เรื่องเด่น พระพุทธองค์ทรงเล่นซ่อนหากับผกาพรหม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 18 ธันวาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,164
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046

    cats-001.jpg

    พระพุทธองค์ทรงเล่นซ่อนหากับผกาพรหม




    ท้าวผกาพรหม ต่อกร พระพุทธเจ้า


    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่โคนต้นรังใหญ่ในสุภควัน ใกล้เมืองอุกกัฏฐา ทรงตรวจดูด้วยสัพพัญญุตาญาณ ก็เห็นว่าท้าวผกาพรหมมีมิจฉาทิฎฐิ หลงเชื่อว่า พรหมโลกนี้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดา และพระพรหมนี้ไม่ต้องเกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่เคลื่อน ไม่อุบัติ การได้เกิดเป็นพรหมนี้พ้นทุกข์
    เหตุที่ท้าวผกาพรหมมีมิจฉาทิฏฐินี้ ก็เนื่องจากสมัยท่านเกิดเป็นมนุษย์ ได้บวชเป็นพระดาบส ประกอบกุศลกรรมและรักษาฌาณสมาบัติ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วจึงมาอุบัติในพรหมโลก
    เมื่อแรกมาอุบัติในพรหมโลกนั้น ท้าวผกาพรหมอุบัติในพรหมโลกชั้นที่10คือ เวหัปผลาพรหมภูมิ มีอายุ500กัป เมื่อจุติจากเวหัปผลาพรหมภูมิก็ไปอุบัติยังพรหมโลกชั้นที่9คือสุภกิณหาพรหมภูมิ มีอายุได้64กัป เมื่อจุติจากสุกิณหาพรหมภูมิ ก็อุบัติยังพรหมโลกชั้นที่6คือชั้นอาภัสราพรหมมีอายุอีก8กัป
    รวมแล้ว ท้าวผกาพรหมอุบัติเป็นพรหมมาแล้วมากกว่า500กัปด้วยเวลาอันยาวนานมากจนไม่อาจจดจำ อดีตของตนว่าได้กระทำกรรมอะไรจึงได้เป็นพรหม แล้วหลงเข้าใจอีกว่าตนนั้นมีมาอยู่ก่อนสิ่งใด พรหมนี้เที่ยง ไม่มีเกิด แก่ ดับ สุขอื่นยิ่งกว่าพรหมอีกไม่มี
    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของท้าวผกาพรหมแล้ว พระองค์จึงหายไปจากโคนต้นรังใหญ่ เสด็จถึงพรหมโลกเพียงครู่เดียว เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนออกแล้วคู้แขนเข้าฉะนั้น
    ท้าวผกาพรหมเห็นพระโลกเชษฐ์เสด็จมา ก็กราบทูลพระพุทธองค์ว่า
    "ดูกร ท่านผู้มิรทุกข์ เชิญท่านมาสู่พรหมโลกนี้เถิด พรหมโลกนี้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดา พรหมโลกนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ สุขอื่นกว่าพรหมโลกนี้ไม่มีอีกแล้ว"
    พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบว่า
    "ดูกร พรหมผู้เจริญ ท่านกล่าวว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง กล่าวว่าสิ่งที่ไม่ยั่งยืนว่ายั่งยืน กล่าวว่าสิ่งที่ไม่มั่นคงว่ามั่นคง กล่าวว่าสิ่งที่ไม่แข็งแรงว่าแข็งแรง กล่าวว่าสิ่งที่มีความเคลื่อนเป็นธรรมดาว่ามีความไม่เคลื่อน พรหมโลกนี้มีทั้งเกิด ทั้งแก่ ทั้งตาย ทั้งจุติ ทั้งอุบัติอยู่เป็นปกติ แต่ท่านกลับกล่าวว่าพรหมโลกนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ดูกร ท่านผู้เจริญท่านกำลังหลงในอวิชชาแล้วหนอ"
    ท้าวพกาพรหมกล่าวแย้งว่า
    "ข้าแต่พระโคดม พวกข้าพระองค์มี72คน ล้วนได้ทำบุญมาดีแล้ว มีอำนาจเหนือคนเหล่าอื่น ก้าวล่วงพ้นจากความเกิดและความแก่ การเกิดเป็นพรหมนี้ชื่อว่าถึงพระเวทแล้ว ข้าแต่พระโคดม การเกิดเป็นพรหมนี้ เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ความสุขยิ่งกว่าพรหมนี้ไม่มีอีกแล้ว"
    ครั้งนั้น มารก็เข้าสิงกายของพรหมบริวารผู้หนึ่ง กล่าวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
    "ดูกรสมณะ ท่านอย่ารุกรานท้าวผกาพรหมนี้เลย ผกาพรหมผู้นี้เป็นมหาพรหม เป็นพรหมผู้เป็นใหญ่ปกครองพรหมโลก เป็นผู้สร้างโลกและสรรพสัตว์ เป็นบิดาของสรรพสิ่งทั้งหลาย
    ดูกรสมณะ สมณะและพราหมณ์เหล่าใด เป็นผู้ติเตียนดินเกลียดดิน เป็นผู้ติเตียนน้ำ เกลียดน้ำ เป็นผู้ติเตียนไฟ เกลียดไฟ เป็นผู้ติเตียนลม เกลียดลม เป็นผู้ติเตียนสัตว์เกลียดสัตว์ เป็นผู้ติเตียนเทวดา เกลียดเทวดา เป็นผู้ติเตียนพรหม เกลียดพรหม ว่าพรหมนี้ไม่เที่ยง สมณะและพราหมณ์เหล่านั้นเมื่อกายแตกดับไปแล้ว ล้วนต้องไปเกิดในอบาย
    ดูกรสมณะ สมณะและพราหมณ์เหล่าใด เป็นผู้สรรเสริญดินชมเชยดิน เป็นผู้สรรเสริญน้ำ ชมเชยน้ำ เป็นผู้สรรเสริญไฟ ชมเชยไฟ เป็นผู้สรรเสริญลม เกลียดลม เป็นผู้สรรเสริญสัตว์ชมเชยสัตว์ เป็นผู้สรรเสริญเทวดา ชมเชยเทวดา เป็นผู้สรรเสริญพรหม ชมเชยพรหม ว่าพรหมนี้เที่ยง สมณะและพราหมณ์เหล่านั้นเมื่อกายแตกดับไปแล้วก็ได้ไปอุบัติในพรหมโลก
    ดูกรสมณะ เพราะเหตุนั้น ท่านจงทำตามคำที่พกาพรหมบอกแก่ท่านเท่านั้น ท่านอย่าฝ่าฝืนคำของพกาพรหมเลย"
    พระชินสีห์ทรงทราบว่ามารเข้าสิงสู่ในพรหมผู้นั้น จึงมีพุทธดำรัสตอบโต้มารว่า
    "นี่แน่ะมาร ท่านอย่าเข้าใจว่าเราไม่รู้จักท่าน เรานี้รู้จักท่าน และไม่อยู่ในอำนาจของท่านดังเช่นพรหมที่ท่านครอบงำอยู่"
    มารฟังคำของพระทศพลแล้วจึงหนีไป
    ส่วนท้าวผกาพรหมนั้น ได้เจรจาอวดอ้างมหิทฤทธานุภาพของตนว่าเหนือกว่าผู้ใด ตนนั้นเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและไม่มีสิ่งใดในสากลจักรวาลซ่อนเร้นทิพยจักษุของเราได้ มีดำริคิดต่อกรท้าทายพระพุทธเจ้าว่า จะหายตัวไปไม่ให้พระพุทธเจ้าทรงมองเห็นได้ พระพุทธองค์ทรงรับคำท้าแล้ว ผกาพรหมก็หายตัวไปเพียงครู่เดียว


    ครั้งแรกท้าวพกาพรหมจำแลงตนเป็นนก เพียงครู่เดียวพระพุทธเจ้าก็มีพุทธดำรัสว่า ผกาพรหมท่านต้องการเป็นนกหรือ
    ครั้งที่สองก็จำแลงตนเป็นผึ้ง เพียงครู่เดียวพระพุทธเจ้าก็มีพุทธดำรัสว่าผกาพรหมท่านต้องการเป็นผึ้งหรือถึงได้เที่ยวตอมดมดอกไม้อยู่
    ครั้งสุดท้ายพกาพรหมได้จำแลงตนให้ละเอียดลงถึงขั้นกลายเป็นเม็ดสอดแทรกในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ถึงกระนั้นเพียงครู่เดียวก็มีพระพุทธดำรัสว่า ผกาพรหมท่านไม่ต้องการเสวยสุขบนสวรรค์แล้วหรือจึงได้ไปแฝงตัวซ่อนเร้นอยู่ในเม็ดทรายในมหาสมุทร
    ผกาพรหมนั้น ยังไม่ละทิฎฐิ ท้าทายให้พระพุทธองค์ทรงหายตัวบ้าง พระทศพลญาณก็หายตัวไปทันใด ผกาพรหมนั้นก็ได้เข้าฌาณส่องทิพยจักษุญาณไปยังโลกธาตุต่างๆ เข้าไปยังนิคม ในบ้าน ในราชฐาน ในภูเขา ในแผ่นดินฟากโน้น แผ่นดินฟากนี้ ในแอ่งน้ำ แม่น้ำ ในมหาสมุทร ในโลกมนุษย์ ครั้นไม่พบก็ ส่องทิพยจักษุญาณไปยังโลกธาตุอื่น ในอบายภูมิ ในเทวโลกทั้ง6ชั้น ส่องไปในพรหมโลกทั้งหลาย ตลอดจนโลกธาตุและธาตุอันละเอียด ก็หาพระจอมไตรไม่พบ จึงยอมพ่ายแพ้ กล่าวขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าปรากฎตัวออกมา
    ทันใดนั้น พระโลกนารถก็ตรัสขึ้นว่า "ผกาพรหม ตลอดเวลาที่ท่านหาเราอยู่นั้น เราเดินจงกรมอยู่เหนือเศียรของท่าน"และพระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระสัทธรรมด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะยิ่ง
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงกุศลธรรมของท้าวผกาพรหมว่า
    "ดูก่อนท่านผู้เจริญ เรานี้รู้อดีตของท่าน ก่อนนี้ในกัปหนึ่ง ท่านเกิดเป็นดาบสอยู่ในทะเลทรายที่กันดาร ได้เนรมิตน้ำให้พ่อค้าเกวียน500เล่มที่หลงทาง นี้เป็นกุศลของท่าน
    ก่อนนี้ท่านเป็นดาบสอาศัยอยู่ชายป่า มีโจรลงมาจากเขา มาปล้นชาวบ้านแล้วจับเอาคนจำนวนมากขึ้นไปบนเขา ท่านแปลงกายเป็นพระราชพร้อมกองทหาร ขับไล่โจรไป แล้วช่วยชีวิตชาวบ้านเอาไว้ นี่เป็นกุศลของท่าน
    ก่อนนี้ท่านเป็นดาบสอยู่ริมฝั่งน้ำ ชาวเรือทิ้งเศษอาหารลงไปในน้ำทำให้พระยานาคโกรธ ขึ้นมาจะทำลายเรือ ท่านแปลงเป็นครุฑขับไล่ พระยานาคไป นี้เป็นกุศลของท่าน
    ดูกรพรหมผู้เจริญ เรารู้บุญกรรมของท่านดุจนอนหลับแล้วตื่นขึ้น"
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงความไม่เที่ยงต่อไปว่า
    "ดูก่อนผกาพรหม ความจริงอายุของท่านไม่มากเลย ท่านอย่าสำคัญว่าอายุของท่านมาก อายุของท่านเหลือเพียงหนึ่งแสนนิรพุทเท่านั้น"
    ในที่สุดท้าวผกาพรหมจึงยอมจำนน เมื่อนั้น เหล่าพรหมทั้งหลายกล่าว่า องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าชนะท้าวผกาพรหมแล้ว
    การพ่ายแพ้ของท้าวผกาพรหมครั้งนี้ดุจหิงห้อยที่ด้อยแสงคิดขันแข่งพระสุริยันย่อมย่อยยับอัปราเป็นแน่แท้
    เมื่อจบการเทศนาญาณแล้ว พรหมทั้งหลายจำนวนหนึ่งหมื่นองค์ก็บรรลุธรรม มีโสดาปัตติผลเป็นต้น


    ขอบพระคุณที่มา :- https://www.dek-d.com/board/view/2316048/

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 ธันวาคม 2017
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,164
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    LpDu1.jpg
    พระเหนือพรหม - หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    หลวงปู่ดู่ ท่านย้ำเสมอว่า บางคนแม้แขวนพระที่ผู้ทรงคุณวิเศษอธิษฐานจิตให้ ก็ใช่ว่าจะรอดปลอดภัย อยู่ดีมีสุข
    เพราะทุกคนไม่อาจหลีกหนีวิบากกรรมที่ได้สร้างไว้ ธรรมทั้งหลายที่ท่านพร่ำสอน เปรียบได้กับการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามบนดวงใจของศิษย์ ที่ท่านทุ่มเทให้ทั้งชีวิต ด้วยเมตตาธรรมยิ่ง
    ปัจจุบันวัตถุมงคลประเภทพระเครื่องและเครื่องรางของขลังของหลวงปู่ดู่ ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาและนักสะสม โดยเฉพาะ "พระเหนือพรหม" ซึ่งเป็นพระที่มีลักษณะที่แตกต่างกว่าพระเครื่องหรือวัตถุมงคลที่พบโดยทั่วไป
    มูลเหตุและแรงจูงใจในการสร้างพระเหนือพรหมของหลวงปู่ดู่ นั้น มาจากบทพระพุทธมนต์ "พาหุงมหากา" ในบทที่ 8 กล่าวไว้ว่า ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะ

    แปลได้ว่า เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะ ผกาพรหม ผู้มีทิฏฐิแรงกล้าสำคัญว่าตนเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุด แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงสามารถทำให้ผกาพรหมยอมละทิ้งทิฏฐิมานะ และยอมว่าพระพุทธเจ้าสูงกว่า จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะทิฏฐิมานะของตน

    "พรหม" หมายถึงผู้มีนามว่า "ท้าวผกา" มีฤทธิ์และสำคัญตนว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ มีทิฏฐิที่ถือผิดรัดรึงอยู่อย่างแน่นแฟ้น องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ด้วยวิธีเทศนาญาณ ด้วยเดชะอันนี้ ซึ่งหลวงปู่ดู่ซาบซึ้งในบทพระพุทธ มนต์บทนี้ จึงจัดสร้าง "พระเหนือพรหม" ขึ้น
    นอกเหนือจากนั้นยังมีวัตถุมงคลที่อยู่ในบทพระคาถาพาหุงมหากาอีก 7 บท สร้างออกมาอีก 7 พิมพ์ แต่ที่จัดสร้างมากที่สุดและเป็นที่นิยมที่สุดของบรรดาลูกศิษย์ก็คือ "พิมพ์พระเหนือพรหม" ซึ่งรูปแบบจะเป็นพระพรหมมี 4 พระพักตร์ และพบว่ามีรูปพระพุทธองค์อยู่บนเศียรของพระพรหม
    พระชุดนี้จัดสร้างช่วงแรกปี 2517 มีเนื้อเดียวคือ "เนื้อผงสีขาว" หรือที่เรียกกันว่า "ผงมหาจักรพรรดิ" ที่หลวงปู่ดู่ลบผงด้วยตัวท่านเอง พระบางองค์มีคราบสีเหลือง มาจากที่ท่านนำพระเหนือพรหมแช่น้ำชาที่ท่านชงดื่ม และจะเป็นที่นิยมมากในบรรดาลูกศิษย์
    หลังจากนั้นปี 2531 ท่านจึงสร้าง "พระเหนือพรหม" ขึ้นมาอย่างเป็นทางการอีก 1 รุ่น แต่ที่พิเศษของรุ่นนี้คือ จะผสมเส้นเกศาของท่านลงไปด้วย พิมพ์ทรงคงเค้าลักษณะเดิม เปลี่ยนแปลงเพียงแค่รูปในหน้าพระพรหมที่มีความคมชัดมากกว่ารุ่นแรก และยังสร้างเป็นเนื้อโลหะผสมที่มีรูปทรงเดียวกันอีกด้วย
    "พระเหนือพรหมเนื้อผง" ในยุคแรกนั้น ท่านจะไม่มีการปั๊มยันต์หมึกรูปกงจักร ซึ่งยันต์หมึกนี้ปั๊มหลังจากที่ท่านมรณภาพและคณะกรรมการวัดสะแกในสมัยนั้น เข้าไปสำรวจทรัพย์สินทั้งหมด และทำยันต์ปั๊มออกมาเพื่อป้องกันการปลอมแปลง ปัจจุบันสนนราคาเล่นหาสูงขึ้นอย่างมาก แม้จะมีของเก๊ระบาดหนักก็ตาม ส่วนประสบการณ์นั้นลูกศิษย์ทุกคนเชื่อว่า ใครผู้ใดมีพระเหนือพรหมของหลวงปู่ดู่ไว้บูชาและปฏิบัติดี คนผู้นั้นจะมีแต่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต และเรื่องโชคลาภ ลูกศิษย์หลายคนได้สัมผัสมาแล้ว
    ขอบพระคุณที่มา :- http://baanjompra.com/webboard/thread-8218-1-1.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,164
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  4. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    สาธุอนุโมทนาค่ะพี่

    “พระ เหนือ พรหม”
     
  5. madeaw23

    madeaw23 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +188
    กราบสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...