เรื่องเด่น คุณพระรัตนตรัย (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 17 ตุลาคม 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,711
    พระรัตนตรัย-01.jpg

    คุณพระรัตนตรัย


    …พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่จะเข้ามาถึงจัดว่าเป็น พ.ศ. ที่มีความวิกฤติที่สุดของชีวิตประเทศไทยในยุคนี้ เพราะว่าตกอยู่ในเขตที่มีความวิกฤติอย่างหนัก ความแปรปรวนเป็นไปของโลก ของชีวิตมนุษย์
    อันนี้ก็ถือว่าเป็นปกติธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีอันจะต้องฉิบหายไปในที่สุด ไม่มีอะไรทรงตัว ทีนี้สำหรับเราเหล่าพุทธบริษัท ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็น “พุทธมามกะ” คือ นับถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ พระบาลีกล่าวว่า บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย…คือจะต้องไม่พินาศไปด้วยอำนาจของโลกซึ่งเต็มไปด้วยความแปรปรวน ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่าสิ้นเวลา ๒,๕๐๐ ปีเศษ สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ว่า
    “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป ๒,๕๐๐ ปีเศษ คือหลังจากกึ่งพุทธกาล ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี คือ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นมา โลกจะเต็มไปด้วยความวิกฤต ไฟจะตกจากอากาศ ไฟจะลุกในอากาศ ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ บรรดาคนจะมีความทุกข์ยากล้มตายเป็นอันมาก..”

    และองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงกล่าวต่อไปอีกว่า “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ความวิกฤต คือความร้ายแรงของโลกก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมีความร้ายแรงก็จริงแหล่ แต่ทว่ายังไม่ร้ายแรงเท่าหลังกึ่งพุทธกาล”

    อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นอาละวาด ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันล้มตายกันฝ่ายละครึ่งจึงจะหยุดยั้ง สมณะ ชี พราหมณ์ จะล้มตาย แต่ว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยอันนี้เหมือนกัน แต่ทว่าไม่ร้ายแรงนัก ไม่ถึงกับพินาศ..”

    นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้
    ทีนี้คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏเป็นความจริง คือก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี คือตั้งแต่ปี ๒๔๘๕ “สงครามโลกครั้งที่ ๒” ก็เกิดขึ้น เมื่อสงครามสงบแล้วความวิกฤติของโลกก็ยังไม่สงบ มีการรบราฆ่าฟันเป็นปกติ ระยะนี้เป็นระยะหลังกึ่งพุทธกาล มีสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลายล้มตายเป็นอันมาก คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรงตามความเป็นจริง

    อีกข้อหนึ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ทรงพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะพิจารณากันตามความเป็นจริง จะเห็นว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมด ไม่มีประเทศใดที่ทรงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้ครบถ้วน เช่น ประเทศไทย

    ในประเทศไทยเรามีทั้ง พระสูตร พระวินัย ปรมัตถ์ คือ พระอภิธรรม สำหรับประเทศอื่น เช่น ประเทศพม่า โดยมากจะไม่เคร่งครัดในเรื่องของพระวินัย โทษในเรื่องพระวินัยเขาไม่เคร่งครัดเพราะถือว่าไม่สำคัญ จะนิยมแต่ในเฉพาะด้านของ ปรมัตถ์ คือ อภิธรรม เท่านั้น

    ตามบาลีว่า พระสูตร คือ ประเทศไทย พระวินัย คือ มอญ พระอภิธรรม คือ พม่า หมายความว่าในประเทศไทย เรานิยมพระสูตร แต่ว่าเรามีพระวินัยและพระอภิธรรมครบถ้วน สำหรับวินัยมอญก็หมายถึงว่าประเทศมอญ เขาเคร่งครัดในพระวินัยแบบชาวมอญ สำหรับพม่านั้นยกพระสูตรทิ้งไป พระวินัยทิ้งไป เหลือพระอภิธรรม เราก็จะเห็นว่าในประเทศไทยยังคงทรงไว้ได้ทั้ง ๓ ประการ คือ พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม ทั้ง ๓ ประการ

    เมื่อเราพิจารณาตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระชินวรท่านทรงพยากรณ์กับพระอานนท์แล้ว จะเห็นว่าประเทศไทยเราคงพระวินัย คือเคารพองค์สมเด็จพระจอมไตรไว้ตามพระพุทธพยากรณ์ จึงถือว่าประเทศไทยอยู่ในเขตคำพยากรณ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ คืออาจจะต้องไม่สลายไป

    ในการนับถือองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่มีพระบาลีว่า พุทโธ อัปปมาโณ คือว่า คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้
    การเคารพในพระธรรมว่า ธัมโม อัปปมาโณ คือว่า คุณของพระธรรมหาประมาณมิได้
    สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระอริยสงฆ์หาประมาณมิได้

    การเคารพในคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถจะยังชีวิตและความสุขของเราให้คงอยู่ได้ปลอดภัยจากอันตราย

    ดูตัวอย่าง เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงชีวิตอยู่ ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ในขณะนั้นปรากฏว่า พระเจ้าพิมพิสาร บรมกษัตริย์ถูก พระยาชมภูบดี รุกราน เหาะขึ้นมาในอากาศ เห็นยอดปราสาทของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ มีความสวยสดงดงามยิ่งกว่า ความริษยาก็เกิดขึ้น จึงได้ลงมาจากอากาศมายืนอยู่บนยอดปราสาท ชักพระขรรค์อันประจำพระองค์ขึ้นฟันยอดปราสาท ความจริงพระขรรค์นี้แม้แต่เหล็กท่อนใหญ่ๆ กระทบแล้วไม่หนักนักก็จะขาดไปทันที

    แต่อาศัยที่พระเจ้าพิมพิสารมีความเคารพในองค์สมเด็จพระมหามุนี คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นไตรสรณคมน์ทั้ง ๓ ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น “พระโสดาบัน” ด้วยอำนาจของ พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ จึงป้องกัน แทนที่ยอดปราสาทจะขาด พระขรรค์ของพระยาชมภูบดีก็บิ่นทำลายไป พระยาชมภูบดีมีความเจ็บใจ จึงได้ยกเท้าขึ้นกระทืบยอดปราสาท ก็เป็นเหตุให้เหล็กยอดปราสาททิ่มทะลุรองเท้าไปโดนเท้าบาดเจ็บ ถึงกับมีความโกรธมาก จึงเหาะกลับประเทศของพระองค์ แล้วก็ใช้ อวิตาศร ไปร้อยพระกรรณ คือร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ คือมีศรเป็นกรณีพิเศษ เมื่อศรเข้ามาประกาศว่า เราจะร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ พระเจ้าพิมพิสารได้ทราบแล้ว ได้ยินแล้ว เห็นแล้ว ก็มีความกลัว จึงเสด็จไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ในที่สุดบารมีของพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขก็ระงับอันตรายนั้นเสียได้ ในที่สุดบังคับให้พระยาชมภูบดีเข้าเฝ้าสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ได้ฟังพระธรรมเทศนามีความเลื่อมใสอุปสมบทในพระพุทธศาสนา และก็ได้สำเร็จอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา แสดงว่าที่พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอพ้นจากอันตายได้ เพราะอาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ ในฐานะที่พระองค์เข้าถึงความเป็น “พระโสดาบัน” มีความมั่นคงในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีล ๕ เป็นสมุจเฉท คือ รักษาศีล ๕ เป็นปกติ
    ….
    ฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงอย่าประมาทในชีวิต จงทรงจิตของท่านให้มีความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปฏิบัติจิตให้ตรงต่อเฉพาะพระพุทธองค์ ว่าที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงสั่งสอนไว้ เราทำอย่างไรที่ว่าทรงความดีตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงกล่าวให้พวกเราทุกคนเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ทุกสิกขาบท คือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภิกษุ และสามเณร มีความจำเป็นจะต้องทรงสิกขาบททั้งหมดให้ครบถ้วนบริบูรณ์ สำหรับฆราวาสก็มีความจำเป็นอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าบางท่านก็ไม่สามารถรักษาสิกขาบทให้ครบถ้วนได้ เพราะความจำเป็นในชีวิต

    ฉะนั้น ขอให้ตั้งสัจธรรมไว้ว่า ถ้าศีลข้อใดก็ดีใน ๕ ข้อนี้ เราจะทรงไว้ได้ตลอดชีวิต จะไม่ละเมิด ให้ตั้งจิตถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในชีวิตของเรานี่สิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่ง หรือ ๒ สิกขาบทก็ตามที ซึ่งไม่เกินวิสัยเราจะทรงไว้ให้ครบถ้วน ไม่ยอมให้มัวหมอง สำหรับท่านผู้ใดสามารถจะทรงสิกขาบททั้ง ๕ ประการได้ก็ยิ่งดี อย่างนี้ได้ชื่อว่ามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ในการปฏิบัติกาย วาจา ใจ และสำหรับกำลังใจนั้นมีความสำคัญ บรรดาพุทธบริษัททุกท่านทรงความดี คือ นึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีจิตยึดพระพุทธคุณไว้เป็นสำคัญ

    การนึกถึงพระพุทธคุณทำอย่างไร?

    ว่ากันมากไปก็ไม่ถนัด อิติปิ โส ภควาฯ จนจบก็ไม่ไหว ฉะนั้นโบราณาจารย์จึงกำหนดไว้ว่าบุคคลใดมีความนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ภาวนาว่า “พุทโธ” ใช้คำว่า “พุทโธ” ให้เป็นปกติ ภาวนาไว้ทุกวันทุกคืนตลอดเวลา และการที่เราจะภาวนาไปได้ตลอดเวลา และการที่เราจะภาวนาไปได้ตลอดวันตลอดคืนก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะจิตย่อมมีภาระนึกคิดอย่างโน้นคิดอย่างนี้ บางทีก็ต้องสนทนาปราศรัย ในการที่จะนึกทุกวันทุกเวลาเป็นไปไม่ได้ แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่ขาด

    พระโบราณาจารย์ที่มีความฉลาดได้สั่งสอนไว้ว่า ถึงเวลาก่อนจะหลับให้บรรดาพุทธบริษัทกำหนดใจนึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ จะกำหนดการเข้าออกของลมหายใจว่า “พุทโธ” เวลาหายใจเข้านึกว่า “พุท” เวลาหายใจออกนึกว่า “โธ” อย่างนี้เป็นความดี หรือนึกถึงคุณความดีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็เป็นการป้องกันภัยอันตรายเวลาที่ท่านทั้งหลายภาวนาว่า “พุทโธ” อมนํ้าลายไว้ในปาก ภาวนาไว้จนขึ้นใจ ให้จิตมีความสุข ค่อยกลืนนํ้าลายลงไป อย่างนี้คุณพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น จะคุ้มครองสรรพอันตรายแก่พุทธบริษัทได้

    และเวลาตื่นขึ้นมาใหม่ๆ และก่อนหลับทุกวัน ทำแบบนี้เป็นปกติ เวลาที่ยังตื่นอยู่ ถ้าคิดขึ้นมาได้เมื่อไรก็ทำใจให้นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนาว่า “พุทโธ” เป็นปกติ อย่างนี้จิตของบรรดาท่านพุทธบริษัท ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึง พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ

    แล้วการนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ได้ชื่อว่าเข้าถึงความดีทั้ง ๓ ประการครบถ้วน คือ พระพุทธเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต้องอาศัยพระธรรม เมื่อทรงธรรมแล้วพระองค์ก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธองค์ที่เราจะพบได้ก็อาศัยบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายประชุมสังคายนากันร้อยกรองเอาไว้ จึงได้ตกทอดถึงพวกเรา

    ฉะนั้น การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงชื่อว่าเข้าถึงความดีครบไตรสรณคมน์ ทั้ง ๓ ประการ
    การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร ใช้คำว่า “พุทโธ” เป็นปกติ ถ้าหากว่ากล่าวโดยธรรม ถ้าเรามีอารมณ์อ่อน ที่ว่ามีอารมณ์จิตเข้าไม่ถึงฌาน เวลาตายแล้วก็ไปสู่สวรรค์เทวโลก มีชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น
    ….
    นี่การนึกถึงคุณความดีขององค์สมเด็จพระทศพลมีผลต่อบรรดาท่านพุทธบริษัท ถึงแม้ว่าเราจะทำบาปทำกรรมมากมายเพียงใดก็ตามที อาศัยความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์สามารถจะบำบัดให้เราพ้นไปจากภัยพิบัติ คือพ้นจากอบายภูมิได้

    ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ปีเก่าจะหมดไป ปีใหม่จะเข้ามาถึง เราจงรักษาสัจธรรม ทรงความดีเข้าไว้ คือจะนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่หยุดยั้ง..

    เวลาที่ไม่ลืมเกรงว่าจะลืม เวลาเช้าเวลาที่จะไปไหน หรืออยู่บ้านก็ตาม เกรงว่าอันตรายจะมีต่อเขา เขาแนะนำ นี่อาตมาเคยได้รับทราบมาเอง คือได้รับคำแนะนำจากคนผู้นั้นจากปากเขาเอง บอกว่า เวลาที่เราเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายให้อมนํ้าลายไว้ในปาก ภาวนาว่า “พุทโธ” ให้ขึ้นใจเป็นการเสกนํ้าลาย แล้วกลืนลงไป ๓ ครั้ง บุคคลประเภทนี้แม้จะปะทะข้าศึกหนักศัตรูหนักเพียงใดก็ตาม ก็มีการแคล้วคลาด

    ถ้ามีความดีเป็นที่สุดขนาดหนัก ถ้ามีจิตทรงความดีขนาดกลาง เขาบอกว่ายิงของเขาไม่ออก ถ้าว่าทรงความดีขนาดเบา ใจยังเบาอยู่ ยังไม่เข้าถึงที่สุด ยิงไม่เข้า เขาว่าอย่างนั้น ความจริงก็เป็นไปตามนั้น เพราะเคยไปด้วยกัน เขาปลอดจากอันตรายจากสรรพาวุธทุกอย่าง

    ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าวางใจ จงอย่าประมาทในชีวิต จงคิดว่าคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ทั้ง ๓ ประการ จะสามารถทรงเราให้มีชีวิตอยู่ได้ นี่กล่าวโดยเฉพาะ ถ้าเราสิ้นอายุขัย การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทำให้เราพ้นทุกข์..

    เราจะยึดเอาคุณความดีขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไว้เป็นประจำ คือคำภาวนาว่า “พุทโธ” เป็นปกติ ถ้าเป็นอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะมีความสุขในชีวิต คือจิตของท่านจะทรงสมาธิ อำนาจบารมีของพระพุทธเจ้าจะทำจิตใจของท่านให้เยือกเย็นมีความสุข อันตรายจะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย ก็จะพ้นภัยและด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ

    แต่ถ้าชีวิตอายุขัยที่จะสิ้นไปเมื่อไร ความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะบันดาลให้เราพ้นอบายภูมิทั้ง ๔ ประการ คือไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างเลวที่สุด เราก็จะเป็นเทวดา ถ้าจิตใจมีสมาธิแรงกล้าเราจะเข้าถึงการเป็นพรหม

    ถ้าจิตของเราไม่นิยมในขันธ์ ๕ หรือว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตเราเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนเราจะไปที่นั่น เอาใจตรงนี้ยึดองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดานั่นเอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านจะพ้นจากกิเลส จะเข้าถึงพระนิพพานได้..

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับปีเก่าจะสิ้นไป ปีใหม่จะเข้ามา ขออำนาจพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมสุคตศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุด จงปกปักรักษาบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ให้มีความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ขอให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหมด ภัยใดๆ ที่ปรากฏต่อโลก จงอย่ามีกับพุทธบริษัท ขอให้จิตใจของท่านพุทธบริษัทมีความปลอดโปร่ง พ้นจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้…

    เอาละ ท่านพุทธบริษัททุกท่าน กาลเวลาที่จะพูดก็เลยมาแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จงปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ยึดอานาปานุสสติเป็นอารมณ์ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เวลาหายใจเข้านึกว่า “พุท” เวลาหายใจออกนึกว่า “โธ” หรือว่าท่านพุทธบริษัทท่านใดจะพิจารณาวิปัสสนาญาณกรรมฐานบทใดไปตามความประสงค์ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา สวัสดี*

    ภาพจากคุณสุพัฒน์
    โพสต์โดย achaya



    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     

แชร์หน้านี้

Loading...