เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ก็ปั้นเป็นรูป ขึ้นรูปหล่อ และนำไปจัดแสดง ต่อไปนะ นะอาจารย์


     
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    โปรดระวังเรื่อง เกี่ยวพัน หมิ่นพระพุทธเจ้าว่าด้วย พระมหาปุริลักษณะ และพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงปฎิบัติ ซึ่งคุณสมบัติแตกต่างกับอุลตร้าแมนด้วยครับ ก้าวพลาด ได้ไปเที่ยวนรกปหาสะกันเป็นขบวนแน่นอน


    ก็เหตุใดเล่า ในพุทธสมัยนั้นๆต่อมาจึงไม่กล้าสร้างรูปจำลองและรูปเลียนแบบ โดยขาดความรู้และเจตนา ก็เหตุนั้นแลฯ

     
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เทวทัตตสูตร
    สมัยหนึ่ง เมื่อพระเทวทัตต์หลีกไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาค
    ประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค
    ทรงปรารภพระเทวทัตต์ ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภ สักการะและการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นกล้วยย่อมเผล็ดผลเพื่อฆ่าตน เมื่อความพินาศ แม้ฉันใด ลาภ
    สักการะ และการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศก็ฉันนั้นเหมือนกัน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม้ไผ่ย่อมตกขุยเพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศแม้ฉันใด ลาภ สักการะ และการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตนเพื่อความพินาศ ฉันนั้นเหมือนกัน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม้อ้อย่อมผลิดอกเพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ แม้ฉันใด ลาภ สักการะ และการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ ฉันนั้นเหมือนกันแล

    ดูกรภิกษุทั้งหลายแม่ม้าอัสดรย่อมตั้งครรภ์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ แม้ฉันใด ลาภ สักการะและการสรรเสริญเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตต์เพื่อฆ่าตน เพื่อความพินาศ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
    ผลกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วย
    ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
    ดอกอ้อ
    ย่อมฆ่าต้นอ้อ
    ลูกม้าอัสดรย่อมฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉันใด

    สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว ฉันนั้น ฯ
    จบสูตรที่ ๘

    เพราะมันมีอะไรมากกว่านี้อีก ที่จะเกิดขึ้น ในประเทศไทย

    ประเทศที่มีอวตารเป็นขุยไผ่มากมาย

    ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2020
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ที่น่ากลัวที่สุดอยู่ในตอนนี้ คือใจคนเรา สังคมถกเถียง แตกแยก เถียงเรื่องอะไร? ไม่เถียง เถียงเรื่องพุทธ เถียงเรื่องธรรม เถียงเรื่องพระวินัย

    เมื่อเถียงกันแล้วได้อะไร? นั่นล่ะข้อสรุป เถียงเพื่อปกป้องตนเองหรือเพื่อปกป้องใคร?

    ข้อถกเถียงที่เกิดในโลกมนุษย์ที่ส่งผลหลัก คือเรื่องธรรมทั้งมวลและธรรมล้วนๆ เหตุการ์ณในโลกมนุษย์ย่อมสงผลถึงโลกธาตุอื่นด้วย ทั้งในสวรรค์และนรก เมื่อถกเถียงจึงวุ่นวายหาข้อยุติมิได้ โดยเฉพาะในเรื่องพระสัทธรรมและอสัทธรรม เมื่อพระสัทธรรมเริ่มเลือนลางไปจากใจของหมู่สัตว์ในโลกธาตุ กำเนิดสัทธรรมปฏิรูปขึ้นมาแทน

    หากเมื่อใดโลกบังเกิด อลัชชีโมฆะบุรุษอามิสทายาท สรรเสริญแต่งเติมซึ่งสัทธรรมปฎิรูป ส่งเสริมอสัทธรรม ย่ำยีเสียแล้วซึ่งพระสัทธรรม ก้าวล่วงเป็นใหญ่ในสังฆปริมณฑล ทุกภพภูมินรกสวรรค์ จึงเกิดวิปริตแปรปรวนมากขึ้น จากที่เป็นอยู่ธรรมดาที่ไม่เที่ยงอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมเกิดภัยพิบัติแก่โลกมนุษย์ และสหโลกธาตุภพภูมิทั้งหลายนนั้นด้วย เมื่อไร้ซึ่งพระสัทธรรม อสัทธรรมโชติช่วง โลกาย่อมวินาศ ณ ครานั้น

    เมื่ออสัทธรรมกล้าแข็งถึงที่สุด เมื่อโลกธาตุทั้งหลายสั่นไหว บุคคลทั้งหลายปราถนาพระสัทธรรม จึงจะมีการ ถือกำเนิดจุติธรรมเป็นอิทัปปัจยตา แม้ผู้รู้แล้วยังทำได้แค่อยากและปราถนา ก็ได้พึ่งธรรมพึ่งตนเฝ้าคอย เพียงเท่านั้น

    ผู้ใดเล่าหนอ จะมาไถพรวน ผืนดินถิ่นธรรม ที่แห้งผากนี้ให้ราบลุ่มเขียวขจี

    IMG_20150320_201233.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2020
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เด็กก็คือเด็ก เกิดผมมีลูกอายุ3ขวบ วาดรูป เศียรพระพุทธเจ้า ใส่ ตัวเซเลอร์มูน ผมคงต้องฆ่าลูกตนเองทิ้งเหรอ? เรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องเจตนา และความใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็ก แต่ก่อนอื่น เราต้องให้ความรู้เด็ก ว่า พระพุทธเจ้ามีพุทธลักษณะอย่างไร?ทำไมจึงได้ร่างกายมหาปุริลักษณะแบบนั้นมา แน่นอน ต้องมีคนคอยให้คำปรึกษา ที่ดีก่อน ครับค่อยส่งเสริม ดูทางหนีทีไล่ดูผลกระทบให้ดีก่อน วางแผนให้ดีค่อยจัดแสดง โลกใบนี้ไม่ใช่ของเราเพียงคนเดียว จะให้คนมาเห็นด้วยกับเราท่านทั้งหมดนั้นไม่เคยมี
    50881530_191777788446757_2760767250876071936_n.jpg
     
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ไอ้ที่ควร ด่าไม่ด่า กลับไปด่าเด็กศิลป์ สำนักพุทธและชาวพุทธเอย!



    หนักกว่านี้ก็มีมาแล้ว โดยเจตนา ตามภาพ


    แค่เรื่องน้องวาดพระพุทธเจ้าอุลตร้า เรื่องเด็กๆครับ ทำไมต้องว่าน้องล่ะ!

    แปลกไหม? คนในสังคมประเทศนี้

    บอกแล้วว่า มันจะเชื่อมโยงเป็นอิทัปปัจจยตา นี่แหละที่สังคมควรรับรู้

    สักวันหนึ่ง ความจริงมันจะเผยออกมา


    ว่าอะไรผิด และอะไรถูก อะไร? ยอมได้ วางได้

    และอะไรไม่ควรยอม ควรวาง

    สุดท้ายเนื้อเรื่องก็วกกลับไปด่า "สำนักคลอง10 เหมือนเดิม

    ช่วยด่าและประนามกันด้วยชาวพุทธที่ด่าน้อง! น่ะนะ

    พอเจอเคสหนักกว่าทำเงียบ ! หัดไปละอายใจตนเองบ้าง

    ขนาดสร้างตามพุทธศิลป์มันยังบอกไม่ใช่พระพุทธเจ้า

    เรื่องของน้องเด็กศิลป์ กลายเป็นเรื่อง ขี้ขี้ ไปเลย





    35849125_387749901633686_6245051764584742912_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2019
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ถ้าจะมองให้บริสุทธิ์หาทางรอดซึ่งก็รอดยาก เพราะคุณสมบัติและส่วนประกอบ(แบรน์ต่างประเทศฯลฯ)ในภาพแตกต่างกับเจตนานั้นต้องประกอบกับ ทิฏฐิ ๖๒

    เชื่อว่าพระพุทธเจ้า คือ พระเอก และยอดมนุษย์ เด็กศิลป์สามารถอ้างได้

    และน้องก็ไม่รู้จัก ยอดมนุษย์มากพอ คือเชื่อแบบเด็กๆ เห็นแต่เปลือกและกระพี้ก็พอ ไม่ถึงแก่น

    w644.jpg
    ดาวน์โหลด (1).jpg



    เสด็จไปจักรวาลอื่น แปลงร่าง (นิมิตร่าง)" (ในกรณีนี้ใช้ได้เฉพาะ ถ้าไปเห็น พระพุทธเจ้าทรงแปลงหรือสัญญาเก่าในสภาวะจิตบ่งชี้เท่านั้น)


    แค่โลกนี้ มันแคบ เกินไป จินตนาการมันก็แคบตาม

    อันนี้เป็นไอเทม สำหรับน้องเด็กศิลป์วาดรูป

    พระพุทธเจ้า ทรงแปลงพระวรกายสอนธรรมตามสัตว์โลกในสหจักรวาล

    และอีกอย่างนะครับ
    พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแปลงร่างได้ ถ้ามันมีดวงดาวที่มีสัตว์ที่มีรูปร่างแบบอุลตร้าแมน

    ในข้อนี้ก็สามารถวิสัชนาแก้ได้


    ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปสู่แม้จักรวาลเหล่าอื่นหรือ. เออ เสด็จ
    ไป. เป็นเช่นไร. เขาเหล่านั้นเป็นเช่นใด พระองค์ก็เป็นเช่นนั้นเทียว. เพราะ
    ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
    ดูก่อนอานนท์ ก็เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อย ย่อมรู้เฉพาะแล ว่า ในบริษัทนั้น พวกเขามีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะเช่นนั้น พวกเขามีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น และเราให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมมีกถา และพวกเขาไม่รู้เราผู้กล่าวอยู่ว่า ผู้กล่าวนี้เป็นใครหนอ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ และครั้นให้เห็น
    แจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้รื่นเริงแล้ว ด้วยธรรมีกถาก็
    หายไป และพวกเขาไม่รู้เราผู้หายไปว่า ผู้ที่หายไปนี้เป็นใครหนอแล เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.


    เหล่ากษัตริย์ทรงประดับประดาด้วยสังวาลมาลา และของ
    หอมเป็นต้น ทรงผ้าหลากสี ทรงสวมกุณฑลแก้วมณี ทรงโมลี ฝ่ายพระผู้มี
    พระภาคเจ้าทรงประดับพระองค์เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แม้เหล่านั้นมีพระฉวีขาว
    บ้าง ดำบ้าง คล้ำบ้าง แม้พระศาสดาทรงเป็นเช่นนั้นหรือ. พระศาสดาเสด็จ
    ไปด้วยเพศบรรพชิตของพระองค์เอง แต่ทรงปรากฏเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่า
    นั้น ครั้นเสด็จไปแล้วทรงแสดงพระองค์ซึ่งประทับนั่งบนพระราชอาสน์ ย่อม
    เป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้นว่า ในวันนี้พระราชาของพวกเรารุ่งโรจน์ยิ่งนัก
    ดังนี้. ถ้ากษัตริย์เหล่านั้น มีพระสุรเสียงแตกพร่าบ้าง ลึกบ้าง ดุจเสียงกาบ้าง
    พระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมด้วยเสียงแห่งพรหมนั้นเทียว ก็บทนี้ว่า เราก็มี
    เสียงเช่นนั้น ตรัสหมายถึงลำดับภาษา. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังเสียงนั้นแล้ว
    ย่อมมีความคิดว่า วันนี้ พระราชาตรัสด้วยเสียงอันอ่อนหวาน. ก็ครั้นเมื่อ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเสด็จหลีกไป เห็นพระราชาเสด็จมาอีก ก็เกิดการ
    พิจารณาว่า บุคคลนี้ใครหนอแล. พระองค์จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุคคลนี้ใคร
    หนอแล อยู่ในที่นี้ บัดนี้ แสดงด้วยเสียงอ่อนหวาน ด้วยภาษามคธ ด้วยภาษา
    สีหล หายไป เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้. ถามว่า ทรงแสดงธรรมแก่บุคคล
    ทั้งหลายผู้ไม่รู้อย่างนี้เพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่อประโยชน์แก่วาสนา. พระองค์
    ทรงแสดงมุ่งอนาคตว่า ธรรมแม้ได้ฟังอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยในอนาคตนั้น
    เทียว.

    ไม่มีไอเทม ให้สำนักคลอง10 นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2019
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินร้องกองปราบแจ้งจับ นศ.สาวคนวาด “พระพุทธรูปอุลตร้าแมน” “อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” ก็ผิดด้วย ฐานให้กำลังใจเจ้าของผลงาน

    https://www.thairath.co.th/news/cri...FC0VTNxWn0vpm0rEvnD6Or5fV-YZ41ABtbAfnDeBtES-s
    ดาวน์โหลด.jpg
     
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    กระแสภาพมูลค่าหลักแสนหลักล้านจะถูกทำลายไป เมื่อมีพระสงฆ์สักรูปหนึ่ง (จะเสียสละตนก็ได้)แต่ความคิดเห็นจะเป็นสองขั้วทันที จากที่เห็นด้วย โดยอ้างว่าแสดงความคิดสร้างสรร์ตามที่ใครหลายคนบอก แต่งคอสเพลย์อุลตร้าแมน หรือ ยอดมนุษย์อื่นๆ

    สงสัยจริงๆ ก็นิมนต์ให้พระสงฆ์แต่งชุดอุลตร้าแมน รับกิจนิมนต์ ไปสวดมนต์ เดินบิณฑบาต ครานั้น ท่านจะใส่ บาตรหรือเปล่า จะพนมมือไหว้นับถืออย่างเดิมไหม? ถ้ายังใส่ ยังกราบไหว้ก็เตรียมบอกลาพระพุทธศาสนาในไทยได้เลย

    (
    เพื่อความชัดเจนก็ใส่แค่ท่อนล่างลงมา ยกเว้นช่วงศรีษะไว้)

    ความเจ็บช้ำ ความละอายใจ ความเกลียดชัง จะบังเกิดขึ้นมาตามทันที
    ไม่ต้องกล่าวถึงต่างศาสนาที่เขาเคร่งครัดนำพระเจ้าหรือศาสดาของเขาไปดูถูกดูหมิ่นมิได้เลย เอาแค่ เรื่องแต่งชุดเชียร์ลีดเดอร์ใช้สัญลักษณ์สำคัญทางศาสนาก็เดือดจนพองขนสยองเกล้าแล้ว



    นั่นล่ะสิ่งที่ซ่อนไว้ในใจคน พระพุทธเจ้าย่ำยีได้ แต่พระสงฆ์จะกลายเป็นย่ำยีไม่ได้ไม่เหมาะสม ตรรกะป่วยลำดับความสำคัญไม่เป็น

    พระผู้เสด็จไปดีแล้ว ใครจะร้องเรียนเรียกร้องหาความเป็นธรรมเพื่อปกปักรักษาท่าน โดยธรรมทายาท

    เรื่องนี้จะควบคู่ไปเกี่ยวกับ การเสื่อมสมณะเพศ จนถึงโคตรภูสงฆ์


    (โคตรภูสงฆ์ พระสงฆ์ที่ไม่เคร่งครัด ปฏิบัติเหินห่างธรรมวินัย แต่ยังมีเครื่องหมายเพศ เช่น ผ้าเหลืองเป็นต้น และถือตนว่า ยังเป็นภิกษุสงฆ์อยู่,)
    สงฆ์ในระยะหัวต่อจะสิ้นศาสนา










    171405-new-490066.jpg 557000013474106.jpg คลิป-10-e1558167973379.jpg 1-1.jpg


    รูปที่ไม่มีใครมาประมูล (เด็กประถมต่างชาติ) แต่งเติมตัดต่อมาแบบไหนก็ดูดี

    70909907_259194158371786_6415649596453683200_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2019
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    แค่คำเหมือน ! โดยไม่ต้องใช้สัญลักษณ์ใดๆ





    https://mgronline.com/entertainment/detail/9570000030232

    https://www.bangkokbiznews.com/news...T6vbB-R2eCRc6iVyNdmksfH4hdKoZ2vt6kTSq_ig6mEkE

    https://www.sanook.com/movie/37277/...q7VnYpqVgOA3W-GxlGHv_P5kLlaLGfnUPhqmB_xPr0Otw

    ศาลมาเลเซียตัดสินจำคุก 10 ปี 10 เดือน สำหรับผู้ใช้ facebook โพสต้ข้อความ หมิ่นศาสนาอิสลาม และ ศาสดามูฮัมมัด

    https://www.aljazeera.com/news/2019/03/190309143611139.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2019
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ฉนั้นท่านที่ปฎิเสธว่า ไม่เคยกินหรือไม่อยากกินน้ำปัสสาวะคงต้องหาวิธีเกิดแบบใหม่น่ะครับ แบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออะไรประมาณนั้น เป็นม่อนไปเลย "สไลม์" เป็นความรู้ที่น่าตกใจจริงๆ ว่าเราท่านต่างดื่มกินน้ำปัสสาวะตนเองหลายเดือน ในครรภ์ของมารดา

    https://www.youtube.com/watch?v=1qpRV_q99N0
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    น้ำคร่ำ คือ น้ำที่อยู่ในมดลูกของคุณแม่ตั้งครรภ์ ทารกจะเจริญเติบโตและลอยอยู่ในถุงน้ำคร่ำ นั่นเอง ส่วนเรื่องที่มาของน้ำคร่ำนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุครรภ์ของคุณแม่ค่ะ

    ในช่วงแรก น้ำคร่ำ จะมาจากน้ำเหลืองในเลือดของคุณแม่ พอในช่วง 3-4 เดือน น้ำคร่ำจะซึมผ่านทางผิวหนังของลูก ในช่วงนี้จะมีน้ำคร่ำประมาณ 50-80 มิลลิลิตร และช่วงหลังจาก 4-5 เดือนไปแล้ว ไตของลูกทำงานได้สมบูรณ์ ลูกก็จะปัสสาวะออกมาผสมรวมกับน้ำคร่ำด้วย ในช่วงนี้จะมีน้ำคร่ำประมาณ 150-200 มิลลิลิตร และเมื่อใกล้คลอดน้ำคร่ำจะมีมากถึง 1 ลิตรค่ะ

    ส่วนประกอบสำคัญของน้ำคร่ำ คือ น้ำ ประมาณ 98 เปอร์เซ็นต์ และ สารอาหารต่าง ๆ คือ โปรตีน กรดยูริค สารยูเรีย รวมทั้งขี้ไคลของทารก ขนอ่อน เส้นผม และปัสสาวะของทารกด้วย น้ำคร่ำจะไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา ลูกจะลอยอยู่ในน้ำคร่ำ บางทีก็ฉี่บางทีก็กินน้ำคร่ำและฉี่ออกมา ในน้ำคร่ำลูกสามารถทำการฝึกหัดหายใจเอาน้ำคร่ำเข้าไปในปอด โดยน้ำคร่ำจะไปดันให้ปอดขยาย ช่วยให้ปอดเจริญเติบโตได้ดีอีกด้วย

    น้ำคร่ำ มีความสำคัญมากนอกจากลูกจะลอยไปลอยมาในน้ำคร่ำแล้ว น้ำคร่ำยังมีหน้าที่ดังนี้
    • ป้องกันการกระทบกระเทือนจากภายนอกก่อนจะถึงตัวลูก
    • เมื่อถุงน้ำคร่ำโตขึ้นลูกก็สามารถขยับแขนขาไปได้หลายทิศทางตามที่ลูกต้องการ ทำให้กล้ามเนื้อของลูกได้พัฒนาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
    • น้ำคร่ำ เป็นแหล่งระบายของเสีย และเป็นแหล่งอาหารของทารกในครรภ์
    • น้ำคร่ำช่วยปรับอุณหภูมิในมดลูกให้เหมาะสมกับทารก
    ทีนี้ก็ทราบกันแล้วนะคะ ว่าน้ำคร่ำที่หล่อเลี้ยงอยู่ในมดลูกของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นไม่ใช่น้ำธรรมดา ๆ เพราะมีหน้าที่หลายประการ รวมทั้งยังเป็นสัญญาณเตือนอันตราย ต่อทั้งตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ด้วย การตั้งครรภ์ที่มีน้ำคร่ำมากหรือน้อยเกินไป มักเป็นตัวบ่งบอกว่า ทารกในครรภ์อาจจะพิการหรือมีการเจริญเติบโตที่ไม่ดี ดังนั้นคุณแม่ควรสอบถามคุณหมอทุกครั้งถึงปริมาณน้ำคร่ำ และวิธีการบำรุงครรภ์ให้ถูกวิธีค่ะ


    https://www.maerakluke.com/topics/2919
     
  13. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    คนไทยเน้นวินัย กับสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้องดีงาม มากกว่าจะเน้นการทำความเข้าใจ

    ศาสนาพุทธมีวินัย ข้อปฏิบัติ พิธีกรรมแต่
    ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นแค่วินัย ข้อปฏิบัติ พิธีกรรม
    แต่เป็นสิ่งที่าวพุทธต้องศึกษาและทำความเข้าใจตาม

    คำตอบง่ายๆคือคนที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ ไม่เข้าใจศาสนาพุทธมากพอ

    ศาสนาพุทธสอนให้เห็นธรรมดาของโลก

    ถึงการรักษาสิ่งดีงามของศาสนาจะเป็นเรื่องที่ดี
    แต่ก็ยังห่างไกลกับการเข้าถึงคำว่าศาสนาพุทธ

    ผมก็พูดไปตามความเข้าใจของผมอ่านะ ไม่ได้พูดว่าตัวเองคิดถูกนะคับ แค่ความคิดเห็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2019
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ประกาศสงครามครัังล่าสุด

    สงครามศักดิ์สิทธิ์ และสงครามกบฎและสงครามประชาชน

    และการล่มสลายบ่อนทำลายทุกสถาบันในชาติ
    จนไปถึงขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ในทุกๆดินแดนในโลกและนอกโลก

    เกราะคุ้มกันของโลกถูกทำลาย ไปจนถึงนาทีวิกฤตสูงสุด

    ได้แต่เฝ้ารอคอย!

    https://www.publicpostonline.net/30859
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    2503

    หวังว่าคงจะไม่เป็นชนวน
     
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สำหรับผู้สนใจสถานการณ์โลกควรมีแผนที่สถานการณ์ต่างๆ บุคคล ภัยพิบัติ เป้าหมายเพ่งเล็ง ฯลฯในโลกเพื่ออัพเดท เป็นกิจกรรมที่น่าสนุกและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    Click - https://www.youtube.com/results?search_query=urine+drin


    เออ กูขอท้ามึงและพรรคพวกที่เห็นด้วยกับมึง ท้าแดกยาสั่ง หรือยาพิษสารพิษชนิดที่สามารถทำสายระบบประสาทและหลอดโลหิตแบบถึงตาย


    ยาพิษสารพิษตัวเดียวกัน จากขวดเดียวกัน จะกี่ชนิดก็ได้ แต่มึงพวกมึงกับกูต้องแดกเหมือนกัน

    กูให้มึงและพวกมึงแดกแต่น้ำเปล่า
    ส่วนกูจะกินเยี่ยวกูเองหรือน้ำมูตรเน่าที่กูเยี่ยวใส่ขวดเตรียมไว้แล้วเท่านั้น!

    พร้อมมีสักขีพยาน อัดลงคลิป ออกข่าว เรียกทีมแพทย์ พิสูจน์กันแบบ นอนดิ้น เป็นหนูตะเภา กันเลยไหม?

    แพ้คือตาย ไซยาไนด์ ยาฆ่าแมลง พิษของสัตว์ แลนเนต เยอะแยะ

    ถ้าใจมึงไม่ถึงพอ อย่ากร่างให้มากนัก

    กูพร้อมเสมอ สำหรับมึงครับ

    ก็มาดิคับ

    วัดกันแบบซีซีไปเลย เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆจนออกอาการ หรือจะจัดเต็มแก้วตวงเดียวดอกเดียวรู้ผลก็ได้




    ถ้ามึงและพวกมึงนอนดิ้นพลาดๆลงพื้นก่อน มึงแพ้ และคนที่คิดแบบมึงอีกหลายคนก็แพ้ด้วย เอาแบบโคม่าน้ำลายฟูมปากหมดสติจึงให้ส่งทีมแพทย์ช่วยชีวิตได้ ช่วยทันไม่ทันค่อยว่ากันอีกที


    สำหรับกูไม่จำเป็นต้องไป ร.พ. ทีมแพทย์ช่วยชีวิต ไม่ต้อง แดกแค่เยี่ยว ชิวๆ


    กล้ารึเปล่า ดอ!

    ไหนๆก็เล่นกับหมา หมาเลียปากแล้ว ดอ!

    Live สด ไปเลย ! เผชิญหน้าไหม ดอ!


    เปิดดูไฟล์ 5043329 [/QUOTE]


    ความเป็นจริงของ"มหาวัฏร โภชนะ" ที่มีการทดลองและพิสูจน์ ได้ ไม่เสียแรงเปล่า

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2020
  18. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,907
    ค่าพลัง:
    +2,252
    หาก วัคซีง ยังไม่ชัวร์

    สงคราม มะเกิก หรอกกัฟ

    หาก ก่อ จ๋งกราม ท่ามกาง โคขวิด

    แพ้ ตั้งแต่ ตั้งค่าย เลย


    ตั้งค่าย ปั๊ป ปอกแหด ทันที

    เว้งแต่ จะ นิวนอม่อง ยุกทวิธี



    ทหารไทย ควร สึกษา แต่เนิ่งๆ


    รบแบยมี เพอสันเนาว์ ดิส สะ แทงซ์


    ( ปกปิด )
     
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    Work waiting time.

    - ดวงตาเห็นธรรมที่แท้จริง (จักษุ ๕)
    - คุณสมบัติธรรมของความเป็นครูสอนธรรมชั้นสูงเป็นโลกุตระธรรม ๕ ประการ ศีล ปัญญา สมาธิ วิมุตติ วิมุตติญานทัสสนะ
    -
    การสังคายนาพระไตรปิฏก ด้วยปฎิสัมภิทาญานและวสี ๕
    - พุทธทำนาย มหาสุบิน (การปรากฎ และ ทำลายอภยปริตร ห้วงกึ่งพุทธกาล)







     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2020
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    483 = ปี 2500
    พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี

    พ.ศ. ของไทย ปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2560 เท่ากับว่า พ.ศ.ไทยเรา เร็วไปกว่า 60 ปี

    จากตัวเลข 543 เป็น 483 - 60 ปี มีอะไรที่จงใจ ปกปิด หรือมีความลับอะไรหรือเปล่า? เรื่องใหญ่ขนาดนี้

    การสังคายนาครั้งที่ ๓
    เมื่อปี 235 ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย โดยมีพระโมคคลีบุตร ติสสเถระ เป็นประธาน การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน 1,000 รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 9 เดือน จึงเสร็จสิ้น 236


    คาถาสุภาษิตของพระปุสสเถระ

    ฤาษีมีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอันมาก ที่น่าเลื่อมใส
    มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึงได้ถามพระปุสสเถระว่า ในอนาคต
    ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จักมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร
    กระผมถามแล้วขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด?
    พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า


    ดูกรปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำคำของอาตมาให้ดี อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมากจักเป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อโอ้อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึงคิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพ
    กันและกัน ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลกก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง



    ฉะนั้น ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.
    ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว เมื่อจะ

    ให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า

    ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้
    ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย
    มีความเคารพกันและกัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล
    ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่าน
    ทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่
    ประมาทโดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อ
    ทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย

    ปฏิทินปักขคณนา
    ว่าไปแล้วไม่ใช่ของใหม่แต่เป็นปฏิทินโหราศาสตร์โบราณ(โชยติษ)ใช้กันมาตั้งแต่ยุคพระเวทของพรามณ์อินเดีย ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ทรงรื้อฟื้นขึ้นมาให้ถูกต้องตามหลักดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ ซึ่งได้ทรงอาศัยการศึกษาจากพระเถระชาวรามัญ(มอญ) ซึ่งเชี่ยวชาญในคัมภีร์โหราศาสตร์เรียกว่า “คัมภีร์สารัมภ์” (แปลงมาจากคัมภีร์สุริยสิทธานะตะของอินเดียอีกที)เป็นคัมภีร์ว่าด้วยคำนวณการโคจรของดวงดาวต่างๆบนท้องฟ้า คำนวณจันทร์เพ็ญจันทร์ดับ คำนวณการเกิดสุริยคราส จันทรคราส ได้ถูกต้องแม่นยำแม้กระทั่งในปัจจุบัน และใช้ในการกำหนดวันลงอุโบสถทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ในพุทธศาสนามาตั้งแต่ยุคพุทธกาล ซึ่งดิถีจากการคำณวนในระบบนี้เรียกว่า"ดิถีเพียร"มีความถูกต้องแม่นยำตามหลักดาราศาสตร์และโหราศาสตร์สำหรับการคำนวนให้ฤกษ์ยามชั้นสูงและการคำนวนดวงชาตาบุคคลในระบบโหราศาสตร์พระเวทของอินเดีย

    พระพุทธานุญาตให้เรียนปักขคณนา

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เมืองโจทนาวัตถุตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จกลับมายังพระนครราชคฤห์อีก. ก็โดยสมัยนั้นแล ชาวบ้านถามภิกษุทั้งหลายที่กำลังเที่ยวบิณฑบาตว่า ดิถีที่เท่าไรแห่งปักษ์ เจ้าข้า? ภิกษุทั้งหลายตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกอาตมาไม่รู้เลย. ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า แม้เพียงนับปักษ์ พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ก็ยังไม่รู้ ไฉนจะรู้คุณความดีอะไรอย่างอื่นเล่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้เรียนปักขคณนา.

    วิธีการคำนวณ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    ตามพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "วิธีปักขคณนา" จากหนังสือ "ความรู้เรื่องปักขคณนา", มหามกุฏราชวิทยาลัย, หน้า 42 (ตัวสะกดรักษาตามต้นฉบับเดิม) ได้กล่าวถึงที่มาและวิธีการคำนวณไว้ว่า
    จะว่าด้วยกาลนับปักข์ตามมัชฌิมะคติให้ปริสัช ที่ไม่รู้ภาษามคธได้ เข้าใจ ก็คำที่เรียกว่าปักข์นั้น คือแปลว่าปีกแห่งเดือน คือนับแต่พระจันทร์เพ็ญจนดับ ดับจนเพ็ญเรียกว่าปักข์หนึ่งๆ ก็ในปักข์หนึ่งนั้นบางทีมีวัน 14 15 ก็ในปักข์ 15 นั้น เรียกว่า ปักข์ถ้วน ในปักข์ 14 นั้น เรียกว่า ปักข์ขาด ก็ปักข์ถ้วนสาม ปักข์ขาดหนึ่งเรียกว่า จุละวัคค์ ปักข์ถ้วนสี่ ปักข์ขาดหนึ่ง เรียกว่า มหาวัคค์ จุละวัคค์สองที มหาวัคค์ทีหนึ่ง เรียกว่า จุลละสะมุหะ จุละวัคค์สามที มหาวัคค์ทีหนึ่ง เรียกว่ามหาสะมุหะ ในชั้นนี้ใช้มหาสะมุหะเป็นพื้น มหาสมุหะหกครั้ง จุลสะมุหะทีหนึ่ง เรียกมหาพยุหะ มหาสะมุหะห้าครั้ง จุละสะมุหะทีหนึ่ง เรียกว่า จุละพยุหะ ในชั้นนี้ใช้จุละพยุหะเป็นพื้น ฯ จุละพยุหะเก้าที มหาพยุหะทีหนึ่ง เรียก จุลสัมพยุหะ จุลพยุหะสิบที มหาพยุหะทีหนึ่ง เรียกว่า มหาสัมพยุหะ ในชั้นนี้ใช้มหาสัมพยุหะเป็นพื้น มหาสัมพยุหะมาได้สิบเจ็ดที จุละสัมพยุหะมาทีหนึ่ง เมื่อเป็นไปได้เท่านี้ คะติพระ 1, 2 ว่าจะได้เป็นเหมือน โดยมัชฌิมะคะติครั้งหนึ่ง ฯ

    วัตถุประสงค์ของปักขคณนาก็เพื่อหาวันจันทร์เพ็ญ หรือ วันจันทร์ดับ และ วันจันทร์ครึ่งดวง ให้ใกล้เคียงกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ซึ่งแต่ละปักข์จะมี 14-15 วัน ต้องตรวจดูเป็นปักษ์ๆ ไป สำหรับปักข์ที่มี 15 วัน ใช้คำ ปักษ์ถ้วน หรือ ปักษ์เต็ม และ สำหรับปักข์ที่มี 14 วัน ใช้คำว่า ปักษ์ขาด

    พระมหาเถระท่านย่อมไม่ใช้ผู้ไม่รู้ศักราชไม่รู้จัก จ.ศ ร.ศ พ.ศ.ไม่รู้การการ บวกลบ คูณหาร ดอกกระมัง! มีปเทสะญาน ขนาดนี้

    ที่สำคัญถ้ามีความแม่นยำหรือเทียบเคียงได้จาก สถิติ เหตุการณ์ต่างๆ ฯลฯ มาสมการตามเลขคณิตศาสตร์ ก็อาจจะมีความลับแห่งกาลเวลาซ่อนอยู่ ในตัวเลขเหล่านี้


    แผ่นจารึกใต้พระประธานในพระอุโบสถ

    เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็น
    ผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่
    สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไป
    แล้ว
    ๒๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช
    นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจาก
    เชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์
    จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป
    คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้
    เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว


    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    คำจารึกในแผ่นทอง ใต้แท่นพระประธาน
    ในพระอุโบสถ วัดท่าซุง
    สร้าง พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้วเสร็จ พ.ศ. ๒๕๑๙

    ถ้าเป็น 2738 - 2798


    235-236 คือ ปี พ.ศ. นับเอาหลัง ตติยสังคายนา

    การทำสังคายนาครั้งที่สามเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 234 ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย โดยมี พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ เป็นประธาน การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน 1,000 รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 9 เดือน จึงเสร็จสิ้น


    ตัด พ.ศ. ถ้าไทยนับเกิน 60 ปี +
    235/236 +2563 + 2798
    235/
    236 + 2503 + 2738

    เครื่องหมาย +คือ อนาคต
    เครื่องหมาย - คือ อดีต

    ตัด พ.ศ. ถ้าไทยนับเกิน 60 ปี -

    235/236 -2563- 2327 อัญเชิญขึ้นปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์
    235/236 -2503- 2267

    หากจะพิจารณา คำนวนจากตัวเลขหลายประการ

    ก็ล้วนแต่มุ่งความหมาย ไปที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่1ผู้ทรงเสด็จมากอบกู้พระพุทธศาสนาในแผ่นดินไทย ต่อจาก พระเจ้าติโลกราช ว่าด้วยเรื่องสังคายนา

    การสังคายนาครั้งที่ 1
    ความจริงสมัยนั้น เมืองเชียงใหม่เป็นอิสระ และถือได้ว่าภูมิภาคแถบนั้นเป็นประเทศล้านนาไทย แต่เมื่อรวมกันเป็นประเทศไทยในภายหลัง ก็ควรจะได้กล่าวถึงการชำระพระไตรปิฏก และการจารลงในใบลาน

    [​IMG] พระเจ้าติโลกราชผู้นี้ มีเรื่องกล่าวถึงไว้ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์สั้น ๆ ว่าสร้างพระพุทธรูปในจุลศักราช 845 ในหนังสือสังคีติยวงศ์เล่าเรื่องสร้างพระพุทธรูปชนาดใหญ่ ตรงกับหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ แต่มีเล่าเรื่องสังคายนาพระไตรปิฏกด้วย (พ.ศ. 2020) พระเจ้าติโลกราชได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎกหลายร้อยรูป มีพระธรรมทินเถระเป็นประธาน ให้ชำระอักษรพระไตรปิฎกในวัดโพธาราม 1 ปีจึงสำเร็จ เมื่อทำการฉลองสมโภชแล้ว ก็ได้ให้สร้างมณเฑียรในวัดโพธาราม เพื่อประดิษฐานพระไตรปิฎก
    ข้อที่น่าสังเกตก็คือ ตัวอักษรที่ใช้ในการจารึกพระไตรปิฏกในครั้งนั้น คงเป็นอักษรแบบไทยล้านนา คล้ายอักษรพม่า มีผิดเพี้ยนกันบ้าง และพอเดาออกเป็นบางตัว

    สังคายนาครั้งที่ 2

    [​IMG]พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดฯ ให้อาราธนาพระสงฆ์ผู้ทรงความรู้ให้ชำระพระไตรปิฎก ครั้งนี้มีพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 218 รูป กับราชบัณฑิตาจารย์อีก 32 คน ร่วมกันชำระพระไตรปิฎก แล้วจารึกลงในใบลาน ใช้เวลาในการชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ 5 เดือน
    ในปี พ.ศ. 2331 รัชกาลที่ 1 ทรงสละพระราชทรัพย์ให้ช่างจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน ให้ชำระแล้วแปลจากต้นฉบับที่เป็นอักษรลาวและรามัญ (มอญ) ลงสู่อักษรขอม (เขมร) แล้วสร้างพระไตรปิฎกถวายไว้ทุกอารามหลวง ต่อมาก็มีผู้กราบทูลว่า พระไตรปิฎกและอรรถกถาฎีกาที่ใช้กันอยู่นี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก จึงควรจะมีการชำระให้ถูกต้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดฯ ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะ พร้อมกับพระเปรียญจำนวน 100 รูป มาถวายภัตตาหาร หลังจากนั้น พระองค์ก็ตรัสถามถึงความผิดพลาดของพระไตรปิฎกว่ามีมากน้อยเพียงใด เมื่อได้ทรงทราบว่ามีมากจึงตรัสให้คัดเลือกผู้ที่มีความรู้เพื่อชำระพระไตรปิฎกอีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่ได้รับคัดเลือกครั้งนั้นมีพระสงฆ์จำนวน 218 รูป ราชบัณฑิตอุบาสก 32 ท่าน สถานที่จัดชำระจัดที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ (ปัจจุบันคือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์)

    [​IMG]การแบ่งงานการชำระพระไตรปิฏกครั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก พระวันรัตเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระพระอภิธรรมปิฎก พระพุทฒาจารย์เป็นแม่กองชำระสัททาวิเสส (ตำราไวยากรณ์และคำอธิบายศัพท์ต่าง ๆ) ครั้นชำระเสร็จทั้งหมดแล้ว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดฯ ให้ช่างจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน แล้วปิดทองทับทั้งในปกหน้าหลังและกรอบทั้งหมด เรียกว่า “ฉบับทอง” ห่อด้วยผ้ายก เชือกที่รัดก็ถักด้วยไหมแพรเบญจพรรณ ทุกคัมภีร์จะมีชื่อกำกับไว้ ซึ่งมีฉลากงาแกะเขียนอักษรด้วยหมึกและฉลากทองเป็นตัวอักษร



    "อันทรงพระประสูติกาลในแผ่นดิน
    พระเจ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ"
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงประสูติ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 สวรรคต 7 กันยายน พ.ศ. 2352


    พระเจ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระราชสมภพ พ.ศ. 2223 สวรรคต พ.ศ. 2301 ทรงครองราชย์ พ.ศ. 2275-2301


    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2327 - 2352)
    พ.ศ. 2325 เกิดจลาจลขึ้นในบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงปราบปรามจนราบคาบ ข้าราชการทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันอัญเชิญขึ้นปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ ต่อมาโปรดให้สร้างราชธานีใหม่ขึ้น ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานคร ทรงย้ายมาประทับในพระนครใหม่ใน พ.ศ. 2327 พระราชกรณียกิจส่วนใหญ่ในรัชกาลได้แก่การสงครามเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติหลายครั้ง ครั้งสำคัญที่สุด คือ สงครามเก้าทัพ ในปี พ.ศ. 2327 การปกครองประเทศทรงจัดแบ่งตามแบบกรุงศรีอยุธยา และโปรดให้ ชำระกฎหมายบทต่างๆ ให้ถูกต้องและจารลงสมุดไว้เป็นหลักฐาน 3 ฉบับ
    ทางด้านศาสนา โปรดให้สังคายนาพระไตรปิฎก พ.ศ. 2331 และจารฉบับทองประดิษฐานไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม นอกจากนี้ยังทรงสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามและพระพุทธรูปต่างๆ เป็นอันมาก
    ทางด้านวรรณคดีและศิลปกรรม ทรงฟื้นฟูวรรณคดีไทยซึ่งเสื่อมโทรมตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแตกให้ กลับคืนดีอีกวาระหนื่ง ทรงส่งเสริมและอุปถัมภ์กวีในราชสำนัก บทพระราชนิพนธ์ที่สำคัญ เช่น บทละคร เรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น งานทางด้านศิลปกรรมนั้นเป็นผลเนื่องมาจากการที่ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์และสร้าง พระอารามเป็นจำนวนมาก เป็นการเปิดโอกาสให้ช่างฝีมือด้านต่างๆ มีงานทำและได้ผลิตงานฝีมือชิ้นเอกไว้
    ปัจจุบันมีวันที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คือ วันที่ระลึกมหาจักรี ได้แก่วันที่ 6 เมษายนของทุกปี จะมีพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ณ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า


    พระพุทธศาสนายุคมุสลิมยึดครอง พ.ศ. 1700-2200 -- พระพุทธศาสนายุคอังกฤษปกครอง พ.ศ. 2200-2490

    2267 ช่วงพระพุทธศาสนาหายสาปสูญไปจากอินเดีย ก็เป็นไปได้

    พุทธศาสนายุคอังกฤษปกครอง พ.ศ. ๒๒๐๐-๒๔๙๐
    (Buddhism in British's time B.E.2200-2490)

    เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๑๗๖ สมัยพระเจ้าออรังเซบ พ่อค้าชาวยุโรปเริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายกับอินเดีย คือชาวยุโรปมีชาติโปรตุเกส ฮอลันดาฝรั่งเศสและอังกฤษ การมาของชาวยุโรปนั้นจุดประสงค์แรกก็เพื่อการค้าขายเป็นสำคัญ ยังไม่มีความคิดที่จะยึดเป็นเมืองขึ้นแต่อย่างใด และเพื่อรักษาการค้าของตนเองไม่ให้ถูกโจมตีทั้งจากชาวยุโรปด้วยกันและคนท้องถิ่น หลายบริษัทได้ตั้งกองทหารขึ้นโดยใช้ทหารพื้นเมืองอินเดียเอง และต่อมาอังกฤษก็เข้ายึดครองอินเดียทีละรัฐ จนเข้าครอบครองอินเดียได้เกือบทั่วประเทศ ในระยะนี้อังกฤษได้นำเอาศาสนาของตนคือคริสตศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียด้วย อังกฤษก็นำชาวอินเดียให้หันมานับถือคริสตศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียด้วย อังกฤษก็นำชาวอินเดียให้หันมานับถือศาสนาของตนได้บ้าง
    สมัยนี้ศาสนามุสลิมอ่อนกำลังลงไปบ้าง ศาสนาฮินดูกลับเจริญขึ้น ศาสนาเชนก็มีอยู่บ้างประปรายซึ่งโดยมากมีผู้นับถืออยู่แคว้นบอมเบย์ ในหมู่พวกพ่อค้าชาวคุชราตที่แคว้นเบงกอล และแคว้นพิหารบ้างบางส่วน ศาสนาเชนนั้นแม้จะมีคนนับถือกันน้อย แต่เชนศาสนิกโดยมากก็เป็นคนร่ำรวย วัดของศาสนาเชนสะอาดและสวยงามทุกแห่ง ไม่เหมือนกับวัดฮินดูซึ่งโดยมากสกปรก ส่วนพุทธศาสนานั้นได้ถูกทอดทิ้งลบเลือนไปจากความทรงจำของชาวอินเดียอย่างสนิท


    โรเบิร์ต ไคลว์ (Robert Cile) กัปตันชาวอังกฤษได้เข้ามาอินเดียและแย่งอิทธิพลกับฝรั่งเศส เมื่อมีเหตุการณ์ขัดแย้งกันเอง ระหว่างผู้ปกครองในอินเดียทั้งอังกฤษและผรั่งเศสจะไปถือหางคนละฝ่าย เช่น กรณีขุนนางจันทา สาหิบ และโมหัมหมัด อาลี ต้องการขึ้นครองราชบัลลังก์ที่อาโกท และทั้งสองต่างเตรียมต่อสู้ ฝรั่งเศสเข้าฝ่ายโมหัมหมัด อาลีสุดท้ายฝ่ายอังกฤษชนะ จันทา สาหิบจึงถูกจับและสังหาร โมหัมหมัด อาลีจึงเป็นเจ้าผู้ครองนครแทน แต่เขาก็เป็นแต่ในนามเท่านั้น เพราะอำนาจสั่งการอยู่ที่อังกฤษ ทำให้ฝรั่งเศสเสียอิทธิพลอย่างมาก จนต้องต้องล้มแผนการยึดอินเดียเป็นอาณานิคมในที่สุด ในที่สุดอังกฤษก็เริ่มยึดดินแดนของอินเดียทีละน้อยจนที่สุดก็ยึดได้ทั้งประเทศราว พ.ศ.๒๓๐๐

    เป็นช่วงพระพุทธศาสนาหายไปจากอินเดีย
    ในปี พ.ศ. 2296 พระเจ้ากีรติสิริราชสิงห์ กษัตริย์ลังกา ได้ส่งราชทูตมาขอพระมหาเถระ และคณะสงฆ์ไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา ซึ่งเสื่อมโทรมลงไป
    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จึงโปรดให้ส่งคณะสมณทูตประกอบด้วยพระราชาคณะสองรูปคือพระอุบาลีเถระและพระอริยมุนี พร้อมคณะสงฆ์อีก 12 รูป ไปลังกา เพื่อประกอบพิธีบรรพชา อุปสมบท ให้กับชาวลังกา คณะสงฆ์คณะนี้ได้ไปตั้งสยามนิกายขึ้นในลังกา


    ประวัติสืบเนื่อง!
    พระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 หรือ พระไชยองค์เว้ เป็นพระราชโอรสของเจ้าชมพู ที่ถูกเนรเทศไปอยู่เมืองเว้ พระองค์ได้ครองราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2245 ทรงตั้งให้เจ้าองค์ลองหรือเจ้านอง พระอนุชาต่างบิดาเป็นอุปราชและไปครองเมืองหลวงพระบาง และอัญเชิญพระบางมาประดิษฐานที่เวียงจันทน์

    ต่อมาใน พ.ศ. 2249 เจ้ากิ่งกิศราชซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าราชบุตรและเป็นหลานปู่ของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ที่ลี้ภัยไปอยู่สิบสองปันนากับเครือญาติฝ่ายพระมารดา ได้ยกทัพลงมาตีเมืองหลวงพระบาง เจ้าลองสู้ไม่ได้ แตกพ่ายลงมาเวียงจันทน์ เจ้ากิ่งกิศราชยกทัพตามลงมาที่เวียงจันทน์ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงขอกองทัพจากกรุงศรีอยุธยามาช่วย

    สมเด็จพระเพทราชา กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น ได้ยกทัพขึ้นมาและไกลเกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกัน โดยให้แบ่งเขตแดนระหว่างหลวงพระบางกับเวียงจันทน์ ให้เจ้ากิ่งกิศราชครองหลวงพระบาง ให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชครองเวียงจันทน์ ทั้งสองกษัตริย์ตกลงแบ่งเขตแดนกันโดยใช้แม่น้ำเหืองเป็นแดนทางฝั่งขวา ทางฝั่งซ้ายใช้เทือกเขาภูชนะคามเป็นเขตแดน แคว้นสิบสองจุไทกับหัวพันห้าทั้งหกขึ้นกับหลวงพระบาง แคว้นเชียงขวางและแคว้นที่อยู่ใต้ลงมาให้ขึ้นกับเวียงจันทน์ การแบ่งเขตแดนนี้เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2250

    หลังจากสิ้นสุดสงครามกับพระเจ้ากิ่งกิศราช พระองค์ได้เร่งปรับปรุงการปกครองหัวเมือง ส่งคนที่ไว้ใจได้ไปปกครองเมืองที่สำคัญ ทำให้กลุ่มของพระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก ต้องอพยพลงใต้ไปหาที่มั่นใหม่ ในที่สุดได้ไปตั้งมั่นที่เมืองจำปาศักดิ์ และแยกตัวเป็นอิสระจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2256 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชครองราชย์จนถึง พ.ศ. 2273 จึงสิ้นพระชนม์ จากนั้น เจ้าลองพระอนุชาได้ขึ้นครองราชย์สืบแทน

    อาณาจักรล้านช้าง (ลาว: ອານາຈັກລ້ານຊ້າງ) เป็นอาณาจักรของชนชาติลาวซึ่งตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง มีอาณาเขตอยู่ในบริเวณประเทศลาวทั้งหมด ตลอดจนพื้นที่บางส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งการเมืองการปกครอง ด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนพระพุทธศาสนา ที่มีพัฒนาการเคียงคู่มาพร้อมกันอาณาจักรอื่น ๆ ใกล้เคียง ทั้งล้านนา สยาม พม่า และเขมร

    อาณาจักรแห่งนี้ได้สถาปนาขึ้นอย่างเป็นปึกแผ่นมั่งคงอย่างแท้จริงในปี พ.ศ. 1896 สมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม มีความรุ่งเรืองสลับกับความร่วงโรยต่อมาหลายสมัย ซึ่งยุคที่นับได้ว่าเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านช้างคือรัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (พ.ศ. 2091- พ.ศ. 2114 และรัชสมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช (พ.ศ. 2181- พ.ศ. 2238) หลังจากนั้นอาณาจักรลาวก็เสื่อมอำนาจลงและแตกแยกเป็น 3 ราชอาณาจักร และในปี พ.ศ. 2321 ทั้ง 3 อาณาจักรก็ได้สูญเสียเอกราชแก่ราชอาณาจักรสยามในที่สุด

    พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าในรัชกาลนี้ประเทศใกล้เคียงเข้ามาอ่อนน้อมเจริญสัมพันธไมตรี กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2234 นักเสด็จเถ้าพระเจ้ากรุงกัมพูชาโปรดให้พระยาเขมร 3 คนนำช้างเผือกพังช้างหนึ่งมาถวาย สมเด็จพระเพทราชาพระราชทานชื่อว่าพระบรมรัตนากาศ ชาติคเชนทร์ วเรนทรมหันต์ อนันตคุณ วิบุลธรเลิดฟ้า และพระราชทานผ้าแพรจำนวนมากให้พระยาเขมรนำไปพระราชทานนักเสด็จเถ้า

    ต่อมาในปี พ.ศ. 2238 พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ได้ส่งราชทูตนำพระราชสาส์นมาทูลว่าจะถวายพระราชธิดา และขอกรุงศรีอยุธยาส่งกองทัพไปช่วยป้องกันกรุงศรีสัตนาคนหุตจากกองทัพหลวงพระบาง จึงโปรดให้พระยานครราชสีมานำพล 10,000 ไปกรุงเวียงจันทน์ หลวงพระบางทราบข่าวจึงยอมประนีประนอมกับเวียงจันทน์ เมื่อเรือพระที่นั่งของพระราชธิดาพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตมาถึงหน้าวัดกระโจม กรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็มีพระบัณฑูรให้รับพระราชธิดานั้นไว้ที่วังหน้า แล้วเสด็จไปกราบทูลสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระเพทราชาก็พระราชทานตามที่ขอ

    สมเด็จพระเพทราชา เป็นชาวบ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี (ปัจจุบันคือบ้านพลูหลวง ตั้งอยู่ใน ต.สนามชัย อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี) เป็นบุตรของพระนมเปรม และมีพระขนิษฐาคือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระสนมเอกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาได้รับราชการจนมีบรรดาศักดิ์เป็นพระเพทราชา ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพระคชบาล มีกำลังพลในสังกัดหลายพัน

    ในปี พ.ศ. 2231 เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชประทับ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ทรงพระประชวรใกล้สวรรคต ทรงเห็นว่าพระเพทราชาเป็นผู้ใหญ่ จึงมอบหมายให้ว่าราชการแทน ระหว่างนั้นพระเพทราชาลวงพระอนุชาทั้งสองพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ คือเจ้าฟ้าน้อยและเจ้าฟ้าอภัยทศว่ามีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จถึงเมืองลพบุรีก็ถูกหลวงสรศักดิ์จับไปสำเร็จโทษที่วัดทราก ส่วนพระปีย์พระราชโอรสบุญธรรมถูกผลักตกจากชาลาพระที่นั่งสุทธาสวรรค์แล้วกุมตัวไปสำเร็จโทษ เมื่อสมเด็จพระนารายณ์สวรรคตแล้ว ได้สั่งให้พระยาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) เข้ามาพบ เมื่อเจ้าพระยาวิชเยนทร์มาถึงศาลาลูกขุนก็ถูกกุมตัวไปประหารชีวิต เมื่อจัดการบ้านเมืองสงบแล้วจึงเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์มาประดิษฐานที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ แล้วรับราชาภิเษก ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท

    เมื่อปราบดาภิเษกนั้นสมเด็จพระเพทราชามีพระชนมพรรษาได้ 51 พรรษา ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระมหาบุรุษ วิสุทธิเดชอุดม บรมจักรพรรดิศร บรมนาถบพิตร สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว" แล้วทรงตั้งคุณหญิงกันเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา (พระมเหสีเดิมในพระเพทราชา เป็นผู้อภิบาลพระเจ้าเสือตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ภายหลังได้ขึ้นเป็นที่ กรมพระเทพามาตย์ ในสมัยของพระเจ้าเสือ) ตั้งกรมหลวงโยธาเทพ (เจ้าฟ้าทอง) พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย ตั้งนางนิ่มเป็นพระสนมเอก ตั้งหลวงสรศักดิ์เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตั้งหม่อมแก้วบุตรท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระขนิษฐาของพระองค์เป็นกรมขุนเสนาบริรักษ์ เป็นต้น

    เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ได้ขับไล่กำลังทหารฝรั่งเศสออกไปจากกรุงศรีอยุธยา แต่ยังทรงอนุญาตให้บาทหลวง และพ่อค้าชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาต่อไปได้ ได้มีการทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส เรื่องการขนย้ายทหาร และทรัพย์สินของฝรั่งเศสออกจากป้อมที่บางกอก โดยฝ่ายอาณาจักรอยุธยาเป็นผู้จัดเรือ กับต้องส่งคืนทรัพย์สิน ที่เป็นของกรุงศรีอยุธยาคืนทั้งหมด สำหรับข้าราชการและราษฎรไทย ที่ยังอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ทางฝรั่งเศสจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา ผลการปฏิบัติดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฝรั่งเศส สิ้นสุดลงตั้งแต่นั้นมา

    สมเด็จพระเพทราชาเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2246พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าสวรรคต ณ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ขณะครองราชย์ได้ 15 ปี สิริพระชนมพรรษาได้ 71 พรรษา

    สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 มีพระนามเดิมว่าเจ้าฟ้าเพชร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 กับพระอัครมเหสีพระนามว่าสมเด็จพระพันวษา มีพระอนุชาและพระกนิษฐาร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าพรและเจ้าฟ้าหญิงไม่ทราบพระนาม

    เมื่อพระราชบิดาสวรรคตในปี พ.ศ. 2252 จึงขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระนามว่าพระเจ้าภูมินทราชา แต่จารึกชะลอพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกข์ออกพระนามว่า พระบาทพระศรีสรรเพชญสมเด็จเอกาทศรุทอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว[แต่ประชาชนมักออกพระนามว่าพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ต่อมาทรงสถาปนาพระบัณฑูรน้อย เจ้าฟ้าพร พระราชอนุชาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

    สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2275 รวมระยะเวลาครองราชย์ 23 ปี
    ประสูติ พ.ศ. 2221
    สวรรคต พ.ศ. 2275 (54 พรรษา)

    ในขณะที่สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 ทรงพระประชวรหนักนั้น พระองค์ตัดสินพระทัยทรงมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัย แต่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลไม่ทรงยินยอม จึงเกิดเป็นสงครามแย่งชิงราชบัลลังก์ ที่สุด

    กรมพระราชวังบวรสถานมงคลครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หรือ พระมหาธรรมราชา เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 31 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่ 4 ในราชวงศ์บ้านพลูหลวง


    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองและพระศาสนาจนกล่าวได้ว่ากรุงศรีอยุธยาในสมัยพระองค์นั้นเป็นยุคที่บ้านเมืองดี มีขุนนางคนสำคัญที่เติบโตในเวลาต่อมา ในรัชกาลของพระองค์หลายคน เช่น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นต้น ในทางด้านวรรณคดี ก็มีกวีคนสำคัญ เช่น เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์ (หรือเจ้าฟ้ากุ้ง) ซึ่งเป็นพระราชโอรส เป็นต้น




    11061207_821397377897784_8762860486542060966_n.jpg


    ว่า "บัดนี้ เราอยู่ผู้เดียวในป่า งูพิษ หรือแมลงป่อง หรือตะขาบ จะพึงขบกัดเราผู้อยู่ผู้เดียวในป่า, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อแรก

    "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เราจะพึงพลาดตกหกล้มบ้าง อาหารที่เราบริโภคแล้ว จะพึงเกิดเป็นพิษบ้าง น้ำดีของเรากำเริบบ้าง เสมหะของเรากำเริบบ้าง ลมมีพิษดั่งศัสตราของเรากำเริบบ้าง, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สอง

    ว่า "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึง มาร่วมทางกันด้วยสัตว์ทั้งหลาย มีสิงห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หรือเสือดาว, สัตว์ร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นภัยในอนาคตข้อที่สาม

    "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า เมื่อเราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า จะพึงมี มาร่วมทางด้วยกันพวกคนร้าย ซึ่งทำโจรกรรมมาแล้วหรือยังไม่ได้ทำ (แต่เตรียมการจะไปทำ) ก็ตาม, พวกคนร้ายเหล่านั้นจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา, เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่สี่

    "บัดนี้ เราอยู่ป่าผู้เดียวในป่า พวกอมนุษย์ดุร้ายก็มีอยู่ในป่า พวกมันจะพึงปลิดชีพเราเสีย, กาลกิริยาของเราจะพึงมีได้เพราะเหตุนั้น, อันตรายอันนั้นจะพึงมีแก่เรา,เราจะรีบทำความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งเสีย" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้เป็นอนาคตภัยข้อที่ห้า


    ปโลภสูตร


    ครั้งนั้นแล พราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

    ถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับ

    มาต่อบุรพพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวไว้ว่า ได้ยินว่า แต่ก่อน

    โลกนี้ ย่อมหนาแน่นด้วยหมู่มนุษย์ เหมือนอเวจีมหานรก บ้านนิคมชนบท

    และราชธานี มีทุกระยะไก่บินตก ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ

    เป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็น

    บ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความ

    กำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม

    มนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอ

    ครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ต่างก็ฉวยศาตราอันคมเข้าฆ่าฟันกันและกัน

    เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็น

    เหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็น

    บ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ





    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความ

    กำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรม

    เมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำ

    เสมอครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ฉะนั้น จึงเกิด

    ทุพภิกขภัย ข้าวกล้าเสีย เป็นเพลี้ย ไม่ให้ผล เพราะเหตุนั้นมนุษย์จึงล้มตายเสีย

    เป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้มนุษย์ทุก

    วันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคมก็ไม่เป็นนิคม แม้

    นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ



    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ทุกวันนี้ มนุษย์กำหนัดแล้วด้วยความ

    กำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอครอบงำ ประกอบด้วยมิจฉาธรรม

    เมื่อมนุษย์เหล่านั้นกำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดผิดธรรม ถูกความโลภไม่สม่ำเสมอ

    ครอบงำประกอบด้วยมิจฉาธรรม พวกยักษ์ปล่อยอมนุษย์ที่ร้ายกาจลงไว้ เพราะ

    ฉะนั้น มนุษย์จึงล้มตายเสียเป็นอันมาก ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย

    เครื่องทำให้มนุษย์ทุกวันนี้หมดไป ปรากฏว่ามีน้อย แม้บ้านก็ไม่เป็นบ้าน แม้นิคม

    ก็ไม่เป็นนิคม แม้นครก็ไม่เป็นนคร แม้ชนบทก็ไม่เป็นชนบท ฯ

    พราหมณ์มหาศาลนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ

    พระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็น

    อุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2020

แชร์หน้านี้

Loading...