่อดัง มีชื่อเสียงต่างๆ


    ยกเว้นว่า บทคาถาที่ต้องการนำไปใช้งานทางใดทางหนึ่ง
    ในช่วงเริ่มต้นของคำ ตัวบทคาถาก็จะส่งเสริมให้มีความหนาแน่นและอีกตัวก็เพิ่มความหนาแน่นไปในทิศทางเดียวกันอีก
    และในตัวใกล้ๆสุดท้าย จะเป็นตัวที่
    พร้อมที่จะมีการผลักดันกำลังของคาถา
    สุดท้ายก็คือ เป็นการส่ง
    พลังงานเหล่านั้นออกไปใช้นั่นเอง.
    เช่น บทคาถามี ๕ คำ
    ตัวที่ ๑ หมุน ๒.หมุนเพิ่ม ๓.หมุนเพิ่มอีก ๔.หมุนดึงเอา ๑ ๒ และ ๓ เพื่อเตรียมส่ง. ๕.พร้อมส่ง(อาจเป่า อาจสาธุ อาจยกมือ เป็นการส่ง อย่างหนึ่ง)
    ประมานนี้ครับ



    ซึ่งก็แล้วแต่ว่า
    ท้ายที่สุดนั้น
    . จากการรวมของตัวอักษร จะมุ่งเน้นไปใน
    ทิศทางใด หรือใช้งานในทิศทางใดๆนั่นเองครับ

    ซึ่งจะมีรายละเอียดหยิบย่อยอีกมากมาย
    แต่ถ้า ภาพรวมแบบกว้างๆ ก็แบบที่เล่าให้ฟังครับ

    ปล. คำที่อยู่ในบทคาถา จะไม่มีบทใด
    ที่ให้เกิดคลื่นแทรก เกิดการก้าวกระโดดข้ามช่วงคลื่นเช่นกันครับ
     
  13. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    (อจ.นพ)
    ".....ต่ำกว่า ๑ Hz ลงมาเรื่อย จนเข้าใกล้ ๐ Hz
    คือ ระดับฌาน ๒ ,๓,และ ๔ = ๐ Hz

    ช่วง ๔-๘ Hz คือ อุปจารสมาธิครับ

    สูงกว่านี้คือตื่นครับ
    พวกเก่งสมาธิ เวลาวัด
    คลื่นจะ = ๐ Hz ครับ....."


    ขอบคุณครับท่านอจ.นพ
    ...เข้าใจแจ่มชัดครับ
    แสดงว่าช่วงที่สวดมนต์ไปนานๆ
    คลื่นความถี่ 1-8 เฮิร์ท(Hz)
    ...ภาวะจิตจะตกอยู่ในฌานใดฌานหนึ่ง(ฌาน 1-8)
    การนี้ย่อมขึ้นอยู่กับสมาธิแต่ละบุคคล
    หรือภาวะจิต-อารมณ์ในช่วงเวลานั่น
    แต่ไม่ใช่ต่ำกว่าศูนย์(0)
    จะทำให้บทสวดมนต์นั่นๆมีพลังมีประสิทธิผล


    (อจ.นพ)
    "การใช้ชีวิตประจำวัน คลื่นความถี่สูงปกติอยู่แล้ว
    ส่วนเวลาตื่นนอน คลื่นจะขึ้นมาจาก ๑ Hz กรณีหลับสนิท
    มี ๒ กรณี ๑.ค่อยๆขยับ จาก ๔ มา ๗ Hz กรณีคนปฏิบัติ
    และ ๙ ถึง ๑๓ Hz กรณีคนที่ชอบตื่นมาแล้วทำงานทันที
    และ ๘ Hz กรณีฝันร้าย. และ เกิน ๑๓ Hz ขึ้นไป"


    ๙ ถึง ๑๓ Hz กรณีคนที่ชอบตื่นมาแล้วทำงานทันที
    "ใครบ้างยกมือขึ้น"
    555.....ผมคนหนึ่งครับ
    ...อยู่หน้าจอ...แล้วใช่สมอง

    (ถามครับ)
    เคยคิดอยู่เหมือนกันว่า...
    การทำเช่นนี้ทุกเช้า
    ระยะยาวจะเกิดผลเสียต่อสมองหรือไม่
    เพราะเวลานอนหลับคลื่นความถี่ 1
    หลังจากนั่นสวดมนต์ภาวนาครึ่งชม.
    คลื่นความถี่อาจจะอยู่ที่ระดับ 2-8 แล้วแต่บางวัน

    หลังสวดมนต์...นั่งหน้าจอเลย
    คลื่นความถี่กระโดดไปที่ 9-13 เฮิร์ท
    หรือน่าจะมากกว่าในบางเช้า
    "Hz เฮิร์ทๆHertzนี้
    ...มันHurt สมองหรือไม่ครับ"




    ...จบสรุป
    ใครหนอ...ใคร ?
    คิดผลิตเครื่องตรวจวัดคลื่นความถี่
    ในเชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก...พกพาได้
    "ความเป็นเศรษฐีจงเป็นของคุณ"

    ...รอประเทศจีนครับ
    ...ประเทศที่ร่ำรวยส่วนหนึ่ง...
    ...มาจากเทคโนโลยี่ในกลุ่มคล้ายๆพวกนี้แหละ
    ... made in china แทบทั้งสิ้น

    "ประเทศไทยไม่สนใจบ้างเหรอ"
    ผู้คนทั่วโลกกำลังสนใจนั่งสมาธิเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    ขายความคิดครับ..55
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คุณ ๙ ถามมาแบบที่ว่า นอกตำราบนโลกจริงๆ ๕๕ แต่ดีแล้ว เพราะเรื่องแบบนี้
    ถ้าไม่มีคนถาม ส่วนตัวจะพูดไม่ได้
    หรือมักจะไม่พูดเลย

    คุณ ๙ ครับ ค่าของคลื่นยิ่งต่ำ
    ระดับฌาน ยิ่งมีตัวเลขสูงครับ
    ค่าตัวเลขระดับฌานจะสวนทาง
    กลับค่าของคลื่นนั่นเองครับ
    เช่น ในช่วง ๑ -๓ Hz
    ถ้าคลื่นลงมาเป็น ๑ Hz เทียบได้กับปฐมฌานหรือคลื่นหลับหรือคลื่นคร๊อกฟี๊ๆ
    เป็นคลื่นที่ปกติเราคุ้นเคยกัน
    และ ช่วง ๔ -๘ Hz คือ ครึ่งหลับครึ่งตื่น
    หรืออุปจารสมาธิ เราจึงพบอาการสัปหงก
    ในคนนั่งสมาธิ คือหลับไปแล้วและรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะคลื่นลงมา ๑Hz พอรู้ตัว คลื่นเลยสูงขึ้น รวมทั้งคนที่สวดมนต์ แล้วหงาวนอน
    สัปหงก

    และมักพบอาการเห็นโน้นนี่นั่นในท่านอน
    ในช่วงคลื่น ๔-๘ Hz แล้วก็หลับไปเลย
    หรือหลับไปแล้วค่อยเห็น แล้วหลับต่อ


    ยกเว้นเห็นแล้วจะตกใจ พยายามขยับตัว
    แม้ใจไปแต่ตัวไม่ไปดังใจ แต่พอรู้สึกตัวก็จะตื่นไม่นอนต่อนั้นเอง เพราะคลื่นจะเกิน ๙ Hz ขึ้นไป
    สรุปพวกนี้ คลื่นมัน
    วิ่งในช่วง ๑-๘ Hz นั่นเอง แม้จะเห็นภาพและสีได้แต่หลักสังเกตุคือ
    มันจะมีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
    และแรงดึงดูด แรงโน้มถ่วงเข้าเกี่ยวของ
    น้อยมากๆ ทางปฎิบัติเรียก อุคคหนิมิต
    แม้เห็นในขณะลืมตา ก็คลื่นช่วงนี้
    แต่ที่หลงตัวเองเพราะคิดว่า
    เป็นระดับคลื่นต่ำ ฌานสูงนั่นเอง
    (ย้อนทบทวนความรู้เดิม ให้นึกๆว่าโลก เรามี ๔ การค้นพบ ๔ แรงคือ แรงโน้มถ่วง, แรงแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสง, แรงดึงดูด ,แรงนิเคลียร์แบบเข้มและอ่อน)

    กำลังสมาธิ ในช่วงนี้ คือสูงสุดที่ปฐมญาน
    หรือ ฌาน ๑ เท่านั้นครับ
    คือ มีแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง ขึ้นมาหน่อย และแรงดึงดูดน้อยมาก


    แต่ถ้า ฌาน ๒ คือ คลื่นจะอยู่ช่วง ๐.๙ -๐.๖ Hz ช่วงคลื่นนี้จึงมักไม่ปรากฏภาพ แต่ปรากฏในรูปของแสงหรือพลังงานแม่หล็ก
    ไฟฟ้าขึ้นมาทำให้เห็นมีสีต่างๆได้
    และแรงโน้มถ่วงคือมีการเคลื่อนที่ไปมามีการดึงดูด คือ เริ่มมีทั้งสามแรงขึ้นมาบ้าง
    พอให้สังเกตุได้บ้าง

    และพอเข้า ฌาน ๓ คลื่นก็จะอยู่ในช่วง ๐.๕๙ - ๐.๑ Hz ช่วงนี้มีแรงแม่เหล็กไฟฟ้า
    แรงโน้มถ่วง แรงดึงดูด ในระดับที่รู้สึกได้ชัดเจน เลยเห็นประกายต่างๆ มีแรงดึงดูด
    ที่สามารถดูดตัวจิตเข้าไปได้ มีมวลแรงดึงดูดชัดเจน และ รู้สึกถึงแรงต้านชัดเจนจากแรงโน้มถ่วง
    ทางปฎิบัติเลยเรียกว่า ปฎิภาคนิมิต

    พอคลื่นต่ำกว่า ๐.๐๙ ถึง ๐.๐๐ นั่น กำลังของ
    สมาธินั้น ก็เพียงพอ ที่จะไปแยกให้ จิตพ้น
    จากแรงดึงดูด แรงโน้นถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้าได้ จึงพบอาการ ออกล่องลอยไปตีลังกาหกคะเมนภายนอกร่างกายนั่นเอง

    เพราะกำลังสมาธิเป็น สื่อนำแรงชนิดหนึ่ง
    ที่สามารถกดคลื่นความถี่ให้ลดลง
    จนสามารถ แยกให้จิตพ้นกาย
    เข้าสู่ในรูปที่เหลือแต่สื่อนำแรงได้นั่นเอง


    แต่หากมาฝึกสมาธิเพิ่มเติมบวกกำลังสติ
    ก็จะสามารถ แยกตัวจิต ให้พ้นกาย
    และบังคับให้จิตนิ่งๆได้
    เมื่อคลื่นลดมาถึง ๐.๐๐
    (คือมีค่าเท่ากับศูยน์ ในระดับที่จะเป็นศูนย์ได้เท่าที่จะเป็นศูนย์ได้) ในครั้งต่อไป
    ช่วงนี้ จะมีอนุภาคตัวหนึ่ง ถ้ามันเปลี่ยนแปลงขั้วประจุ จาก + เป็น - และหลุดออกจากนิวเคียสแล้ว
    อนุภาคนี้จะหายไปได้
    (ปกติคือ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงขั้วประจุมันจะเปลี่ยนจากนิวตรอนไปเป็นโปรตรอนคือพูดง่ายๆมีแสงชัดเจน มีการรวมเข้ากับแรงดึงดูด แรงโน้มถ่วง ในตัวมันเอง
    ต่างกับคอนที่กำลังลดคลื่น คือมันอยู่ภายใต้แรงพวกนั้น มันลงเพื่อแยกตัวมัน ระหว่างลง
    มันเลยค่อยๆรู้สึกชัดขึ้น พอมันแยกตัวมันกับกายได้ ตัวมันก็จะรวมกับแรงเหล่าแม่เหล็ก แรงโน้มถ่วง แรงดึงดูดแทน เพราะมันกลายเป็นชนิดเดียวกัน ไม่ถูกร่ายกายมาขวาง
    ให้มันอยู่แค่ภายใต้เหมือนเวลาปกติทั่วไป
    เราจึงพบว่า จิตเดินทางไปโน้นนี่นั้นได้
    เคลื่อนที่แบบนั่นโน้นนี่ได้ ฯลฯ) ตรงนี้ทางวิทย์คือแรงนิวเคลียแบบอ่อน ในทางปฎิบัติเรียกว่า กิริยาจิตว่างจริงๆ (ไม่ใช่รู้สึกสงบและเข้าใจว่าว่าง)

    ดังนั้น
    1.ถ้ามีกำลังสมาธิควบคุมแรงไว้ ให้เป็นกลุ่มก้อนแต่ยังอยู่ในกาย ด้วยเอกลักษณ์ที่รวมกับแรงต่างๆมันเลยวิ่งในกายได้ทุกส่วนนั่นเอง
    ตรงนี้จะได้อานิสงค์เรื่องตัดการยึดกาย
    และพอมีกำลังสมาธิ ทางปฎิบัติเรียก จิตวิ่งในกาย

    2. หากไม่มีกำลังสมาธิรวม จิตจะวิ่งภายใน
    อนุภาคต่างๆ ที่มันรวมกันอยู่ วิ่งไปชนโน้นนี่นั้น ก็จะกลายเป็นว่า ได้ของเก่ากลับคืนมา
    ในเวลาปกติจะใช้งานได้เลย แต่กำลังสมาธิอาจจะยังน้อยไม่เหมือนข้อ 1
    ทางปฎิบัติเรียกว่า จิตในจิต

    ทั้ง 1และ2 อยู่ภายใต้ทั้ง แรงดึงดูด แรงแม่เหล็ก แรงโน้นถ่วง เหมือนกัน ดังนั้นจึงเกิดการวิ่ง เกิดแสง เกิดเสียงจากแม่เหล็กไฟฟ้า
    ได้เป็นปกตินั่นเองครับ เป็นแรงนิวเคลียแบบอ่อน ถ้าแบบเข้มคือ
    3. เล่นกับการ ยกกาย ถอดกายทิพย์อยู่
    สามารถกลับไปมาได้ภายในเสี้ยววิ
    คือ แรงนิวเคลียร์แบบเข้มนั่นเอง
    (เหมือนเราดึงยางยืด ปล่อยก็กลับมา
    เพียงแต่ พอถึงระดับอนุภาคมันพ้น
    กฏระยะทาง เวลา พูดพอให้เห็นภาพ)


    ปล. ทางวิทย์ด้วยเครื่องตรวจจับอนุภาค ณ ปัจจุบัน
    จะพบได้ถึง แรงนิวเคลียร์แบบอ่อนและเข้ม
    ค้นพบว่า มีการหายไปของอนุภาค
    แต่มันเทียบได้กับ กิริยาว่างของเราเท่านั้น
    ของพุทธ ยังค้นพบในส่วนของ
    แรงต่างๆ ที่ต่อจากนิวเคลียแบบอ่อน
    และค้นพบ การทำให้แรงเหล่านี้ไม่มีผลในเวลาปกติ ตลอดจนการทำให้มันค่อยๆน้อยลงได้ รวมทั้งสาเหตุที่เกิดแรงนี้ ที่ส่งผล
    ถึงปัจจุบันได้ มาตั้งแต่ยุคพุทธกาลแล้ว ฯลฯ


    เกือบได้ไปวัด พระครูปลัดจิตไวฟรี ดีที่ หลวงพี่รองเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมอุทยานอยู่พอดี ๕๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2019
  15. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712

    ขอบพระคุณมากครับอาจารย์นพ

    ค่าคลื่นความถี่กับระดับฌาณ
    ...อ่านแล้วสนุกดีเพิ่มพูนความรู้
    กำลังอ่านเพลินๆ...ติดลมบน
    มาเจอล่างๆที่อาจารย์นพเขียนในเชิงลึกๆ
    ...เริ่มสับสน...ถ้าติวก่อนเข้าห้องสอบ
    ...สอบตกแน่นอน
    ".....ช่วงนี้ จะมีอนุภาคตัวหนึ่ง ถ้ามันเปลี่ยนแปลงขั้วประจุ จาก + เป็น - และหลุดออกจากนิวเคียสแล้ว
    อนุภาคนี้จะหายไปได้
    (ปกติคือ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงขั้วประจุมันจะเปลี่ยนจากโปรตรอนไปเป็นโฟรตรอนคือพูดง่ายๆมีแสงชัดเจน มีการรวมเข้ากับแรงดึงดูด แรงโน้มถ่วง ในตัวมันเอง
    ต่างกับคอนที่กำลังลดคลื่น คือมันอยู่ภายใต้แรงพวกนั้น มันลงเพื่อแยกตัวมัน ระหว่างลง
    มันเลยค่อยๆรู้สึกชัดขึ้น พอมันแยกตัวมันกับกายได้ ตัวมันก็จะรวมกับแรงเหล่าแม่เหล็ก....."


    555....มาพร้อม...ชุดใหญ่
    ...เริ่มงงแล้วครับ
    ทำเอาส่งการบ้านไม่ทัน
    เด๋วเก็บไว้ค่อยๆอ่านอีกรอบสองรอบ
    มีทั้งนิวเคลียส โปรตรอน โฟรตรอน แรงแม่เหล็ก
    ดีที่เคยรู้จากอจ.นพมาบ้างเล็กน้อย
    มิเช่นนั่นคงมีการบ้านถามอีกประมาณว่า...
    "แล้วการนั่งสมาธิ เกี่ยวอะไรกับเรื่องพวกนี้"

    ฮึกๆ...อ่านแล้วไม่มีสมาธิเลย
    เพราะงงๆเริ่มสับสนเหมือนติดอยู่ในเขาวงกต
    ...หาทางออกไม่เจอ 55

    แต่พอมาเจอล่างสุด
    "เกือบได้ไปวัด พระครูปลัดจิตไวฟรี ดีที่ หลวงพี่รองเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมอุทยานอยู่พอดี ๕๕"


    อารมณ์ผ่อนคลายเลย
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    *** แก้ไข
    เปลี่ยนจากนิวตรอนไปเป็นโปรตรอนครับ
     
  17. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    (อจ.นพ)
    ".....หากไม่มีกำลังสมาธิรวม จิตจะวิ่งภายใน
    อนุภาคต่างๆ ที่มันรวมกันอยู่ วิ่งไปชนโน้นนี่นั้น ก็จะกลายเป็นว่า ได้ของเก่ากลับคืนมา
    ในเวลาปกติจะใช้งานได้เลย แต่กำลังสมาธิอาจจะยังน้อยไม่เหมือนข้อ 1
    ทางปฎิบัติเรียกว่า จิตในจิต....."

    (ถาม1)
    "คำว่า"ได้ของเก่ากลับคืนมา"
    ในที่นี่สื่อถึงอะไร?
    (เพราะสงสัยว่าทำไมไม่มีสมาธิรวมของเก่าจึงกลับคืนมาได้)


    (ถาม2)
    "จิตในจิต" กับ "จิตเห็นจิต"
    ...เหมือนกันหรือไม่

    ขอบคุณครับ

     
  18. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    เช้านี้มาเล่าเรื่องคนถูกหวยให้ฟัง
    (อารมณ์ค้างจากวันหวยออกที่ไปห้าง)
    ประมาณว่า..คนดวงดีสักอย่างซื้ออย่างไงก็ถูก
    คนดวงไม่ดี..ไม่ซื้อก็ไม่ถูก ซื้อก็ไม่ถูก 55

    ครั้งที่2แล้วที่ลป.ดู่มีส่วนนำพาโชคลาภมาให้เจ๊
    คงยังจำได้ที่เพิ่งเล่าให้ฟัง....
    "พบพระภิกษุหน้าตาคล้ายลป.ดู่"
    วันนั่นท่านบอกว่า"บวชปี 2531"(หรือ32จำไม่ได้)
    ผมกับเจ๊...สงสัยกันทั้งคู่
    เพราะจำไม่ได้...ว่าปี 31 หรือ 32
    ประมาณว่าสับสนนั่นแหละ

    แต่ผมนั่นสิ ลืมเรื่องนี้สนิท
    จนวันหวยออกอยู่ที่ห้าง
    ได้ยินแม่ค้าคุยกันว่า 23,32
    ...มาทั้งบนทั้งล่าง

    เจ๊ที่อยู่ข้างๆ...ยิ้มร่า บอกว่า
    "ลพ.จ้อยบนล่างเลย เด๋ววันไหน ไปทำบุญที่วัดกัน"
    ผมจึงถามว่า "เอ้าเอามาจากไหน"
    "ปีที่ลพ.จ้อยบวชไง"

    เออ...เป็นไงไป...ลืมสนิท
    ไม่กระซิบบอกกันบ้างเลย...ครั้งที่2แล้วนะเจ๊
    วันก่อนกลับมาจากวัดยังคุยเรื่องปีพศ.อยู่เลย
    ...ว่าว่างๆจะโทรไปกราบเรียนถามท่านให้แน่ใจ
    เพราะช่วงที่ท่านยื่นนามบัตรมา
    ท่านบอกว่ามีอะไร โทรมาตามนี้


    55....ลืมไปแล้ว...ไปซื้อตัวอะไรมาไม่รู้
    ทั้งเป็ด ทั้งพญานาค
    ทั้งบันไดนับได้กี่ขั้น
    ฮางับ ฮางึบ...สิงานนี้

    แต่เจ๊สิ...7 งวดติดๆกันแล้ว
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอบ 1 ไม่ใช่ไม่มีสมาธิครับ
    '' กำลังสมาธิรวม ''
    คือ สมาธิในระดับขั้นสูง คือ ในระดับฌาน ๔
    แต่ระดับฌาน ๔ นี้ ถ้าใครก็ตาม ที่เคยเข้าได้ครั้งแรก
    จะไม่สามารถควบคุมตัวจิตให้อยู่ในกายได้
    เพราะนิสัยเดิมของจิตมันชอบท่องเที่ยว

    แล้วถึงมาสร้างสมสมาธิต่อ จนถึงในระดับที่ควบคุม
    ให้ตัวจิตในกำลังระดับฌาน ๔ ที่มันแยกขาดจากกาย
    ได้ชั่วคราวนั้น มันอยู่นิ่งๆให้ได้ก่อน. ตรงนี้คือ
    กำลังสมาธิรวมครับ

    ซึ่งถ้าใคร มีกำลังสมาธิรวมตรงนี้ จิตจะวิ่งในกายได้
    หรือ ถ้าใครมีไม่พอ มันก็วิ่งซ้อนเข้าไปใจจิตเรื่อยๆ
    ที่เรียกว่า จิตในจิต บางคนอาจจะเรียกว่า จิตเห็นจิตก็ได้
    แต่ทางกิริยาจะไม่ค่อยตรง เพราะ จิตเห็นจิต
    มักใช้ไปในทางด้านปัญญาครับ
    แต่จิตในจิต มันเป็นสมถะครับ

    จะเรียกอย่างไรก็ได้
    แต่ กิริยา มันคือ ตัวจิตวิ่งซ้อนเข้าไปในตัวมันเอง
    (จริงๆมันจะเกิดการระเบิดไปเรื่อยๆ )
    ใครทำแบบนี้ ของเก่าจะกลับมาได้ในระดับใช้งานปกติ
    แต่กำลังสมาธิ จะสู้ พวกที่จิตวิ่งในกายไม่ได้ ครับ

    แต่ถ้ามาถึง จุดที่ กำลังสมาธิรวมได้
    มักจะเป็นไปเอง ตามแต่การสะสมมาของแต่ละดวงจิต
    พูดง่ายๆ ว่า เราเลือกเองไม่ได้ครับ
     
  20. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,876
    ค่าพลัง:
    +4,712
    ประมวลคติธรรมของหลวงปู่ดู่

    ๑. ครูอาจารย์ดีๆ มีอยู่มากก็จริง แต่สำคัญที่เราต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มาก นั่นแหละจึงจะดี

    ๒. การปฏิบัติ ถ้าหยิบตำราโน้นนี้มาสงสัยถาม มักจะโต้เถียงกันเปล่า โดยมากชอบเอาจากอาจารย์โน่นนี่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้มา …การจะปฏิบัติให้รู้ธรรมเห็นธรรม ต้องทำจริง จะได้อยู่ที่ทำจริง เอาให้จริงให้รู้ ถ้าไปเรียนกับครูอาจารย์อื่นโดยยังไม่ทำให้จริงให้รู้ ก็เหมือนดูถูกดูหมิ่นครูบาอาจารย์

    ๓. การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ศีลคือ ดิน สมาธิ คือ ลำต้น ปัญญาคือ ดอกผล เราต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงาม ก็ต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน และต้องคอยระมัดระวังมิให้ตัวหนอนคือ โลภ โกรธ หลง มากัดกิน

    ๔. ถ้าเป็นโลกแล้ว จะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา แต่ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเข้ามาหาตัวเอง เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดในตัวของเรานี้ทั้งนั้น

    ๕. “โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม”
    เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง... ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง

    ๖. ให้พยายามภาวนาไว้เรื่อยๆ ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน ทำได้ตลอดเวลาถ้าเราจะทำ ดีกว่านั่งร้องเพลง จะซักผ้า หุงข้าว ต้มแกง นั่งรถ ทำได้ทั้งนั้น เขาเรียกว่า พยายามเกลี่ยจิตใจให้เข้าที่ ถ้าจะรอเวลาปฏิบัติ (นั่งสมาธิภาวนา) ทีเดียวมันยาก เพราะจิตมันแตกมาตลอดวัน

    ๗. ของดีอยู่ที่ตัวเรา ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต

    ๘. คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร

    ๙. ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เหมือนรสแกงส้ม
    ศีล เปรียบได้กับรสเปรี้ยว ความเปรี้ยวทำหน้าที่กัดกร่อนความสกปรกออก ทำนองเดียวกัน ศีลจะช่วยขัดเกลาความหยาบออกจากทางกาย วาจา ใจ
    สมาธิ เปรียบได้กับรสเค็ม เพราะความเค็มช่วยรักษาอาหารต่างๆ ไม่ให้เน่าเสีย สมาธิก็เหมือนกัน สามารถรักษาจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีได้
    ปัญญา เปรียบได้กับรสเผ็ด เพราะปัญญามีลักษณะคิด อ่าน ตริตรอง โลดแล่นไป เพื่อขจัดอวิชชาความหลง

    ๑๐. การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย เลยไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้ ภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าว ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆ กินไป มันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไป ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัว แล้วเราจะรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป

    ๑๑. รวยกับซวยมันใกล้กันนะ จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ กลัวคนจะมาจี้มาปล้น หมดไปก็เป็นทุกข์อีก ไปคิดดูเถอะ มันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอา “ดี” ดีกว่า

    ๑๒. ความสำเร็จนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทานให้ หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่าง
    รับรองว่าต้องสำเร็จ ไม่ใช่จะสำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้ว ครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำตามแบบ เป็นตัวอย่างให้เราดูอัฐิของท่านก็เลยกลายเป็นพระธาตุกันหมด

    ๑๓. รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัวแล้วจึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำตอนเรือหรือแพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์

    ๑๔. ที่ว่านิมิต แสงสว่างเป็นกิเลสก็ถูก แต่เบื้องแรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส
    (อาศัยกิเลสละเอียดไปละกิเลสอย่างหยาบ) แต่ไม่ได้ให้ติดแสงสว่างหรือหลง
    แสงสว่าง ท่านให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เกิดประโยชน์เหมือนอย่างกับเราเดินทางผ่านไปในที่มืด ก็ต้องอาศัยแสงไฟช่วยนำทาง หรืออย่างว่าเราจะข้ามแม่น้ำ ก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ เมื่อถึงฝั่งแล้ว เราจะแบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไปด้วยทำไม

    ๑๕. อย่าต้มน้ำทิ้งเปล่า ๆ โดยไม่ได้เอาน้ำร้อนไปใช้ประโยชน์ (หมายถึงอย่าเอาแต่ทำสมาธิโดยไม่พิจารณาธรรม)

    ๑๖. อย่าปฏิบัติแบบไฟไหม้ฟาง (หมายถึงไหม้วูบเดียวแล้วก็ดับ กล่าวคือ ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็หยุด อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องทำ (ปฏิบัติธรรม) ให้สม่ำเสมอให้ได้ทั้งในยามขยันและขี้เกียจ)





    ขอขอบคุณแหล่งที่มา.....

    http://www.luangpordu.com/?cid=453602
     

แชร์หน้านี้

Loading...